วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2564

640804_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5
วันพุธที่ 4 สิงหาคม  2564

ณ บวรราชธานีอโศก

















สมณะฟ้าไท... วันนี้เป็นวันพุธที่ 4 สิงหาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก สถานการณ์โควิดตอนนี้ระบาดไปทั่ว คนต้องหันมาพึ่งพาตนเอง ไทยเราก็ใช้สมุนไพรต้มกิน ก็หายกันได้มากมาย ตามที่มีรายงานในอินเตอร์เน็ต ราชธานีอโศกเรามีสมุนไพรมากมาย เช่น ตะไคร้ ข่า ขิง กระชาย ฟ้าทะลายโจร

พ่อครูว่า... SMS วันที่ 2-3 ส.ค. 2564

_Mam Swiss (แหม่ม สวิส) : วันนี้ดูจากรายการตุ้มตะลุ่มตุ้มม้ง พ่อครูดูเหมือนมีความสดชื่นแจ่มใสเป็นพิเศษ สาธุ🙏 น้อมกราบนมัสการค่ะ

 

_Gd : กราบนมัสการครับ Fa เงินทองเป็นของมายา..แล้วเมื่อไหร่คนจะมองเห็นพืชพันธัญญาหารเป็นของจริง

พ่อครูว่า...ผู้มุ่งมั่นศึกษาธรรมะจริงๆ ก็จะได้ เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นฉีกหน้าโลกียะจริง เรียนรู้ไส้สัมมาทิฏฐิ คุณจะเห็นเรื่องมายา เงินทองก็เป็นมายา จนกระทั่งละเอียดไปถึงที่สุด ก็จะเห็นว่า ทุกอย่างมันเป็นมายาหลอกเราทั้งนั้น ถ้าเรายึดมั่นถือมั่นในอะไร

แต่ถ้าเราสามารถรู้จักกาละเทศะสถานะ แล้วใช้อาศัยสิ่งสมมุตินี่แหละ รู้แจ้งจริงไม่ได้ถูกสิ่งสมมุติหรอก เราก็อาศัยสิ่งสมมุตินั้นในแต่ละปัจจุบันได้ นี่คือตัวสำคัญ บทสรุปของผู้มีชีวิตที่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นในอะไร และรู้ว่าอะไรต้องอาศัยกันไป

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ยุคสมัยที่ยากแก่การบริหารบ้านเมือง

_สถานีวิทยุ เสียงธรรมร่วมใจ : บ้านเมืองในยุคนี้ "ตำรวจ-อัยการ-ศาล" ใช้เมตตาธรรม-เสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ นำหน้ากฎหมายบ้านเมืองกับม๊อบผู้ชุมนุม เป็นความสวยงามมาก เจ้าหน้าที่ต้องอดทนสูงมากครับ

พ่อครูว่า...คนที่มีดวงตาก็มองออก อ่านเห็นเป็นความจริงตามที่สะท้อนมา จริงอาตมาก็เห็นอย่างนั้น ทุกวันนี้ ผู้ที่อยู่ในฐานะทำงานกับมวลประชาชน ทำงานอย่างหนักหนาสาหัส ทั้งภัยโควิด ทั้งภัยบ้านเมือง เรื่องกระแสต่างๆ ไม่ว่ากระแสเศรษฐกิจ สังคม กระแสสัจจะที่ไม่เป็นสัจจะมันรวนเรไป ก็พยายาม มันไม่เที่ยง ต้องอาศัยความรู้ความสามารถบริหารอภิบาลปกครองกันให้ดี

ซึ่งก็เป็นภาวะที่หนัก เป็นความเสื่อมจัด ความเสื่อมจัดคืออะไร คือผู้ที่เคยครองอำนาจว่าเป็นผู้นำโลก เช่น อเมริกาเป็นต้น กำลังจะเสื่อมหนัก ที่จริงได้เสื่อมหนักลงไปแล้ว แต่เขาก็พยายามที่จะประคองตนเอง รักษาสถานะตนเองด้วยความรู้เท่าที่เขามี

นัยยะสำคัญของ 1.เรื่องมนุษยชาติหรือสังคมมันต้องมีสภาพ 2 ที่ภาษาบาลีว่า เทวฺ อยู่อย่างนั้นตลอดกาลนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก เป็นความรู้ที่สุดยอดมาก ผู้ที่รู้ใน เทวฺ เข้าใจ เทวฺ แล้วสามารถอยู่กับ เทวฺ มีปฏิภาณปัญญาหรือว่าต้องเลือกอันใดอันหนึ่ง เปรียบเทียบกันได้ว่าอันหนึ่งต้องเด่น อีกอันหนึ่งต้องเป็นรองไม่เด่น หรืออันนึงดีอีกอันหนึ่งต้องไม่ดี อย่างนี้เป็นต้น

และรู้ว่าสองนี้ก็ไม่ได้อยู่ยั่งยืนถาวรมันเป็นเพียงสังขารธรรมตามเหตุปัจจัย และรู้ว่าเหตุของจิตวิญญาณที่เป็นประธาน สามารถปล่อยวาง สามารถสร้างพลังงานที่เป็นตัวเชื่อมตัวรักษา ทำให้มันเจือจางทำให้มันปล่อยวางหมดฤทธิ์ความดูดดึง แยกธาตุ ไม่รวมตัวกันอีกสลายตัวกันต่างคนต่างไป คือเป็นผู้รู้ชัดเจนในเรื่องของชีวถึงขั้นระดับจิตนิยาม ซึ่งเป็นธรรมนิยาม 5 แล้วก็รู้จักการทำ ธรรมนิยาม ให้มาพักอยู่ที่ พีชนิยาม หรือแยกพีชนิยาม ไปเป็นอุตุนิยามสลายไปหมดเลย เพราะฉะนั้นจึงยืนอยู่ระหว่างกรรมกับธรรมะ ธรรมะคือการทรงไว้ กรรมคือการกระทำ

ก็อยู่กับการกระทำที่จะให้ทรงไว้ในสถานะใด สภาวะใดเท่าใด จัดการได้หมดเลย จะให้อยู่ในสภาวะจิตนิยามที่ยอดเยี่ยมก็ได้ เป็นผู้ที่สามารถยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ สามารถทำให้เป็นพืชก็ได้ สามารถทำให้เป็นอุตุได้ ที่สุดสามารถทำให้ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จบ แม้แต่ในปัจจุบันนี้ก็ทำตัวจบที่เราจะไม่เกี่ยวข้องเลย เอ็งก็อยู่ของเอ็ง พวกชาวนรกพวกอบาย เป็นต้น เอ็งก็อยู่ของเอ็ง..เราไม่เกี่ยว แม้มันจะมากระแทกกระทบกระเทือนก็เหมือนกับเราไม่มีตัวตน มันก็ทำอะไรเราไม่ได้

พวกนี้ภาษาที่จะอธิบายมันยาก แต่ก็พยายามใช้ภาษาอธิบาย ฟังดูแล้วจะพบความจบอันนี้ ซึ่งอาตมาจริงใจ ไม่ได้เดาไม่ได้คาดคะเน ไม่ได้เก็งความจริง แต่ว่าอาตมาบรรลุธรรม รู้ความจริง มีความสัตย์จริง สภาวะที่พูดไปทั้งหมดนั้น มีสภาวะจริง จะใช้ภาษามาแทนมันไม่รู้เท่ากันได้  ตัวเองทำเอง ถึงเอง บรรลุจุดนั้นเอง จะรู้เองด้วยตนเองอย่างชัดเจนเองเลย ไม่ต้องไปเชื่อใคร ไม่ต้องไปเห็นตามใครแล้ว เพราะเห็นเองเป็นเองได้สูงสุด จบ

ยุคนี้ เห็นสภาวะที่เกิดบทบาทอยู่อย่างนี้ ที่สถานีวิทยุเสียงธรรมร่วมใจสื่อแสดงออกมา

อาตมาใช้ อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ สุญตภาพ สุนทรียภาพ 7 สภาพนี้ อาตมาตั้งชื่อว่า บรมภาวะสุดประเสริฐ สังคมชาวอโศกเรามีได้จริง

 

_วัดป่าสวนธรรมร่วมใจ ยโสธร : กราบนมัสการท่านพ่อครูที่เคารพอย่างสูงครับ

📌 มีคนเขียนจดหมายถึงลุงตู่ครับ.. ➡️ เราเกิดปีเดียวกัน เคยเป็นเด็กมาเหมือนๆ กัน คุณพ่อของคุณเป็นทหาร คุณพ่อฉันก็เป็นทหาร คุณเป็นผู้ชาย จึงเดินตามรอยเท้าพ่อของคุณไปสู่โรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งเข้า ยากมาก ไม่ว่าจะเป็นวันโน้นหรือวันนี้เพราะเขาต้องคัดคนเก่ง สุดยอดแกร่งเข้าเรียน ถ้าเข้าสวนกุหลาบวิทยาลัย หรือเตรียมอุดมศึกษาไม่ได้ ก็ยังมีโรงเรียนอื่นในระดับเดียวกันให้เลือกมากมาย แต่ไม่ใช่เตรียมทหาร ที่ๆ ฝึกให้ลูกผู้ชายเก่ง แกร่ง รักชาติ และจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์

พ่อครูว่า...ทหารต้องมีสภาพเช่นนี้ แต่ละประเทศก็ต้องมี แต่ใครจะมีความรู้ลึกซึ้งในคุณธรรมทั้งหลายอย่างที่ว่านี้ได้

เส้นทางของเรา ต่างรับราชการ ทำหน้าที่ต่อบ้านเมืองตามบทบาทของแต่ละคน

ถึงวันนี้ ฉันแก่และเกษียณอายุแล้ว ตื่นเช้ามา ได้สวดมนต์ ใส่บาตร กินข้าว ดูโทรทัศน์ พอสายๆ ก็ "งีบ" ตื่นขึ้นมา ก็เดินชมนกชมไม้ เช่นเดียวกับคนวัยเกษียณอื่นๆ แต่คุณสิ ยังมีความรับผิดชอบยิ่งใหญ่ต่อชาติบ้านเมือง เต็มอยู่บนบ่า ท่ามกลางพายุร้ายของโรคระบาด ที่ทำให้ผู้คนล้มตาย เศรษฐกิจพังพินาศไปทั่วโลก ไม่ต่างอะไรกับยุคสงคราม ในอดีตยามนี้ คนไทยเราเคยสามัคคี ร่วมมือกันฟันฝ่าอุปสรรค ทิ้งความขัดแย้ง วางปัญหาส่วนตัวไว้ก่อน และร่วมมือกัน เพื่อปัดเป่าปัญหาของชาติ

➡️ แต่วันนี้ หลายคนกลับชี้มือไปที่คุณ หยิบยกปัญหาของตัวเองขึ้นมา และเรียกร้องทุกสิ่งทุกอย่างจากคุณ โดยไม่คิดจะร่วมมือรับผิดชอบซึ่งยังไม่รวมถึงการก่นด่าอย่างไร้สติ ใช้คำหยาบสุดหยาบเพื่อทิ่มแทง บั่นทอนกำลังใจคุณ คนในวัยฉัน คงไม่มีอะไรที่จะมอบให้คุณ มากไปกว่าความนับถือในหัวใจที่แข็งแกร่งของคุณ และเชื่ออย่างยิ่งว่าคุณนั้น มี "เกียรติศักดิ์ทหารเสือ" ที่จะไม่ละทิ้งประเทศชาติ เพียงเพราะลมปาก เหล่าสวะปฏิกูล ที่พยายามเหยียบย่ำความรู้สึกของคุณ  เพราะคุณเป็นปราการด่านสุดท้าย ที่ยืนหยัดเพื่อคนไทย…

พ่อครูว่า...ใครมีหัวใจอย่างนี้บ้าง...ยกมือหมด นี่เพราะเรามีดวงตามองเห็นความจริง โดยไม่ใช่มีแว่นตาสีมาใส่ แต่เรามีความซื่อตรงดวงตามองเห็นความจริงอย่างไม่มีคติ อาตมาว่าอาตมาก็ใช้ภูมิปัญญาเท่าที่อาตมามี แล้วพูดไปตลอดเวลา ไม่ได้มาปะเหลาะอะไร พูดด้วยความจริงใจ อาตมาจำไม่ได้เลยว่าอาตมากับพลเอกประยุทธ์เคยเจอหน้ากันหรือเปล่า เผชิญกันตัวต่อตัว ดูเหมือนจะไม่เคยผ่านกันเลย ไม่เคยเผชิญหน้ากันเลย ต่างคนต่างทำงาน จะรู้จักกันก็คงจะผ่านสื่อสารสนเทศต่างๆ พลเอกประยุทธ์จะรู้จักอาตมาหรือไม่อาตมาไม่รู้ แต่อาตมารู้จักพลเอกประยุทธ์แน่นอน เป็นผู้นำประเทศทำงานอย่างหนัก อาตมาก็ทำงานตามประสาอาตมาตามหน้าที่อาตมา

อาตมาก็ให้กำลังใจจริงๆ แล้วก็ไม่ได้พูดเล่นลิ้นไม่ได้พูดปะเหลาะอะไรเลย แต่ไหนแต่ไรมา เพราะอาตมานับถือจริงๆว่า เป็นผู้บริหาร เป็นนายกรัฐมนตรีในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในโลก เป็นได้อย่างยอดเยี่ยม ในนายกประเทศไทย 29 คนผ่านมา อาตมาถือว่าให้เหรียญทองได้สำหรับพลเอกประยุทธ์ ต้องพูดเข้าสมัยโอลิมปิก นี่ไม่ใช่พูดเล่นแต่พูดจริง ก็ยังดูสุขภาพร่างกายแข็งแรง รักษาสุขภาพให้ดีๆนะ

 

_Warangpon Datchawat (วรางค์ภร เดชวัฒน์) : ตบะธรรม เป็นการกำหนดกรอบเพื่อพากเพียรลดละสักกายทิฐิ โดยควบคู่ไปกับอปัณณกปฏิปทา 3 ทำให้พ้นทุกข์ไปตามลำดับ โลกุตระธรรมที่เห็นชัดมีเฉพาะชาวอโศกนะคะ แม้จะเหนื่อยกายแต่ใจไม่ทุกข์คะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ทำจิตเศร้าลึกๆให้หายเศร้าหมอง

_ใช่เลย : กราบนมัสการค่ะ ทำไมจิตลึกๆของเรามันเศร้าหมองค่ะ

พ่อครูว่า...คุณจะเศร้าหมองหรือคุณจะแจ่มใส คุณเองเป็นคนยังจิตให้เป็นไปในอำนาจ หรือคุณทำจิตของคุณเอง อาการของความเศร้าหมองเป็นอย่างไร อาการของความเบิกบานแจ่มใสมันเป็นอย่างไร ซึ่งอันนี้เป็นเพียงแต่ใช้สมถะ ใช้ตบะ ใช้พลังงานเจโตสมถะ แบบเจโต เปลี่ยนแปลงเอา ก็ได้ ยังไม่ถึงขั้นวิปัสสนา ไม่ถึงขั้นเป็นปัญญาที่มีพลังงานอำนาจพิเศษ พลังงานความเฉลียวฉลาดธาตุรู้ พอมันรู้เท่านั้นมันก็เปลี่ยนแปลงไปเองเลย อันนี้ก็ไม่มีภาษาจะอธิบายคำนี้ มันเป็นปัญญาเป็นพลังงานที่สุดวิเศษ เป็นคุณวิเศษที่ยิ่งใหญ่

การละกิเลสอาสวะอนุสัยได้ด้วยปัญญาอันยิ่ง คำของพระพุทธเจ้าจบสุดท้ายอันนี้ มันเป็นจริงที่สุดยอด อาตมากำลังเขียนเรื่องปัญญา 8 อยู่ เขียนอย่างละเอียด ก็เห็นใจคนจะอ่านเหมือนกัน เขียนไปสักระดับหนึ่งก็คงจะพอแล้วเพราะมันใช้งานได้แล้ว ในยุคสมัยนี้ไม่ต้องใช้ความละเอียดละออขนาดเกินไป เอาความเฉลียวฉลาดแค่นี้ก็ไปรอดแล้ว ใกล้กลียุค คนมันเสื่อมไปเยอะแล้ว ไม่ต้องใช้คุณวิเศษชั้นเลิศยอดอะไรเท่าไหร่ ก็ใช้ได้แล้ว ก็ค่อยๆเป็นไปอาตมาก็พูดตามความจริงไปเรื่อยๆ ฟังตามไปเถอะ

คุณก็แค่คิดที่มันอยู่ลึกๆแล้วเศร้าหมองก็ทำให้มันตื่นขึ้นมา ให้มันเป็นจิตที่เบิกบานแจ่มใสขึ้นมา ให้มันเป็นจิตที่มีพลัง ใช้ปัญญาไม่ได้ก็ใช้แรงก่อน ก็ลองดู

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน พ่อครูพยายามยังขันธ์ให้ยืนยาวเพื่อศาสนา

_หมอกิจก้อง (จากดอยรายฯ) : ผมอ่านหนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ของพ่อท่าน สุดยอดจริงๆครับ พ่อท่านเขียนง่ายๆ หลากหลายเรื่อง ตีแผ่ แยกความหลงผิด กับ ความแท้ ทำความจริงให้กระจ่างใส เหมือนสารส้ม แค่ แกว่งๆน้ำที่ขุ่นก็ใสใช้ประโยชน์ได้ เช่น..หน้า 243 - 244 อ่านแค่แผ่นเดียว ก็เข้าใจได้ทะลุ " ศาสนาที่มีพระเจ้า " จบข่าวเลยครับท่าน น่าอัศจรรย์มาก

   ผมไปเจอคลิปที่มีลูกศิษย์หลวงตา มหาบัว ออกมาตอบโต้พ่อท่าน น่าสงสารครับ  ฟังแล้วก็กราบพ่อท่าน  สมณะ และ  สิกขมาตุ ได้สนิทใจสบายใจมากขึ้นไปอีก

  กราบนมัสการครับ 

พ่อครูว่า... ก็ขออภัย ที่จะพูดต่อไปนี้ไม่ใช่ซ้ำเติม แต่อยากทำให้ชัดเจนกระจ่างเพิ่มขึ้นอีก ขอย้ำอย่างจริงใจที่สุดเลยไม่ได้ข่มเบ่ง ไม่ได้ไปกดไม่ได้ดูถูกดูแคลนอะไร แต่สงสารจริงๆเลย ผู้ที่หลับตาปฏิบัติ ในสายหลับตา อย่างเช่นสายหลวงตามหาบัวสายอาจารย์มั่นหรือแม้แต่สายธัมมชโยก็ตาม มันจะมีนัยยะสำคัญต่างกัน สายธัมมชโยเป็นอาภัสรา แต่สายหลวงตาบัว อ.มั่นเป็นสายสุภกิณหะ มันคนละอย่าง

ศึกษาให้ดีๆแล้วจะเข้าใจ อาตมาเอาสิ่งเหล่านี้มาขยายความสาธยายแจกแจงให้เห็นความต่าง ลิงคะ ต่างในนัยสำคัญของมัน ให้รู้สัจธรรมพวกนี้ ไม่ใช่ไปข่มธัมมชโยไม่ได้ไปข่มมหาบัว อาตมาไม่จำเป็นต้องไปข่มใคร คนข่มอาตมาด้วยซ้ำ อาตมายอมให้คนข่ม เขาข่มก็ข่มไป อาตมาไม่มีจิตที่อยากจะไปข่มใครเลย อาตมาเองชาตินี้แสดงลักษณะเป็นผู้แพ้ อาตมาชาตินี้เกิดมาปางนี้ ยืนอยู่ในฐานะเป็นผู้แพ้มาตลอด ไม่เคยคิดจะไปเป็นผู้ชนะ มีคนยุอาตมา เพลงผู้แพ้ดังนะ แต่งแล้วทำไมไม่แต่งเพลงผู้ชนะ อาตมาก็ว่าไม่เคยเห็นจะสนใจความชนะจะไปชนะอะไรเลย เป็นแต่เพียงอาตมาทำความจริงให้กระจ่างให้คนได้รับ ใครรับได้ก็คือของเขา ทำให้ได้เท่านั้นแหละ จะทำได้มากเท่าไหร่ก็พยายามอุตสาหะเต็มที่ไม่ได้แข่งใคร จะทำได้เหนือกว่าเด่นกว่าใครก็ไม่เคยคิดจะไปแข่งเด่นแช่งดีอะไรเลยกับใคร ไม่ใช่พูดเอาดีเข้าตัว แต่มันเป็นความจริงใจเห็นจริงอย่างนั้น ก็ขอให้ทุกๆคนศึกษาให้ดีเถอะ

อาตมาทุกวันนี้เขาบอกตรงๆ อาตมาพยายาม ยังขันธ์ ให้มันต่อไปได้ เพราะมันเมื่อยจริงๆ อาตมาเองต่ออายุใครมาได้ 1 นักษัตร จาก 72 มาเป็น 84 ถ้าไปถึง 96 ก็เป็น 2 นักษัตร ก็อยากจะพิสูจน์พลังอิทธิบาท สัมประสิทธิ์ของธรรมะพระพุทธเจ้า อาตมาไม่ได้ใช้อย่างอื่น ไม่ได้ใช้ยาอย่างที่จินซีฮ่องเต้คิดค้น หรือยาอายุวัฒนะของใครหรอก แต่ใช้สูตรของพระพุทธเจ้านี่แหละ ไม่ว่าจะเป็น 8 อ. หรือ  E=C(MC2 + A) 

อาตมาทำด้วยความจริงใจพยายามอยู่ทั้งรูปและนาม ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ตอนนี้น้ำหนักก็ลดลงไปอีกเหลือ 46 แล้ว ก็พยายามให้มันเป็นไป ทุกคนก็ช่วยกันเต็มที่ อาตมาก็ไม่เท่าไหร่ คนอื่นจะช่วยก็อนุโลมสนองต่อเขาบ้าง บางอย่างก็ไม่ต้อง ก็พยายามอยู่

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

พ่อครูว่า... มาเข้าสู่อัมพัฏฐสูตร

เล่าเรื่อง ความเป็นนักบวชกับความเป็นฆราวาสที่เขายึดมั่นถือมั่นกัน แต่มันเป็นสิริมหามายา อย่างเช่น อัมพัฏฐมานพเป็นพราหมณ์มหาศาล ในยุคนั้นใช้ศัพท์คำว่า พราหมณ์มหาศาล ในยุคนี้ในเมืองไทยก็ใช้คำว่า พระมหาศาล มีในนัยยะความอันเดียวกัน แต่ พราหมณ์มหาศาลในยุคพระพุทธเจ้านั้น แย่กว่าพระมหาศาลในยุคนี้อยู่ แย่กว่ามุมหนึ่ง แต่พระมหาศาลก็แย่อีกมุมหนึ่ง คนละมิติที่แย่กว่ากัน

เช่น พระมหาศาล ทุกวันนี้มีเดรัจฉานวิชชาเยอะมาก ในยุคพระพุทธเจ้าเดรัจฉานวิชชาไม่มากขนาดนั้น ไสยศาสตร์ก็ไม่มากขนาดนั้น ในวงการของธรรมะนะ แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธในเมืองไทยเต็มไปหมดทั้งไสยศาสตร์และเดรัจฉาน เห็นแล้วสุดสงสารน่าสงสารน่าเวทนาจริงๆก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาก็ยังไม่ได้ถอดใจก็พยายามช่วยให้เกิดความรู้ให้เกิดความเข้าใจ ด้วยสื่อสารสนเทศอธิบายสาธยายกันนี่ อาตมาไม่มีทางหยุด ไม่มีประตูอื่นเลยที่จะไปช่วยได้ ก็ช่วยกันแสดงความจริงเอาหลักฐานความจริงอ้างอิงยืนยันตามพระไตรปิฎกที่เราเชื่อถือร่วมกัน ก็เอามายืนยันกันไป

จนกระทั่งจุดสำคัญที่พระพุทธเจ้าบอกว่าตระกูลคุณก็แพ้ ไล่กันตามตระกูล DNA   อัมพัฏฐะก็แพ้ เมื่อมาชี้ทางคุณธรรมแท้ อัมพัฏฐะก็ไม่ได้มีจรณะสมบัติ วิชชาสมบัติ

 

จุลศีล คือศีลหลักที่จะเอาตัวความหมายแต่ละข้อมาปฏิบัติ พระพุทธเจ้าประมวลไว้แล้ว 26 อย่าง เอามาปฏิบัติแล้วจะครบ ทั้งในลักษณะของ 1.จิตนิยาม 2. พีชนิยาม 3. อุตุนิยาม  มาเรียนรู้และเอาปฏิบัติกรรม แล้วให้ทรงไว้ซึ่งธรรมะ ให้เกิดสภาพที่เป็นที่ได้ที่บรรลุ อาศัยไปเรื่อยๆ อาศัยธรรมะที่บรรลุได้แล้วก็อาศัยได้ โดยการกระทำ โดยกรรม โดยธรรมะ เป็นคู่สำคัญคือกรรมกับธรรมะ

ที่ทำให้เกิดเป็นจิตนิยาม แล้วเราจะต้องเรียนรู้ธาตุ ในความเป็นสัตว์ จิตธาตุทั้งหลายแหล่ แยกแยะแล้วจัดการ อะไรที่เป็นจิตธาตุที่เป็นอกุศลจิต ก็กำจัด อะไรที่เป็นกุศลจิตก็รักษา ส่งเสริมให้ยั่งยืนเป็นฐานอาศัยเป็นธาตุ พลังงานจิตที่อาศัย จะอาศัยในระดับ พีชนิยามก็ได้ อุตุนิยามก็อาศัย แต่อาศัยอุตุไม่ใช่อาศัยอย่างชีวะ แต่อาศัยส่วนที่จะปรุงแต่งอยู่ในองค์ 3 คือ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม 

อุตุนิยาม เป็นพลังงานหรือสสาร หรือในอุตุเป็นธาตุสองที่แยกพลังงานบวกลบได้แล้วอาศัยใช้ในชีวิตของเรา จนกว่าเราจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน

อาศัย จุลศีล แต่ละข้อ ไปก็จะบรรลุธรรมไปตามลำดับ ที่เป็น จรณะ 15 วิชชา 8 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้กับอัมพัฏฐมานพ ว่า เนื้อแท้ของศาสนาคือวิชชาจะระณะสัมปันโน

วิชชาจรณะ คือพุทธคุณ แก่นสารสาระของศาสนาคือ วิชชาจรณะ

ในพุทธคุณ 9 ก็มีจรณะ วิชชาเป็นแก่นสารของสัจธรรม นอกนั้นเป็นเครื่องอลังการที่ชมเชยพระพุทธเจ้าทั้งนั้น พุทธคุณ​ 9 

1.   อรหํ เป็นพระอรหันต์

2.   สมฺมาสมฺพุทโธ ตรัสรู้เองโดยชอบ

3.   วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ

4.   สุคโต เสด็จไปดีแล้ว

5.   โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก

6.   อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ มีความรู้เหนือ และเป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ไม่มีใครยิ่งกว่า

7.   สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

8.   พุทฺโธ เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว

9.   ภควา ติ เป็นความจบในความเจริญ

พ่อครูว่า...จุลศีล หลายคนปฏิบัติไม่ต้องถึง 26 ข้อก็บรรลุธรรมได้ แค่ 3 ข้อก็บรรลุธรรมได้แล้ว ถ้าขยายความไปในแต่ละข้อ

ส่วนมัชฌิมศีล เป็นศีลที่ขยายจากจุลศีล เช่น ไม่พรากพืชคาม ภูตคาม

ภูตคามคือ พลังงานที่อยู่กับดินน้ำไฟลม

มัชฌิมศีล

๑. ภิกษุเว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการพรากพืชคามและภูตคาม เห็นปานนี้คือพืชเกิดแต่เหง้า พืชเกิดแต่ลำต้น พืชเกิดแต่ผล พืชเกิดแต่ยอด พืชเกิดแต่เมล็ด เป็นที่ครบห้าแม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

พ่อครูว่า... รับประทานอาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาบริสุทธิ์แล้ว พูดภาษาง่ายๆก็คือให้อาหารกินแล้ว ยังประกอบการ พรากพืชคาม ภูตคาม เห็นปานนี้ ด้วยการพรากพืชเพื่อบำเรอตน กับพรากพืชเพื่อเผื่อมวลชนคนอื่นไม่ใช่เพื่อตัวเอง อันนี้เป็นนัยยะสำคัญ ไม่ใช่แก้ตัวให้ตัวเอง แต่ควรจะถือเป็นวินัยสำคัญ ไม่จำเป็นไม่สมควรก็อย่าไปพรากพืช ถ้าจำเป็นเห็นว่ามันสมควรที่ต้องพราก ก็พราก โดยมีนัยสำคัญที่อธิบายซ้อนไปแล้ว

๒. ภิกษุเว้นขาดจากการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้ เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้ปานนี้คือ สะสมข้าว สะสมน้ำ สะสมผ้า สะสมยาน สะสมที่นอน สะสมเครื่องประเทืองผิวสะสมของหอม สะสมอามิส แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

๓. ภิกษุเว้นขาดจากการดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล เห็นปานนี้ คือ การฟ้อน การขับร้อง การประโคมมหรสพ มีการรำเป็นต้น การเล่านิยาย การเล่นปรบมือ การเล่นปลุกผี การเล่นตีกลอง ฉากภาพบ้านเมืองที่สวยงาม การเล่นของคนจัณฑาลการเล่นไม้สูง การเล่นหน้าศพ ชนช้าง ชนม้า ชนกระบือ ชนโค ชนแพะ ชนแกะ ชนไก่รบนกกระทา รำกระบี่กระบอง มวยชก มวยปล้ำ การรบ การตรวจพล การจัดกระบวนทัพกองทัพ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

พ่อครูว่า... ที่จริงมวยชกมวยปล้ำ อาตมาชกพันชิ่งบอล บางทีมีภาพหลุด อาตมาไม่ได้ชกเพื่อจะไปขึ้นเวทีชกกับใครนะ แต่ทำเพื่อออกกำลังกาย การจะมีเจตนาอย่างไรก็ต้องมีนัยสำคัญที่เจตนา ไม่ใช่จะเอาชนะคะคานตีรันฟันแทงกับใคร ไม่ได้ไปแข่งขันโอลิมปิก ไม่มี แต่ทำเพื่อออกกำลังกาย เป็นต้น อาตมาพยายามยังขันธ์ก็หาวิธีเสริมช่วยมันไป พูดนี้ไม่ใช่แก้ตัวให้ตัวเอง แต่พูดให้เข้าใจในสัจธรรมที่ละเอียดลออ คนที่ไม่รู้ พาซื่อ บางทีก็เอามาตีมาแย้ง แต่อาตมารู้นัยละเอียดพวกนี้

ส่วนในศีล ก็คือห้ามทำหน้าที่อย่างฆราวาส แต่อาตมาเดินดูพวกเรา ไม่ได้ไปตรวจทัพ แต่เดินดูความเจริญความเป็นไปของพวกเรา มันมีความซ้อนในรายละเอียด การกระทำเช่นเดียวกันแต่มันมีเจตนารมณ์ต่างกัน พวกนี้มันจะต้องศึกษาให้ดีๆ

มหาศีลอีก 7 ข้อ เป็นรายละเอียด อ่านบางข้อ (1,6,7)

มหาศีล

๑. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้าทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้านดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองูเป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

พ่อครูว่า... ดูในทีวีมีช่องที่ออกเดรัจฉานวิชชาเยอะแยะ มีอยู่ช่องหนึ่งเป็นฤาษีเณรหรืออย่างไร

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

สมณะฟ้าไท...

พ่อครูว่า... การใช้รำ แกลบ หรืออื่นๆ ทำให้เกิดควัน สื่อสารต่อพระเจ้า หรือวิญญาณ มันเป็นลักษณะของเทวนิยม

หยิบมาเป็นตัวอย่างเท่านั้น ในยุคนี้ยิ่งปรุงแต่งเยอะกว่าในยุคพระพุทธเจ้าเยอะ มันน่าสงสารศาสนาพุทธ

๖. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือให้ฤกษ์อาวาหมงคล ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน ดูฤกษ์หย่าร้าง ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์ ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็งร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียง เป็นหมอทรงกระจก เป็นหมอทรงหญิงสาวเป็นหมอทรงเจ้าบวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญแม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

พ่อครูว่า... การเข้าทรงนี้เป็นเรื่องหรอกที่จริงไม่มีอะไรมาเข้าส่งหรอก ที่จริงตัวเองสะกดจิตตัวเองแล้วใช้สัญญาทำงานในขณะที่ตัวเองไม่มีสติ ให้สัญญาทำงานเป็นสัญชาตญาณดิบทำงานเต็มที่ เพราะฉะนั้นบางคนมีอำนาจฤทธิ์เดชหลายๆอย่าง มีความรู้ลึก เป็นทิพย์อะไรหลายอย่าง จึงแสดงออกได้ในขณะที่เข้าส่ง อาตมาก็เล่นมานะเข้าทรงอยู่ 8 ปี เป็นเรื่องมีฤทธิ์มีเดชอะไรก็เป็นเพียงชั่วคราว มันก็บรรเทาอะไรได้บ้าง แต่มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นวิทยาศาสตร์ ที่ทำได้แล้วก็ถาวรนิรันดรอย่างนี้เป็นต้น ไอ้นั่นเป็นเรื่องมายา ลำลองชั่วคราวเปลี่ยนไปมันไม่เที่ยงไม่ได้เรื่อง

๗. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตาทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

 

พ่อครูว่า... หากฆราวาสไม่ทำเดรัจฉานวิชชานี้ก็เป็นการส่งเสริมจะทำ แต่ว่าภิกษุนี้ ต้องเรียนรู้ปฏิบัติตามนี้ แต่เขาก็ละเมิดหมดเพราะไม่ได้เรียน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

ผู้ที่มีความรู้ทางหมอพยาบาลเมื่อมาบวช บางทีถึงกาละจำเป็น ปัจจุบันทันด่วนที่ต้องอาศัยเบื้องต้นในขณะจำเป็นต้องทำ ก็มาว่า ว่าผิดศีล คือไม่รู้กาละเทศะ ไม่รู้อะไรผิดถูก ถ้าจะขี้ตู่กันก็หาเรื่องได้ แต่เขาไม่ได้ทำเป็นอาชีพ อย่างเป็นคุณหมอมาบวชแล้วก็ไม่ได้ทำอาชีพเป็นหมอ แต่แน่นอนก็ทำอะไรได้อยู่ในนักบวช ถ้าเป็นฆราวาสยังไม่ได้ถือมหาศีล ไปว่าเขาไม่ได้ แต่ก็ควรจะมีศีลของพระพุทธเจ้า ฆราวาสก็ควรศึกษา อย่าไปส่งเสริมให้มีก็แล้วกันมันเป็นเดรัจฉานวิชชา เป็นความรู้ทางเดรัจฉาน มันน่ายกย่องอะไรกันนักหนา มันมีผลดีเหมือนกัน แต่ไม่ต้องทำหรอก เรามีทางอื่นเลือก เลี่ยงได้

ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้ ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะศีลสังวรนั้น เปรียบเหมือนกษัตริย์ผู้ได้มุรธาภิเษกกำจัดราชศัตรูได้แล้วย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะราชศัตรูนั้น ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุก็ฉันนั้นสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้แล้ว ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆเพราะศีลสังวรนั้น ภิกษุสมบูรณ์ด้วยอริยศีลขันธ์นี้ ย่อมได้เสวยสุขอันปราศจากโทษในภายในดูกรอัมพัฏฐะ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล

จบมหาศีล.

พ่อครูว่า... สมัย พระพุทธเจ้า เป็น พราหมณ์ ไปเป็นกษัตริย์ไม่ได้ แต่เป็นกษัตริย์สามารถไปเป็นพราหมณ์ได้ เช่น ราชวงค์ต่างๆของจีน ราชวงศ์ฉิน ราชวงศ์เจ้า ข้อสำคัญคือเมื่อเหมาะสมจะเป็นกษัตริย์กอบกู้ประเทศได้จริงๆ แล้วก็สร้างวงศ์กษัตริย์ ก็จะสืบทอดมาด้วยดีมา อาจจะมีการบกพร่องบ้าง แต่โดยค่าเฉลี่ยแล้วในวงศ์กษัตริย์นั้น มีดี 90% 80% 70% ก็ดีแล้ว จะเอา 100% หมดมันมีที่ไหนในโลก เพราะฉะนั้นกษัตริย์บางองค์ก็ต่ำกว่า 50% ในวงนั้น ก็ต้องมีบ้าง ได้ขนาดนี้ก็ดีแล้วนี่

แล้วกษัตริย์แต่ละองค์ท่านก็พัฒนาตัวเองขึ้นไป ถ้าหากท่านพัฒนาตัวเองขึ้นไปก็ใช้ได้แล้วนี่ ถ้าท่านไม่รู้สึกพระองค์เลย ปล่อยให้เสื่อมลงไปอีก ก็ค่อยว่ากันหน่อย แต่ท่านก็มีพระสำนึกแล้ว ทรงพัฒนาขึ้นจากที่เคยผิดพลาดก็แก้ไขปรับปรุงทำให้เจริญ ก็เป็นกษัตริย์ที่น่านับถือบูชาเคารพแล้ว

คือ ลักษณะพวกนี้เขาไม่เข้าใจ อย่างที่ออกมาประท้วงจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ เขาบอกว่าจะไม่ได้ล้มแต่ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ให้เป็นเหมือนสัญลักษณ์เท่านั้น แล้วเขาก็จะได้มีอำนาจเต็มเลยในฆราวาส ออกกฎหมายเลยอย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นความต้องการของเขา ซึ่งจะจบด็อกเตอร์ จบวิชารัฐศาสตร์มาจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นประชาธิปไตยขาเดียว ไม่เข้าใจรายละเอียดถึงความเป็นกษัตริย์ ว่า ประชาธิปไตยต้องมี 2 ขา ต้องมีจิตวิญญาณ คือสถาบันกษัตริย์ กับประชาชน อะไรอย่างนี้เป็นต้น

รายละเอียดพวกนี้อาตมาไม่ได้เสแสร้งแกล้งพูด อาตมา ขอพูดเถอะ ผ่านการเป็นกษัตริย์มาก็ไม่รู้กี่ปางแล้ว ยุคใกล้ พระพุทธเจ้า ก็เป็นมาแล้ว ไม่ได้ห่างเท่าไหร่ ก็ทำมาจนในประเทศไทยก็ทำมา แล้วประเทศไทยนี่แหละมีรากฐานของประชาธิปไตยของศาสนาพุทธ รากฐานของประชาธิปไตยที่เป็นโลกุตระ เหนือชั้นกว่าประเทศใดๆอีก เยอะ ขออภัยแม้แต่ประเทศอังกฤษ เพราะอังกฤษก็ไม่ได้เป็นศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลัก ยังเป็นศาสนาเทวนิยมเป็นหลักในอังกฤษ เพราะฉะนั้นจะมาเหมือนศาสนา อเทวนิยมหรือพุทธไม่ได้หรอก เป็นกษัตริย์ก็จะมีความรู้โลกุตระต่างกันกับโลกียะ นี้เป็นนัยยะสำคัญที่อาตมาพูดทิ้งไว้

นักเศรษฐศาสตร์ควรศึกษาให้ดี อาตมาพูดหลายครั้งแล้วว่า คนยังเข้าใจประชาธิปไตยอันเป็นโลกุตระที่เป็นของพระพุทธเจ้ามา ตั้งแต่ท่านอยู่ในท่ามกลางสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทั่วโลก เป็นสังคมทาสด้วยในยุคของท่าน ท่านก็นำของท่านมา มีธรรมนูญของท่าน นำพาของท่านทำได้อยู่ในฐานะพวกเป็นนักบวชทั้งนั้น ในฆราวาสยังทำไม่ได้ ที่เป็นข้อจำกัดที่อาตมาอธิบายไว้แล้ว ก็อาจจะเข้าใจได้ยากสำหรับผู้ที่มีความรู้ไม่รอบ แต่มันคนละบริบทกันคนละกาละ เทศะ ฐานะ

เรื่องการเมืองรัฐศาสตร์ก็ดี เรื่องของธรรมะแท้ๆก็ดี อาตมาก็ยังอยากจะนำพา ให้สังคมมนุษยชาติ ได้มีความรู้แบบโลกุตระของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์หรือ ศาสตร์ย่อยๆอีก แม้แต่นิติศาสตร์ ศาสตร์ทางกสิกรรมหรือว่าศาสตร์ทางเภสัชศาสตร์ อาตมาไม่ไปยุ่งเท่าไหร่หรอก ปล่อยให้เป็นเรื่องของฆราวาสเต็มที่ ซึ่งมีนัยรายละเอียดซับซ้อนอยู่ในนั้น ในพฤติกรรมมนุษย์

มนุษย์ควรทำหน้าที่ ก็ควรต้องทำหน้าที่ของตนอย่างเหมาะสมที่สุด ในขณะนี้ชาตินี้ปางนี้ อาตมาพยายามทำให้สังคมปลูกฝังโลกุตรธรรมขึ้นมาอีก เพราะมันได้เสื่อมไปเหมือนกลองอานกะในอาณิสูตร พระพุทธเจ้าได้พยากรณ์ไว้ตั้งแต่พระองค์ทรงพระชนม์ชีพ อาตมาก็ยืนยันใน อัมพัฏฐสูตร พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ความเสื่อมจะเกิดขึ้น

ความเสื่อมที่ว่า รากฐานความเสื่อม 4 ประการที่เกิดขึ้น วันนี้ยังไม่ถึง ฝากไว้ก่อนเถอะโอฬาร

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ


วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2564

640802_รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 3

 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 3
วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม  2564

ณ บวรราชธานีอโศก











ชมวิดีโอได้ที่นี่
ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่นี่


พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

อ่านบทกวีนัยปก เราคิดอะไร ตั้งแต่ มีพ.ศ. 2551 อ่านทวนแล้วก็รู้สึกว่ายิ่งใหญ่ลึกซึ้งมาก แต่เด็กๆที่มาฟังจะฟังไหวไหม มันซับซ้อนหลายชั้นลึกซึ้ง แต่เอา sms ก่อน

 

มุมมองของพ่อครูต่อการบริหารประเทศของนายกฯประยุทธ์

_Kit (กฤษณ์) Jsk : "ฝากถึงพ่อครูน่ะครับ ผมเคยเป็นนักเรียนของท่านมาก่อน ท่านลองดูโดยรวมน่ะครับ ว่าประเทศชาติตอนนี้เป็นยังไง เลิกมโนเถอะครับ ."

พ่อครูว่า... คุณคนนี้ก็มองกันคนละอย่างกับอาตมา ขณะนี้มีคนไล่พลเอกประยุทธ์ให้ออกจากตำแหน่งนายกหยุดบริหารได้แล้ว ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ ต้องมีคนเห็น 2 สภาพ สภาพหนึ่งเป็นความจริงที่มีหนึ่งเดียว กลับอีกสภาพหนึ่งคนเห็นแตกต่าง มันเป็นธรรมดาธรรมชาติมาแต่ไหน คนที่เห็นแตกต่างเขาก็จะแย้งกันไปแย้งกันมา โดยเฉพาะแย้งอยู่กับสัจจะมีหนึ่งเดียวนี่แหละ

เพราะสัจจะมีหนึ่งเดียว ผู้ที่เห็นแย้งกับสัจจะ อย่างไรอย่างไรก็เป็น อสัจจะ

คนที่ไม่แน่จริงว่าบรรลุเป็นสัจจะหนึ่งเดียวด้วยกัน ก็จะเถียงกับเขาอยู่นั่นแหละ เถียงกันไปเถียงกันมา แต่คนที่รู้แล้วว่าสัจจะมีหนึ่งเดียว ก็รู้แล้วว่าคนนั้นเขาเห็นแย้ง ก็จะอธิบายให้เขาฟังสักพอสมควรแล้วก็จะไม่เถียงต่อ ก็รู้แล้วว่าเขาเห็นแย้ง ผู้ที่มีสัจจะเป็นหนึ่งเดียวนี้จะเป็นสัจจะที่หนึ่งเดียวจริงๆคือผู้บรรลุอรหันต์แล้วเป็นต้น ผู้นี้จะไม่ประหลาด จะไม่เปลี่ยนแปลง จะไม่คลอนแคลน ไม่ลังเลสงสัยอะไรอีกเลย นอกจากผู้นี้ยังไม่พ้นวิจิกิจฉา ยังไม่พ้นสุดยอดของอนุสัยสุดท้าย ยังมีตัวลังเล ยังไม่สมบูรณ์จริงๆเต็มที่ ก็ต้องหวั่นไหว จะจริงหรือไม่จริง หรือว่าเขาแย้งถูก มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ

เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นสัจจะมีหนึ่งเดียวไม่เป็น 2  เอกังหิสัจจัง น ทุติยมถิ จะไม่เป็น 2เด็ดขาดเลย มันจึงไม่แปลกที่คนจะเห็นแย้ง แล้วเราก็จะเห็นใจเขาเพราะเขายังไม่จบ ถ้าคุณจบเป็นอรหัตผลอย่างสมบูรณ์แบบและจริงๆ คุณจะไม่แย้ง

ผู้ที่สามารถรู้ความจริงก็จะรู้ความจริงตั้งแต่จุดเล็กที่สุด เป็นสุญญาณู จนกระทั่งขยายเป็น eternity ก็จะรู้ว่า 0 = ล้าน โดยที่เข้าใจว่ามุมเหลี่ยมมันแตกต่างกันตรงไหน

ยกตัวอย่างว่า คนมองว่าพลเอกประยุทธ์ บริหารไม่เข้าตาเขา เพราะเขามีความรู้อย่างเขา แค่เขา อาตมาก็เป็นคนๆหนึ่งในยุคสมัยนี้ที่พลเอกประยุทธ์บริหาร ก็เห็นมาตลอดตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งถึงตอนนี้ 7 ปีแล้ว ก็เห็นมาชัดเจน แล้วอาตมาก็เห็นนายกฯอื่นๆมา ตั้งแต่จอมพล ป. อาตมาเกิด 2477 ก็เห็นอยู่ก็พอจะเทียบเคียงว่าความสามารถความรู้รอบของนักบริหาร ผ่านนายกมา 29 คน บริหารมา

 

เพราะฉะนั้นความรู้ของอาตมา กับความรู้ของคนอื่นอย่างเช่นคุณกฤษณ์ ที่กำลังพูดถึงนี้ที่เขียนมาก็ขอบคุณ ดี ท้วงมาด้วยความเป็นใจก็ดีแล้ว อาตมามีสิทธิ์อธิบายตามภูมิอาตมา

อาตมาประมวลแล้วว่านายกคนนี้บริหารได้ดี โดยเฉพาะมีเรื่อง covid อาตมาก็เห็นมุมของโควิดนี้เหมือนกัน และองค์ประกอบการบริหารก็ไม่ใช่เรื่องโควิดอย่างเดียว แม้แต่เรื่องมีพวกมาประท้วง งั้นก็เป็นธรรมชาติของประชาธิปไตยก็มีการค้านแย้ง

แต่การแย้งอย่างนั้นรุนแรงประท้วงกันจนกระทั่งเกิดการฆ่ากันตายอย่างต่างประเทศหรือไม่ แล้วมันเหมือนกันไหมกับประเทศอื่น เดี๋ยวนี้ประเทศอื่นก็ยังมีซัดกันอยู่ คุณดูรายละเอียดกับประเทศอื่น แล้วขึ้นอยู่กับองค์ประกอบความคิดของมนุษย์ด้วย ซึ่งความคิดของคนสมัยนี้ก็แตกต่างจากสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปไกล หรือแม้จะเริ่มมีคอมมิวนิสต์มีประชาธิปไตยขึ้นมาก็ต่างกันไกลตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ตอนนี้มีสิทธิมนุษยชนเต็มที่เขาก็ออกฤทธิ์เต็มที่ เขาก็รับมือคุณอย่างงามที่สุด

อันความกรุณาปราณีจะมีใครบังคับก็หาไม่หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจจากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน

เป็นอย่างนั้นจริงๆเลย งามจริงๆ ประชาธิปไตย ไทย ใครสามารถเข้าใจความหมายลึกซึ้งที่อาตมาพูดถึงพฤตินัย การต่อสู้ระหว่างธรรมะกับอธรรมหรือว่าระหว่างอนาธิปไตยกับ ประชาธิปไตย

จะเอาทางปริมาณก็ตามหรือทางคุณภาพก็ตาม นายกประยุทธ์ก็ยังเหนือชั้นอยู่ทั้ง 2 นัยยะ เอามวลปริมาณบุคคลที่ออกมาตอนนี้ก็ยังเป็นกลุ่มน้อย คุณธรรมองค์รวมของสัจธรรมองค์รวมทั้งหมด พลเอกประยุทธ์ก็ยังยืนหยัดอยู่ในมุมที่ถูกต้อง

สู่แดนธรรม... พ่อท่านให้มองกว้างๆ มองให้ครบองค์ประกอบ มองแบบปัญญาปาสาโธ มองอย่างกรรมการ หรือผู้ชม อย่างเป็นกลาง

พ่อครูว่า... มองอย่างเป็นกลางไม่มีอคติ ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกความเห็นของคุณกฤษ ซึ่งไม่ใช่มีคนเดียว ความคิดแบบนี้ก็มีเยอะแยะ แม้แต่ชาวอโศกเอง แม้แต่ศิษย์เก่าก็ยังมีเยอะแยะ มันเป็นธรรมชาติของความเห็นที่ต่างมันไม่ได้แปลกอะไร

แต่อาตมาก็มองออกด้วยความจริงใจเท่าที่ภูมิอาตมามีว่ายังดี พลเอกประยุทธ์นี้ยังทำได้เหมาะสมลงตัว อย่างเหนือชั้นกว่าทั้งคุณภาพและปริมาณ

สู่แดนธรรม... หากไม่ไหวพ่อท่านก็คงจะพาเราออกไป

พ่อครูว่า... ที่เราออกไป ไม่ได้ไปแสดงความยิ่งใหญ่ แต่มันถึงขีดว่าจะต้องไปแสดงความจริง แล้วความจริงที่อาตมาต้องการก็คือไม่ได้เน้นเรื่องใหญ่โตอะไร แต่จะออกไปแสดงความจริงต่างๆ ไปไขความ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ

หากอาตมาจะต้องออกก็เพื่อไปยืนยันความจริง เราจะเอาความจริงไขออกมาให้คนอื่นได้รู้ทั้งประชากรที่เขาแย้งจริงหรือประชากรชาวโลก ซึ่งเขาก็ต้องเอาความจริงออกมาแสดงออก

เขาจะได้รู้ว่าสัจจะเป็นอย่างนี้ ความเป็นประชาธิปไตยจริงๆ ที่เป็นเรื่องถูกต้องของโลกุตระ ต้องใช้คำว่าโลกุตระเพราะว่าคำว่าโลกุตระเก็บละเอียดทุกเม็ด บวกลบคูณหารได้คำตอบเป็นผลลัพธ์อย่างนี้ ซึ่งมันไม่ใช่ความรู้ที่ง่ายๆที่จะบอกว่าประชาธิปไตยอันไม่ยึดมั่นถือมั่น
          ไม่ว่าจะเป็นการยึดมั่นถือมั่นในตำราทฤษฎีและไม่ยึดมั่นถือมั่นในความไม่เที่ยงเป็นความเที่ยง เหมือนว่าจะยึดมั่นถือมั่นความไม่เที่ยงใดๆ ขณะนี้วินาทีนี้มันก็เดินไปเรื่อยๆใช่ไหม กาละไม่เคยหยุดเดิน เห็นความยิ่งใหญ่ของความไม่เที่ยงขนาดไหน อาตมาจึงเห็นใจคนที่มองไม่ทะลุรายละเอียดพวกนี้เพราะเขายังยึดถือความเที่ยงของเขาที่เขาเก็บรายละเอียดยังไม่หมด แล้วเขาก็ยืนยันว่าอย่างนี้เป็นอย่างนี้ ส่วนอาตมาว่าอาตมาเห็นความละเอียดละออของสัจธรรม ซึ่งอาตมาไม่เก่งพอจะหยิบเอาความรู้ที่มันเป็นนามธรรม ที่เป็นอรูปมาเป็นสมมุติธรรม รูปธรรมที่จะสื่อให้ฟัง

แต่ขอยืนยันว่า บอกไว้ก่อนเลยว่าถ้าถึงคราวจริง อาตมายังจะนำทัพออกไปอีกเหมือนกัน รอดูถ้าถึงขีดเขตที่สมควรจริงๆ นอกจาก อาตมาได้ความลึกซึ้ง ได้ความลับที่ไขออกมาว่า ที่จริงพลเอกประยุทธ์นี้ซ่อนพรางความผิดพลาด ซ่อนบังความไม่ดีไม่งามไว้จริงๆ มีปริมาณมากพอ  ซึ่งไปตรวจแล้วพลเอกประยุทธ์ข้อบกพร่องนั้นไม่มี จะมีข้อความบกพร่องส่วนตัวที่จะกลบเกลื่อนความไม่สมบูรณ์ที่พลเอกประยุทธ์ทำงานอยู่อย่างเห็นใจเลยอย่างเข้าใจเลย ซึ่งเขาบอกว่ายังล้มล้างไม่ได้ ยังอีกไกลด้วย ซึ่งไม่ใช่ไม่มีความบกพร่อง แต่ความบกพร่องนั้นน้อยมาก เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับ กาละ ปัจจุบันชาตินี้ ขณะนี้ status quo ขณะนี้

ซึ่งอาตมาก็มองอย่างภูมิปัญญาของอาตมานะ เพราะอาตมาเอง ขออภัยที่ต้องพูดอีกนิดนึง ไม่ใช่อาตมาไม่เคยบริหารประเทศ ในชาติที่ผ่านๆมา ชาติก่อนๆ อาตมาเคยเป็นพระเจ้าแผ่นดินมาแล้ว เคยบริหารอย่างพลเอกประยุทธ์มาแล้ว ขออภัยที่พูดในสิ่งที่ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันให้พวกคุณ แต่มันก็มีเหมือนกันแต่ยังไม่อยากพูดยืนยันชื่อคนในประวัติศาสตร์เราทำอะไรไว้มากมาย แต่คนที่ทำตามอยู่ก็พอรู้พอเข้าใจ

เพราะมันมีร่องรอยของความเหมือน ของความซ้ำ เอามาใช้ได้ซึ่งมันมีอยู่ ติดตามดีๆและพิจารณาดีๆเถอะ แม้แต่ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยนี้ก็ทบทวนให้ดีเถอะ

สรุปแล้วมันยังไม่จบเรื่องกรรมกับกาละ กรรมที่พลเอกประยุทธ์ประพฤติอยู่ กับกาละจะต่อเนื่องไป ก็ยังสรุปไม่ได้ว่า จะเป็นอย่างไร

สู่แดนธรรม...ส่วนที่บกพร่องพ่อท่านก็เห็นอยู่

พ่อครูว่า... แต่ไม่สามารถเอาลบล้างสิ่งดีสิ่งที่ถูกต้องประเสริฐยังล้มล้างไม่ได้เลย ยังไม่คู่คี่ด้วย ยังไม่สมส่วน

สองคนยลตามช่อง ก็ยังไม่มีใครตัดสิน สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร มันก็ต้องใช้คำพังเพยนี้ ตอนนี้สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหารว่าใครจะมากจะน้อยกว่ากัน

 

 

ตายเสียดีกว่าต้องละเมิดในศีล

_หมู ปาณา : วันเสาร์ที่ 31 ก.ค.64 ได้ฟังคำเทศน์ของทางเดินดิน บอกว่าให้แจ้งผลมาบ้าง เลยปฏิบัติตามค่ะ

ทานมังสวิรัติได้ 11 ปีแล้ว แต่ทำตามลำดับ จึงเลิกทานไข่แค่ 7 ปี ขอถามคำถามค่ะ

1.เราต้องยอมเสียชีวิตเพื่อรักษาศีล แต่มีคนเคยบอกว่าถ้าเราไม่สบายก็ทานได้ ขนาดพระอรหันต์ป่วยยังทานเพื่อรักษาชีวิตได้เลย จริงหรือเปล่าคะ

พ่อครูว่า...ก็จริง แต่อย่าพาซื่อ เราต้องรักษาชีวิตเพื่อศึกษา เพื่อทำงานต่อ แต่ผู้ที่รู้ดีว่าถ้าจะละเมิดศีลนั้นขอตายดีกว่า ผู้นั้นเข้าใจเรื่องตายเรื่องเกิดที่แล้ว ก็ไม่มีปัญหา แต่หากคุณยังเข้าใจเรื่องตายเรื่องเกิดยังไม่ดี แน่นอนคุณต้องเอาชีวิตไว้ก่อน คุณยังไม่ยอมตายหรอกใช่ไหม คุณต้องกินเนื้อสัตว์ลงไป หรือกินไข่ก็แล้วแต่ แต่ถ้าเผื่อว่าผู้ที่ชัดเจนอยู่แล้วไม่ต้องไปกินถึงขนาดนั้นให้ตายก็ตาย แต่ถ้าคุณกินเสร็จแล้วเกิดมาอีกก็ไม่ได้ดีกว่าเก่า คุณกินเนื้อสัตว์แล้วมันก็ต้องตายสักวัน แล้วเกิดมาก็มีอกุศลเพิ่ม มันจะไปดีกว่าเก่าได้อย่างไร คุณกินเนื้อสัตว์ต่อไป ยิ่งเกิดมาก็จะยิ่งแย่ลง พูดชัดเจนอย่างนี้แล้วจะไปกินทำไม ตายซะดีกว่า เกิดมาอีกชาติใหม่ก็เจริญขึ้น เกิดชาติต่อๆไปก็จะเจริญขึ้น

2.เป็นจิตอาสาสขจ.สันติ ยังไม่ได้อยู่วัด จึงยังเห็นไข่เจียวไข่ดาว แล้วเช็คดูว่ายังติดรูปอยู่ ขอถามค่ะว่าสภาวะอยู่ที่ฌานไหนแล้วคะ

สู่แดนธรรม... อยู่ชานบ้าน
         
พ่อครูว่า... ฌานคือพลังงานไฟล้างกิเลส คุณถามมาเรื่องไข่เจียวไข่ดาว คุณก็ต้องวัดอาการของคุณว่าติดมากติดน้อยขนาดไหน ถ้าคุณติดมากก็ตอบของคุณเอง ว่า ยังไม่มีฌาน จะไปสลายความติดแน่นเลย ก็พอจะบอกตัวเองได้บ้าง มันจะรู้ว่าตัวเองติดหนัก ติดแรง ติดอย่างว่างเว้นไม่ได้ หรือติดมันก็ไม่แรงว่างเว้นได้ คุณก็จะรู้ตัวเอง อาตมาว่านะ พอรู้น่ะค่อยๆไป ดีแล้วหัดอ่านความจริง คุณจะดูอาการมากน้อยหนักเบาอะไรเองได้จริงๆ

 

หมากพลูไม่น่าติดได้เท่าไข่ดาวไข่เจียว

_3.รู้เห็นจิตตัวนี้อยู่นานแล้ว วันนึงก็นึกว่าเราได้แต่เห็นยังไม่ฆ่าสักที ให้เหตุผลว่าเดี๋ยวไม่หมดถ้าไม่รีบทำ แต่ก็ยังอยู่ฆ่าไม่ตาย พยายามหาเหตุผลว่าเพราะอะไร จนวันนี้เพิ่งรู้ว่าเราติดปิติที่เราได้รู้ว่าเราเห็นจิตที่ติดรูป จึงแก้แบบที่ท่านสมณะท่านสิกขมาตุสอนว่ารูปก่อนหน้ามันเป็นยังไง นึกได้ว่าตอนเป็นฟองไม่เห็นรู้สึกเลย ก็คิดว่าน่าจะดีขึ้น ขอถามว่าเรื่องติดปิติเป็นแบบนี้ใช่ไหมคะ

กราบขอบพระคุณพ่อครู ท่านสมณะ และท่านสิกขมาตุที่ให้ความเมตตาตลอดค่ะ

พ่อครูว่า...มันมีส่วนของปิติ แต่ไม่ใช่แกนแท้ แกนแท้คือติดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสติดกามคุณ 5 ของไข่ดาวไข่เจียวนั่นแหละ มันไม่ใช่อย่างอื่นหรอก มันก็เป็นการติดกามคุณ 5 ของรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ของไข่ดาวไข่เจียวคุณนั่นแหละ เพราะฉะนั้นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสคือกามคุณ 5 จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นอาการติดยึดอันนึง ใน 3 เรื่อง 1. เรื่องสัตว์ 2. เรื่องของเรื่องวัตถุที่คุณติดยึด 3. เรื่องรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เป็นกามคุณ 5

นี่แหละคุณจะต้องรู้จริงๆเลยว่ารูปก็ดี เสียงก็ดี รสก็ดี กลิ่นก็ดี มันติด ถ้าหากคุณไม่รู้การติดแล้วคุณก็ออกไม่ได้ มืดบอดเหมือนอย่างสายมหาบัวที่ยังติดมากติดพลู ไม่รู้กามรุณ 5 เต็มรูปอย่างนั้น ทั้งที่หมากพลูไม่น่าติดเท่าไข่ดาวไข่เจียวของคุณ ซึ่งหมากพลูมันร้ายแรงสกปรกเลอะเทอะ ไม่ได้เป็นเรื่องชี้ชวนใจอะไรเหมือนไข่ดาวไข่เจียวด้วยซ้ำไป สำหรับหมากพลู แรงก็แรง ฉุน รสชาติมันเรื่องตรงกันข้ามกับ romantism มันซับซ้อน

ถ้าคนติดลักษณะหอมหวาน มันก็ต่างกับขื่นขม แต่ไปติดขื่นขมที่ไม่น่าติด หากติดหวานก็ดูค่อยยังชั่ว แต่นี่ติดขื่นขมก็เป็นซาดิสซึ่ม เป็นการเจ็บปวด เป็นการทุกข์ทรมานและรักทุกข์ ติดทุกข์ เสพติดทุกข์ ถ้าหากเสพติดในความสุขก็ยังพอเข้าใจ แต่นี่ไปเสพติดความทุกข์มันจะนานขนาดไหนนี่ ถ้าจะพ้น ความสุขนั้นควรจะเลิกก่อน สุขก็ยังพอทำเนา ใครก็รู้กันทั่วเป็นสามัญ แต่นี่ดันไปติดความทุกข์ เป็นความทุกข์เป็นความสุขกลับหน้าตัวเองอีก

สู่แดนธรรม... หากความทุกข์ไม่ถึงก็ไม่ใช่อีก

พ่อครูว่า... เช่นวันนี้ทำไมยาฉุนไม่ฉุนเลย ซึ่งมันสลับไปซับซ้อนความชอบกับความไม่ชอบ มันสลับไปสลับมาไม่รู้กี่ชั้น ถึงยากที่จะเข้าใจถึงยากที่จะถอดถอนออกมาได้ เพราะฉะนั้นคนที่ยังติดแค่หมากพลูนั้นไม่รู้ว่ามันเป็นของอสุภะ

 

คนติดหมากทำให้โลกวุ่นวายได้

_กราบนมัสการค่ะ มีคนบอกหนูว่าโลกยุ่งวุ่นวายเพราะคน (คนแปลว่าทำให้ยุ่ง) หนูเลยสงสัยว่าในเมื่อมีคนแล้วโลกยุ่งวุ่นวาย แล้วทำไมต้องมีคนคะ ?

พ่อครูว่า... เราต้องอ่านที่ตัวเราเอง เราก็เป็นคนๆหนึ่ง เราก็เป็นตัวทำให้ยุ่งทำให้วุ่นอยู่ในโลก ก็อ่านความจริงที่มันยุ่งและวุ่นคืออะไร แล้วดูว่าเรานี่แหละไปทำความยุ่งความวุ่นหรือไม่ ก็เลิกให้ได้ รู้ความจริงว่าเราทำให้วุ่นทำให้ยุ่งอย่างไร เมื่อเลิกความยุ่งความวุ่นนี้ได้คุณก็จะได้คำตอบเองว่าคือเราเองทั้งนั้นแท้ๆ เราก็เป็นคน แล้วมีอาการตัวยุ่งตัววุ่นนั่นแหละ ซึ่งมันบอกตัวอย่างตายตัวไม่ได้ มันมีตั้งแต่เล็กจนถึงอยาบที่สุด แล้วเราก็ติดยึดและทำเรื่องนั้นอยู่ โดยที่เราเองทำเรื่องนั้นขึ้นมา แล้วเราเองทำเรื่องนั้นขึ้นมา เราก็ไม่รู้ว่าเราทำความยุ่งทำความวุ่น

ขอยกตัวอย่าง เช่น มหาบัวกินหมากนี่แหละทำให้ตัวเองยุ่งตัวเองวุ่น แล้วก็หลอกคนอื่นว่าหมากพลูที่กินไม่ใช่สิ่งเสพติด หลอกเขา ว่ามันไม่ใช่สิ่งเสพติดไม่ใช่กามคุณ 5 หลอกลูกศิษย์ลูกหา หลอกคนที่ไปหลงนับถือบูชา มันก็เลยเติมความวุ่นความยุ่ง เพราะมันไม่ใช่สัจจะ มันเป็นอสัจจะ มันเป็นเรื่องผิด ก็เลยทำความยุ่งเพราะเอาความผิดมายืนยันว่าถูกแล้วคนก็หลงเคารพนับถือว่าท่านต้องถูก เพราะท่านเป็นอรหันต์ เรื่องนั้นท่านว่าไม่ใช่ก็เชื่อท่าน ที่จริงแล้วไม่ควรจะให้ยุ่งให้วุ่นเลยควรจะเลิกรา

เพราะฉะนั้นคนที่เป็นตัวอย่างและยืนหยัดยืนยัน จนกระทั่งทำให้คนอื่นเขายอมรับนับถือเชื่อถือ แล้วก็ยังยืนยัน มันก็เท่ากับเป็นนักมายากล นักมายากลที่หลอกคนอื่นจนเชื่อสนิทว่าคนนี้ทำได้จริง แต่เป็นมายา จนคนอื่นเชื่อว่าเขาทำได้จริง โลกก็กลับตาลปัตรไปเชื่อความผิดว่าเป็นความถูก แล้วโลกที่สรุปลงมาเหลือคุณยังยึดมั่นถือมั่นความผิดว่าเป็นความถูก แล้วเมื่อไหร่มันจะได้ถูกสักที เมื่อไหร่มันจะเดินทางไปในสิ่งที่ถูก

จึงสรุปลงไปที่จุด 2 จุดคือถูกกับผิดแล้ว มันยาก เพราะการจะเดินทางสู่จุดที่ถูกแท้จริง คือสัจจะมีหนึ่งเดียว

 

อาริยบุคคล 9 เป็นเช่นนี้

_จากผู้ใหญ่สันติอโศก...ได้อ่านหนังสือเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ในหน้า 124 บรรทัดสุดท้ายของข้อ 134 เจอคำว่าโลกุตระ 9 และ อาริยบุคคล 9 เขาสงสัยว่า ปกติอาริยบุคคลมี 8 เขาถามว่าอาริยบุคคลที่เพิ่มเข้ามาคนที่ 9 นี้คือใคร? ครับ

พ่อครูว่า... ก็คนที่มีนิพพาน คนที่เป็น โสดาปัตติมรรค, โสดาปัตติผล, สกิทาคามีมรรค, สกิทาคามีผล, อนาคามีมรรค, อนาคามีผล, อรหัตมรรค, อรหัตผล รวมเป็น 8 ก็มีอาริยบุคคล 8 กับนิพพานอีก 1

อาริยบุคคลคือบุคคล นิพพานคือสภาวธรรม รวมกันแล้วก็มีอาริยบุคคล 8 รวมกับสภาวธรรมที่ชื่อว่านิพพาน ก็เป็นตัวจบของอาริยบุคคล อาริยบุคคลต้องทำนิพพานให้เที่ยงแท้อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) นี่เป็นเครื่องสำทับสัจจะความเป็นนิพพานของพระอรหันต์อย่างแท้จริง

สรุปแล้ว อาริยบุคคล 8 กับ นิพพาน 1 เป็น 9 แล้วอาริยบุคคล 9 นี้มีโลกุตระรรม 1-8

คือ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล อนาคามีมรรค อนาคามีผล อรหัตมรรค อรหัตผล รวมเป็น 8 นิพพานก็นับเป็นโลกุตรธรรมอีก 1

สู่แดนธรรม... ถ้าหากนิพพานไม่มีในบุคคลแล้วใครจะพิสูจน์นิพพาน

พ่อครูว่า... ไม่มีอะไรอย่างอื่นพิสูจน์นิพพานได้นอกจากคน เมื่อนิพพานนี้ดับได้สูญได้ ทำให้ไม่เกิดอีกได้อย่างแท้จริงคือนิพพาน

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

พ่อครูว่า... สภาวะกับพยัญชนะต้องอาศัยกัน อาตมาต้องอาศัยพยัญชนะสื่อสารให้คุณได้ปฏิบัติให้มีสภาวะ จะรู้ว่าอาการของสภาวะเป็นอย่างไร ด้วยตนเอง พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าให้รู้สิ่งอย่างนี้มันมีอาการ มันมีเครื่องหมาย ภาษาบาลีหรือบัญญัติบอกว่า อาการกับนิมิต เครื่องหมายคือนิมิต อาการคือความเคลื่อนไหวกิริยาของมัน ไม่เป็นนามธรรมก็มีอาการมีกิริยามีความเคลื่อนไหวของมัน แล้วความเคลื่อนไหวนี้ก็อย่างหนึ่ง นิมิตก็อย่างหนึ่ง ความเคลื่อนไหวเป็น Dynamic นิมิตเป็น Static

จะมีพลังงาน 2 สภาพคือบวกกับลบหรือ Dynamic กับ Static เรียนรู้พยัญชนะสำคัญคือคำว่า เทว อะไรๆก็เรียนรู้ 2 นี้จบเลย แล้วรู้ว่า 2 นี้แยกทุกอย่างได้หมดจริงๆจนจบ จะเทียบเคียงเมื่อ 2 จะสลับไปสลับมาก็ชัดเจนทุกเหลี่ยมมุม

 

_ยายติ๋ว จากสัตหีบ : โทรมาขอบคุณพ่อครู สมณะ  สิกขมาตุ และชาวอโศกทุกคน  ที่ทำให้ยายได้ชีวิตใหม่  เมื่อได้อ่านหนังสือ ดูทีวี  ของชาวอโศก มาเป็นเวลา 10 ปี แม้จะทิ้งครอบครัว มาวัดไม่ได้  แต่ยาย ติดตามตลอดเลย  พาลูก และครอบครัวกินมังสวิรัติทั้งบ้าน  ตอนนี้อายุ 75  ติดตามดูบุญนิยมทีวีตลอดค่ะ  คุณยายขอฝากความถึงพ่อครูให้ยายด้วยนะคะ ยายซาบซึ้งในความเป็นคนอโศก   ขออนุโมทนาอยู่ทางบ้าน ชีวิตนี้ไม่คิดว่ายายจะได้เจอธรรมะแบบนี้   ยายคิดว่าตัวเองโชคดีที่สุด  (ยายร้องไห้ เป็นพักๆ)

พ่อครูว่า...นี่แหละมันก็คือการซาบซึ้งดีใจ Fมันก็ทำให้ร้องไห้น้ำตาไหล น้ำตาแห่งความปิติ ยินดี

SMS วันที่ 1 ส.ค. 2564

 

อิตใช้สัญญากำหนดรู้ตั้งแต่ต้นจนจบ

_ฝากบุญเกื้อ รมยาสัย : น้อมกราบนมัสการ บูชาพ่อครู ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุด้วยความเคารพยิ่งค่ะ ลูกขอรายงานผลให้พ่อทราบค่ะว่า หลังจากที่ลูกได้รับฟังที่พ่อตอบคอมเมนท์ของลูกในวันที่ 21 พ.ค พ่อตอบว่า ก็เลิกให้ได้ซะทีสิ(สักกาย กายกลิทีลูกติดข้องอยู่ในถ้ำ)จากวันนั้นทำให้ลูกมีความตั้งใจอันแน่วแน่ว่าจะทำให้ได้เพื่อบูชาพ่อครูในวันที่ 5 มิย.อายุพ่อเข้า 88 ปี พอตั้งจิตไว้อย่างนี้เหมือนปาฎิหาริย์อาการจิตของลูกมันว่างเบาโล่งโปร่งสบาย เหมือนกิเลสตัวนั้นมันหลุดหายวิ่งหนีเข้าป่าไปเลย ลูกก็ตรวจสอบกระทบสัมผัสกับมันกามภพก็ไม่เกิดอยากเสพพอตรวจสอบรูปภพโดยการใช้สัญญากำหนดปั้นปรุง ก็ไม่เห็นมีอาการอยากเสพ ตรวจไปถึงอรูปภพก็ไม่เห็นมันวับ ๆ แว้ป ๆ พริ้วแผ่วมาให้เห็นจนถึงวันนี้ ลูกก็เห็นอาการปิติสุขแต่มาจนถึง ณ ตอนนี้ลูกก็ไม่สุขไม่ทุกข์กับกิเลสตัวนี้อีกแล้วค่ะ และลูกก็จะทำตัวอื่น ๆ ต่อไปค่ะลูกขอน้อมกราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยความเคารพบูชาสุดเศียรเกล้า และขอบน้อมกราบขอบพระคุณผู้นำคอมเม้นท์ให้พ่อได้อ่านมันเป็นพลังยิ่งใหญ่ให้ลูกทำได้ค่ะ

พ่อครูว่า... ที่ว่า การใช้สัญญากำหนดปั้นปรุง แต่สัญญาคือเครื่องกำหนดรู้ แล้วคุณกำหนดรู้หรือกำหนดปั้นปรุง ถ้าหากกำหนดปั้นปรุงไม่ใช่สัญญา ถ้าหากปั้นปรุงมันคือสังขาร คุณปั้นปรุงแต่งขึ้นมามันคือสังขาร แต่ถ้าหากคุณใช้สัญญากำหนดรู้สังขารก็ได้ แต่นี่คุณใช้สัญญากำหนดปั้นปรุง คุณกำหนดผิดแล้ว

สู่แดนธรรม... เขาอาจเทียบว่ากามภพเขาผ่าน แต่ไปตรวจสอบรูปภพ เขากำหนดว่าเอาสัญญามาปรุง

พ่อครูว่า... สัญญาไม่ใช่การปรุงแต่ง ที่บอกว่าเอาสัญญามาปรุง มันก็ถูกภาษาไทย ปั้นปรุงเป็นภาษาไทย สัญญา เป็นบาลี แต่บาลีสัญญาไม่ได้แปลว่าปั้นปรุงมันก็ผิดสิ

ควรบอกว่า เอาสัญญาไปกำหนดรู้การปั้นปรุง

ซึ่งรูปภพหรืออรูปภพไม่ใช่การปรุง การปรุงคือการสังขาร ส่วนการกำหนดรู้คือสัญญา มันไขว้กันอยู่ เป็นสิริมหามายา

คุณไปกำหนดรู้ โดยไปเข้าใจผิดว่าสังขารคือสัญญา ซึ่งตัวสัญญามันไม่ใช่ตัวปรุงแต่ง ที่คุณปรุงแต่งแล้วหลงในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส คุณก็ต้องไปกำหนดรู้รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่คุณสังขารคุณปรุงแต่ง แล้วคุณก็ต้องมีการรับรสในการปรุงแต่งอย่างนั้น

ที่สำคัญมากที่สุดคือตัวเวทนา ต้องมากำหนดว่ามันมีรสแท้หรือรสเทียม(รสเก๊)

ก็พอเข้าใจว่าคุณฝากบุญเกื้อ กำลังศึกษาได้ละเอียดลงไปพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นสัญญาหรือสังขารลงไปหาสภาวะเรื่อยๆ แต่มันยังละเอียดลอออยู่

คำว่าไม่อยากเสพของคุณเป็นคำตัดสิน ที่คุณเข้าใจคำว่าไม่อยากเสพ อยากคือตัณหา มีตัวละครอีกอันคือตัณหา คุณต้องแยกให้ชัดว่า ความไม่อยากเสพในสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาแล้ว

ไม่อยากเสพ ตัวสัญญาเป็นตัวสุดท้ายในการทำงานกำหนดรู้ทุกอย่าง ตอนนี้คุณ กำหนดตัวสังขารปรุงแต่ง คุณเข้าใจตัณหากับสังขารให้ได้ก่อน สังขารคือคุณปรุงแต่งขึ้นมา ส่วนสัญญาต้องฝึกให้มันรู้สังขาร คุณว่าคุณไม่อยากในสังขารนี้ สังขารอันเป็นไข่เจียวหรือไข่ดาวของคุณ คุณว่าคุณไม่อยาก จริงหรือ คุณไม่มีตัวอยาก

เมื่อคุณเสพสัมผัสเกิดรสชาติ อันนั้นเป็นเวทนา เป็นรสชาติที่จริงคือรสชาติคาวๆอย่างไข่ดาวไข่เจียวเป็นรสแท้ แต่มันมีรสเทียมประกอบว่า ดีนะ อร่อยนะ ชอบนะ นี่พูดถึงคุณติดอยู่ แล้วคุณก็บอกว่าไม่มีอร่อยนะ

คุณทำได้ขนาดหนึ่งแล้วทำให้ละเอียดต่อไปนะ อาตมาตีความตามภาษาที่คุณให้มา แต่สภาวะของคุณต้องให้ตรงและชัดอย่าให้สับสน ในพยัญชนะที่บอกว่าตัณหาก็ดี เวทนาก็ดีสังขารก็ดี สัญญาก็ดี กำหนดให้แม่น

ตัณหาคือความอยาก เวทนาก็คือรส โดยเฉพาะรสแท้ รสเทียม เวทนาจะมี 2 สังขารก็ปรุงแต่งกันเป็นรูปไข่เจียวไข่ดาว ก็เหลือแต่เวทนา คุณต้องใช้สัญญากำหนดรู้ในเวทนา เจาะลงไปให้มั่นให้แม่น แล้วจริงๆคุณกำหนดรู้ว่า ขณะนี้อาการของรสมันมี 2 คุณบอกว่าไม่มีแล้วไม่มีคือเวทนาเก๊ จริงหรือเปล่า เหลือแต่เวทนาแท้ ไข่ดาวมันก็มีรสอย่างนี้ ส่วนรสชาติที่มีความชื่นชอบชื่นชมอร่อยนี่คือลักษณะของคุณติดอยู่ มันมีไหม คุณต้องอ่านอันนี้ให้ละเอียด ถ้ายังมีมาก ยังมีกลาง หรือยังมีน้อย นี่คุณใช้คำว่าไม่มีแม้แต่ อรูปเลยนะ

อาตมาก็ตั้งใจอธิบายรูป 28 นาม 5 ในรูป 28 โดยเฉพาะอุปาทายรูป 24 คุณก็จะชัดเจนขึ้นว่าอยู่ในสภาวะใด โดยเฉพาะ อุปาทายรูป 24 นี้ยังยากอยู่

 

คุณประโยชน์ของสมุนไพรไทย

_ตรงเตือน นาวาบุญนิยม : เป็นความโชคดีของคนไทย ที่มีสมุนไพรช่วยลดความรุนแรงของโรคโควิด 19 มีแสงแดด ที่ทำให้ปรับความสมดุลของร่างกายให้แข็งแรง แม้เจ็บป่วยมาก็แก้ไขได้ทันก่อนเชื้อลงปอด กราบขอบพระคุณท่านผู้รู้ทางสมุนไพรไทยค่ะ

พ่อครูว่า...นี่ก็เห็นคุณค่าประโยชน์ของสมุนไพรไทย อาตมายังเชื่ออยู่ว่าเมืองไทยเป็นโซนที่มีพืชพันธุ์ธัญญาหารอันยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นจะเป็นอาหารหรือยาก็ดี เกิดจากสมุนไพรจะยิ่งใหญ่ต่อไปในอนาคต ได้พูดและย้ำไปแล้วและขอย้ำอีกว่าพัฒนากันต่อไป ให้คุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ สมุนไพรไทยพืชพันธุ์ธัญญาหารไทยให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เราจะได้ช่วยโลกด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร

สารสกัดทางเคมีทั้งหลาย มันสกัดจากทั้งวัตถุดินน้ำไฟลมและพืชพันธุ์ธัญญาหาร แม้แต่สัตว์ก็เอาไปสกัด จากสัตว์ก็ไปเป็นพืช จากพืชก็ไปเป็นสสาร ไปเป็นวัตถุอีกที เพราะฉะนั้นจะต้องใช้วัตถุและพืช ในระดับพืช เป็นหน่วยของสารสกัดระดับนึง เอาไปใช้เป็นพืช ยังไม่ถึงขั้นสกัดลงไปให้แข็งแน่นเป็นดินน้ำไฟลม พืชยังไม่ใช่ดินน้ำไฟลม แต่ต้องใช้ 2 อย่างเสมอ ดินน้ำ ถ้ามีแต่น้ำไม่มีพลังงานชีวะอะไรเลย มันก็จะเปลี่ยนแปลงจากดินเป็นน้ำ และอีกคู่เป็นไฟกับลม หรืออากาศเป็นแก๊ส ไฟเป็นพลังงานเหมือนอากาศ ลมก็เป็นพลังงานเหมือนอากาศ ส่วนน้ำกับดินนี้ เป็นพลังงานที่จับตัวกันเป็นวัตถุเป็นสสาร ดินกับน้ำ ส่วนไฟกับลม เป็นพลังงานที่ไม่จับตัวกันเด่นชัดเหมือนกับดินและน้ำ

ทุกอย่างสรุปลงที่ 2 ทั้งนั้นแล้วสลับไปสลับมา

 

_สว่างแสงบุญ บุญสุข : โคคลานน่าจะเป็นโพธิ์คลาน เพราะใบคล้ายใบโพธิ์ แล้วเป็นเถาเลื้อย เสียงทีเรียกโคคลานอาจเพี้ยนเสียงไปก็ได้นะ เป็นความคิดของดิฉันเองน่ะค่ะ

 

_Judy Kungval (จูดี้ คุงวาล) : this clip is so interesting, so valuable. I really appreciated , from LA fc. There are so much valuable information about Thai Herbs which I had never known before. OMG, so amazing. Banana leaves, really? I have so many banana trees in my backyard in Los Angeles. thank you sooooo much. from Los Angeles

ขอแปลว่า...

ดิฉันชื่นชมจากลอสแองเจลิส รายการเมื่อวานนี้ มีคุณค่าน่าสนใจมาก มีการนำเสนอสรรพคุณของสมุนไพรไทยซึ่งไม่เคยได้รู้มาก่อนเลย โอมายก็อด สุดยอดเลย โดยเฉพาะใบตอง ที่หลังบ้านดิฉันก็มีต้นกล้วยหลายต้น ..ขอบคุณมากๆๆๆๆๆค่ะ

พ่อครูว่า...

 

โคลง ความสุขที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืน(ปีใหม่ มกราคม 2551)

 

ขอ..ให้พิศพินาศหล้า                โลมสมัย

ความสุข..โลกีย์ไฟ                            ยุคนี้

ที่ยิ่งใหญ่.. คือ ภัย                            โลกียสุข

และยั่งยืน..อยู่                      ทุกข์ให้ทนเห็น

 

จง..เป็นคนอย่าไร้                   บุญใจ

มี..แต่ชีวิตไป                        ไป่รู้

แต่..ชาติกษัตริย์ไย                            บ่ตระหนัก ใดฤา

มวลมนุษย์ชาติ..ทู้                           ทู่ซี้สุขหลง

 

ความสุข..พงศ์หนึ่งนั้น              โลกียรส

ที่..ปุถุชนติดหมด                              ทั่วถ้วน

ยิ่งใหญ่..จะละลด                              ยากสุด สุดเฮย

และยั่งยืน..หลอกล้วน               จึ่งต้องศึกษา

 

คือ..หาทางจรณะสร้าง               ภูมิธรรม

โลกุตรสุข..สำ                       เร็จรู้

ปรมังสุขัง..นำ                       มนุษย์สู่ สันติแล

ยิ่งใหญ่ยั่งยืน..ผู้                    สุขได้ยืนยัน

 

สไมย์ จำปาแพง  มกราคม 2551

 

ปรมังสุขังนำสันติมาสู่โลก

พ่อครูว่า...ปรมังสุขัง ที่จริงคือสุขที่หมดสุขหมดทุกข์ คือขออาศัยพยัญชนะสุข แทนคำว่า ไม่สุขไม่ทุกข์ ผู้มีสภาวะจะไม่งง แต่ผู้ไม่มีสภาวะจะงง ถ้าคุณจะมีภาวะที่คุณอาศัย ว่าง สุข

สุ คือดี ข คือว่าง หรืออากาศ ดุจท้องฟ้าเวิ้งว้าง นี่แหละดี มันอุเบกขาไม่มีสุขไม่มีทุกข์แล้ว เกินกว่าสุขกว่าทุกข์ไปอีก

อุเบกขาคือ เป็นสภาวะ ความสะอาดปราศจากกิเลส ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นธาตุ 5 อัน สะอาดบริสุทธิ์จากกิเลส จิตที่ว่างจากกิเลสนี่แหละ จิตเหมือนอากาศเหมือนท้องฟ้า สุข นี่แหละสุดยอด

ใครรู้ ปรมังสุขัง จะทำสันติได้ ใครมีสภาวะนี้ จะนำมนุษย์ในโลกสู่สันติ 

สุขอย่างปรมังสุขัง ไม่มีสุขไม่มีทุกข์เป็นอุเบกขานี่แหละ เป็นสุขอย่างสูญ หรือจะใช้คำว่า สุญญตสุข สุญสุข ก็ได้ สุขอย่างมันสูญๆนี่แหละยิ่งใหญ่ยั่งยืน

ความหมายของคำว่า ไม่สุขไม่ทุกข์ หรือจิตปราศจากอาการสุขอาการทุกข์แล้ว เป็นสภาวะนิพพาน เป็นสภาวะที่ผู้ปฏิบัติเข้าถึง อาการนี้ในจิต จะสัมผัสแตะต้องอะไรอยู่ในโลกไม่ว่าจะเป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข คุณก็ไม่มีอารมณ์สุขทุกข์เลย หมด ลาภยศสรรเสริญเป็นโลกีย์ ใครยังมีความสุขใน ลาภ สุขเพราะยศ สุขเพราะสรรเสริญ ยาก

ลาภ ยศ สรรเสริญ บางคนก็ไม่สุขไม่ทุกข์กับ ลาภเท่าไหร่แล้ว ลาภคือวัตถุต่างๆ ทรัพย์สินเงินทอง ข้าวของ วัตถุต่างๆ ก็ไม่ค่อยจะเป็นสุขเป็นทุกข์ ไม่ค่อยนำพาแล้ว อยู่เหนือมันแล้วสบายๆ แต่ ยศตำแหน่ง หยาบ กลาง ละเอียด

ลาภ ยศ คือของหยาบ พอมาเป็นยศตำแหน่ง ยศคือรูป ส่วนตำแหน่งคือหน้าที่ ที่ต้องผูกมัดกับหน้าที่นั้นเรียกว่า ยศกับตำแหน่ง คุณก็ยังติดในยศกับตำแหน่ง ไม่กล้าปลดยศตำแหน่งของตน แล้วก็ไม่อยากทำหน้าที่นี้เท่าไหร่

คนที่มียศตำแหน่งใดตามสมมติโลก คุณต้องรับหน้าที่ตามยศตำแหน่งนั้น คนในประเทศไทย ปราชญ์เอกในประเทศไทย ยังไม่ยอมทิ้งยศทิ้งตำแหน่ง แต่ก็ทำทีว่า ไม่ได้ติดในยศตำแหน่ง บอกแล้วว่า คุณมีหน้าที่ต้องทำตามหน้าที่ยศตำแหน่งนั้น จะเอาแต่ความรู้ เอาแต่เรื่องของธรรมะ แต่คนนี้ยังมีสรรเสริญ ยังไม่รู้ตัวในสรรเสริญ หนัก สรรเสริญ ลึกซึ้งกว่ายศตำแหน่ง ไม่รู้จักสรรเสริญ​ ก็เลยไม่ยอมออกจากยศตำแหน่ง ก็ยังอยู่ในฐานรองรับ เป็นยศเป็นตำแหน่ง แล้วก็ได้รับคำสรรเสริญจากยศตำแหน่งด้วย จากสิ่งที่ตัวเองแสดงออกให้คนอื่นเขายอมรับ ให้คนอื่นเขาได้รับประโยชน์ด้วย ก็ได้รับคำสรรเสริญนั้น เป็นสุข เป็นสุขเพราะยศ ตำแหน่งสรรเสริญ ยังไม่หยุดยังไม่กล้าทิ้งยังไม่กล้าออก นี่คือสภาพซ้อนที่แยกยากมาก

เพราะฉะนั้นเจ้าตัวเองถ้าไม่มีความรู้ที่ชัดเจนจนกระทั่งต้องทิ้ง คนจะมาให้ ก็ไม่ได้เข้าไปรับเหมือนพระพุทธเจ้าบอก ออกมาจากยศตำแหน่งเป็นกษัตริย์ ไม่เอา ลาภ ยศ สรรเสริญ ท่านก็อธิบาย ใครจะว่าเราใครจะตำหนิเราก็ไม่มีปัญหาแต่ผู้ที่ติดในสรรเสริญ จะรับตำหนิทนทานได้แค่ไหน ไม่ได้ลอง เหมือนอาตมายืนยันพิสูจน์เรื่องนี้

อาตมานี่โดนหนักหนาสาหัสกับตำหนิ ขออภัยไม่ได้ยกตนข่มท่าน อาตมาก็เข้าใจในเรื่องการตำหนิ ก็ไม่ได้เป็นปัญหาหากถูกตำหนิ เขาชมก็รู้ เขาตำหนิก็รู้ แต่ผู้ที่ยังไม่กล้าออกมาจากยศตำแหน่ง เขาตำหนิอย่างหนักอย่างไรเมื่อออกจากตำแหน่งก็ไม่ได้ลองให้คนทั่วไปเห็นชัดเจนเลย มันก็เลยคาราคาซัง หรือมันก็บอกไม่ได้ ยืนยันความจริง พิสูจน์ความจริงนั้นไม่ได้อย่างนี้ เป็นสิ่งที่มีพิสูจน์ยืนยันในบุคคลในประเทศไทยขณะนี้ก็มีอยู่

จบ

 

 


640804_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5 วันพุธที่ 4 สิงหาคม  2564 ณ บวรราชธานีอโศก ชมวิดีโอได้ที่นี่ ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่น...