วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

640531_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 6

รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ
วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม  2564

ณ บวรราชธานีอเศก











ดูวิดีโอเทป
ฟังเทปบันทึกเสียง


เพิ่มสัมประสิทธิ์ทางอาหารของพ่อครู

พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564 แรม 5 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก อาตมาบรรยายธรรมะไปก็บำเพ็ญโพธิสัตวภูมิไป แต่มันก็เหนื่อยง่ายเมื่อยง่าย ทุกวันนี้การบริหารงานก็ปล่อยให้คณะกรรมการบริหารไป ทุกวันนี้กินข้าวก็เมื่อย 3 ชั่วโมง จะกินข้าวทีก็บอกว่าเจอสนามรบอีกแล้ว มันพยายามต้องฝืนกินเข้าไป เคี้ยวกลืนเข้าไป ให้มันมีปริมาณเพียงพอที่จะเอามาสังเคราะห์ใช้ในรูปขันธ์ รูปขันธ์ที่เป็นดินน้ำไฟลม เป็นอุตุนิยาม พีชนิยาม ที่จะเอาไปใช้ ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน แร่ธาตุ เอาไปใช้สังเคราะห์สังขารร่างกายเอาไว้

แล้วมันซ้อน การย่อยการเผาผลาญ มันก็ไม่เก่งเหมือนกับตอนหนุ่มแน่นๆ ก็พยายาม อาตมาพยายามพิสูจน์พลังงานของ Coefficient สัมประสิทธิ์ จนกระทั่งคิดเป็นสูตรสำเร็จวิทยาศาสตร์  E=C(mc2 + A) m คือรูป หรือ mass ส่วน C ก็คือนาม คือกระแสกับแรงเคลื่อน บวกกับลบ คู่กันตั้งแต่ไหนแต่ไร เป็น static กับ Dynamic เสร็จแล้วเราก็เพิ่มสัมประสิทธิ์ให้มันทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเป็นระดับยกกำลัง ระดับ Advance สูงขึ้นไปจะต้องเป็นยกกำลัง บวกลบคูณหาร ยกกำลังถอดรูท ของเราเป็นระดับยกกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามหลักคณิตศาสตร์ ตามคณิตศาสตร์มันก็ไม่ยากแต่มันยากตรงที่จะทำให้มันได้ สูตรมันมีอยู่แล้วมาตราส่วนมีอยู่แล้ว แต่จะทำให้ได้ตามสภาวะมันยาก

ก็พยายามเร่ง บอก พวกดำจังแก ให้ทำมาเลย อาหาร จะปรุงให้อร่อยมาก็ทำเลย แต่เผ็ดไม่ได้ เพราะมีเหตุที่ไปกระตุ้นมันไม่ได้ มันจะไอมากเลย มีคนพยายามใส่พริกมานิดๆหน่อยๆ อาตมาก็ว่าไม่ต้องฝืนเลย ไม่ต้องเพิ่มพริกไม่ต้องเพิ่มรสเผ็ดมาเลย แต่เพิ่มรสอร่อยอื่นก็เอามาเลย แต่หวานอย่าไปหวานจัด ไม่รู้คำภาษาอีสานเขาว่า นัว ทำให้นัวเท่าไหร่ก็มาเลย ภาษาอีสาน นัว แปลว่า รสชาติกำลังเหมาะที่สุดเลย กำลังนัวๆเลย นัวแล้ว พอดีแล้ว กลมกล่อมมา ปรุงมาให้อร่อยๆ เลย อาตมาจะพยายามปลุกรสชาติให้มันขึ้นมา จะได้กินเร็วขึ้นมาหน่อย แต่นี่มันจะใส่ทีเจ้าประคุณเอ๋ย 2-3 ชั่วโมงกว่าจะเสร็จ ปริมาณอาหารพอสมควร ก็คงไม่มากเท่าพวกหนุ่มสาวหรอกนะ ไม่เท่านายเพนกวิ้นแน่นอน รับรองปริมาณอาหารแต่ละมื้อไม่เท่าเพนกวิน

ที่จริงเปลี่ยนได้มันก็มีขึ้นมาได้ มันก็ช้าก็เลยอยากจะเร่งให้มันเกิดรสกาม พูดกันชัดๆก็คือกามคุณ 5 รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส มันจะมีประตูไหน รูไหนที่จะ stimulate เร่งรัดให้มันมีความรู้สึกตัวตื่น ตัวเวทนาตัวนี้ เร่งรัดให้มันมีอาการที่เกิดความต้องการ ความอยากความปรารถนา อาตมามาสอนพวกเราจนกระทั่งว่า มีเจตนาแต่อย่าอยาก มันก็เลย เราก็เป็นได้แล้วล่ะถึงมาสอน มันก็เลยมีแต่เจตนา ทุกวันนี้ใช้แต่เจตนา สอนด้วยเจตนา

คือมันกลับไปกลับมา สูงสุดคืนสู่สามัญ เพื่อจะทำงานให้แก่โลก ตัวเองไม่มีปัญหาหรอก แต่มันก็จะมีประโยชน์ขึ้นเช่นการแต่งเพลง มันปรุงไม่ขึ้นเลย เช่น เพลงสมรรถนะ

 

เพลงสมรรถภาพ เพลงรากไท เพลงไทยแท้

อาตมามาทบทวน เป็นเพลงสุดท้ายที่แต่งขึ้นมา ตั้งชื่อใหม่ว่าเป็น เพลงชีวิตรากไท หรือจะบอกว่า ชีวิตไทยแท้ ก็ได้ เนื้อเพลงสมรรถภาพนี่แหละ

...มาเถิดอย่าช้า อยู่ไหนรีบมาคว้ามีดพร้าและจอบเสียม มาปลูกย้ำธรรมเนียม เตรียมไถไร่นาป่าสวนมวลพืชพันธุ์ มาสร้างคนร่วมกันรังสรรค์บ้านเมือง ประเทืองประทีปไทย เมื่อเกิดมาเป็นคน ทุกชีพชนม์ฝันใฝ่ สูงสุขจริงยิ่งใหญ่ ต่างไขว่ต่างคว้า ทุกข์ทนฟันฝ่า เพื่อจะพาชีวิตดี หากใครเชื่อกรรม สมรรถะทำเต็มที่ ขยันสร้างสรรแล้วพลี ย่อมมีคุณค่าแท้ ทั้งเป็นทรัพย์แก่ ผู้แผ่บุญหนุนโลก

เมื่อเกิดเป็นคนแล้ว จะแคล้วคลาดความทุกข์โศก ก็เพราะฝึกตนทวนโลก โชคดีหลุดพ้น พลิกตนพาชาติ ปราศอบายเสริมบุญ สร้างคนสร้างงาน สามารถจานเจือจุน สมรรถะนี้คือทุน ยอดคุณค่าแท้ ทั้งเป็นทรัพย์แก่ผู้แผ่บุญหนุนโลก

 (เพลง สมรรถภาพ/ครูรัก รักพงษ์)

 

พ่อครูว่า…วันนี้ตั้งเป็นชื่อใหม่ว่าเพลงชีวิตรากไท หรือเพลงชีวิตไทยแท้ ทำไมอาตมาตั้งอย่างนั้นก็หมายความว่า อยากจะให้คนไทย พยายามทำความเข้าใจกับความเป็นชีวิต เกิดมาอะไรยิ่งใหญ่ที่สุด พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อาหารเป็นหนึ่งในโลก

แล้วท่านก็ตรัสอีกอย่างหนึ่งว่า ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง

ข้าวนี่ ทุกชาติ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวอะไรก็ตามที่เป็นพืชเมล็ดๆตระกูลหญ้า มีแป้งเป็นส่วนใหญ่ในนั้น ต้องอาศัยข้าว มีข้าวสักอย่างหนึ่งไม่ตายง่ายๆหรอกมนุษย์ ส่วนพืชพรรณธัญญาหารก็เป็นส่วนเสริมมีวิตามินอื่นๆเสริม ก็มาช่วยร่างกายได้เหมือนกัน แต่ในข้าวนี้มันจะครบแล้ว ที่จริงมันครบแต่มันมีอ่อนมีแก่ มีวิตามิน ธาตุต่างๆที่อาจจะไม่สมบูรณ์ดีนัก ก็มีอันอื่นมาเสริมจากพืชพันธุ์ธัญญาหาร คนไม่พอก็เอาจากวิตามินจากเนื้อสัตว์มาเสริมอีก คนมันเสื่อมลงก็ไปกินเนื้อสัตว์ เอาธาตุอะไรทางเนื้อสัตว์มาใช้ คนก็เลยกลายเป็นยักษ์เป็นมารมากขึ้น จนทุกวันนี้ซับซ้อนด้วยนะ ดุเดือดซ่อนเชิงเลวร้ายเรียกว่ากินกันไม่รู้เรื่องเลย กัดกันทำร้ายกันอย่างไม่เห็นร่องรอย ไม่ให้รู้ตัว ถึงขนาดนั้น แต่พวกที่ยังทำหยาบๆอยู่ก็เยอะ หรือทำอย่างเนียนสนิทจนคนจะไม่รู้เลยว่าถูกหลอกกิน ยิ่งกว่าแดร็กคูล่า กับนางเอกหนัง ถึงเวลานางเอกหนังก็จะมายื่นคอให้แดร็กคูล่าดูดเลือด ทางศาสนาเทวนิยมเขาก็รู้ มันเก่งขนาดนั้นเป็นปรนิมมิตวสวัตตี ยิ่งกว่านิมมานรดี จตุมหาราชิกา อย่างนั้นมันตื้น พอยิ่งสูงขึ้นกินเนียนสนิทให้คนอื่นมาประเคนเหมือนอย่างธัมมชโย ทำ เนียนมากเลย แต่มีเหตุให้คนอื่นเอามาให้แก่ตนเอง

แต่ธัมมชโยก็ยังเนียนไม่เท่ามหาบัวที่เอาไปช่วยประเทศชาติอย่างเด่นชัด มหาบัวเนียนกว่า เป็นเสือร้ายเนียนกว่าธัมมชโย แล้วก็บอกว่าชาตินี้ฉันช่วยไว้นะ ธัมมชโยสู้ไม่ได้ทางฝีมือ ขออภัยลูกศิษย์ของมหาบัว อาตมาเอาธรรมะมาขยายความเรียนรู้ดีๆ ที่พูดอยู่ทุกวันนี้พยายามจะจี้จะไชพวกที่นั่งหลับตาปฏิบัติ ให้ตื่นออกเรียนรู้ จรณะ 15 วิชชา 8 ของพระพุทธเจ้าให้ดีๆ ปฏิบัติให้ตรง ให้มีอปณกปฏิปทา 3 ปฏิบัติไม่มีหรอกไปนั่งหลับตา ในจรณะ 15 ไม่มีไปนั่งหลับตา ไปตีขลุมเอาวิชชา 8 ไปนั่งหลับตายิ่งไม่ได้ใหญ่ เพราะอันนั้นมันเป็นผลที่เกิดจากนามธรรมทางจิตใจ ส่วนรูปธรรมนั้นเป็นจรณะ 15  พระพุทธเจ้าบริภาษภิกษุสาติ ที่ไปหาวิธีที่ไม่มีวิญญาณฐีติ ไปปฏิบัติเข้าใจว่าวิญญาณล่องลอย เป็นวิญญาณสัมพเวสี วิญญาณไม่เกิดทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยนี่ ไม่มีกามไม่มีกาย เป็นเรื่องโมฆะ เป็นเรื่องเดียรถีย์เป็นเรื่องสูญเปล่าจากศาสนาพุทธ

อาตมาพยายามดึงกลับเป็นปัจจุบันณชาติ ชื่อว่าความจริงคือสภาพที่เกิดในระดับ status quo ปัจจุบันนี้เลย Suddenly บัดเดี๋ยวนี้เลย สัมผัสกันอยู่หลัดหลัดแล้วมีเหตุปัจจัยอยู่ยืนยันกันได้ต่อกันและกันเลย ไม่ใช่ไปหลับตา ไม่ใช่ไปอยู่ในภวังค์คิดเอาแล้วเอามาพูดไม่ใช่ แต่เอาตรงๆปัจจุบันสั้นนิดเดียวเล็กๆแต่เป็นเรื่องจริง เต็มไปหมดโลกนี้แหละจะต้องรู้ความเป็นจริงของโลกของทั้งหมดมันจะรวมไปหมดเลย ทั้งโลกทั้งอัตตา

ลองฟังเพลงซ้อนอีกที เป็นเพลงที่อาตมาเขียน เรียกว่าเพลงชีวิต

 

เพลงชีวิต หมายเลข ๓ เพลงรากไท เพลงไทยแท้

แม้เจ้าจะตาบอด มาแต่กำเนิด

แต่เจ้าก็ยัง "เห็น" แสงสว่างของโลกได้

เจ้ายัง "เห็น" แมกไม้ และเกลียวคลื่น

เจ้ายังสามารถ "เห็น" คนเศร้าโศก "เห็น" คนระเริงสุขได้

 

แม้เจ้าจะหูหนวกมาแต่กำเนิดอย่างสนิทปานใด

เจ้าก็ยัง "ได้ยิน" เสียงของนกร้องละเมอ…

เสียงของความอลวนของโลก

เจ้ายัง "ได้ยิน" เสียงคนด่าทอ และเสียงสรรเสริญเยินยอได้

 

แม้คนผู้หนึ่งจะพยายาม ปิดตา ปิดหูของตน

ให้มันบอด และหนวกสนิท เช่นนั้นก็ตาม

คนผู้นั้นก็จะต้อง "รู้" ต้อง "ทราบ"โลก "ทราบ"ชีวิต

ที่มันเป็นไปอยู่ ในโลกนี้ได้

ไม่น้อยไปกว่าคนดีๆ ธรรมดา ๆ เลย

 

เพราะโลกนี้ มี "วิญญาณ" ! !

การสัมผัสต่างๆ ที่ทำให้คน "รู้" ได้ นั่นแหละ คือ "วิญญาณ"

 

ผู้มี "วิญญาณ " ชาญฉลาดแท้ จะสามารถเห็นแจ้ง ว่า…

อย่างนั้นแหละคือ "โลกที่ยังวนเวียน ไม่รู้จบ"

อย่างนั้นแหละคือ "อารมณ์โลกที่ดึงดูดใจมนุษย์"

อย่างนั้นแหละ คือ "ความเจ็บปวด"

อย่างนั้นแหละ คือ "ความเอร็ดอร่อย"

และนั่นเอง คือ "ความทุกข์" กับ "ความสุข"

 

"ฆ่า" มันเสียสิ ! ! !

อย่าให้ "เจ้าสิ่งต่างๆ" เหล่านั้น มาเป็นของเรา

โลกมันต้อง "มี" สิ่งเหล่านั้นเป็นธรรมดา

สำหรับผู้ ไม่รู้ ว่า มันเป็น "มายา"

 

แต่ "เรา" ต้องเรียนรู้

ต้องลด ต้องฆ่าสิ่งเหล่านั้น อย่าให้ "มี" ในตน

มันเกิดอยู่ มีอยู่ อย่างเก่งฉลาด และพัฒนาเจิดจ้าเต็มโลก

หรือ แม้ในตัวเรานั่นแหละ

ที่มันยังหลง "มี"อยู่ อย่างแฝงซ่อนแท้จริง

 

แต่ มันไม่ใช่ "ของจริง" หรือ "ของเรา" หรอก

อย่าหลงผิดว่า มันคือ "เรา" เลย

และ อย่าหลงผิดว่า มันเป็น"ชีวิตชีวา" ของเราเลย

 

เมื่อผู้ใด "ฆ่า" มันได้จนตายดับสนิท

ไม่เหลือเชื้อเป็นตัวเป็นตนอีกแน่

แล้วเมื่อนั้น เราจะยืนอยู่สูงสุด "เหนือโลก" อย่างแท้จริง"

 

๒๐ เมษายน ๒๕๑๔

 

พ่อครูว่า…จำได้ว่าเพลงชีวิตหรือเพลงอริยะ เขียนไปก็ทยอยส่งให้เขาพิมพ์ไป เขียนที่โรงพิมพ์สดๆแล้วก็ส่ง กระดาษฉีกไปเรียงพิมพ์ แต่ก่อนต้องเรียงพิมพ์ แล้วค่อยเอามาพิมพ์ออกมา ทบทวนงานที่ตัวเองทำมาแล้วตั้งแต่ออกมาบวช พ.ศ. 2513 อันนี้เพลงเขียน 2514 ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ก็ทำงานมาตลอดเป็นงานโลกุตระ ที่มันยิ่งมาถึงทุกวันนี้แล้ว พ.ศ. 2564 มันย่าง 51 ปีแล้ว มันก็ยิ่งเข้าใจยิ่งเห็นจริงยิ่งเห็นลึกแล้วยิ่งเห็นว่าเมืองไทย จะเป็นเมืองหลัก เป็นเมืองที่จะต้องมีอาริยธรรม เป็นหลักให้แก่โลกเขา

อาตมาว่าอาตมาไม่ได้ละเมอเพ้อพก แต่ยืนบนฐานความเป็นจริงของความเป็นมนุษย์และเป็นโลกเป็นอัตตา อาตมาชัดเจนเรื่องความเป็นโลกความเป็นอัตตา เรื่องธรรมะเรื่องโลกุตระ เพราะฉะนั้นจึงพยายามระดมให้พวกเราศึกษาตั้งใจ ปราชญ์ทั้งหลาย ผู้รู้ทั้งหลายช่วยกันหน่อย มาทำสิ่งที่ควรจะต้องสนับสนุนส่งเสริมกันนี้ คือส่งเสริมกันให้รู้ว่าเมืองไทย จะเอาเด่นเอาดีทางกสิกรรม ในเรื่องของประมงหรือปศุสัตว์ก็เป็นเรื่องรอง เป็นเรื่องเคียง อาศัยกันไปสำหรับผู้ที่ยังต้องอาศัย สำหรับผู้ที่ยังติดยึดอยู่ ถ้าจิตมนุษย์ไม่ต้องไปทำอะไรกับสัตว์ สัตว์ก็ปล่อยตามยถากรรมเขา เพราะสัตว์มันจิตนิมียาม มันมีรักมีชัง มันมีผูกพยาบาท มันมีแก้แค้น มีความรัดรึง ก็จะเสียพลังงานซ้อน แต่ถ้าพืชก็ไม่มีปัญหา อาศัยพืชเป็นอาหาร ไม่ต้องไปอาศัยสัตว์เป็นอาหารได้อย่างนี้ก็ลึก ไกล แต่ก็ต้องเดินไปสู่จุดสูงสุด ผู้ใดได้แล้วก็นำพากันไป ผู้ที่ยังไม่ได้ก็ค่อยๆศึกษาฝึกฝนขึ้นมาช่วยโลก

ธาตุวิญญาณ มันลึกซึ้ง ยิ่งใหญ่ เทวนิยม ไม่ได้ตีแตกเรื่องวิญญาณ อาตมาตอนนี้เขียนหนังสือ “รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร” เล่ม 4 ขยายละเอียดมากเลยและก็แยกแยะให้เห็นเทวะ เป็นวิชาการไม่ได้ข่มขี่เขาหรอก ให้เห็นเทวนิยมซึ่งเป็นมวลมากของมนุษย์ เพราะมนุษย์จะต้องอวิชชามากกว่าคนที่วิชชา คนที่มีวิชชาก็อยู่ยอดพีระมิด คนที่อวิชชาก็จะไล่ระดับลงมาหากลางหาฐานอยู่ระดับเบื้องล่าง มันเป็นสัจจะที่แย้งไม่ได้หรอก เป็นสัจจะเมื่อใดเมื่อใดก็ต้องเป็นเช่นนั้นตถตา

สูงสุด คนที่สูงแล้วก็ต้องพยายามให้ความรู้แล้วก็ต้องยืนหยัดยืนยันตัวเอง มีหลักฐานยืนยันด้วย อย่างที่เป็นกันมาโลกุตรธรรม พวกเราถึงขั้นสาราณียธรรม 6 สาธารณโภคี เป็นสูตรสมบูรณ์แบบแล้ว พวกเราก็พิสูจน์ความจริงอันนี้ไป

ในเพลงนี้ อาตมาก็ว่า เวอร์ชั่นเร็วหรือช้าก็ฟังดีทั้งสองเวอร์ชั่น เวอร์ชั่นช้า อาตมามาแต่งเนื้อร้องเพิ่มเป็นวรรคที่ 2 ตอนนั้นให้นายป็อบปี้ร้อง ต่อมานายโอ๋ร้อง ลองฟังเวอร์ชั่นเร็วของนายโอ๋ซิ

...มาเถิดอย่าช้า อยู่ไหนรีบมาคว้ามีดพร้าและจอบเสียม มาปลูกย้ำธรรมเนียม เตรียมไถไร่นาป่าสวนมวลพืชพันธุ์ มาสร้างคนร่วมกันรังสรรค์บ้านเมือง ประเทืองประทีปไทย เมื่อเกิดมาเป็นคน ทุกชีพชนม์ฝันใฝ่ สูงสุขจริงยิ่งใหญ่ ต่างไขว่ต่างคว้า ทุกข์ทนฟันฝ่า เพื่อจะพาชีวิตดี หากใครเชื่อกรรม สมรรถะทำเต็มที่ ขยันสร้างสรรแล้วพลี ย่อมมีคุณค่าแท้ ทั้งเป็นทรัพย์แก่ ผู้แผ่บุญหนุนโลก

เมื่อเกิดเป็นคนแล้ว จะแคล้วคลาดความทุกข์โศก ก็เพราะฝึกตนทวนโลก โชคดีหลุดพ้น พลิกตนพาชาติ ปราศอบายเสริมบุญ สร้างคนสร้างงาน สามารถจานเจือจุน สมรรถะนี้คือทุน ยอดคุณค่าแท้ ทั้งเป็นทรัพย์แก่ผู้แผ่บุญหนุนโลก

 (เพลง สมรรถภาพ/ครูรัก รักพงษ์)

 

นั่นครบทั้งสองเนื้อบริบูรณ์เวอร์ชั่นนายโอ๋ร้องนี่ นายไก่เป็นคน Arrange ฟังดูปลุกเร้าดี มาขยายความ เพื่อเน้นเนื้อหาความเข้าใจความรู้และเป็นให้ได้จริงๆตามนี้

มาเถิดมาอย่าช้า ก็คือเร่งรัดเร่งเร้าปลุกเร้ากันให้มาเร็วๆอยู่ไหนก็รีบมา คว้ามีดพร้าและจอบเสียม ซึ่งภาษาไม่ได้ยากอะไร

มาปลูกจำธรรมเนียม หมายความว่ามาปลูก มาย้ำ มาฝึกฝน มากระทำมาฝึกหัดให้เป็น ธรรมนิยม ให้เป็นทำเนียมอันเที่ยงแท้ นิยมะคือเที่ยงแท้

เตรียมไถไร่นา ป่าสวนมวลพืชพันธุ์ ทั้งไร่ทั้งหนาทั้งป่าทั้งสวนมวลพืชพันธุ์ ครบทั้งเนื้อหาพยัญชนะ รวมพืชพันธุ์ธัญญาหารไว้ครบ

มาสร้างคนร่วมกันสร้างสรรค์บ้านเมือง ประเทืองประทีปไทย ไทยรุ่งเรืองเป็นประทีปเป็นแสงสว่างไปสู่ความอิสระหรือไปสู่ความเป็นไทย หรือคนไทยหรือประเทศไทย คนไทยนี่แหละให้เจริญประสบความเป็นไทยเป็นอิสระเสรีภาพอันบริสุทธิ์สมบูรณ์ทั่วโลก นี่เป็นสร้อย

เพลงโลกุตระเป็นไปเพื่อสังคมมนุษยชาติ เป็นไปไม่เพื่อตัวตน เป็นเพลงละกิเลส เป็นเพลงโลกุตระ

เมื่อเกิดมาเป็นคน ทุกชีพชนม์ฝันใฝ่ แสวงหา ใฝ่หาความสูง ใฝ่หาความสุขจริงยิ่งใหญ่ ต่างไขว่ต่างคว้า ทุกข์ทนฟันฝ่าเพื่อจะพาชีวิตดี

หากใครเชื่อกรรม สมรรถะทำเต็มที่หากใครสร้างที่กรรม กรรม เป็นตัวยิ่งใหญ่ตัวรวมทุกอย่างกรรมเท่ากับ God ของศาสนาเทวนิยม แล้วกรรมเป็นจริงกว่า God ที่ว่าอย่างนั้นเพราะว่า God มันยังไม่เคยเห็นตัวตน พระเจ้าอยู่ไหนไม่รู้มีคำสอนตายตัว ไม่เกิดเป็นความเที่ยงตายเด๋เลย อธิบายอะไรออกไม่ได้ ทั้งๆที่โลกมันเปลี่ยนไป เหตุปัจจัยต่างๆ องค์ประกอบต่างๆของดินน้ำไฟลมของมนุษยชาติของสถานที่ มันไม่ได้มีโครงเดิมเลย มันเปลี่ยนไปตลอดเวลา โลกทั้งโลกจักรวาลทั้งจักรวาลตอนนี้ถือว่ามันเสื่อมลงแล้ว มันก็เสื่อมไป แต่มันนานไม่รู้กี่ล้านๆปีแสงกว่าจะสูญสิ้นไป ลองคิดชีวิตของคนแต่ละคน 100 200 ปีมันไม่นานอะไรเลย อาตมาเกิดมาในยุคนี้ อายุถึง 100 ปีก็ยังยากแล้ว ก่อนๆนี้เขาอายุหลายร้อยปี แต่อย่างพระพุทธเจ้าตรัสไว้ มนุษย์เคยอายุถึงหลายหมื่นปีเป็นแสนปี คิดไม่ออกหรอก คน ตะบันน้ำกินหรือไง อยู่กันตั้ง 80,000 ปีคิดไม่ออกหรอกเป็นเรื่อง อจินไตย ไม่ต้องคิด ก็เอาที่ใกล้ๆที่เราคิดไปถึงได้ ทุกคนทำกรรมเป็นของตนเอง กัมมสโกมหิ กัมมทายาโท กัมมโยนิ กัมพันธุ กัมมปฏิสรโณ  กัมมังสัตเต วิภัชชติ กรรมจำแนกสัตว์ทุกสัตว์เป็นไปตามกรรม

1. กัมมสัทธา (เชื่อกรรมเป็นเหตุ)

2. วิปากสัทธา (เชื่อผลวิบากของกรรม) &

3. กัมมัสสกตาสัทธา (เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็น  สมบัติแท้ของตน กรรมเป็นพระเจ้าบันดาลแท้)

4. ตถาคตโพธิสัทธา (เชื่อความตรัสรู้ของตถาคต)

(ข้อ 4 มีใน พตปฎ. เล่ม 23  ข้อ 4)

 

เชื่อกรรมเป็นของๆตน กรรมก็คือการกระทำ เข้าใจแล้วว่ากรรมคืออะไร การคิดก็เป็นกรรม การพูดออกมาก็เป็นกรรม ออกมาทางนัจจะคีตะวาทิตะ รวมทั้งกายวาจาใจก็เป็นกรรมทั้งนั้น ตกผลึกเป็นวิบาก แล้วเป็นของตนเอง กัมมัสสกตาสัทธา

ใครเชื่อกรรม เร่งความพากเพียร อุตสาหะ วิริยะ ให้มันเกิดสมรรถนะ หรือให้มันเกิดความสามารถเกิดทักษะเกิดความเชี่ยวชาญ ให้เต็มที่ เมื่อเต็มที่แล้วเก่งแล้วก็เพิ่มพลังงานขยัน ขยันสร้างสรรค์ แล้วพลีออกสลากออก ไม่ใช่ขยันสร้างสรรค์แล้วโลภ กักตุนเป็นของกูและเอาไปออกดอกออกผลให้สะสมมากขึ้นไปอีก ไม่ใช่ อย่างนั้นเป็นโลกีย์จัดจ้าน ยังเป็นพวกทุนนิยม เป็นพวกที่ทำลายสังคม เป็นพวกบาปกินหัว ฟังให้ดีนะ อาตมาพูดแรง พูดสั้น อาตมาด่าเอาบุญ ด่าชำระกิเลส ด่าชั้นสูง

ขยันสร้างสรรแล้วพลี ย่อมมีคุณค่าแท้ ทั้งเป็นทรัพย์แก่ ผู้แผ่บุญหนุนโลก  แผ่คือกระจายออกไปให้แก่โลกเขา ตนเองทำตนเองเป็นเจ้าของทรัพย์แต่เราสละพลี แจกให้แก่ผู้อื่น

เมื่อเกิดเป็นคนแล้ว จะแคล้วคลาดความทุกข์โศก ก็เพราะฝึกตนทวนโลก โชคดีหลุดพ้น พลิกตนพาชาติ ปราศอบายเสริมบุญ สร้างคนสร้างงาน สามารถจานเจือจุน สมรรถะนี้คือทุน ยอดคุณค่าแท้ ทั้งเป็นทรัพย์แก่ผู้แผ่บุญหนุนโลก

ให้มันลดอบาย ลดสิ่งต่ำไปเรื่อยๆ แล้วเสริมบุญ​คือ อาการตัดกิเลส

พ้นอบายไปเป็นลำดับ ปถุชน เป็นอบายของโสดาบัน

โสดาบันเป็นอบายของสกิทาคามี

สกิทาคามีเป็นอบายของอนาคามี

อนาคามีเป็นอบายของอรหันต์

อรหันต์ระดับ 1 เป็นอบายของอรหันต์ระดับ 2

อรหันต์ระดับ 2 เป็นอบายของอรหันต์ระดับ 3

อรหันต์ระดับ 3 เป็นอบายของอรหันต์ระดับ 4

อรหันต์ระดับ 4 เป็นอบายของอรหันต์ระดับ 5

อรหันต์ระดับ 5 เป็นอบายของอรหันต์ระดับ 6

อรหันต์ระดับ 6 เป็นอบายของอรหันต์ระดับ 7

อรหันต์ระดับ 7 เป็นอบายของอรหันต์ระดับ 8

อรหันต์ระดับ 8 เป็นอบายของอรหันต์ระดับ 9

ระดับ 9 ก็เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะกับพระพุทธเจ้า มีภูมิธรรมสัพพัญญูเท่ากันแต่พระพุทธเจ้านั้นประกาศศาสนาแก่โลก แต่ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่ได้ประกาศศาสนาแก่โลกเท่านั้น ถ้าจะมองในมุมความไม่มีตัวตนพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่มีตัวตนยิ่งกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ประกาศตัวตนเลย อาตมายังไม่ถึงพระพุทธเจ้าไม่ถึงปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า แค่ระดับ 7 ไล่ระดับไปถึง 8 9 เท่านั้น

 

สร้างคนสร้างงาน สามารถจานเจือจุน สมรรถะนี้คือทุน ยอดคุณค่าแท้ ทั้งเป็นทรัพย์แก่ผู้แผ่บุญหนุนโลก

 

สร้างคนสร้างงานทำงานแล้วหมดตัวตนมีระบบสาธารณโภคีสุดยอดยิ่งใหญ่ไม่ต้องสะสมไม่ต้องไปแย่งใคร สามารถจานเจือจุน อย่างกระท่อมปันสุข ก็เอาที่ดีๆงามๆให้เขาหน่อยไม่ใช่เอาที่เน่าๆให้เขา

สมรรถะนี้คือทุน นี่แหละเป็นนายทุนที่แท้จริงคือมีสมรรถนะ ไม่ใช่มีเงินทองมีธนบัตรมีข้าวของไม่ใช่ แต่เป็นนามธรรม นายทุนของเราเป็นนายทุนนามธรรม นายทุนความขยันนายทุนสมรรถนะเป็นความรู้ความสามารถ เป็นยอดคุณค่าแท้ ทั้งเป็นทรัพย์แก่ผู้แผ่บุญหนุนโลก ผู้ละกิเลสได้ก็มี สมรรถนะและความขยันเป็นทรัพย์แท้ ให้แก่โลก ตัวเองไม่ต้องไปคิดว่าฉันมีทรัพย์ฉันมีนามทำ แต่เป็นอัตโนมัติของตนเองโดยไม่ต้องนึกถึงเลย เราไม่ต้องนึกว่าเรามีทรัพย์อยู่เท่าไหร่แล้วมีอริยทรัพย์เท่าไหร่แล้วไม่ต้อง ไม่ต้องเลย ไม่ต้องไปกังวล สอบพนักงานนามธรรมจัดการทำบัญชีให้เราเอง ยิ่งกว่าสุวรรณสุวาน พวกเราไม่ใช่สุวานมาทำ แต่พวกเรามีสุวรรณมาทำ สุวานไปทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง สุวรรณมาทำให้เรา สุวรรณ เราก็เป็นช่าง แต่พวกเราไม่มีใครชื่อสุวาน (หมา)

สู่แดนธรรม...มีคนบอกว่า นายป๊อบ (ขุนพล) เป็นผู้เรียบเรียงเพลงนี้ไม่ใช่นายไก่เป็นผู้เรียบเรียง

พ่อครูว่า…อยากให้มาประสานกันระหว่างเวอร์ชันเร็วและเวอร์ชั่นช้าต้องมีตัวเชื่อมกัน

 

ยังมีกายอยู่ คุณก็ยังมีกามอยู่

มาเข้าสู่เนื้อหา คุหัฏฐสูตร บทแรกก็ขยายความไปหมด

จากพระไตรปิฎก ล. 29 คุหัฏฐกสุตตนิทเทสที่ ๒

ว่าด้วยนรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำคือกาย

[30] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ(สตฺโต คุหายํ) เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว(พหุนาภิฉนฺโน) นรชนเมื่อตั้งอยู่ ก็หยั่งลงในที่หลง((ติฏฺฐํ นโร โมหนสฺมํ ปคาโฬฺห) นรชนเช่นนั้น ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก(ทูเรวิเวกา) ก็เพราะกามทั้งหลายในโลก ไม่เป็นของอันนรชนละได้โดยง่าย.

คนจะรู้กามนี่ไม่ง่าย อย่างที่อาตมาว่าอยู่ทุกวันนี้ รู้กามต้องรู้กาย

คุณรู้กาม คุณต้องมีสัมมาทิฏฐิในความเป็น กาย เพราะกามนี้กับกายแยกกันไม่ได้

ถ้าคุณไม่รู้จักกาย ยังมีกายอยู่ คุณก็ยังมีกามอยู่

ฟังอีกที คุณยังมีกายอยู่ คุณยังมีกามอยู่

คุณต้องหมดกาย เป็นชีวิตพืช พืชไม่มีกาย จิตนิยามมีกาย พีชนิยามไม่มีกาย ยิ่งอุตุนิยามยิ่งไม่มีกายเลย แยกกายแยกจิตตรงนี้ ก็เห็นใจแต่ต้องอธิบายสัจธรรมอันลึกซึ้งอันนี้

เพราะฉะนั้นถ้าแยกไม่ออกทวน ผมขนเล็บฟันหนังในมูลกรรมฐาน 5 ที่มันอยู่ข้างนอกเป็นอวัยวะองคาพยพ 32 นี้ ผมขนเล็บฟันหนัง นี่แหละองคาพยพ นอกนั้นมันไม่ใช่ มันแค่
ทวัตติงสาการ เป็นอาการ 32 แต่คนไปมีตาวติงสา ไม่มีองค์ที่ 33 นั่นเป็นของปลอมเป็นดาวดึงหรือ ตาวติงสา นั่นมันเป็นของเก๊ มันไม่มีจริง เป็นลมๆแล้งๆ เพ้อฝันปั้นขึ้นมาเป็นนิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมานกาย ขึ้นมาเอง แล้วมันก็เป็นของแต่ละคน ต่างคนต่างไม่รู้ของใครหรอก เสพ เป็นอุปทานหมู่เท่านั้น สัมโภคกายต่างคนต่างปั้นขึ้นมาเสพเป็นอุปทานแท้ๆเลย

เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดถือลมๆแล้งๆมันไม่เข้าเรื่อง เวทนามี 1 เท่านั้น เมื่อเรายังมีธาตุรู้ ถ้าปรินิพพานเป็นปริโยสานก็แยกธาตุเวทนาหมดเลย แยกเป็นอุตุ เป็นธาตุดินน้ำไฟลมหมดเลย ไม่มีความรู้สึกเลย หรือไม่ก็แค่อาศัยไม่ถึงขั้นอุตุขั้นพีชะ

 

กายกับกาม อย่างมหาบัวไม่รู้จักกาม รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสไม่รู้จัก เสพติดเกิดจากหมากพลู รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสครบอยู่ในนั้นเลย กินติดปากจนกระทั่งตายไปพร้อมกับหมาก ไม่เข้าใจเรื่อง กาม เพราะไม่เข้าใจเรื่องกาย ไม่รู้จักกาย ไม่พ้นสักกายทิฏฐิ ข้อที่ 1 ของสังโยชน์ เข้าใจกายไม่ได้ อย่าว่าแต่เข้าใจกายไม่ได้เลย สักกะของตนก็ไม่รู้ แต่พอรู้ว่าเพื่อผู้อื่นของผู้อื่นดี

เป็นตัวอย่างได้ว่าไม่ใช่ แต่มันซ้อน หยาบ ซ้อนละเอียดเข้าไป ตัวเองยึดถือของตัวเองอย่างแน่นเลย เป็นอุปกิเลสเป็นตัวกูของกู พอพูดถึงทองที่เข้าพระคลังเรี่ยรายได้ ไม่ใช่น้ำพักน้ำแรงตัวเองนะ ไม่ใช่ตัวเองสร้างขึ้นมาแล้วก็แลกเปลี่ยนด้วยอัตราค่าแลกเปลี่ยนตามควรไม่ใช่ไปเอาเปรียบอย่างนายทุน แล้วคุณก็ได้ทองคำเท่านั้นบาท หมื่นล้านบาทอะไร แสนบาทอะไรก็แล้วแต่ มีทองคำเข้าคลัง มีเงินดอลลาร์ เข้าคลัง กี่หมื่นล้านอะไรก็แล้วแต่ ก็ยึดถือว่าเป็นของเราจนตาย พูดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ภูมิใจ ว่านี่ฝีมือเรา ไปเรี่ยไรเขามาแต่อ้างว่าเพื่อประเทศไทย เอาประเทศมาเป็นจำเลย ใครก็เอามาให้สิ แล้วก็เอาไปช่วยคลัง นี่มันเป็นความซับซ้อน คนฉลาดจะใช้ความซับซ้อนพวกนี้สร้างอัตตาตัวเองให้โตได้ แล้วติดยึดในอัตตาตัวเองแน่นเหนียวไม่เข้าใจ

ตีอัตตาหรือกายอย่างหยาบคือโอฬาริกอัตตา คือกายคือกามภายนอก หมดกาม ทวารทั้ง 5 แล้วเข้าไปสู่รูปภพ ภวตัณหา รูปภพ อรูปภพ จึงค่อยๆเลื่อนเข้าไปเป็น มโนมยอัตตา โอฬาริกอัตตา อรูปอัตตา ในอัตตา 3  ซึ่งไม่ได้เข้าใจอัตตาได้ง่ายๆ แล้วต้องล้างก่อนนะโอฬาริกอัตตาหรือกาม ต้องล้างออกไม่มีกายให้ได้ก่อน คุณจึงจะเหลือรูปภพ อรูปภพ เหลือภวตัณหา แต่คุณยังมี โอฬาริกอัตตาหรือมีกายครอบอยู่อย่างนี้ ไม่มีทางเข้าไปภายในได้ เหมือนกับจะกินทุเรียนโดยเอาปากไปกัดเปลือกทุเรียนได้อย่างไร คุณจะมาเรียกว่าเอาพร้าเอามีดมาเจาะเอาเปลือกออกก่อน คุณก็ต้องทำด้วยตัวเองสิ แต่เอาปากกัดเปลือกทุกเรียน อาตมาว่า ปากคุณพังก่อนได้กินทุเรียน มันไม่ได้ อ้างทุเรียนนี้ชัดดีเหมือนกันนะ ไปอ้างถ้ำ ภูเขาก็ยาก แต่เปรียบเทียบเปลือกทุเรียน คุณเอาปากกินอย่าอาศัยอย่างอื่นมันไม่ได้ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

สู่แดนธรรม...กระรอกก็แทะเปลือกออกก่อน ย้อนไปเรื่องเพลงสมรรถภาพ ไม่เห็นครูบาอาจารย์คนไหนฝึกลูกศิษย์ให้เกิดสมรรถภาพได้อย่างนี้ สอดคล้องกับโอวาทปาติโมกข์ 3 เมื่อหมดกิเลสแล้วก็ทำกุศลให้ดีมากขึ้น

พ่อครูว่า…เป็นอายะ 3 พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

ถ้าไม่เข้าใจเรื่องกาย ไม่เข้าใจเรื่องกาม ปิดประตูนิพพานได้เลย ต้องให้พ้นวิจิกิจฉาพ้นความสงสัยคลางแคลงว่า กายคืออะไร สักกะคืออะไร ตัวเรา กิเลสเรา โดยเฉพาะนามธรรมของเรา ตัวจิตเจตสิกต่างๆ รู้แล้วก็ชัดเจน แยกเอาสิ่งที่มันละเอียดมันเป็นกายกลิ เป็นตัวกิเลสที่ต้องอาศัยกาย เป็นตัวนอกก่อน แล้วค่อยเป็นจิตกลิ ถ้ากายกลิยังยังไม่หมดกาย แล้วคุณจะไปทำงา จิตกลิ มันผิดขั้นตอน ผิดลำดับ

เพราะฉะนั้นพวกสายหลับตาเนี่ย เป็นโมฆะมันทำไม่ได้มันปลอม มันเป็นไปไม่ได้ พูดอย่างไรก็คงจะยาก แต่ยากก็คงจะมีคนคอยฟังก็คงจะศึกษา อาตมาว่าแม้พระไตรปิฎกเป็นฉบับของพระกัสสปะซึ่งเป็นยอดของเทวนิยมหนัก ขอบปลายของศาสนาพุทธเลย คือพระกัสสปะ อันนี้คนก็พอเข้าใจได้บ้าง พระกัสสปะ เป็นจอมออกป่ายึดป่า พระพุทธเจ้าเก็บตกจากพวกเดียรถีย์มา แล้วก็เป็นหัวหน้าเรียบเรียงพระไตรปิฎกแล้วเอามาใช้กันอยู่ในประเทศไทยด้วย อาตมาก็ช่างกระไร ไม่เอาฉบับของพระสารีบุตรมารวบรวมไว้เอามาใช้กัน มาเอาของฝ่าย กัสสปะมา

สู่แดนธรรม…มี 3 เล่มที่เป็นของพระสารีบุตร คือเล่ม 29 30 31 นอกนั้นเป็นของพระกัสสปะ

พ่อครูว่า…เล่ม 29 มีคุหัฏฐกสูตร กับเล่ม 31 ซึ่งพูดถึงบุรุษ บุคคลต่างๆ แล้วต่อไปขยายถึงบุคคล 7 เอาแต่แค่อุภโตภาควิมุติแล้วไปเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ

มาเน้นอีกที กายกับกาม

กามเป็นสิ่งที่นรชนทั้งหลายในโลก ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ชนทั้งหลายในโลกจะละได้โดยง่าย กาม ภาษาพูดสั้นนิดเดียว

 

สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด มีอยู่ หากว่าภิกษุเพลิดเพลิน ชมเชย ยึดถือรูปนั้น ตั้งอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียงที่พึงรู้แจ้งด้วยโสต ... กลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยฆานะ ... รสที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหา ... โผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งด้วยกาย ... ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยมนะ ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดมีอยู่ หากภิกษุเพลิดเพลิน ชมเชย ยึดถือธรรมนั้นตั้งอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนเมื่อตั้งอยู่แม้ด้วยประการอย่างนี้.

สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณที่เข้าถึงรูป เมื่อตั้งอยู่ย่อมมีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้ง ซ่องเสพความเพลิดเพลินตั้งอยู่ ย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณที่เข้าถึงเวทนา ...

วิญญาณที่เข้าถึงสัญญา ... หรือวิญญาณที่เข้าถึงสังขาร เมื่อตั้งอยู่ ย่อมมีสังขารเป็นอารมณ์ มีสังขารเป็นที่ตั้ง ซ่องเสพความเพลิดเพลินตั้งอยู่ ย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนเมื่อตั้งอยู่ แม้ด้วยประการอย่างนี้

พ่อครูว่า…ต้องไม่ให้มันตั้งอยู่อย่างนี้ ต้องให้มันคลี่คลาย แล้วไม่ให้มันเจริญงอกงามไพบูลย์  ให้มันเสื่อม ให้กิเลสเสื่อม จนจิตใสสะอาดมากขึ้นไม่มีอะไรเพิ่มขึ้น จิตมีแต่เอาออก จิตที่ใสสะอาดก็คือเอาขี้ไคลแห่งความคิดออก ขี้ไคลของความคิดคุณมากเข้าก็จะกลายเป็นหูด เป็นพวกเนื้อเสียเป็นก้อน ตัดทิ้งได้ไม่เจ็บ กลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่กายแล้ว เหมือนเล็บ ผม เฉือนออกได้ไม่เจ็บหรอก หูดเป็นโพรงๆหน่อย แต่หนังจะแข็งเป็นก้อน

ผู้ใดไม่รู้จักกาย ไม่รู้จักกาม แยกไม่ออก กายมีทั้งกายนอกกายใน แต่กามไม่มีกาม
นอกงธรรมกามใน กามมันข้างนอก มีแต่กามคุณ 5 ไม่มีกามคุณ 6 กามคุณ 7 ต้องเอากามคุณ 5 ออกก่อน ถ้าไม่เอาออกก่อนไปทำภายในไม่ได้ เหมือนกับทุเรียน หากไม่เอาเปลือกทุเรียนออกก่อนคุณกินข้างในไม่ได้ ทุเรียนมีหนามป้องกันเยอะ ทุเรียนคงมีลีลาออกไปนอกประเทศอีกเยอะ เมืองอื่นประเทศอื่นก็มีทุเรียนเหมือนกัน แต่ทุเรียนของไทยรู้สึกจะพัฒนาพลิกแพลงไม่รู้กี่ชื่อ ขายกันลูกละเป็นแสน เจ้าประคุณแต่เขาประมูลหรอก ถ้าราคาจริงๆก็คงไม่ได้ อย่างเก่งก็สี่พู พูละสองหมื่นห้า

สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่า ความกำหนัด(ราโค) ความเพลิดเพลิน(นันทิ) ความปรารถนา(ตัณหา) มีอยู่ในกาวฬิงการาหาร วิญญาณก็ตั้งอยู่งอกงาม ในที่นั้น

วิญญาณตั้งอยู่งอกงามในที่ใด ความหยั่งลงแห่งนามรูปก็มีอยู่ในที่นั้น ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายมีอยู่ในที่ใด ความเกิดในภพใหม่ต่อไป ก็มีอยู่ในที่นั้น ความเกิดในภพใหม่ต่อไปมีอยู่ในที่ใดชาติ ชรา มรณะต่อไปก็มีอยู่ในที่นั้น ชาติ ชรา มรณะต่อไปมีอยู่ในที่ใด

ดูกรภิกษุทั้งหลายเรากล่าวว่า ที่นั้นมีความโศก มีความหม่นหมอง มีความคับแค้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความปรารถนา มีอยู่ในผัสสาหาร ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความปรารถนา มีอยู่ในมโนสัญญาเจตนาหาร ...

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่า ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความปรารถนา มีอยู่ในวิญญาณาหาร วิญญาณก็ตั้งอยู่งอกงามในที่นั้น วิญญาณตั้งอยู่งอกงามในที่ใด ความหยั่งลงแห่งนามรูปก็มีอยู่ในที่นั้น ความหยั่งลงแห่งนามรูปมีอยู่ในที่ใด ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายก็มีอยู่ในที่นั้น ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายมีอยู่ในที่ใด ความเกิดในภพใหม่ต่อไปก็มีอยู่ในที่นั้น ความเกิดในภพใหม่ต่อไปมีอยู่ในที่ใด ชาติ ชรา มรณะต่อไปก็มีอยู่ในที่นั้น ชาติ ชรา มรณะต่อไปมีอยู่ในที่ใด

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่า ที่นั้นมีความโศก มีความหม่นหมอง มีความคับแค้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า นรชนเมื่อตั้งอยู่ แม้ด้วยประการอย่างนี้.

สู่แดนธรรมสรุปจบ

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

640530_วิถีอาริยธรรม - ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 5

รายการ วิถีอาริยธรรม - ธรรมบรรยาย คุหัฏฐกสุตตนิทเทส ตอน 5
วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม  2564

ณ บวรราชธานีอโศก











ชมวิดีโอได้ที่นี่
ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่นี่


กาย คือกิเลส กาม ผู้ข้องอยู่คือมีอาบัติ

พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2564 แรม 4 ค่ำเดือน 7 ที่บวรราชธานีอโศก  อาตมาเกิดแรม 8 ค่ำ อาตมาเกิดเดือน 7 แรม 8 ค่ำ พ.ศ. 2477 วันอังคาร เป็นคู่ของ 7 คือ 3 ส่วนแรมเท่านั้นเองมันเป็น 8 ก็วนเวียนไป จะเต็ม 87 ปีและอีก 6 วัน เต็ม 87 ปีขึ้น 88 ปีก็เอา ตามวันเวลา คนเรา

มาต่อ วันนี้ก็มีรายละเอียดอะไรที่อยากจะเพิ่ม ไปให้ชัดเจนในเรื่องสับสน ระหว่างความเข้าใจเพียง “พยัญชนะ” กับ “สภาวธรรม” อยู่ 2 อย่างนี่แหละที่มันยาก ยากสภาวธรรมกับพยัญชนะ สภาวะเนื้อแท้ของจิต เจตสิก รูป และนิพพาน แจกออกไปเป็นเจตสิกต่างๆอีกสารพัด เช่นเวทนา 108 ก็เป็นเจตสิก 108 ตัว เป็นต้น เป็นอาการของจิตสำหรับเจตสิกที่แจกรายละเอียดลงไป ซึ่งพระพุทธเจ้าสรุปหมดแล้วให้เรียนที่เวทนา แล้วจบที่เวทนา ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60 จัดการเวทนาเก๊กับเวทนาแท้ ให้เหลือแต่เวทนาแท้อย่างเดียว ในขณะที่เรายังมีชีวิตมีเวทนาเป็นสิ่งอาศัย แต่เวทนาก็ไม่ใช่ตัวเรา เรายึดเวทนาเป็นตัวเราเป็นของเราไม่ได้ ต้องศึกษาให้รู้ว่าอาการไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราเป็นอย่างไร

ที่นี้ก่อนจะถึงเวทนามันก็อยู่ที่ กาย ก่อน กาย เวทนา จิต ธรรม ทีนี้คนไม่รู้จักกาย กิเลสกาย คือกิเลส กาม

เพราะฉะนั้นคนที่ไม่รู้จัก กาม พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า กามทั้งหลายในโลก ไม่เป็นของ อันนรชนละได้โดยง่าย ในคุหัฏฐกสูตร ก็กล่าวถึง นรชน มีกิเลส กาม ปิดบังไว้แล้ว ตั้งอยู่จมอยู่ในความหลง ไม่มีทางถึงวิเวกได้ง่าย แม้แต่ปัสสัทธิเขาก็หลงในสมถะเรื่องพยัญชนะกับเรื่องสภาวะ สายหลับตาไม่รู้ทั้งสภาวะไม่รู้ทั้งพยัญชนะยิ่งมืดไปใหญ่เลย สายลืมตา สายศึกษาพยัญชนะ ศึกษาความรู้ความเฉลียวฉลาด ความหมายอะไรต่างๆเป็นพระบ้าน ก็งมงายไปกับความรู้ หลงความรู้ไปเป็นวิปัสสนูปกิเลสเลอะไปหมดเลย ยิ่งยุ่งยิ่งกว่าหญ้ามุงกระต่าย ยุ่งยิ่งกว่าแหที่ลิงเข้าไปติดแห หาทางออก ยิ่งแก้แหก็ยิ่งมัดตัวใหญ่เลย อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านใช้คำว่า ชาละ (แห) ในพรหมชาลสูตร ซับซ้อนก็เลยยุ่ง ดิ้นไม่ออก

 

วันนี้จะไขความคำว่า เรื่องที่ข้องอยู่ในความไม่รู้ เข้าไปทำผิด เรียกว่า อาบัติ

อาบัติ คำหนึ่ง อนาบัติ อีกคำหนึ่ง สมาบัติ อีกคำหนึ่ง

คนทุกวันนี้ถือว่าเป็นคนผู้ที่มีอาบัติทั้งนั้น สำหรับผู้ที่เข้าอยู่ในเกณฑ์ตั้งใจจะมาอยู่ในกรอบของวินัยของศีล ของหลักเกณฑ์ที่จะปฏิบัติไปตามลำดับให้ลดละให้หลุดพ้นไปให้กิเลสหมดไปตามลำดับ แต่เสร็จแล้วก็มาเข้าขบถ มาไม่ตั้งใจ ทำให้ศีลทำให้วินัยของพระพุทธเจ้า มาเป็นคนสมัครอยู่ในนี้แล้วทำให้เละทำให้ไม่ถูกต้องทำให้ผิด นอกจากทำให้ผิดแล้วไปหลอกคนอื่นต่อว่าฉันไม่ผิดฉันถูก มันก็ยิ่งยุ่งกันใหญ่สลับซับซ้อนกัน ไม่รู้กี่ชั้นเข้าไปก็ยิ่งๆไปใหญ่

คำว่า อาบัติ คือเป็นผู้ข้องเป็นผู้ติด  ผิดกับหลักปฏิบัติของพระพุทธเจ้าเรียกว่า อาบัติ ต้องออกจากอาบัติเรียกว่าให้พ้นอาบัติ เรียกว่า อนาบัติ มันก็ชัดๆ

อาบัติ หากไปบอกว่า อบัติ ก็คือไม่อปัตติ ท่านก็ใช้ อนาบัติ คือไม่เป็นอาบัติ

ในขณะปฏิบัติเพื่อให้ออกจากอาบัติหรือออกจากข้อที่ข้องที่ติดที่ยึดที่ยังพาปฏิบัติไม่บรรลุอยู่นี้ เรียกว่าสมาบัติ เราสมาทาน เราตั้งใจ สมาทาน ยึดถือเพื่อปฏิบัติให้หลุดพ้น

คำว่า สมาบัติ คือ การอยู่ในภาวะกำลังปฏิบัติ กำลังปฏิบัติใช้หลักเกณฑ์อะไร ก็ใช้หลักเกณฑ์ของวิโมกข์ 8 หรืออนุปุพพวิหาร 9 เรียกว่า เข้าสมาบัติ เขาเรียกภาษาง่ายๆว่าเข้า แต่ที่จริงไม่ต้องเข้าต้องออก เรียนรู้หลักเกณฑ์และประพฤติจรณะ 15 ให้เกิดการล้างออก ละออกหรือออกจาก คือ กิเลสกับเราขาดออกจากกัน จางคลายจากกันให้ได้ นั่นคือสภาวะ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

ทีนี้ คนที่ติดอยู่ในสภาพปฏิบัติไม่บรรลุ ไม่จบ ก็คือจมอยู่ในสมาบัติ แล้วก็เข้าใจสมาบัติคือวิโมกข์ 8 ก็ดี  หรืออนุปุพพวิหาร 9 ก็ตาม อนุปุพพวิหารคือปฏิบัติไปตามลำดับ ปฏิบัติฌาน 4 อรูปฌาน 4 สัญญาเวทยิตนิโรธอีก 1 ก็เป็น 9

ส่วนวิโมกข์นั้นมี 8 จบด้วย สัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วก็มีอรูปฌาน 4 เป็น 5 แล้ว ทีนี้
วิโมขก์มี 8 รูปฌานก็เลยย่อเป็น รูปฌาน 3 แต่ไม่ได้ไล่แบบฌาน 1 2 3 4 แต่รูปฌาน 3 ของวิโมกข์ 8 คือการบอกรายละเอียดของการปฏิบัติ

1. ผู้มีรูป  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ)

2. *ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)   ย่อมเห็น   รูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี .   เอโก  พหิทธา รูปานิ  ปัสสติ) (*พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)

3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต . โหติ, หรือ  อธิโมกโข  โหติ   (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)

พตปฎ. ล.10  ข.66 /  ล.23  ข.163

ข้อแรก มีรูป ที่จะต้องถูกรู้โดยเรา เราต้องเป็นผู้รู้จะต้องมี Subject object ต้องมีรูปมีนามมีตัวที่จะต้องถูกรู้เป็นกรรม และต้องมีประธาน เราเป็นประธานจะรู้ตัว object เราเป็น Subject อย่างนี้เป็นต้น ต้องมี 2 เสมอ

และปัสสติ เป็นตัวกำกับว่าคุณต้องเห็นเป็นปัจจุบันธรรม ต้องสัมผัส ต้องรู้ ต้องเห็นรูปนั้น ปัสสติคือธาตุรู้ ถ้าเสียงก็ต้องได้ยิน ถ้าได้กลิ่นก็ต้องกระทบกลิ่นก็เรียกว่าปกตินั่นแหละ

เป็นปัจจุบันธรรม หรือปัจจุบันชาติ ทิฏฐธรรม หลัดๆๆ ไม่ใช่ไปหลับตาแบบเวทีฤาษีที่ปิดทวารทั้ง 5 แต่ต้องปฏิบัติอย่างเป็นที่ยืนยันความจริงพร้อมกับคนอื่นๆ

พ่อครูหยิบกล้วยเทพพนม มาเป็นตัวอย่าง จะหยิบทุเรียนมันก็มีหนามแหลม มันป้องกันตัวมันจริงๆ อาตมาก็งงว่า ทุกวันนี้กินทุเรียนลูกละแสน เขาประมูลกัน คนซื้อไปก็โง่ แต่จะว่าดีก็เขาเสียสละเป็นการกุศล เอาไปใช้กับประโยชน์ส่วนรวมไม่ใช่ใช้กับส่วนตัวมันก็ซับซ้อนอย่างนี้ในโลก

สู่แดนธรรม...เรื่องวิโมกข์ 8 ข้อ 1 พระพุทธองค์กำกับไว้ว่าเป็นภูมิของบุคคลที่อยู่ในขั้นรูป สูงกว่ากามภพแล้ว แต่ท่านกำกับไว้ว่าต้องมาเห็นรูปทั้งหลายภายนอก

พ่อครูว่า…จะอธิบายเริ่มต้นก็ได้ ข้อ 2 อธิบายถึงพหิทา คือภายนอก ภายนอกเป็นกามตลอดเวลา แล้วต้องมีกามตลอดเวลาด้วย มันยาก อาตมาอธิบายเรื่องกาย เรื่องบุญ นี่ยาก

สู่แดนธรรม...ไม่ว่าคุณจะอยู่เป็นชาว กามภพ รูปภพหรืออรูปภพก็ตาม คุณก็ต้องปฏิบัติอยู่กับพวกกามาวจร จะต้องลืมตาเห็นรูปมากระทบทั้งหมด

พ่อครูว่า…ใช่ กามาวจร ทุกเวลา คุณจะต้องมีการ อวจร ในโลกกาม แต่จิตของคุณเป็นจิตสูง อุตรจิต จิตโลกุตระ จิตที่อยู่เหนือโลกกาม โลกอบายมาก่อน เป็นตัวอย่างเบื้องต้น เหนือโลกอบาย เหนือโลกกามได้

สู่แดนธรรม...พ่อท่านสอนว่า สิ่งภายนอกจะได้กระแทกกิเลสออกมาให้เราสลาย ง่ายกว่าไปนั่งหลับตาทำแล้วมันไม่ปรากฎตัวให้รู้เลย

พ่อครูว่า…ถูกต้องมันต้องมีสิ่งกระทบให้รู้ว่าเราอยู่เหนือโลกหรือไม่ ถ้าหลับตาเข้าไปมีแต่โลกภายใน มันไม่ได้อยู่เหนือหรอกก็หนีมันแล้วตั้งแต่ต้น หนีโลกภายนอกเข้าไปอยู่ภายใน ก็เป็นการหลบแล้วหลีกเลี่ยงแล้ว เรียกว่า สัลลีนะ ก็กลายเป็น ปฏิสัลลีนะ คือทวนไปทวนมา การหลีกเร้น คือสภาพที่จะทำให้มันไม่ติดไม่ยึด อนุโลมใชัคำว่าหลีกเร้น ที่จริงหลีกเร้นที่เป็น ภาษาซื่อๆคือหลบไปพักผ่อน เลี่ยงจากอันนั้นไป นี่เป็นภาษาซื่อๆ แต่ภาษาสิริมหามายาคือได้ทั้ง 2 สภาพ แต่ไม่สับสนจะจบอะไรมาก็รับรู้ได้ทัน รับทราบความเร็วความหมายอย่างจับได้มั่นคั้นตายทุกอย่าง จิตของคุณต้องเป็นมุทุภูตธาตุ จริงๆ

 

อาบัติ อนาบัติ สมาบัติ

1. อาบัติ 2. อนาบัติ 3. สมาบัติ เอาสามคำนี่ให้ชัดก่อน

สมาบัติคือ การปฏิบัติอยู่ คือ มีอยู่เสมอๆ(สมะ) เป็นคำกลาง เป็นคำสิริมหามายา สมะ แปลว่ายังไม่หลุดพ้นก็ได้ แปลว่าหลุดพ้นแล้วก็ได้

สมณะ เป็นผู้สงบแล้ว เป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เริ่มต้นมาเป็นสมณะยังไม่หลุดพ้นก็ยังเป็นสมณะจะมาเริ่มต้นให้สู่ความสงบ คุณเข้าสู่สนามรบของธรรมาธรรมะสงครามที่เป็นโลกุตระธรรมนี้แล้ว ก็คือ คุณเป็นผู้สมาทานเข้ามาสู่สนามรบ เข้ามายึดหลักเกณฑ์เพื่อจะปฏิบัติเพื่อหลุดพ้น หลุดพ้นให้เป็น อนาบัติ ไม่ต้องติดยึดในการมีอาบัติอีก

เพราะฉะนั้นคุณอาบัติ คือคุณยังไม่ออก คุณยังไม่หลุดพ้นออกไม่ได้ คุณก็ต้องปฏิบัติเรียกว่าสมาบัติ ปฏิบัติเพื่อให้หลุดพ้นให้ได้เป็น อนาบัติ พยัญชนะหมายถึงอย่างนี้ตรงๆเลย แต่เสร็จแล้วคนก็ไม่รู้สับสนไปสับสนมา ยุ่งกันไปหมด ก็เลยปวดหมองเลย

สู่แดนธรรม...ผมก็สับสนครับ คำว่า ปันนะ หรือปัตตะ ก็คือคำเดียวกัน

พ่อครูว่า…ปันนะสูงกว่าปัตตะ ปัตตะกำลังอยู่ในภาคมรรค ปันนะอยู่ในภาคผล

สู่แดนธรรม...คนทำผิดคืออาบัติ ทางวินัยของพระภิกษุ หากได้รับการยกเว้น เรียก

อนาบัติ

พ่อครูว่า…ยกเว้นความผิดคือ อนาปัตติวาร  แต่อาบัติคือยังไม่หมด คาอยู่ ต้องมาปฏิบัติให้หมดเป็นอนาบัติ ในขณะที่ปฏิบัติเรียกว่า สมาบัติ

 

จำได้แล้วไม่สับสนนะ แต่ถ้ามากเรื่องก็สับสนอีก ว่าจริงๆแล้วอาตมาไม่ค่อยเก่งวินัย บางอย่างก็หลวมๆแล้วมันต้องมีข้ออนุโลมเป็นอภิสิทธิ์บางอย่างยกไว้ สูงสุดคืนสู่สามัญ ผู้เข้าใจแล้วไม่มีปัญหา ผู้ที่ยังไม่เข้าใจก็ยังติดยังยึดอยู่

 

ถ้าสามตัวนี้ ไม่จบในตัวอย่างเด็ดเดี่ยวก็จะวน สับสน วุ่นวาย

อาบัติ คือผู้ทำผิดยังข้องอยู่ ยังไม่จัดการ ลงไปจัดการเรียกสมาบัติ จัดการเสร็จแล้วเรียกว่า อนาบัติ

เมื่อเป็นอนาบัติแล้ว คุณยังมีชีวิตอยู่ ก็อนุโลมให้คนอื่นเรียกว่า สมาปัตติ คือ ผู้สมาทานกับสิ่งที่ต้องอยู่เท่านั้นเอง มีตัวแถมท้ายนี้จะทำให้คนงง สูงสุดคืนสู่สามัญ ผู้มี 0 แล้วแต่มาเล่นด้วย 1 2 3 4 5 6 กับเขา ที่อาตมายกตัวอย่างว่า แม่ ไม่ได้ติดการละเล่นกับลูกแล้ว ลูกชวนแม่มาเล่นหม้อข้าวหม้อแกง ภาษาอีสานเรียกเล่นเฮือนน่อย เล่นหม้อข้าวหม้อแกงก็สมมุติเอาว่าอันนั้นเป็นอันนี้ แม่ก็เล่นกับลูกสมมุติเล่นกับลูกสนุกสนานจริงจังแล้วก็สอนวิธีทำข้าวทำแกงให้ลูกรู้ในสิ่งที่เป็นสาระ ที่นี้เวลาจริงกับเล่นก็สับสนกัน เอาเล่นเป็นจริงเอาจริงไปเป็นเล่น มันก็เลยวุ่นวาย มันก็ไปไม่ได้

 

ความหมายของถ้ำ และความข้องในถ้ำ เป็นเช่นไร

อาตมาได้อธิบายคุหัฏฐกสูตร แค่พารากราฟเดียวสั้นๆ นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ(สตฺโต คุหายํ) เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว(พหุนาภิฉนฺโน) นรชนเมื่อตั้งอยู่ ก็จมลงในที่หลง(ติฏฺฐํ นโร โมหนสฺมํ ปคาโฬฺห) นรชนเช่นนั้น ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก(ทูเรวิเวกา) เอาธัมมชโยและมหาบัวมายืนยัน มหาบัวออกไปในป่าเขาถ้ำเป็นพระป่าจึงอธิบายได้ง่ายกว่าอธิบายธัมมชโย ที่จริงธัมมชโยตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าหลบอยู่ในถ้ำไหนยังหาไม่เจอเลย เขาก็พยายามจะสว่าง อันนี้ซับซ้อนเป็นพวกอาภัสรา อยู่ในแสงสว่างเปิดเผยนะ แต่ปิดบังซ้อนๆ โดยสภาพของกำแพงไร้สภาพที่ยิ่งกว่ากระจกใส แล้วใช้คำว่าใส ใสแบบโสดา   ใสแบบสกิทาคามี ใสแบบอนาคามี ใสเป็นอรหันต์ เขาไม่กล้าต่อจากอรหันต์เพราะไม่มีปัญญารู้จักโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นภาษาลวงทั้งนั้นเลย

สร้างภาพความใส อาภัสราพรหม สร้างสภาพสัญญากำหนดหมายให้มี กาย ใส แล้วมีลีลาด้วยนะสะกดจิตให้นิ่งไว้ที่เหนือสะดือ 2 นิ้ว ทำไมต้องเหนือสะดือ 2 นิ้วก็ไม่รู้ อาตมาไม่รู้ความลับอันนี้ของเขา

สู่แดนธรรม...เป็นจุดที่สมาธิลงแล้ว ความรู้สึกมันจะอยู่ที่ท้องเรา

พ่อครูว่า…สรุปแล้วมันคือวิธีสมถะให้จิตใจจดจ่ออยู่กับอันใดอันหนึ่ง ไม่ว่าจะเหลืออยู่ที่สะดือ 2 นิ้วหรือจะอยู่ที่หน้าผาก อยู่ที่ลมหายใจเข้าออก อยู่ที่ปลายจมูก อยู่ที่หน้าอก อยู่ที่ไหนก็ได้ ผู้ที่เรียนสะกดจิตมาแล้ว ไม่มีปัญหาในเรื่องนี้เลย เข้าใจดีที่สุด สามารถอธิบายขยายความ ทำให้บริบูรณ์รู้แจ้งได้หมด

ทีนี้มาขยายความต่อ ท่านเถระขยายความต่อ

[31] คำว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้วมีความว่าทรงตรัสคำว่า เป็นผู้ข้องไว้ก่อน. ก็แต่ว่าถ้ำควรกล่าวก่อน กายเรียกว่า ถ้ำ. คำว่า กายก็ดี ถ้ำก็ดี ร่างกายก็ดี ร่างกายของตนก็ดี เรือก็ดี รถก็ดี ธงก็ดี จอมปลวกก็ดี รังก็ดี เมืองก็ดี กระท่อมก็ดี ฝีก็ดี หม้อก็ดี เหล่านี้เป็นชื่อของกาย.

ฝีมันเป็นความป่วย ความเจ็บ แต่คุณก็อยู่กับมันนั่นแหละ ความทุกข์ในโลกยิ่งกว่าฝี มันระบมกลัดหนองปวด แต่คนก็พาซื่อ ไม่รู้ๆ มีวิธีที่จะทำให้ไม่ปวดไม่เจ็บเป็นสมาธิแบบเจโตสมถะ ระงับปวดระงับเจ็บได้ ไม่ให้ปวดไม่ให้เจ็บเก่ง ก็ไปหลงความเก่งที่ตัวเองระงับปวดและระงับเจ็บได้ ไม่ได้เข้าไปแก้เหตุที่ตัวเจ็บปวด ซึ่งมันไม่หายหรอก มันกลบเกลื่อนทนได้ ดีไม่ดีก็สร้างอะไรมาหุ้ม สรีระมันก็สร้างอะไรมาหุ้ม หนักเข้าก็เป็นมะเร็ง นี่เรื่องมันก็จะไปถึงร้ายเลย เมื่อเป็นมะเร็งก็แตกออกมาเป็น รูปธรรม เช่น เจ้าคุณนอฯ ท่านสะกดจนเป็นมะเร็งสุดท้ายมะเร็งมันก็แตกออกมาเป็นแผล แผลใหญ่กว่าเหรียญสองเท่าอีก ท่านก็ทนได้เก่ง พวกทนก็ทนได้เก่งสายเจโต

หม้อก็ดี เหล่านี้เป็นชื่อของกาย มีเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นถ้ำเป็นร่างกายของตนเอง เป็นเรือ เป็นรถ เป็นจอมปลวก เป็นลัง เป็นเมือง เป็นกระท่อม เป็นฝี เป็นหม้อต่างๆ เป็นองค์ประกอบอันหนึ่งเป็นวัตถุกับจิตของเรา

ที่พระเถระเอามาอธิบายก่อนเพราะว่าคุณต้องรู้ตัวสิ่งที่คุณเป็นติดหลงเป็นถ้ำเป็นที่ข้องอยู่ เอามาขยายความก่อน

คำว่า เป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ คือ ข้อง เกี่ยวข้อง ข้องทั่วไป ติดอยู่ พันอยู่ เกี่ยวพันอยู่ในถ้ำ เหมือนสิ่งของที่ข้อง เกี่ยวข้อง ข้องทั่วไป ติดอยู่ พันอยู่ เกี่ยวพันอยู่ที่ตะปู ซึ่งตอกติดไว้ที่ฝา หรือที่ไม้ขอ ฉะนั้น.

สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ความพอใจ ความกำหนัด ความเพลิน ความปรารถนาในรูป ความเข้าไปถือ ความเข้าไปยึดในรูป อันเป็นความตั้งมั่น ความถือมั่น และความนอนตามแห่งจิต บุคคลมาเกี่ยวข้องอยู่ในความพอใจเป็นต้นนั้น เพราะเหตุนั้น. จึงเรียกว่า สัตว์. คำว่า สัตว์เป็นชื่อของผู้เกี่ยวข้อง

คำว่า ความนอนตามแห่งจิต อันนี้เห็นใจคนแปล ท่านพยายามเอาภาษาไทยมาเรียบเรียงต่อกัน  ถ้าอาตมาจะแปลก็จะเป็น ความนิ่งแน่ นอนแช่แห่งจิต

สตฺโต  คุหายํ  คือ ผู้ข้องอยู่ในถ้ำ คำนี้สั้นๆ แต่กินความลึกแน่นเหนียว คำศัพท์ไทย มีคำน่าเกลียดเรียกว่า “ติดสัด”

ทีนี้คำว่า ผู้อันกิเลสมาก แล้วปิดบังไว้แล้ว ก็คือ อันความกำหนัด ความขัดเคือง ความหลง ความโกรธ ความผูกโกรธ ความลบลู่ความตีเสมอ ความริษยา ความตระหนี่ ความลวง ความโอ้อวด ความดื้อ ความแข่งดี ความถือตัว ความดูหมิ่น ความเมา ความประมาท ปิดบังไว้แล้ว อันกิเลสทั้งปวง อันทุจริตทั้งปวงอันความกระวนกระวายทั้งปวง อันความเร่าร้อนทั้งปวง อันความเดือดร้อนทั้งปวง อันอภิสังขารคืออกุศลธรรมทั้งปวง บ้งไว้ คลุมไว้ หุ้มห่อไว้ ปิดไว้ ปิดบังไว้ ปกปิดไว้ ปกคลุมไว้ครอบงำไว้แล้ว  เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า เป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว.

ไล่อุปกิเลส 16 ไปเลย มีคำว่า ฉันโน (ยินดี) ต่อท้ายอุปกิเลสทุกตัวเลย

คำว่าปิดบังไว้แล้ว นึกถึง มหาบัว หรือธัมมชโยจริงๆ ปิดบังไว้แล้วไม่ให้รู้สิ่งเหล่านี้ มีครบอุปกิเลส ต้องขออภัยท่านลูกศิษย์ลูกหาท่านมหาบัวหรือแม้แต่ธรรมชัยโยก็ตาม อาตมาไม่ได้ไปเกลียดชังธัมมชโย ไม่ได้ไปเกลียดชังมหาบัวเลย แต่สงสาร ไม่ใช่พูดเล่นนะ แต่ไม่รู้จะช่วยอย่างไร คนหนึ่งก็ตายจากกันไปแล้ว อีกคนหนึ่งไม่รู้ว่าตายหรือยังไม่ตายธัมมชโย ปิดเงียบเลย ก็เห็นไหมนี่ยิ่งปิดบังแล้วปิดตัวปิดตนด้วย ไม่กล้าเปิดเผย ไม่กล้าโผล่หน้า ไม่กล้าสู้กับโลกมันจึงเป็นเรื่อง ไม่เข้าท่า มีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม เดี๋ยวนี้ก็คงอาศัยเครื่องมือสื่อสารรายงานอยู่กับพวกนี้ วันๆอยู่อย่างนั้นชีวิตเอ่ยชีวิต ทำไมมันน่าเศร้าจัง เห็นเป็นรูปธรรม อาตมายกตัวอย่างมาให้เห็น มีชีวิตอยู่กับเขาเป็นตัวก็ไม่ให้ใครเห็นตัว เปิดเผยตัวก็ไม่ได้เวรไหมล่ะ ตัวเองทำเองทั้งนั้น

ขออภัยที่พูดเป็นเชิงดูหมิ่นดูถูก แต่ว่าที่ประพฤตินั้นมันน่าเกลียดน่าชังหรือสิ่งที่คุณต้องจำนนอยู่กับสภาวะอย่างนั้น อย่างเช่นธัมมชโยเป็นอยู่นี้ คุณอยากเป็นอย่างนั้นไหม ยิ่งกว่าติดคุกไปไหนไม่ออก อาจจะมีสิ่งบำเรอเป็นลูกศิษย์ลูกหารูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส มีเงินมีทองบำเรอตัวเองกิเลสก็ยิ่งหนาเข้าไปอีก บำเรอตัวเองไป แทนที่จะมาอยู่อย่างสะอาดสว่างสงบอยู่กับใครๆคนอื่นไม่ได้ ชีวิตแบบนี้ทรมานหนัก แต่ไม่รู้หรอกเขาโง่ เขาจะไม่รู้ว่ามันทรมาน เขาก็จะเอาอะไรมากลบเกลื่อนบรรเทาตัวเองไป หลอกตัวเองไปเรื่อยๆ ยิ่งหลอกก็ยิ่งซับซ้อน ทั้งๆที่เขาไม่ สามัญเขาไม่ใช่สูงสุดคืนสู่สามัญอย่างนี้ อย่างอาตมาอะไรก็ได้ แต่ตอนนี้ covid พูดกับมันไม่รู้เรื่องเท่านั้นแหละ ก็ต้องระวังตัวไม่ออกไปเพ่นพ่าน เพราะมันไม่เห็นเลยมันอยู่ไหนก็ไม่รู้ มันจะงาบเราก็ไม่รู้ ต้องระวังไว้ก่อน พวกนี้มันไม่รู้หรอกว่า เป็นโพธิสัตว์จะต้องให้การละเว้น มันไม่รู้หรอกแล้วมันก็เอาชีวิตด้วย เราก็เป็นชีวิตมันไม่ละเว้น เราก็ต้องรู้ทัน ต้องหลบมัน เพราะพวกนี้มันพูดไม่รู้เรื่อง

เมื่อกี้นี้ขอสรุปว่ากิเลสมาก อย่างธัมมชโยก็ดี มหาบัวก็ตาม กิเลสมาก ปิดบังไว้แล้ว ดีไม่ดีโกหกคนอื่นด้วยว่าไม่มีกิเลส โกหกอวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มีในตน จริงๆแล้วปาราชิก อย่างธัมมชโย เรื่องอุตตริมนุสสธรรมก็หลีกเลี่ยงได้ไม่มีใครรู้ด้วย แต่เรื่องวัตถุนี้ขี้โกงเงินชัดเจน พิพากษาไว้แล้วด้วย

เพราะฉะนั้นกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว  ปิดบังไว้แล้ว อันกิเลสทั้งปวง อันทุจริตทั้งปวงอันความกระวนกระวายทั้งปวง อันความเร่าร้อนทั้งปวง อันความเดือดร้อนทั้งปวง อันอภิสังขารคืออกุศลธรรมทั้งปวง บ้งไว้ คลุมไว้ หุ้มห่อไว้ ปิดไว้ ปิดบังไว้ ปกปิดไว้ ปกคลุมไว้ ครอบงำไว้แล้ว  เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า เป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว.

สรุปแล้วก็คือ ก้อนกิเลส อันแข็ง อันใหญ่  อันมาก กลบเกลื่อนปิดบังซุกซ่อนไม่เปิด ไม่ให้ใครรู้ ดีไม่ดีโกหกคนอื่นด้วยว่าฉันไม่มีกิเลสซับซ้อน

 

นรชนที่หยั่งลงในที่หลงเป็นเช่นไร

[32] คำว่า นรชนเมื่อตั้งอยู่ ก็หยั่งลงในที่หลง มีความว่า คำว่า นรชน เมื่อตั้งอยู่ก็เป็นผู้กำหนัด ย่อมตั้งอยู่ด้วยสามารถความกำหนัด เป็นผู้ขัดเคือง ย่อมตั้งอยู่ด้วยความสามารถความขัดเคือง เป็นผู้หลง ย่อมตั้งอยู่ด้วยความสามารถความหลง เป็นผู้ผูกพัน ย่อมตั้งอยู่ด้วยสามารถความถือตัว เป็นผู้ยึดถือ ย่อมตั้งอยู่ด้วยความสามารถความเห็น เป็นผู้ฟุ้งซ่านย่อมตั้งอยู่ด้วยสามารถความฟุ้งซ่าน เป็นผู้ไม่แน่นอน ย่อมตั้งอยู่ด้วยสามารถความสงสัย เป็นถึงความมั่นคง ย่อมตั้งอยู่ด้วยสามารถกิเลสที่นอนเนื่อง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนเมื่อตั้งอยู่แม้ด้วยประการอย่างนี้

ภาษาไทยใช้คำว่าหลง ภาษาบาลีใช้คำว่า มูโฬฺห โมหวเสน

ห ล ง

ห ล เป็นเศษวรรค ห.หีบ คือตัวแท้ ล.ลิง คือพยัญชนะตัวเต็มรอบของ ย ร ล สามเส้า หมุนเต็มตัว cyclic order พลังงานเต็มรูปของความแท้ของ ห เลยเป็นไอ้โง่ ง.งู ไอ้งมงาย ไอ้งั่ง จะมีคำว่า งามที่พอใช้ได้ นอกนั้น งกๆเงิ่นๆ งุ่มง่ามไปหมด มีคำว่า งามเอามาใช้ติ่ง ง.งู นอกนั้นไม่ดีไปหมด เราใช้พยัญชนะเป็นสื่อแทนสภาวะแล้วเราก็ไม่ได้ติดไม่ยึด

สู่แดนธรรม...นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

พ่อครูว่า…หยั่งลงในที่หลง มันรวมความไปเข้มข้นไม่โงไม่เงยเลย คำว่าตั้งอยู่เป็นผู้กำหนด สามารถแห่งความกำหนัดก็อยู่ในนี้ เป็นผู้ขัดเคืองก็โง่ต่ออีก ซึ่งมันไม่น่าสนุกเลยก็ยังเอามาอีก ทำความตั้งอยู่ให้แน่นลงไปอีก เป็นผู้หลง ย่อมตั้งอยู่ด้วยความสามารถความหลง ความหลงเป็นตัวสามารถยิ่งทำให้เกิดความตั้งอยู่ตั้งมั่นตั้งอยู่ตรงนี้ เป็นผู้ผูกพัน

เป็นผู้ยึดถือ ย่อมตั้งอยู่ด้วยความสามารถความเห็น เป็นผู้ฟุ้งซ่านย่อมตั้งอยู่ด้วยสามารถความฟุ้งซ่าน เป็นผู้ไม่แน่นอน ย่อมตั้งอยู่ด้วยสามารถความสงสัย เป็นถึงความมั่นคง ย่อมตั้งอยู่ด้วยสามารถกิเลสที่นอนเนื่อง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนเมื่อตั้งอยู่แม้ด้วยประการอย่างนี้

คำว่าตั้งอยู่กว่าจะคลี่ออกมา ทำให้จิตตั้งมั่น สมาธิ ฟังดูยิ่งใหญ่ แต่ตั้งมั่นอะไร กิเลสมากปิดบังเอาไว้แล้วด้วยความหลงติดอยู่ในถ้ำตั้งมั่น เห็นไหม งานหนักไหม งานที่จะแงะ คนที่ติดข้องในถ้ำ งานหนักไหม อาตมาใช้หอก 100 เล่มแทงเช้าแงะออกมา 600 เล่ม แงะออกมา กลางวันเย็น หอกหัก 300 เล่ม ไม่รู้กี่อัน กี่รอบแล้ว (สู่แดนธรรมว่า...เพราะพ่อท่านแทงไม่ถูก แทงถูกแต่ผนังถ้ำ เขาไปปิดบังกิเลสเป็นอันมากอยู่ในถ้ำ เหมือนแทงทุเรียน แทงถูกแต่หนามทุเรียน ไม่สามารถแทงถูกเนื้อทุเรียน)

เราทำไม่เป็นเราไม่กินทุเรียนก็ได้

อธิบายธรรมะ ถ้าเราฟังให้ดีเข้าใจพยัญชนะ เข้าใจสภาวะ โดยเฉพาะเรามีสภาวะนั้นอยู่ก็จะชัดเจนเยี่ยมเลย โอ้โห เปรี้ยงเลย ถึงแม้ว่าเราได้ทำออก ทำให้กิเลสนั้นออกไปแล้ว มันก็มีสัญญา  มีความจำ รู้ว่าเราได้ทำออก พูดมาแล้วเราได้ทำแล้ว มันก็มีปิติมีความยินดี แต่ไอ้ตัวไหนที่ยังไม่ออก เปรี้ยงไปก็เจ็บ เราโอ้โห นี่แหละก็ต้องรู้ความจริงตามความเป็นจริง ฟังธรรมด้วยดี ปฏิเสธความจริงเราก็โง่ ให้รู้ความจริง อย่าผิดเพี้ยน อย่าพยายามหลบเลี่ยงความจริง เรามีก็ต้องรู้ความมีที่จริง เรามีมากมีน้อยมีลักษณะนั้นลักษณะนี้ ต้องรู้ให้จริง แล้วก็ต้องพยายามเลิกราลดละด้วยวิธีการ วิธีการที่อาตมาพาทำ

โพธิสัตว์ผู้พี่ก็ยังไม่มี เกิดมาในชาตินี้ก็เลยต้องประกาศตัวเองว่าเป็นไก่ตัวพี่ ยังไม่มีใครกล้าที่จะมาแสดงตัว ถ้ามาแสดงตัวเราก็จะได้พึ่งพา ก็จะได้มาช่วยอธิบาย แต่อธิบายแล้วไม่สมราคาของความเป็นพี่ก็จะรู้เหมือนกัน ก็เลยยังไม่เห็นผู้ที่จะมาเป็นพี่ ถ้ามาเป็นพี่ก็ต้องมาทำงานมาแสดงความจริง ช่วย อาตมาก็จะได้เบาลง จะได้ช่วยมนุษย์

แต่ความจริงแล้วจนกระทั่งถึงเวลานี้ ผู้ที่อยู่ในแวดวงเกี่ยวข้องยิ่งเดี๋ยยวนี้สื่อสารมวลชนกระจายไปทั่วพอจะรับรู้กัน ถ้าพี่ตัวจริงรู้ก็น่าจะมา ที่จริงไม่หรอกอาตมาก็น่าจะรู้ตัวพี่ แล้วอาตมาก็น่าจะได้ไปหา เพราะเขาจะบอกว่าน้องเอ๋ยพี่อยู่นี่ หรือตัวพี่ก็จะทำงาน ไม่ทำงานจะหมกตัวอยู่ทำไม ทำงานเราก็จะเห็นผลงานเราก็จะรู้ว่าผลงานอย่างนี้เป็นรุ่นสูงกว่าเรานะ โพธิสัตว์คือผู้ที่ซื่อสัตย์จะรู้ความจริง ไม่ได้งมงายหรอกจะชัดเจน แต่นี่มันก็ยังไม่มีก็เลยประกาศออกไปยืนยันว่าเราเป็นตัวพี่ ไม่ได้ปิดบังอาตมาไม่ได้หลงตัวเองว่าพี่ไม่มี แต่ถ้าในยุคนี้มันไม่มีก็เลยไม่ปรากฏ ก็ร้องบอกไปตามสื่อสารมวลชน ธัมมชโยจะฟังอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่พระป่าก็คงไม่ฟังเพราะว่าไม่เอาถ่านกับเรื่องพวกนี้เครื่องมือพวกนี้ แต่ธัมมชโยเขาเก่งทางเครื่องมือ เขาก็พวกทันสมัย พระป่าก็เป็นพวกล้าสมัย มันคนละมุม ก็ต้องช่วยกันทุกมุม ที่พูดนี้คือต้องช่วยเขานะ เจตนาจะช่วยไม่ได้หมายความว่าจะย่ำยี แต่มันเลี่ยงไม่พ้นคำที่ ข่มก็ต้องข่ม ยกก็ต้องยก เลี่ยงไม่ได้ก็ต้องใช้อันนี้

ขณะนี้อาตมาก็พยายามที่จะทำงาน ก็เห็นผลสิ่งที่พิสูจน์ว่าอาตมาทำงานแล้ว เป็นผลงานเกิด หนึ่ง และตัวตนของอโศกก็โตขึ้นมีอะไรไปเตะตาคนที่เขาไม่ชอบเพิ่มขึ้น แต่ถึงจะเตะตาอย่างไรเขาก็ไม่โต้ตอบ ถ้าเขาตอบเขาต้องสู้ได้ ถ้าเขาตอบมาแล้วสู้ไม่ได้เขาจะขายขี้หน้าซ้อนเขาก็เลยไม่กล้าที่จะตอบออกมา เมื่อไม่กล้าตอบออกมา อาตมาก็ยิ่งจะต้องแรงเพิ่มขึ้นไปอีกว่าคุณที่ไม่ตอบออกมา ที่จริงคุณตอบได้ชนะเราได้จริงหรือเปล่า เหมือนกับการถามซ้ำย้ำเข้าไปอีก จริงหรือเปล่า สักวันหนึ่งถ้าจริงก็จะเกิดมา แต่ถ้าไม่จริงคุณจะต้องยอมรับ ถ้าไม่ยอมรับคุณก็จะกลายเป็นผู้ที่ไม่เจริญหรอก ไม่ยอมรับไม่เจริญ

ถ้ายิ่งยอมรับแล้วก็ สารภาพ ด้วยความละอายอย่างแรงกล้า ด้วยความเกรงกลัวอย่างแรงกล้า ด้วยความเคารพอย่างแรงกล้า ด้วยความรักอย่างแรงกล้า สมบูรณ์

หิริอย่างแรงกล้า โอตตัปปะอย่างแรงกล้า เปมะอย่างแรงกล้า เกรงกลัวคือหิโรตัปปัง เคารพคือคารโวอย่างแรงกล้า แล้วรัก(เปโม) อย่างแรงกล้า มันไม่ใช่เรื่องธรรมดา ภาษานี้สั้นๆแต่ความลึกมาก

หิริกับโอตัปปะจึงชื่อว่าเป็น เทวธรรม คนที่ไม่เกิดหิริโอตัปปะในสิ่งที่ตัวเองมีมากแล้วปิดบังเอาไว้แล้ว ปิดบังอะไร ปิดบังความชั่วปิดบังความผิด ของตนเองไว้มาก ปิดบังไว้สนิทไม่ให้ใครรู้ เพราะฉะนั้นจะเปิดออกมาต้องกล้าหาญมาก อาสโภๆ กล้าหาญมาก จึงจะกล้าเปิดออกมา

เพราะฉะนั้นเมื่อเปิดออกมาก็จะต้องแน่นอนว่าตัวเองมีความผิดที่ซ่อนเอาไว้เยอะ มันต้องเหนียมต้องอายใช่ไหม เปิดเผยออกมาต้องเหนียมต้องอาย ต้องอายอย่างแรงกล้า เกรงกลัวเลย มันจึงยากอยู่เหมือนกันที่จะให้เขาเปิด แต่ผู้เปิดเมื่อไหร่ผู้นั้นจะเจริญ ผู้ที่ยังไม่สามารถที่จะกล้า  จึงเป็นการปิดบังเอาไว้แล้ว กิเลสตัวนี้ไม่กล้าตัวนี้

อาจจะมีความละอายแล้วในใจ หรืออาจจะเกรงกลัวมากจนกระทั่งไม่กล้าเปิด อาตมาไม่ดุหรอก อาตมาชื่อรัก อาตมาไม่ได้ชื่อดุ ไม่ได้ชื่อโหด อาตมาชื่อรัก อาตมาไม่ได้ชื่อรุนแรง อาตมาชื่อรักนะ ไม่ได้ชื่อโหด ไม่ได้ชื่อดุ ไม่ได้ชื่อรุนแรง (แต่รบอยู่นะ) เป็นธรรมาธรรมะสงครามรบอยู่ตลอดเวลาด้วย ปฏิสรโณ ตลอดเวลา รบด้วยรัก เป็นงานอาตมาเลยแหละ เป็นกลปรานี รบด้วยรัก รบด้วยความปรารถนาดี รบด้วยความเอ็นดู รบด้วยความเกื้อกูลช่วยเหลือเพื่อที่จะให้เจริญขึ้นมา ไม่ได้รบด้วยความดุร้าย ไม่ได้รบด้วยความรุนแรง ไม่ได้รบด้วยความโหดเหี้ยมเลย

นี่ใช้ภาษาไทยนะขยายความให้ฟังคุณจะเข้าใจดีว่า น้ำใจของอาตมา ใจของอาตมาแหมพูดไปแล้วเหนียมตัวเองนิดนึง มันดีขนาดไหน แต่มันเป็นจริงไหมล่ะ ที่อาตมาชมตัวเองก็ยกตัวอย่าง หลัดๆ ปัจจุบัน เป็นกรรมกริยาไม่ใช่ตัวตนอาตมาหรอก เป็นกรรมกิริยาที่พูดจริงก็แสดงความจริงอยู่อย่างนี้ มันเป็นสัจจะ มันเป็นปรมัตถ์ เพราะฉะนั้นสมมุติมันจะเป็นอย่างไรใครว่าอย่างไรก็ไม่มีปัญหาอะไร สมมุติ พยัญชนะ แต่สัจจะมันมีอันนี้อันเดียวเลี่ยงไม่ได้ สัจจะมีหนึ่งเดียวก็ใช้สัจจะอันนี้ ก็ใช้พยัญชนะใช้สิ่งที่เอามาสื่อ อธิบาย

 

นรชนผู้เพลิดเพลินหลงในเวทนา

สรุปแล้ว เข้าสู่ พารากราฟต่อมา

สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด มีอยู่ หากว่าภิกษุเพลิดเพลิน ชมเชย ยึดถือรูปนั้น ตั้งอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียงที่พึงรู้แจ้งด้วยโสต ... กลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยฆานะ ... รสที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหา ... โผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งด้วยกาย ... ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยมนะ ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดมีอยู่ หากภิกษุเพลิดเพลิน ชมเชย ยึดถือธรรมนั้นตั้งอยู่ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนเมื่อตั้งอยู่แม้ด้วยประการอย่างนี้.

สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณที่เข้าถึงรูป เมื่อตั้งอยู่ย่อมมีรูปเป็นอารมณ์ มีรูปเป็นที่ตั้ง ซ่องเสพความเพลิดเพลินตั้งอยู่ ย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์

ท่านสรุปไว้สองทางคือ ขิฑฑาปโทสิกะ กับมโนปโทสิกะ

มโนปโทสิกะ เป็นตัวตั้ง เป็นตัว static จมอยู่ในจิตตนเองมโน เป็นโทษ

ขิฑฑาปโทสิกะ เป็นตัววิ่งเป็นตัว Dynamic เป็นแรงเคลื่อน

คนที่ไม่รู้จักมโนไม่สามารถตีแตกมโนให้สลายเป็นดินน้ำไฟลมได้เลย ไม่มีวิธีทำให้เป็นไป คนนั้นก็จมอยู่ที่มโน จมอยู่ที่ ขิฑฑาปโทสิกะ หรือจมอยู่ในแรงเคลื่อน ความเคลื่อนไป อวจรไป มันก็มี 2 เท่านี้สูงสุดก็มีสองเท่านี้

คำว่า 2 คำว่าเทวจึงเป็นเรื่องรวมได้หมดทั้งขยายความไปทั้งหมด สายเทวนิยมก็ลองไปทั้งหมดตีไม่แตกเลย พวกมหายานก็ขยายไปจนจับไม่ติดเลย เพราะฉะนั้นเราจะต้องรู้ทั้งตัวที่มาอาศัยตั้ง อยู่ กับไอ้ที่ขยายออกไปมากตามลำดับ อย่าอ้าขาผวาปีกเกินกำลังตนเอง ต้องเรียนรู้ขอบเขตปริเฉทที่ตัวเองต้องเอามาปฏิบัติทีละกรอบทีละวง บรรลุแล้วค่อยขยายความเก่งความสามารถขึ้น วงโตขึ้นใหญ่ขึ้นหลายวงมากขึ้น

สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา

สังขารกับเวทนาที่จริงมันตัวเดียวกัน และตัวเดียวกันกับอายตนะ สภาวะเดียวกัน แต่เราไม่รู้รายละเอียดก็สับสน มันละเอียดกว่ากันบ้าง

สังขารคือความปรุงแต่ง ผัสสะคือการกระทบ กระทบกันมาก็เป็นนามธรรม เรียกว่าอายตนะ สังขารจะคือรูปก็ได้ อายตนะเป็นนามก็ได้ ซึ่งอายตนะนี้เป็นเรื่องวัยเป็นเรื่องไม่ตั้งอยู่ เกิดมาเป็นเฉพาะปัจจุบันธรรรม ก็คือสังขารวิญญาณ แล้วเกิดจากนามรูปกระทบกันนี่แหละเกิดเป็นอายตนะ เพราะมีผัสสะจึงเป็นอายตนะ สังขารก็ดี วิญญาณก็ดี เวทนาก็ดี อันเดียวกันหมด ถ้าเข้าใจสภาวะที่แท้จริงด้วยปัญญาอันยิ่งแล้ว มันคือตัวตน อายะคือตัว ตน คือตน

เวทนาคือตัวตน ถ้าไม่มีผัสสะอายตนะก็ไม่เกิด วิญญาณ รูปนาม สังขารไม่โผล่มาให้รู้

นามรูปต้องทำงานนะ ไม่ใช่ต่างคนต่างนอนเคียงกัน

เพราะฉะนั้น 1.สังขาร 2.วิญญาณ 3.นามรูป 4.อายตนะ 5.ผัสสะ 6.เวทนา

สังขารคือเวทนา สังขารคือวิญญาณ คงไม่สับสนนะ

นามรูปคือสภาพ 2 ต้องกระทบกันมีผัสสะ กระทบกันก็เกิดสภาพอายตนะ คือ ความรู้สึก

อย่าไปหลงอายตนะเป็นเรา หลงวิญญาณเป็นเรา หลงนามรูปเป็นเรา หลงผัสสะเป็นเรา ได้ผัสสะไปแตะผัสสะมันก็ติดตรงนั้น ผัสสะแล้วก็มีเวทนา แล้วไปติดเวทนา ติดความรู้สึก ติดอายตนะ ซึ่งมันติดไม่ได้ทั้งนั้นแหละ เพราะฉะนั้นรู้สภาวะจริงแล้วอย่าไปติด จริงๆแล้วมันมีอยู่ตามธรรมชาติ มันเป็นสิ่งที่เกิด สิ่งที่ทรงไว้ ธรรมะคือสภาพ 2 เสมอ เทฺว ธมฺมา

ถึงต้องเรียนรู้เวทนา แล้วเรียนที่เวทนานี่แหละให้สรุปลงไปเป็นหนึ่งให้ได้ ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

 

(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

สู่แดนธรรม...เมื่อคราวที่แล้วพ่อท่านพูดว่าพ่อท่านพยายามดำรงขันธ์ไว้ด้วยอาหาร ต้องใช้สรีระฉันอาหารด้วยความทรมาน ลูกๆเลยสงสัย คำว่า ทรมานยิ่งนักในการฉันอาหาร แต่ว่า ส่วนอาหารทั้ง 3 เช่น ผัสสาหาร มโนสัญเจตนาหาร วิญญาณาหาร ทำไม 3 ตัวนี้ถึงเบื่อแล้ว แต่อาหารตัวแรกมันเบื่อไม่ได้

อีกคำถาม ปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ อยู่ที่ผู้มีปัญหาจะให้แก้หรือไม่

 

ผมได้ตอบปัญหาเขาไปว่า อาหาร 3 ที่พ่อท่านเบื่อคือ สิ่งเหล่านั้นไม่มีความจำเป็นให้ชีวิตดำเนินไปแต่อาหารตัวแรกพ่อท่านจำยอมต้องทนทุกข์อยู่

พ่อครูว่า…ใช่ ตอนนี้ผัสสะอาตมาก็ไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ เจตนาก็ไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ วิญญาณก็ไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ เดือดร้อนตรงที่ กวฬิงการาหาร (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

 

สู่แดนธรรม...สรุปจบ

640804_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5 วันพุธที่ 4 สิงหาคม  2564 ณ บวรราชธานีอโศก ชมวิดีโอได้ที่นี่ ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่น...