รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ
วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564
ณ บวรราชธานีอเศก
เพิ่มสัมประสิทธิ์ทางอาหารของพ่อครู
พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม 2564 แรม 5 ค่ำเดือน 7
ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก อาตมาบรรยายธรรมะไปก็บำเพ็ญโพธิสัตวภูมิไป
แต่มันก็เหนื่อยง่ายเมื่อยง่าย ทุกวันนี้การบริหารงานก็ปล่อยให้คณะกรรมการบริหารไป
ทุกวันนี้กินข้าวก็เมื่อย 3 ชั่วโมง จะกินข้าวทีก็บอกว่าเจอสนามรบอีกแล้ว
มันพยายามต้องฝืนกินเข้าไป เคี้ยวกลืนเข้าไป
ให้มันมีปริมาณเพียงพอที่จะเอามาสังเคราะห์ใช้ในรูปขันธ์
รูปขันธ์ที่เป็นดินน้ำไฟลม เป็นอุตุนิยาม พีชนิยาม ที่จะเอาไปใช้
ไม่ว่าจะเป็นวิตามิน แร่ธาตุ เอาไปใช้สังเคราะห์สังขารร่างกายเอาไว้
แล้วมันซ้อน การย่อยการเผาผลาญ มันก็ไม่เก่งเหมือนกับตอนหนุ่มแน่นๆ
ก็พยายาม อาตมาพยายามพิสูจน์พลังงานของ Coefficient สัมประสิทธิ์
จนกระทั่งคิดเป็นสูตรสำเร็จวิทยาศาสตร์ E=C(mc2 + A) m คือรูป หรือ mass
ส่วน C ก็คือนาม คือกระแสกับแรงเคลื่อน บวกกับลบ คู่กันตั้งแต่ไหนแต่ไร เป็น
static กับ Dynamic
เสร็จแล้วเราก็เพิ่มสัมประสิทธิ์ให้มันทวีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเป็นระดับยกกำลัง ระดับ Advance
สูงขึ้นไปจะต้องเป็นยกกำลัง บวกลบคูณหาร ยกกำลังถอดรูท
ของเราเป็นระดับยกกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆตามหลักคณิตศาสตร์
ตามคณิตศาสตร์มันก็ไม่ยากแต่มันยากตรงที่จะทำให้มันได้
สูตรมันมีอยู่แล้วมาตราส่วนมีอยู่แล้ว แต่จะทำให้ได้ตามสภาวะมันยาก
ก็พยายามเร่ง บอก พวกดำจังแก ให้ทำมาเลย อาหาร
จะปรุงให้อร่อยมาก็ทำเลย แต่เผ็ดไม่ได้ เพราะมีเหตุที่ไปกระตุ้นมันไม่ได้
มันจะไอมากเลย มีคนพยายามใส่พริกมานิดๆหน่อยๆ อาตมาก็ว่าไม่ต้องฝืนเลย
ไม่ต้องเพิ่มพริกไม่ต้องเพิ่มรสเผ็ดมาเลย แต่เพิ่มรสอร่อยอื่นก็เอามาเลย
แต่หวานอย่าไปหวานจัด ไม่รู้คำภาษาอีสานเขาว่า นัว ทำให้นัวเท่าไหร่ก็มาเลย ภาษาอีสาน
นัว แปลว่า รสชาติกำลังเหมาะที่สุดเลย กำลังนัวๆเลย นัวแล้ว พอดีแล้ว กลมกล่อมมา
ปรุงมาให้อร่อยๆ เลย อาตมาจะพยายามปลุกรสชาติให้มันขึ้นมา จะได้กินเร็วขึ้นมาหน่อย
แต่นี่มันจะใส่ทีเจ้าประคุณเอ๋ย 2-3 ชั่วโมงกว่าจะเสร็จ ปริมาณอาหารพอสมควร
ก็คงไม่มากเท่าพวกหนุ่มสาวหรอกนะ ไม่เท่านายเพนกวิ้นแน่นอน
รับรองปริมาณอาหารแต่ละมื้อไม่เท่าเพนกวิน
ที่จริงเปลี่ยนได้มันก็มีขึ้นมาได้
มันก็ช้าก็เลยอยากจะเร่งให้มันเกิดรสกาม พูดกันชัดๆก็คือกามคุณ 5 รูป รส กลิ่น
เสียง สัมผัส มันจะมีประตูไหน รูไหนที่จะ stimulate เร่งรัดให้มันมีความรู้สึกตัวตื่น
ตัวเวทนาตัวนี้ เร่งรัดให้มันมีอาการที่เกิดความต้องการ ความอยากความปรารถนา
อาตมามาสอนพวกเราจนกระทั่งว่า มีเจตนาแต่อย่าอยาก มันก็เลย
เราก็เป็นได้แล้วล่ะถึงมาสอน มันก็เลยมีแต่เจตนา ทุกวันนี้ใช้แต่เจตนา
สอนด้วยเจตนา
คือมันกลับไปกลับมา สูงสุดคืนสู่สามัญ เพื่อจะทำงานให้แก่โลก
ตัวเองไม่มีปัญหาหรอก แต่มันก็จะมีประโยชน์ขึ้นเช่นการแต่งเพลง มันปรุงไม่ขึ้นเลย
เช่น เพลงสมรรถนะ
เพลงสมรรถภาพ เพลงรากไท
เพลงไทยแท้
อาตมามาทบทวน เป็นเพลงสุดท้ายที่แต่งขึ้นมา ตั้งชื่อใหม่ว่าเป็น
เพลงชีวิตรากไท หรือจะบอกว่า ชีวิตไทยแท้ ก็ได้ เนื้อเพลงสมรรถภาพนี่แหละ
...มาเถิดอย่าช้า
อยู่ไหนรีบมาคว้ามีดพร้าและจอบเสียม มาปลูกย้ำธรรมเนียม
เตรียมไถไร่นาป่าสวนมวลพืชพันธุ์ มาสร้างคนร่วมกันรังสรรค์บ้านเมือง
ประเทืองประทีปไทย เมื่อเกิดมาเป็นคน ทุกชีพชนม์ฝันใฝ่ สูงสุขจริงยิ่งใหญ่
ต่างไขว่ต่างคว้า ทุกข์ทนฟันฝ่า เพื่อจะพาชีวิตดี หากใครเชื่อกรรม สมรรถะทำเต็มที่
ขยันสร้างสรรแล้วพลี ย่อมมีคุณค่าแท้ ทั้งเป็นทรัพย์แก่ ผู้แผ่บุญหนุนโลก
เมื่อเกิดเป็นคนแล้ว จะแคล้วคลาดความทุกข์โศก
ก็เพราะฝึกตนทวนโลก โชคดีหลุดพ้น พลิกตนพาชาติ ปราศอบายเสริมบุญ สร้างคนสร้างงาน
สามารถจานเจือจุน สมรรถะนี้คือทุน ยอดคุณค่าแท้ ทั้งเป็นทรัพย์แก่ผู้แผ่บุญหนุนโลก
(เพลง สมรรถภาพ/ครูรัก รักพงษ์)
พ่อครูว่า…วันนี้ตั้งเป็นชื่อใหม่ว่าเพลงชีวิตรากไท
หรือเพลงชีวิตไทยแท้ ทำไมอาตมาตั้งอย่างนั้นก็หมายความว่า อยากจะให้คนไทย
พยายามทำความเข้าใจกับความเป็นชีวิต เกิดมาอะไรยิ่งใหญ่ที่สุด
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า อาหารเป็นหนึ่งในโลก
แล้วท่านก็ตรัสอีกอย่างหนึ่งว่า ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง
ข้าวนี่ ทุกชาติ ไม่ว่าจะเป็นข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์
ข้าวอะไรก็ตามที่เป็นพืชเมล็ดๆตระกูลหญ้า มีแป้งเป็นส่วนใหญ่ในนั้น ต้องอาศัยข้าว
มีข้าวสักอย่างหนึ่งไม่ตายง่ายๆหรอกมนุษย์
ส่วนพืชพรรณธัญญาหารก็เป็นส่วนเสริมมีวิตามินอื่นๆเสริม
ก็มาช่วยร่างกายได้เหมือนกัน แต่ในข้าวนี้มันจะครบแล้ว
ที่จริงมันครบแต่มันมีอ่อนมีแก่ มีวิตามิน ธาตุต่างๆที่อาจจะไม่สมบูรณ์ดีนัก
ก็มีอันอื่นมาเสริมจากพืชพันธุ์ธัญญาหาร
คนไม่พอก็เอาจากวิตามินจากเนื้อสัตว์มาเสริมอีก คนมันเสื่อมลงก็ไปกินเนื้อสัตว์
เอาธาตุอะไรทางเนื้อสัตว์มาใช้ คนก็เลยกลายเป็นยักษ์เป็นมารมากขึ้น
จนทุกวันนี้ซับซ้อนด้วยนะ ดุเดือดซ่อนเชิงเลวร้ายเรียกว่ากินกันไม่รู้เรื่องเลย
กัดกันทำร้ายกันอย่างไม่เห็นร่องรอย ไม่ให้รู้ตัว ถึงขนาดนั้น
แต่พวกที่ยังทำหยาบๆอยู่ก็เยอะ หรือทำอย่างเนียนสนิทจนคนจะไม่รู้เลยว่าถูกหลอกกิน
ยิ่งกว่าแดร็กคูล่า กับนางเอกหนัง
ถึงเวลานางเอกหนังก็จะมายื่นคอให้แดร็กคูล่าดูดเลือด ทางศาสนาเทวนิยมเขาก็รู้
มันเก่งขนาดนั้นเป็นปรนิมมิตวสวัตตี ยิ่งกว่านิมมานรดี จตุมหาราชิกา
อย่างนั้นมันตื้น พอยิ่งสูงขึ้นกินเนียนสนิทให้คนอื่นมาประเคนเหมือนอย่างธัมมชโย
ทำ เนียนมากเลย แต่มีเหตุให้คนอื่นเอามาให้แก่ตนเอง
แต่ธัมมชโยก็ยังเนียนไม่เท่ามหาบัวที่เอาไปช่วยประเทศชาติอย่างเด่นชัด
มหาบัวเนียนกว่า เป็นเสือร้ายเนียนกว่าธัมมชโย แล้วก็บอกว่าชาตินี้ฉันช่วยไว้นะ
ธัมมชโยสู้ไม่ได้ทางฝีมือ ขออภัยลูกศิษย์ของมหาบัว
อาตมาเอาธรรมะมาขยายความเรียนรู้ดีๆ
ที่พูดอยู่ทุกวันนี้พยายามจะจี้จะไชพวกที่นั่งหลับตาปฏิบัติ ให้ตื่นออกเรียนรู้
จรณะ 15 วิชชา 8 ของพระพุทธเจ้าให้ดีๆ ปฏิบัติให้ตรง ให้มีอปณกปฏิปทา 3
ปฏิบัติไม่มีหรอกไปนั่งหลับตา ในจรณะ 15 ไม่มีไปนั่งหลับตา ไปตีขลุมเอาวิชชา 8
ไปนั่งหลับตายิ่งไม่ได้ใหญ่ เพราะอันนั้นมันเป็นผลที่เกิดจากนามธรรมทางจิตใจ
ส่วนรูปธรรมนั้นเป็นจรณะ 15
พระพุทธเจ้าบริภาษภิกษุสาติ ที่ไปหาวิธีที่ไม่มีวิญญาณฐีติ
ไปปฏิบัติเข้าใจว่าวิญญาณล่องลอย เป็นวิญญาณสัมพเวสี วิญญาณไม่เกิดทาง ตา หู จมูก
ลิ้น กาย ไม่มีผัสสะเป็นปัจจัยนี่ ไม่มีกามไม่มีกาย เป็นเรื่องโมฆะ
เป็นเรื่องเดียรถีย์เป็นเรื่องสูญเปล่าจากศาสนาพุทธ
อาตมาพยายามดึงกลับเป็นปัจจุบันณชาติ ชื่อว่าความจริงคือสภาพที่เกิดในระดับ
status quo ปัจจุบันนี้เลย Suddenly บัดเดี๋ยวนี้เลย
สัมผัสกันอยู่หลัดหลัดแล้วมีเหตุปัจจัยอยู่ยืนยันกันได้ต่อกันและกันเลย
ไม่ใช่ไปหลับตา ไม่ใช่ไปอยู่ในภวังค์คิดเอาแล้วเอามาพูดไม่ใช่
แต่เอาตรงๆปัจจุบันสั้นนิดเดียวเล็กๆแต่เป็นเรื่องจริง
เต็มไปหมดโลกนี้แหละจะต้องรู้ความเป็นจริงของโลกของทั้งหมดมันจะรวมไปหมดเลย
ทั้งโลกทั้งอัตตา
ลองฟังเพลงซ้อนอีกที เป็นเพลงที่อาตมาเขียน เรียกว่าเพลงชีวิต
เพลงชีวิต หมายเลข ๓
เพลงรากไท เพลงไทยแท้
แม้เจ้าจะตาบอด มาแต่กำเนิด
แต่เจ้าก็ยัง "เห็น" แสงสว่างของโลกได้
เจ้ายัง "เห็น" แมกไม้ และเกลียวคลื่น
เจ้ายังสามารถ "เห็น" คนเศร้าโศก
"เห็น" คนระเริงสุขได้
แม้เจ้าจะหูหนวกมาแต่กำเนิดอย่างสนิทปานใด
เจ้าก็ยัง "ได้ยิน"
เสียงของนกร้องละเมอ…
เสียงของความอลวนของโลก
เจ้ายัง "ได้ยิน" เสียงคนด่าทอ
และเสียงสรรเสริญเยินยอได้
แม้คนผู้หนึ่งจะพยายาม ปิดตา ปิดหูของตน
ให้มันบอด และหนวกสนิท เช่นนั้นก็ตาม
คนผู้นั้นก็จะต้อง "รู้" ต้อง
"ทราบ"โลก "ทราบ"ชีวิต
ที่มันเป็นไปอยู่ ในโลกนี้ได้
ไม่น้อยไปกว่าคนดีๆ ธรรมดา ๆ เลย
เพราะโลกนี้ มี "วิญญาณ" ! !
การสัมผัสต่างๆ ที่ทำให้คน "รู้" ได้
นั่นแหละ คือ "วิญญาณ"
ผู้มี "วิญญาณ " ชาญฉลาดแท้
จะสามารถเห็นแจ้ง ว่า…
อย่างนั้นแหละคือ "โลกที่ยังวนเวียน
ไม่รู้จบ"
อย่างนั้นแหละคือ
"อารมณ์โลกที่ดึงดูดใจมนุษย์"
อย่างนั้นแหละ คือ "ความเจ็บปวด"
อย่างนั้นแหละ คือ "ความเอร็ดอร่อย"
และนั่นเอง คือ "ความทุกข์" กับ
"ความสุข"
"ฆ่า" มันเสียสิ ! ! !
อย่าให้ "เจ้าสิ่งต่างๆ" เหล่านั้น
มาเป็นของเรา
โลกมันต้อง "มี"
สิ่งเหล่านั้นเป็นธรรมดา
สำหรับผู้ ไม่รู้ ว่า มันเป็น "มายา"
แต่ "เรา" ต้องเรียนรู้
ต้องลด ต้องฆ่าสิ่งเหล่านั้น อย่าให้
"มี" ในตน
มันเกิดอยู่ มีอยู่ อย่างเก่งฉลาด
และพัฒนาเจิดจ้าเต็มโลก
หรือ แม้ในตัวเรานั่นแหละ
ที่มันยังหลง "มี"อยู่
อย่างแฝงซ่อนแท้จริง
แต่ มันไม่ใช่ "ของจริง" หรือ
"ของเรา" หรอก
อย่าหลงผิดว่า มันคือ "เรา" เลย
และ อย่าหลงผิดว่า มันเป็น"ชีวิตชีวา"
ของเราเลย
เมื่อผู้ใด "ฆ่า" มันได้จนตายดับสนิท
ไม่เหลือเชื้อเป็นตัวเป็นตนอีกแน่
แล้วเมื่อนั้น เราจะยืนอยู่สูงสุด
"เหนือโลก" อย่างแท้จริง"
๒๐ เมษายน ๒๕๑๔
พ่อครูว่า…จำได้ว่าเพลงชีวิตหรือเพลงอริยะ
เขียนไปก็ทยอยส่งให้เขาพิมพ์ไป เขียนที่โรงพิมพ์สดๆแล้วก็ส่ง
กระดาษฉีกไปเรียงพิมพ์ แต่ก่อนต้องเรียงพิมพ์ แล้วค่อยเอามาพิมพ์ออกมา
ทบทวนงานที่ตัวเองทำมาแล้วตั้งแต่ออกมาบวช พ.ศ. 2513 อันนี้เพลงเขียน 2514
ตั้งแต่บัดนั้นจนบัดนี้ก็ทำงานมาตลอดเป็นงานโลกุตระ ที่มันยิ่งมาถึงทุกวันนี้แล้ว
พ.ศ. 2564 มันย่าง 51 ปีแล้ว
มันก็ยิ่งเข้าใจยิ่งเห็นจริงยิ่งเห็นลึกแล้วยิ่งเห็นว่าเมืองไทย จะเป็นเมืองหลัก
เป็นเมืองที่จะต้องมีอาริยธรรม เป็นหลักให้แก่โลกเขา
อาตมาว่าอาตมาไม่ได้ละเมอเพ้อพก
แต่ยืนบนฐานความเป็นจริงของความเป็นมนุษย์และเป็นโลกเป็นอัตตา
อาตมาชัดเจนเรื่องความเป็นโลกความเป็นอัตตา เรื่องธรรมะเรื่องโลกุตระ
เพราะฉะนั้นจึงพยายามระดมให้พวกเราศึกษาตั้งใจ ปราชญ์ทั้งหลาย
ผู้รู้ทั้งหลายช่วยกันหน่อย มาทำสิ่งที่ควรจะต้องสนับสนุนส่งเสริมกันนี้
คือส่งเสริมกันให้รู้ว่าเมืองไทย จะเอาเด่นเอาดีทางกสิกรรม
ในเรื่องของประมงหรือปศุสัตว์ก็เป็นเรื่องรอง เป็นเรื่องเคียง
อาศัยกันไปสำหรับผู้ที่ยังต้องอาศัย สำหรับผู้ที่ยังติดยึดอยู่
ถ้าจิตมนุษย์ไม่ต้องไปทำอะไรกับสัตว์ สัตว์ก็ปล่อยตามยถากรรมเขา
เพราะสัตว์มันจิตนิมียาม มันมีรักมีชัง มันมีผูกพยาบาท มันมีแก้แค้น มีความรัดรึง
ก็จะเสียพลังงานซ้อน แต่ถ้าพืชก็ไม่มีปัญหา อาศัยพืชเป็นอาหาร
ไม่ต้องไปอาศัยสัตว์เป็นอาหารได้อย่างนี้ก็ลึก ไกล แต่ก็ต้องเดินไปสู่จุดสูงสุด
ผู้ใดได้แล้วก็นำพากันไป ผู้ที่ยังไม่ได้ก็ค่อยๆศึกษาฝึกฝนขึ้นมาช่วยโลก
ธาตุวิญญาณ มันลึกซึ้ง ยิ่งใหญ่ เทวนิยม ไม่ได้ตีแตกเรื่องวิญญาณ
อาตมาตอนนี้เขียนหนังสือ “รวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร” เล่ม 4
ขยายละเอียดมากเลยและก็แยกแยะให้เห็นเทวะ เป็นวิชาการไม่ได้ข่มขี่เขาหรอก
ให้เห็นเทวนิยมซึ่งเป็นมวลมากของมนุษย์ เพราะมนุษย์จะต้องอวิชชามากกว่าคนที่วิชชา
คนที่มีวิชชาก็อยู่ยอดพีระมิด
คนที่อวิชชาก็จะไล่ระดับลงมาหากลางหาฐานอยู่ระดับเบื้องล่าง
มันเป็นสัจจะที่แย้งไม่ได้หรอก เป็นสัจจะเมื่อใดเมื่อใดก็ต้องเป็นเช่นนั้นตถตา
สูงสุด คนที่สูงแล้วก็ต้องพยายามให้ความรู้แล้วก็ต้องยืนหยัดยืนยันตัวเอง
มีหลักฐานยืนยันด้วย อย่างที่เป็นกันมาโลกุตรธรรม พวกเราถึงขั้นสาราณียธรรม 6
สาธารณโภคี เป็นสูตรสมบูรณ์แบบแล้ว พวกเราก็พิสูจน์ความจริงอันนี้ไป
ในเพลงนี้ อาตมาก็ว่า เวอร์ชั่นเร็วหรือช้าก็ฟังดีทั้งสองเวอร์ชั่น
เวอร์ชั่นช้า อาตมามาแต่งเนื้อร้องเพิ่มเป็นวรรคที่ 2 ตอนนั้นให้นายป็อบปี้ร้อง
ต่อมานายโอ๋ร้อง ลองฟังเวอร์ชั่นเร็วของนายโอ๋ซิ
...มาเถิดอย่าช้า
อยู่ไหนรีบมาคว้ามีดพร้าและจอบเสียม มาปลูกย้ำธรรมเนียม
เตรียมไถไร่นาป่าสวนมวลพืชพันธุ์ มาสร้างคนร่วมกันรังสรรค์บ้านเมือง ประเทืองประทีปไทย
เมื่อเกิดมาเป็นคน ทุกชีพชนม์ฝันใฝ่ สูงสุขจริงยิ่งใหญ่ ต่างไขว่ต่างคว้า
ทุกข์ทนฟันฝ่า เพื่อจะพาชีวิตดี หากใครเชื่อกรรม สมรรถะทำเต็มที่
ขยันสร้างสรรแล้วพลี ย่อมมีคุณค่าแท้ ทั้งเป็นทรัพย์แก่ ผู้แผ่บุญหนุนโลก
เมื่อเกิดเป็นคนแล้ว จะแคล้วคลาดความทุกข์โศก
ก็เพราะฝึกตนทวนโลก โชคดีหลุดพ้น พลิกตนพาชาติ ปราศอบายเสริมบุญ สร้างคนสร้างงาน
สามารถจานเจือจุน สมรรถะนี้คือทุน ยอดคุณค่าแท้ ทั้งเป็นทรัพย์แก่ผู้แผ่บุญหนุนโลก
(เพลง สมรรถภาพ/ครูรัก
รักพงษ์)
นั่นครบทั้งสองเนื้อบริบูรณ์เวอร์ชั่นนายโอ๋ร้องนี่ นายไก่เป็นคน
Arrange ฟังดูปลุกเร้าดี มาขยายความ
เพื่อเน้นเนื้อหาความเข้าใจความรู้และเป็นให้ได้จริงๆตามนี้
มาเถิดมาอย่าช้า
ก็คือเร่งรัดเร่งเร้าปลุกเร้ากันให้มาเร็วๆอยู่ไหนก็รีบมา คว้ามีดพร้าและจอบเสียม
ซึ่งภาษาไม่ได้ยากอะไร
มาปลูกจำธรรมเนียม หมายความว่ามาปลูก มาย้ำ มาฝึกฝน
มากระทำมาฝึกหัดให้เป็น ธรรมนิยม ให้เป็นทำเนียมอันเที่ยงแท้ นิยมะคือเที่ยงแท้
เตรียมไถไร่นา ป่าสวนมวลพืชพันธุ์
ทั้งไร่ทั้งหนาทั้งป่าทั้งสวนมวลพืชพันธุ์ ครบทั้งเนื้อหาพยัญชนะ รวมพืชพันธุ์ธัญญาหารไว้ครบ
มาสร้างคนร่วมกันสร้างสรรค์บ้านเมือง ประเทืองประทีปไทย
ไทยรุ่งเรืองเป็นประทีปเป็นแสงสว่างไปสู่ความอิสระหรือไปสู่ความเป็นไทย
หรือคนไทยหรือประเทศไทย
คนไทยนี่แหละให้เจริญประสบความเป็นไทยเป็นอิสระเสรีภาพอันบริสุทธิ์สมบูรณ์ทั่วโลก
นี่เป็นสร้อย
เพลงโลกุตระเป็นไปเพื่อสังคมมนุษยชาติ เป็นไปไม่เพื่อตัวตน
เป็นเพลงละกิเลส เป็นเพลงโลกุตระ
เมื่อเกิดมาเป็นคน ทุกชีพชนม์ฝันใฝ่ แสวงหา ใฝ่หาความสูง
ใฝ่หาความสุขจริงยิ่งใหญ่ ต่างไขว่ต่างคว้า ทุกข์ทนฟันฝ่าเพื่อจะพาชีวิตดี
หากใครเชื่อกรรม สมรรถะทำเต็มที่หากใครสร้างที่กรรม กรรม
เป็นตัวยิ่งใหญ่ตัวรวมทุกอย่างกรรมเท่ากับ God ของศาสนาเทวนิยม
แล้วกรรมเป็นจริงกว่า God ที่ว่าอย่างนั้นเพราะว่า God มันยังไม่เคยเห็นตัวตน
พระเจ้าอยู่ไหนไม่รู้มีคำสอนตายตัว ไม่เกิดเป็นความเที่ยงตายเด๋เลย
อธิบายอะไรออกไม่ได้ ทั้งๆที่โลกมันเปลี่ยนไป เหตุปัจจัยต่างๆ
องค์ประกอบต่างๆของดินน้ำไฟลมของมนุษยชาติของสถานที่ มันไม่ได้มีโครงเดิมเลย
มันเปลี่ยนไปตลอดเวลา โลกทั้งโลกจักรวาลทั้งจักรวาลตอนนี้ถือว่ามันเสื่อมลงแล้ว
มันก็เสื่อมไป แต่มันนานไม่รู้กี่ล้านๆปีแสงกว่าจะสูญสิ้นไป
ลองคิดชีวิตของคนแต่ละคน 100 200 ปีมันไม่นานอะไรเลย อาตมาเกิดมาในยุคนี้ อายุถึง
100 ปีก็ยังยากแล้ว ก่อนๆนี้เขาอายุหลายร้อยปี แต่อย่างพระพุทธเจ้าตรัสไว้
มนุษย์เคยอายุถึงหลายหมื่นปีเป็นแสนปี คิดไม่ออกหรอก คน ตะบันน้ำกินหรือไง
อยู่กันตั้ง 80,000 ปีคิดไม่ออกหรอกเป็นเรื่อง อจินไตย ไม่ต้องคิด
ก็เอาที่ใกล้ๆที่เราคิดไปถึงได้ ทุกคนทำกรรมเป็นของตนเอง กัมมสโกมหิ กัมมทายาโท
กัมมโยนิ กัมพันธุ กัมมปฏิสรโณ
กัมมังสัตเต วิภัชชติ กรรมจำแนกสัตว์ทุกสัตว์เป็นไปตามกรรม
1. กัมมสัทธา (เชื่อกรรมเป็นเหตุ)
2. วิปากสัทธา (เชื่อผลวิบากของกรรม) &
3. กัมมัสสกตาสัทธา (เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็น สมบัติแท้ของตน กรรมเป็นพระเจ้าบันดาลแท้)
4. ตถาคตโพธิสัทธา (เชื่อความตรัสรู้ของตถาคต)
(ข้อ 4 มีใน พตปฎ. เล่ม 23
ข้อ 4)
เชื่อกรรมเป็นของๆตน กรรมก็คือการกระทำ เข้าใจแล้วว่ากรรมคืออะไร
การคิดก็เป็นกรรม การพูดออกมาก็เป็นกรรม ออกมาทางนัจจะคีตะวาทิตะ
รวมทั้งกายวาจาใจก็เป็นกรรมทั้งนั้น ตกผลึกเป็นวิบาก แล้วเป็นของตนเอง
กัมมัสสกตาสัทธา
ใครเชื่อกรรม เร่งความพากเพียร อุตสาหะ วิริยะ ให้มันเกิดสมรรถนะ
หรือให้มันเกิดความสามารถเกิดทักษะเกิดความเชี่ยวชาญ ให้เต็มที่
เมื่อเต็มที่แล้วเก่งแล้วก็เพิ่มพลังงานขยัน ขยันสร้างสรรค์ แล้วพลีออกสลากออก
ไม่ใช่ขยันสร้างสรรค์แล้วโลภ
กักตุนเป็นของกูและเอาไปออกดอกออกผลให้สะสมมากขึ้นไปอีก ไม่ใช่
อย่างนั้นเป็นโลกีย์จัดจ้าน ยังเป็นพวกทุนนิยม เป็นพวกที่ทำลายสังคม
เป็นพวกบาปกินหัว ฟังให้ดีนะ อาตมาพูดแรง พูดสั้น อาตมาด่าเอาบุญ ด่าชำระกิเลส
ด่าชั้นสูง
ขยันสร้างสรรแล้วพลี ย่อมมีคุณค่าแท้ ทั้งเป็นทรัพย์แก่
ผู้แผ่บุญหนุนโลก
แผ่คือกระจายออกไปให้แก่โลกเขา ตนเองทำตนเองเป็นเจ้าของทรัพย์แต่เราสละพลี
แจกให้แก่ผู้อื่น
เมื่อเกิดเป็นคนแล้ว
จะแคล้วคลาดความทุกข์โศก ก็เพราะฝึกตนทวนโลก โชคดีหลุดพ้น พลิกตนพาชาติ
ปราศอบายเสริมบุญ สร้างคนสร้างงาน สามารถจานเจือจุน สมรรถะนี้คือทุน ยอดคุณค่าแท้
ทั้งเป็นทรัพย์แก่ผู้แผ่บุญหนุนโลก
ให้มันลดอบาย ลดสิ่งต่ำไปเรื่อยๆ แล้วเสริมบุญคือ อาการตัดกิเลส
พ้นอบายไปเป็นลำดับ ปถุชน เป็นอบายของโสดาบัน
โสดาบันเป็นอบายของสกิทาคามี
สกิทาคามีเป็นอบายของอนาคามี
อนาคามีเป็นอบายของอรหันต์
อรหันต์ระดับ 1 เป็นอบายของอรหันต์ระดับ 2
อรหันต์ระดับ 2 เป็นอบายของอรหันต์ระดับ 3
อรหันต์ระดับ 3 เป็นอบายของอรหันต์ระดับ 4
อรหันต์ระดับ 4 เป็นอบายของอรหันต์ระดับ 5
อรหันต์ระดับ 5 เป็นอบายของอรหันต์ระดับ 6
อรหันต์ระดับ 6 เป็นอบายของอรหันต์ระดับ 7
อรหันต์ระดับ 7 เป็นอบายของอรหันต์ระดับ 8
อรหันต์ระดับ 8 เป็นอบายของอรหันต์ระดับ 9
ระดับ 9 ก็เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะกับพระพุทธเจ้า มีภูมิธรรมสัพพัญญูเท่ากันแต่พระพุทธเจ้านั้นประกาศศาสนาแก่โลก
แต่ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่ได้ประกาศศาสนาแก่โลกเท่านั้น
ถ้าจะมองในมุมความไม่มีตัวตนพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้านั้นไม่มีตัวตนยิ่งกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ไม่ประกาศตัวตนเลย อาตมายังไม่ถึงพระพุทธเจ้าไม่ถึงปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า
แค่ระดับ 7 ไล่ระดับไปถึง 8 9 เท่านั้น
สร้างคนสร้างงาน สามารถจานเจือจุน สมรรถะนี้คือทุน ยอดคุณค่าแท้
ทั้งเป็นทรัพย์แก่ผู้แผ่บุญหนุนโลก
สร้างคนสร้างงานทำงานแล้วหมดตัวตนมีระบบสาธารณโภคีสุดยอดยิ่งใหญ่ไม่ต้องสะสมไม่ต้องไปแย่งใคร
สามารถจานเจือจุน อย่างกระท่อมปันสุข
ก็เอาที่ดีๆงามๆให้เขาหน่อยไม่ใช่เอาที่เน่าๆให้เขา
สมรรถะนี้คือทุน นี่แหละเป็นนายทุนที่แท้จริงคือมีสมรรถนะ
ไม่ใช่มีเงินทองมีธนบัตรมีข้าวของไม่ใช่ แต่เป็นนามธรรม
นายทุนของเราเป็นนายทุนนามธรรม นายทุนความขยันนายทุนสมรรถนะเป็นความรู้ความสามารถ
เป็นยอดคุณค่าแท้ ทั้งเป็นทรัพย์แก่ผู้แผ่บุญหนุนโลก ผู้ละกิเลสได้ก็มี
สมรรถนะและความขยันเป็นทรัพย์แท้ ให้แก่โลก
ตัวเองไม่ต้องไปคิดว่าฉันมีทรัพย์ฉันมีนามทำ
แต่เป็นอัตโนมัติของตนเองโดยไม่ต้องนึกถึงเลย
เราไม่ต้องนึกว่าเรามีทรัพย์อยู่เท่าไหร่แล้วมีอริยทรัพย์เท่าไหร่แล้วไม่ต้อง
ไม่ต้องเลย ไม่ต้องไปกังวล สอบพนักงานนามธรรมจัดการทำบัญชีให้เราเอง
ยิ่งกว่าสุวรรณสุวาน พวกเราไม่ใช่สุวานมาทำ แต่พวกเรามีสุวรรณมาทำ
สุวานไปทำให้อีกฝ่ายหนึ่ง สุวรรณมาทำให้เรา สุวรรณ เราก็เป็นช่าง
แต่พวกเราไม่มีใครชื่อสุวาน (หมา)
สู่แดนธรรม...มีคนบอกว่า
นายป๊อบ (ขุนพล) เป็นผู้เรียบเรียงเพลงนี้ไม่ใช่นายไก่เป็นผู้เรียบเรียง
พ่อครูว่า…อยากให้มาประสานกันระหว่างเวอร์ชันเร็วและเวอร์ชั่นช้าต้องมีตัวเชื่อมกัน
ยังมีกายอยู่
คุณก็ยังมีกามอยู่
มาเข้าสู่เนื้อหา คุหัฏฐสูตร บทแรกก็ขยายความไปหมด
จากพระไตรปิฎก ล. 29
คุหัฏฐกสุตตนิทเทสที่ ๒
ว่าด้วยนรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำคือกาย
[30] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ(สตฺโต คุหายํ)
เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว(พหุนาภิฉนฺโน) นรชนเมื่อตั้งอยู่
ก็หยั่งลงในที่หลง((ติฏฺฐํ นโร โมหนสฺมํ ปคาโฬฺห) นรชนเช่นนั้น
ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก(ทูเรวิเวกา) ก็เพราะกามทั้งหลายในโลก
ไม่เป็นของอันนรชนละได้โดยง่าย.
คนจะรู้กามนี่ไม่ง่าย อย่างที่อาตมาว่าอยู่ทุกวันนี้ รู้กามต้องรู้กาย
คุณรู้กาม คุณต้องมีสัมมาทิฏฐิในความเป็น กาย
เพราะกามนี้กับกายแยกกันไม่ได้
ถ้าคุณไม่รู้จักกาย
ยังมีกายอยู่ คุณก็ยังมีกามอยู่
ฟังอีกที คุณยังมีกายอยู่ คุณยังมีกามอยู่
คุณต้องหมดกาย เป็นชีวิตพืช พืชไม่มีกาย จิตนิยามมีกาย
พีชนิยามไม่มีกาย ยิ่งอุตุนิยามยิ่งไม่มีกายเลย แยกกายแยกจิตตรงนี้
ก็เห็นใจแต่ต้องอธิบายสัจธรรมอันลึกซึ้งอันนี้
เพราะฉะนั้นถ้าแยกไม่ออกทวน ผมขนเล็บฟันหนังในมูลกรรมฐาน 5
ที่มันอยู่ข้างนอกเป็นอวัยวะองคาพยพ 32 นี้ ผมขนเล็บฟันหนัง นี่แหละองคาพยพ
นอกนั้นมันไม่ใช่ มันแค่
ทวัตติงสาการ เป็นอาการ 32 แต่คนไปมีตาวติงสา ไม่มีองค์ที่ 33
นั่นเป็นของปลอมเป็นดาวดึงหรือ ตาวติงสา นั่นมันเป็นของเก๊ มันไม่มีจริง
เป็นลมๆแล้งๆ เพ้อฝันปั้นขึ้นมาเป็นนิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมานกาย ขึ้นมาเอง
แล้วมันก็เป็นของแต่ละคน ต่างคนต่างไม่รู้ของใครหรอก เสพ เป็นอุปทานหมู่เท่านั้น
สัมโภคกายต่างคนต่างปั้นขึ้นมาเสพเป็นอุปทานแท้ๆเลย
เพราะฉะนั้นอย่าไปยึดถือลมๆแล้งๆมันไม่เข้าเรื่อง เวทนามี 1 เท่านั้น
เมื่อเรายังมีธาตุรู้ ถ้าปรินิพพานเป็นปริโยสานก็แยกธาตุเวทนาหมดเลย แยกเป็นอุตุ
เป็นธาตุดินน้ำไฟลมหมดเลย ไม่มีความรู้สึกเลย หรือไม่ก็แค่อาศัยไม่ถึงขั้นอุตุขั้นพีชะ
กายกับกาม อย่างมหาบัวไม่รู้จักกาม รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสไม่รู้จัก
เสพติดเกิดจากหมากพลู รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสครบอยู่ในนั้นเลย
กินติดปากจนกระทั่งตายไปพร้อมกับหมาก ไม่เข้าใจเรื่อง กาม เพราะไม่เข้าใจเรื่องกาย
ไม่รู้จักกาย ไม่พ้นสักกายทิฏฐิ ข้อที่ 1 ของสังโยชน์ เข้าใจกายไม่ได้
อย่าว่าแต่เข้าใจกายไม่ได้เลย สักกะของตนก็ไม่รู้
แต่พอรู้ว่าเพื่อผู้อื่นของผู้อื่นดี
เป็นตัวอย่างได้ว่าไม่ใช่ แต่มันซ้อน หยาบ ซ้อนละเอียดเข้าไป
ตัวเองยึดถือของตัวเองอย่างแน่นเลย เป็นอุปกิเลสเป็นตัวกูของกู
พอพูดถึงทองที่เข้าพระคลังเรี่ยรายได้ ไม่ใช่น้ำพักน้ำแรงตัวเองนะ
ไม่ใช่ตัวเองสร้างขึ้นมาแล้วก็แลกเปลี่ยนด้วยอัตราค่าแลกเปลี่ยนตามควรไม่ใช่ไปเอาเปรียบอย่างนายทุน
แล้วคุณก็ได้ทองคำเท่านั้นบาท หมื่นล้านบาทอะไร แสนบาทอะไรก็แล้วแต่
มีทองคำเข้าคลัง มีเงินดอลลาร์ เข้าคลัง กี่หมื่นล้านอะไรก็แล้วแต่
ก็ยึดถือว่าเป็นของเราจนตาย พูดขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ภูมิใจ ว่านี่ฝีมือเรา
ไปเรี่ยไรเขามาแต่อ้างว่าเพื่อประเทศไทย เอาประเทศมาเป็นจำเลย ใครก็เอามาให้สิ
แล้วก็เอาไปช่วยคลัง นี่มันเป็นความซับซ้อน
คนฉลาดจะใช้ความซับซ้อนพวกนี้สร้างอัตตาตัวเองให้โตได้
แล้วติดยึดในอัตตาตัวเองแน่นเหนียวไม่เข้าใจ
ตีอัตตาหรือกายอย่างหยาบคือโอฬาริกอัตตา คือกายคือกามภายนอก หมดกาม
ทวารทั้ง 5 แล้วเข้าไปสู่รูปภพ ภวตัณหา รูปภพ อรูปภพ จึงค่อยๆเลื่อนเข้าไปเป็น
มโนมยอัตตา โอฬาริกอัตตา อรูปอัตตา ในอัตตา 3
ซึ่งไม่ได้เข้าใจอัตตาได้ง่ายๆ แล้วต้องล้างก่อนนะโอฬาริกอัตตาหรือกาม
ต้องล้างออกไม่มีกายให้ได้ก่อน คุณจึงจะเหลือรูปภพ อรูปภพ เหลือภวตัณหา แต่คุณยังมี
โอฬาริกอัตตาหรือมีกายครอบอยู่อย่างนี้ ไม่มีทางเข้าไปภายในได้
เหมือนกับจะกินทุเรียนโดยเอาปากไปกัดเปลือกทุเรียนได้อย่างไร
คุณจะมาเรียกว่าเอาพร้าเอามีดมาเจาะเอาเปลือกออกก่อน คุณก็ต้องทำด้วยตัวเองสิ
แต่เอาปากกัดเปลือกทุกเรียน อาตมาว่า ปากคุณพังก่อนได้กินทุเรียน มันไม่ได้
อ้างทุเรียนนี้ชัดดีเหมือนกันนะ ไปอ้างถ้ำ ภูเขาก็ยาก แต่เปรียบเทียบเปลือกทุเรียน
คุณเอาปากกินอย่าอาศัยอย่างอื่นมันไม่ได้ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม...กระรอกก็แทะเปลือกออกก่อน
ย้อนไปเรื่องเพลงสมรรถภาพ ไม่เห็นครูบาอาจารย์คนไหนฝึกลูกศิษย์ให้เกิดสมรรถภาพได้อย่างนี้
สอดคล้องกับโอวาทปาติโมกข์ 3 เมื่อหมดกิเลสแล้วก็ทำกุศลให้ดีมากขึ้น
พ่อครูว่า…เป็นอายะ 3 พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)
พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก
ช่วยโลก)
ถ้าไม่เข้าใจเรื่องกาย ไม่เข้าใจเรื่องกาม ปิดประตูนิพพานได้เลย
ต้องให้พ้นวิจิกิจฉาพ้นความสงสัยคลางแคลงว่า กายคืออะไร สักกะคืออะไร ตัวเรา
กิเลสเรา โดยเฉพาะนามธรรมของเรา ตัวจิตเจตสิกต่างๆ รู้แล้วก็ชัดเจน
แยกเอาสิ่งที่มันละเอียดมันเป็นกายกลิ เป็นตัวกิเลสที่ต้องอาศัยกาย เป็นตัวนอกก่อน
แล้วค่อยเป็นจิตกลิ ถ้ากายกลิยังยังไม่หมดกาย แล้วคุณจะไปทำงา จิตกลิ
มันผิดขั้นตอน ผิดลำดับ
เพราะฉะนั้นพวกสายหลับตาเนี่ย เป็นโมฆะมันทำไม่ได้มันปลอม
มันเป็นไปไม่ได้ พูดอย่างไรก็คงจะยาก แต่ยากก็คงจะมีคนคอยฟังก็คงจะศึกษา
อาตมาว่าแม้พระไตรปิฎกเป็นฉบับของพระกัสสปะซึ่งเป็นยอดของเทวนิยมหนัก
ขอบปลายของศาสนาพุทธเลย คือพระกัสสปะ อันนี้คนก็พอเข้าใจได้บ้าง พระกัสสปะ
เป็นจอมออกป่ายึดป่า พระพุทธเจ้าเก็บตกจากพวกเดียรถีย์มา
แล้วก็เป็นหัวหน้าเรียบเรียงพระไตรปิฎกแล้วเอามาใช้กันอยู่ในประเทศไทยด้วย
อาตมาก็ช่างกระไร ไม่เอาฉบับของพระสารีบุตรมารวบรวมไว้เอามาใช้กัน มาเอาของฝ่าย
กัสสปะมา
สู่แดนธรรม…มี 3
เล่มที่เป็นของพระสารีบุตร คือเล่ม 29 30 31 นอกนั้นเป็นของพระกัสสปะ
พ่อครูว่า…เล่ม 29 มีคุหัฏฐกสูตร กับเล่ม 31 ซึ่งพูดถึงบุรุษ
บุคคลต่างๆ แล้วต่อไปขยายถึงบุคคล 7 เอาแต่แค่อุภโตภาควิมุติแล้วไปเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ
มาเน้นอีกที กายกับกาม
กามเป็นสิ่งที่นรชนทั้งหลายในโลก
ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ชนทั้งหลายในโลกจะละได้โดยง่าย กาม ภาษาพูดสั้นนิดเดียว
สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย รูปที่พึงรู้แจ้งด้วยจักษุ ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ
น่ารัก ประกอบด้วยกาม เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัด มีอยู่ หากว่าภิกษุเพลิดเพลิน
ชมเชย ยึดถือรูปนั้น ตั้งอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เสียงที่พึงรู้แจ้งด้วยโสต ...
กลิ่นที่พึงรู้แจ้งด้วยฆานะ ... รสที่พึงรู้แจ้งด้วยชิวหา ... โผฏฐัพพะที่พึงรู้แจ้งด้วยกาย
... ธรรมที่พึงรู้แจ้งด้วยมนะ ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ น่ารัก ประกอบด้วยกาม
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดมีอยู่ หากภิกษุเพลิดเพลิน ชมเชย ยึดถือธรรมนั้นตั้งอยู่
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนเมื่อตั้งอยู่แม้ด้วยประการอย่างนี้.
สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณที่เข้าถึงรูป เมื่อตั้งอยู่ย่อมมีรูปเป็นอารมณ์
มีรูปเป็นที่ตั้ง ซ่องเสพความเพลิดเพลินตั้งอยู่ ย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
วิญญาณที่เข้าถึงเวทนา ...
วิญญาณที่เข้าถึงสัญญา
... หรือวิญญาณที่เข้าถึงสังขาร เมื่อตั้งอยู่ ย่อมมีสังขารเป็นอารมณ์
มีสังขารเป็นที่ตั้ง ซ่องเสพความเพลิดเพลินตั้งอยู่ ย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์
เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า นรชนเมื่อตั้งอยู่ แม้ด้วยประการอย่างนี้
พ่อครูว่า…ต้องไม่ให้มันตั้งอยู่อย่างนี้ ต้องให้มันคลี่คลาย
แล้วไม่ให้มันเจริญงอกงามไพบูลย์
ให้มันเสื่อม ให้กิเลสเสื่อม จนจิตใสสะอาดมากขึ้นไม่มีอะไรเพิ่มขึ้น
จิตมีแต่เอาออก จิตที่ใสสะอาดก็คือเอาขี้ไคลแห่งความคิดออก
ขี้ไคลของความคิดคุณมากเข้าก็จะกลายเป็นหูด เป็นพวกเนื้อเสียเป็นก้อน ตัดทิ้งได้ไม่เจ็บ
กลายเป็นสิ่งที่ไม่ใช่กายแล้ว เหมือนเล็บ ผม เฉือนออกได้ไม่เจ็บหรอก
หูดเป็นโพรงๆหน่อย แต่หนังจะแข็งเป็นก้อน
ผู้ใดไม่รู้จักกาย ไม่รู้จักกาม แยกไม่ออก กายมีทั้งกายนอกกายใน
แต่กามไม่มีกาม
นอกงธรรมกามใน กามมันข้างนอก มีแต่กามคุณ 5 ไม่มีกามคุณ 6 กามคุณ 7 ต้องเอากามคุณ
5 ออกก่อน ถ้าไม่เอาออกก่อนไปทำภายในไม่ได้ เหมือนกับทุเรียน
หากไม่เอาเปลือกทุเรียนออกก่อนคุณกินข้างในไม่ได้ ทุเรียนมีหนามป้องกันเยอะ
ทุเรียนคงมีลีลาออกไปนอกประเทศอีกเยอะ เมืองอื่นประเทศอื่นก็มีทุเรียนเหมือนกัน
แต่ทุเรียนของไทยรู้สึกจะพัฒนาพลิกแพลงไม่รู้กี่ชื่อ ขายกันลูกละเป็นแสน เจ้าประคุณแต่เขาประมูลหรอก
ถ้าราคาจริงๆก็คงไม่ได้ อย่างเก่งก็สี่พู พูละสองหมื่นห้า
สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่า
ความกำหนัด(ราโค) ความเพลิดเพลิน(นันทิ) ความปรารถนา(ตัณหา) มีอยู่ในกาวฬิงการาหาร
วิญญาณก็ตั้งอยู่งอกงาม ในที่นั้น
วิญญาณตั้งอยู่งอกงามในที่ใด
ความหยั่งลงแห่งนามรูปก็มีอยู่ในที่นั้น ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายมีอยู่ในที่ใด
ความเกิดในภพใหม่ต่อไป ก็มีอยู่ในที่นั้น ความเกิดในภพใหม่ต่อไปมีอยู่ในที่ใดชาติ
ชรา มรณะต่อไปก็มีอยู่ในที่นั้น ชาติ ชรา มรณะต่อไปมีอยู่ในที่ใด
ดูกรภิกษุทั้งหลายเรากล่าวว่า
ที่นั้นมีความโศก มีความหม่นหมอง มีความคับแค้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าว่าความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความปรารถนา มีอยู่ในผัสสาหาร ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความปรารถนา
มีอยู่ในมโนสัญญาเจตนาหาร ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่า
ความกำหนัด ความเพลิดเพลิน ความปรารถนา มีอยู่ในวิญญาณาหาร
วิญญาณก็ตั้งอยู่งอกงามในที่นั้น วิญญาณตั้งอยู่งอกงามในที่ใด
ความหยั่งลงแห่งนามรูปก็มีอยู่ในที่นั้น ความหยั่งลงแห่งนามรูปมีอยู่ในที่ใด
ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายก็มีอยู่ในที่นั้น
ความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายมีอยู่ในที่ใด ความเกิดในภพใหม่ต่อไปก็มีอยู่ในที่นั้น
ความเกิดในภพใหม่ต่อไปมีอยู่ในที่ใด ชาติ ชรา มรณะต่อไปก็มีอยู่ในที่นั้น ชาติ ชรา
มรณะต่อไปมีอยู่ในที่ใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เรากล่าวว่า ที่นั้นมีความโศก มีความหม่นหมอง มีความคับแค้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า
นรชนเมื่อตั้งอยู่ แม้ด้วยประการอย่างนี้.
สู่แดนธรรมสรุปจบ