วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

640730_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 4

 รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 4
วันศุกร์ที่ 30 กรกฎคม  2564

ณ บวรราชธานีอโศก











ชมวิดีโอได้ที่นี่
ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่นี่


สมณะเดินดิน...วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก  สถานการณ์ประเทศไทยตอนนี้ นายกรัฐมนตรีถูกบีบให้ออก ก็มี mv เพลงใจฟ้า ( https://youtu.be/2olTYjknkyY ) ที่พวกเราทำมาให้ดู ซึ่งเข้ากับสถานการณ์ตอนนี้ แม้จะมีคนรุมด่านายกฯ แต่ก็มีป๋าเทพ (เทพ โพธิ์งาม) ออกมาให้กำลังใจนายกฯด้วยภาษาเทพ ก็มีกระแสตอบรับดี จนขนมเปี๊ยะขั้นเทพขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แสดงว่ามีคนสนับสนุนนายกฯเยอะอยู่

 

ประเทศไทยเป็นสังคมที่ดีที่สุดในโลก

พ่อครูว่า...เมืองไทยก็ดีสังคมทุกประเทศก็ดีก็คือเรื่องของสังคมมนุษย์ ก็มีแตกต่างกันไป ให้ศึกษากันไป ซึ่งอาตมาก็เคยพูดหลายทีแล้ว ไม่ได้พูดเล่นไม่ได้พูดอย่างคะนอง แต่พูดอย่างไตร่ตรองแล้ว แล้วก็ขอยืนยันว่าเป็นความจริงด้วยคือสังคมประเทศไทยเป็นสังคมที่ดีที่สุดในโลก

สังคมที่ดีนั้นไม่ใช่สังคมที่ล้าสมัยเกินไป แล้วก็ไม่ใช่สังคมที่แล่นไปแย่งชิงให้มันล้ำสมัยเข้าไปไม่ใช่ หรือแม้แต่แค่จะทันสมัยเขาก็ไม่ต้อง แต่เป็นสังคมที่อยู่กึ่งกลางๆพอเหมาะพอดี เพราะฉะนั้นคนจะเข้าใจยากที่สังคมทุนนิยมจัดนั้นเจริญหรือ ซึ่งไม่ใช่ มันเป็นสังคมสุดโต่งสุดขอบ สังคมที่ตกยุคไม่เอาถ่านเลยสุดโต่ง ก็ไม่ใช่สังคมที่อยู่อย่างเหมาะควรพอเหมาะพอดี

สังคมใดที่อยู่อย่างพอเหมาะพอดี ที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 บอกว่าเราก็อยู่อย่างพอดีพอเหมาะ ไม่ใช่สังคมที่ก้าวหน้าอย่างมาก เพราะการก้าวหน้าอย่างมากเป็นการถอยหลังอย่างน่ากลัว ท่านตรัสอย่างโลกุตระ คนโลกีย์ก็ฟังไม่รู้เรื่อง มันคนละโลกอยู่ทางโลกีย์ก็หลงไปตามธรรมดาธรรมชาติของความสุดโต่ง

เพราะฉะนั้นคนที่จะมาโลกุตระเท่านั้นจึงจะรู้ความเป็นกลาง หรือความพอเหมาะพอดี จะเห็นความตรงของความน้อยไปมากไปสูงไปต่ำไป ขวาไปซ้ายเกินไปอะไรพวกนี้

เพราะฉะนั้นความต้องการของมนุษยชาติที่บอกว่าต้องการสังคมประชาธิปไตย มีอธิปไตยที่รวมความเห็นของประชาชนมีค่ารวมองค์รวม อย่างพอเหมาะพอดีนั่นคือประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นคนจึงเข้าใจไม่ได้ง่ายๆในความเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง

พวกที่เรียนประชาธิปไตยทางทุนนิยมอย่างไรก็เอียงข้างสุดโต่ง เพราะไม่รู้จักสภาพ 2 ทุนนิยมหรือเทวนิยมทำตะวันตก ทางศาสนาที่มีความรู้ไม่รู้จักเทวะไม่รู้จักสภาพ 2 แล้วก็ดู เป็น 1 ได้อย่างดีที่สุด ซึ่งเป็น อจินไตย ที่คิดยากคิดไม่ออกหรอก อาตมาพยายามไขความ ใครสามารถรู้ตามได้อย่างอาตมาก็ดี แต่แม้คนรู้น้อยก็ต้องพูด เป็นยุคสมัยที่ไม่ต้องอธิบายอะไรกันมากแล้วในเรื่องโลกุตระ

หมายความว่า ต้องอธิบาย คนที่ไม่เข้าใจอยู่แล้วก็ไม่ต้องไปเซ้าซี้ เอาคนที่พอเข้าใจให้เข้าใจลึกให้สุดให้ครบ จึงต้องสาธยายโลกุตรธรรมให้มาก สำหรับคนที่อยู่ในโลกียะ ส่วนคนโลกียะนั้นไม่ต้องไปเซ้าซี้ไม่ต้องไปเสียเวลาเขา ไม่ต้องมาพูด พูดไปเขาก็ไม่รู้เรื่องรับไม่ได้ไม่มีประโยชน์ เราก็มาทำต่อยอดอันนี้ไปเรื่อยๆให้เป็นประโยชน์ต่อศาสนาพุทธโลกุตรธรรม

เพราะโลกุตรธรรม 2,500 ปีมานี้มันหมดไปแล้วตามที่พระพุทธเจ้าท่านพยากรณ์เอาไว้ อาณิสูตร เป็นเรื่องจริง ท่านพยากรณ์เอาไว้ตั้งแต่ท่านมีพระชนม์ชีพ ตอนนี้ก็ถึงวาระที่เป็นไปตามพยากรณ์

อาตมาไม่ได้พูดเล่นว่าอาตมานำเอาโลกุตระกลับคืนมาประกาศลงไปเชื่อมสืบต่อในพระพุทธศาสนาให้ได้ ไม่มีใครมายืนยันอย่างอาตมาหรอก แม้แต่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านก็ประพฤติโลกุตระ แต่ท่านไม่ได้มีหน้าที่สืบสาน ท่านก็มีหน้าที่ตามสัมภาระวิบากของท่าน ส่วนสัมภาระวิบากของอาตมาก็เป็นอย่างที่อาตมาต้องทำ ก็คนละหน้าที่คนละอย่างกันไป

 

_pphopcw Cw : ผมได้ศึกษาชีวประวัติของพ่อครู มีความซาบซึ้ง เลยได้ไปเดินตามหาบ้านในอดีตที่อยู่ซอยอาคารสงเคราะห์ 2 เพื่อที่จะไปยืนรำลึกถึงเรื่องราวต่างๆในประวัติ แต่หาไม่พบครับ เดินมองๆดูไม่ทราบว่าหลังไหน ไม่ทราบว่าบ้านยังคงมีอยู่ไหมครับ (ผมทำงานอยู่ในซอยอาคารสงเคราะห์ 2)

พ่อครูว่า...บ้านหลังนี้ก็ยังอยู่ที่ซอยอาคารสงเคราะห์ เป็นบ้านเลขที่ 62

 

_อัมพร กุลศักดิ์ศิริ : สัปเหร่อทำงานหนักแต่รัฐไม่มีค่าตอบแทน จะแจ้งหน่วยงานไหนครับ / คุณบัญชา ชุมชัยเวช(ช่อง3)แจ้งว่าโรงสีใหญ่ใกล้เจ๊งเป็นข่าวดีหรือร้ายครับท่าน

 

_0015 :โควิดสายพันธุ์โอลิมปิก จะเป็นสายพันธุ์ใหม่จากการกีฬาที่จะล้างและทำลายโลกอย่างที่พ่อท่านเคยบอกไว้ไหมครับ

พ่อครูว่า...ตอนนี้เขาก็ยังไม่กลัวอะไรกัน กำลังแข่งกีฬาโอลิมปิกกันเต็มเหนี่ยว อาตมาก็ไม่รู้นะแล้วไม่อยากให้เกิดหรอก ก็คงมีคนกังวล ที่ไปมั่วสุมแข่งกีฬากันเต็ม แข่งกีฬาก็คงไม่ได้ใส่แมส ก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่จากการกีฬาขึ้นหรือเปล่า แล้วอย่าเอาคำพูดตอนนี้ให้อาตมาแช่งให้สังคมไม่ดี ถ้ามันเกิดก็รู้สึกสยองไม่ค่อยดีไม่อยากให้เกิด ก็อย่าให้เกิดเลย

 

_Vittaya Sudprasert (วิทยา สุดประเสริฐ) : ใส่แมสด้วยนะครับท่านฯ

พ่อครูว่า...ขอบคุณที่เตือนมา ขออภัยที่อาตมาไม่ใส่แมส เพราะอาตมาเป็นคนที่รับออกซิเจนได้น้อย ไม่รู้สิ ตอนนี้ก็รู้สึก ออกซิเจนไม่เคยพอ ใส่แมสมันก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ มันไม่พอไม่ดี ก็เลยให้พวกเราใส่แมสกันให้หมด เหลืออาตมาไม่ต้องใส่แมส แล้วพวกเราก็ใส่แมสกันทุกคน มีอาตมาขออภัยไม่ใส่แมสคนนึง

 

SMS วันที่ 28-29 ก.ค. 2564

_สุดชดา : กราบนมัสการค่ะพ่อครู ที่พ่อครูว่าประชาธิปไตย 2 ขานั้น ถ้าจะกล่าวเป็นภาษาที่คนในสังคมเข้าใจได้นั้นจะกล่าวว่าวัตถุนิยมและจิตนิยมพอจะใช้แทนกันได้ไหมคะ?

     ในช่วงที่ดิฉันอยู่ในภพดิฉันมีเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญาเป็นอารมณ์ คือจะรู้ไม่ใช่ไม่รู้ก็ไม่เชิงแต่รู้ว่ากำลังเกาะกับความคิดและการรอคำตอบอะไรบางอย่าง พอออกจากภพเนวสัญญานาสัญญาตัวนั้นก็น้อยลงขึ้นกับกำลังสติที่อยู่กับปัจจุบันอย่างนี้เข้าใจถูกไหมค๊ะ

พ่อครูว่า...ประธานาธิบดีนั้นอาศัยคำว่าประชาธิปไตยเท่านั้น พฤติกรรมกับโครงสร้างที่เขาวางไว้นั้นมันจะเป็นโครงสร้างที่ซับซ้อนเป็นเผด็จการที่แฝงไว้ไม่ให้คนเข้าใจเหมือนคอมมิวนิสต์ดื้อๆ ส่วนคอมมิวนิสต์นั้นไม่ได้อำพราง สมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ไม่ได้อำพราง แต่อันนี้เป็นเผด็จการแบบอำพราง

เนวสัญญานาสัญญายตนะ มันไม่สมบูรณ์ทั้งองค์ประกอบนอกและใน เพราะฉะนั้นใน เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา จึงต้องสัญญากำหนดรู้และพยายามทำให้เกิดปัญญาเพื่อที่ จะเป็นการเลือกเฟ้น เนวสัญญา แปลว่า ยังไม่ลงตัวยังไม่เป็นสิ่งที่เป็นหนึ่งเดียวชัดเจนตัดสินสมบูรณ์ โดยไม่ต้องมีอะไรอีก โดยเฉพาะองค์ประกอบมันไม่สมบูรณ์

แต่ถ้าองค์ประกอบสมบูรณ์แล้วไม่ต้องมี เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา

เหมือนวิญญาณฐีติ 7 มี อากิญจัญยายตนะ เท่านั้นทำงาน เรียนรู้กาย กับสัญญา 2 ตัวนี้มาเป็นตัวศึกษาเทวซึ่งเป็นคู่ที่สำคัญที่สุดรู้จักกายโดยมีสัญญากำหนดรู้กาย มิจฉาทิฏฐิเขาจะกำหนดไม่ชัดเจน สัมมาทิฏฐิจึงจะกำหนดกายได้ถูกต้องชัดเจน สัญญาก็ไม่วิปลาส เป็นสมบูรณ์แบบ ผู้ที่เข้าใจชัดแล้วปฏิบัติวิญญาณฐีติจึงไม่ต้องมีเนวสัญญานาสัญญายตนะ เป็นอารมณ์

เนวสัญญานาสัญญายตนะ จึงไม่มีองค์ประกอบครบปกติที่จะต้องตื่นรู้กายกรรมวจีกรรมมโนกรรม เหตุการณ์องค์ประกอบที่ตนเองร่วมอยู่ด้วยเข้าใจหมด ส่วนประกอบสมบูรณ์แบบ ก็จะใช้สัปปุริสธรรม 7 กับการปฏิบัติประกอบในกาละที่เรามีชีวิตร่วมอยู่ด้วย ก็ตัดสิน มัตตัญญุตา ตัดสินประมาณได้ตรงตามที่ตัวเองมีประสิทธิภาพ ตามบารมี

 

_ไพฑูรย์ : ถ้าพ่อท่านนั่งเป็นประธาน ให้สมณะท่านอื่นบรรยายแทน ท่านคอยเสริมบ้าง

จะสร้างบุคคลากรและความเชื่อถือต่อสมณะอื่นๆมากขึ้น จะลดภาระพ่อท่านได้มากขึ้นครับ

พ่อครูว่า...ถูกที่ลดภาระอาตมาได้มากขึ้น แต่ประโยชน์จะได้เท่าที่ควรไหม...ก็ไม่ควร ก็คิดดู อาตมามีกำลังทำได้อยู่ ทุกวันนี้บางวันเขาก็ไม่ให้เทศน์ อาตมาเทศน์วันเว้นวัน หากวันไหนยึดไปก็ห่างไปอีก 2 ช่วง ก็เป็นไปได้ เอาน่า อย่าเพิ่งให้อาตมาหมดแรงแก่ไปนัก พอทำได้อยู่ ไม่ได้ฝืนทรมานทรกรรมอะไร อาตมาเข้าใจในความหวังดีของแต่ละคนขอบคุณ

 

_สินอโศก : ต่อไปดิฉันก็จะพยายามเข้ามาพูดคุยกับพ่อท่านค่ะ

(พ่อครูไอตัดออกด้วย)

 

_พักสัมมา : ตอนนี้ดูข่าวการเมืองเกือบจะไม่ไหวแล้ว ได้ดูป๋าเทพพูด มันส์มาก กราบนิมนต์พ่อครูช่วยให้สัมมาทิฎฐิด้วยครับ

พ่อครูว่า...อาตมาให้สัมมาทิฏฐิกับประชาชนตลอดเวลา ซึ่งที่เคยทำกันนั้นเป็นมิจฉาทิฐิอยู่ทั้งหมด น่าสงสาร ก็พยายามเอาสัมมาทิฏฐิเข้าไปเติม ตั้งแต่เรื่องที่ควรจะเลิกควรปฏิบัติภาคปฏิบัติที่ไปหลงการนั่งหลับตา อาตมาก็พูดอย่างเต็มที่ว่าเลิกกันได้แล้วนั่งหลับตา มันไม่อยู่ในระบบของศาสนาพุทธเลย มันไม่มีความจำเป็นต้องไปนั่งหลับตาเลย แม้แต่ในพระไตรปิฎกกล่าวถึงอานาปานสติก็ไม่มีเข้ามานั่งหลับตา แต่ไปนั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่นอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านพยายามอธิบายอย่างอนุโลมมากแล้ว ว่ามันต้องรู้จักกาย

ถ้าหากนั่งอานาปานสติก็จะเหลือกายแค่ลมหายใจเข้าออกอยู่ตรงนี้ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง ลิ้นกระทบรส อะไรต่างๆอีกตั้ง 5 ทวารก็ไม่ได้รู้เรื่อง ไม่ได้เอาใจมาเกี่ยวข้องตรงนี้เลย มันทิ้งไปอย่างสูญเปล่า มันเป็นโมฆะ มันไม่ได้ประโยชน์อะไรมากมายเลยแล้วก็นั่งอยู่กับที่ด้วย ถ้าคุณไม่นั่งอยู่กับที่ โดยที่เดินไปไหนมาไหนลมหายใจเข้าออกคุณก็เรียนรู้การในขณะที่ลมหายใจเข้าออก มีสัมผัสสัมพันธ์กับอย่างอื่นอยู่ก็ยังมีประโยชน์มาก แต่นี่ไม่เลย กลายเป็นนั่งอยู่อย่างนั้นดีไม่ดีเข้าไปในภวังค์อีก มันเป็นโมฆะสูญเปล่าออกนอก อย่าว่าแต่ออกนอกจากศาสนาพุทธเลย ออกนอกอะไรก็ไม่รู้ ไม่ได้อยู่ในภาคปฏิบัติธรรมเลย

อาตมาว่าได้พูดไว้ชัด ว่าอย่างแรงมากแล้ว หยุดได้แล้วนั่งหลับตาทำสมาธิ ให้มาศึกษาให้ดี สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นเป็นอจินไตย แค่คำว่า ฌาน ก็เป็นวิสัยที่เป็นอจินไตย ไม่ใช่รู้ได้ง่ายๆ ขออภัยที่ต้องพูดว่า อาตมาเชื่อว่าในประเทศไทยยังไม่มีใครชัดเจนสมบูรณ์แบบว่า

ฌาน ของศาสนาพระพุทธเจ้าคืออะไร ขออภัยต้องพูดอย่างนั้น ฌานวิสัยเป็นอจินไตย คิดเอาเองไม่ได้

ฌาน ของพระพุทธเจ้าต้องปฏิบัติตามหลัก อปัณณกปฏิปทา 3 ต้องมีศีลมาก่อนด้วย หากไม่มีศีล ไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ก็ไม่ใช่ฌานของพระพุทธเจ้า แค่นี้ก็เขี่ยทิ้งที่เขาปฏิบัติกันมามากแล้ว เพราะต้องสังวรศีลสำรวมอินทรีย์ทั้ง 6 สัมผัสกับของกินของใช้อาหารทั้ง 4 ชัดเจนทุกอย่าง มี ผัสสะ มโนสัญเจตนา พร้อมวิญญาณฐีติ จึงจะมีฌาน ผ่านสัทธรรม 7  ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ วิริยะ สติ  ปัญญา โดยมีปัญญาเป็นยาดำ กระสายอยู่ใน จรณะ 15 วิชชา 8

 

ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 4

พ่อครูว่า...มาอ่าน อัมพัฏฐสูตร

[157] ดูกรอัมพัฏฐะ เมื่อเทียบหญิงกับหญิงก็ดี เมื่อเทียบชายกับชายก็ดี กษัตริย์พวกเดียวประเสริฐ พวกพราหมณ์เลว ดูกรอัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉนพราหมณ์ทั้งหลาย ในโลกนี้ พึงโกนศีรษะพราหมณ์คนหนึ่ง มอมด้วยเถ้า เนรเทศเสียจากแว่นแคว้นหรือจากเมืองเพราะโทษบางอย่าง เขาจะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์บ้างหรือไม่?

อ. ไม่ควรได้เลย พระโคดมผู้เจริญ.

 

เช่นถามว่า พวกพราหมณ์ควรเชิญเขาให้บริโภคในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย ในการเลี้ยงเพื่อการมงคลในการเลี้ยงเพื่อยัญพิธี หรือในการเลี้ยงเพื่อแขกได้บ้างหรือไม่?

พ่อครูว่า...ก็หมายความว่าเวลาคนตายจะมีพิธีงาน เพื่อนฝูงก็ไปร่วมพิธีสังคมแล้วเลี้ยงอาหารต่างๆนาๆแสดงความเห็นใจกัน ควรจะเชิญพราหมณ์ไหม? หรือแม้แต่งานทำบุญขึ้นบ้านใหม่ และอื่นๆ ที่มีเป็นจารีตประเพณีอยู่ ที่มีพิธีทางศาสนา หรือเลี้ยงแขกในงานสังคมเฉยๆ คนที่ไม่ได้อยู่ในเกณฑ์เขาถือศักดิ์ถือตระกูล หรือถือวรรณะกันอย่างแรงมากเลย(อินเดีย)

อ. ไม่ควรเชิญเขาให้บริโภคเลย พระโคดมผู้เจริญ.

พ. พวกพราหมณ์ควรบอกมนต์ (มนต์คือธรรมะ)ให้เขาหรือไม่?

พ่อครูว่า...เขาจะไม่สอนมนต์ให้พวกพราหมณ์ทั้งหมด เพราะถือว่า ผู้ที่จะเรียนมนต์ (มนต์คือธรรมะ) จะสอนธรรมะกันเพื่อให้ถ่ายทอดและสืบทอดกัน โดยเฉพาะให้ท่องบทมนต์ให้ได้ ในพระเวทย์ทั้งหลาย เขาจะไม่สอนพระเวทย์ทั้งหมดให้แก่คนอื่น เขาจะสอนเฉพาะลูกศิษย์ที่มีตระกูลพราหมณ์ด้วยกันเท่านั้น ถ้าไม่ใช่ตระกูลพราหมณ์ไม่ได้มาเรียน ไม่สอนให้ทั้งหมด

อ. ไม่ควรบอกให้เลย พระโคดมผู้เจริญ.

พ. เขาควรถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่?

อ. เขาควรถูกห้ามทีเดียว พระโคดมผู้เจริญ.

[158] อัมพัฏฐะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน กษัตริย์ทั้งหลาย ในโลกนี้พึงปลงเกศากษัตริย์องค์หนึ่ง มอมด้วยเถ้า แล้วเนรเทศเสียจากแว่นแคว้นหรือจากเมืองเพราะโทษบางอย่าง เขาจะควรได้ที่นั่งหรือน้ำในหมู่พราหมณ์บ้างหรือไม่?

อ. ควรได้ พระโคดมผู้เจริญ.

พ. พวกพราหมณ์ควรเชิญเขาให้บริโภคในการเลี้ยงเพื่อผู้ตาย ในการเลี้ยงเพื่อการมงคลในการเลี้ยงเพื่อยัญพิธี หรือในการเลี้ยงเพื่อแขกได้บ้างหรือไม่?

อ. ควรเชิญให้เขาบริโภคได้ พระโคดมผู้เจริญ.

พ. พวกพราหมณ์ควรบอกมนต์ให้เขาหรือไม่?

อ. ควรบอกให้ พระโคดมผู้เจริญ.

พ. เขาควรถูกห้ามในหญิงทั้งหลายหรือไม่?

อ. เขาไม่ควรถูกห้ามเลย พระโคดมผู้เจริญ.

ดูกรอัมพัฏฐะ กษัตริย์ย่อมถึงความเป็นผู้เลวอย่างยิ่ง เพราะเหตุที่ถูกกษัตริย์ด้วยกันปลงพระเกศา มอมด้วยเถ้า แล้วเนรเทศเสียจากแว่นแคว้นหรือจากเมือง ดูกรอัมพัฏฐะแม้ในเมื่อกษัตริย์ถึงความเป็นคนเลวอย่างยิ่งเช่นนี้ พวกกษัตริย์ก็ยังประเสริฐ พวกพราหมณ์เลวด้วยประการฉะนี้.

สมจริงดังคาถาที่สนังกุมารพรหมได้ภาษิตไว้ ดังนี้

คาถาสนังกุมารพรหม

 [159] กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร

          ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดาและมนุษย์.

 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

สมณะเดินดิน...ถ้าในหมู่สังคมมีความเท่าเทียมกันทั้งหมด ใช้ความเก่งใช้อีโก้ใช้ความขี้โกงใช้อัตตา มันก็จะเละเหมือนสังคมทางตะวันตก ดีที่พ่อครูอธิบายความสมดุลความถ่วงดุลขึ้นมา

พ่อครูว่า...

 [160] ดูกรอัมพัฏฐะ ก็คาถานี้นั้น สนังกุมารพรหมขับถูกไม่ผิด ภาษิตไว้ถูก ไม่ผิดประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ใช่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ เราเห็นด้วย ดูกรอัมพัฏฐะ ถึงเราก็กล่าวเช่นนี้ว่า

 [161] กษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่ชนผู้รังเกียจด้วยโคตร

          ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้ประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดาและมนุษย์.

จบ ภาณวารที่หนึ่ง

พ่อครูว่า...สรุปแล้ว จะเป็นกษัตริย์หรือ พราหมณ์ ก็นับจรณะวิชชาเป็นสิ่งประเสริฐสุด

 

วิชชาจรณสัมปทา

[162] อัมพัฏฐมาณพทูลถามว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ก็จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉน.

พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอัมพัฏฐะ ในวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม เขาไม่พูดอ้างชาติอ้างโคตรหรืออ้างมานะว่า ท่านควรก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เราอาวาหมงคล วิวาหมงคล หรืออาวาหวิวาหมงคล มีในที่ใด ในที่นั้นเขาจึงจะพูดอ้างชาติบ้างอ้างโคตรบ้าง หรืออ้างมานะบ้างว่า ท่านควรแก่เรา หรือท่านไม่ควรแก่เรา ชนเหล่าใดยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ยังเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ หรือยังเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล ชนเหล่านั้น ชื่อว่ายังห่างไกลจากวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม การทำให้แจ้งซึ่งวิชชาสมบัติและจรณสมบัติ อันเป็นคุณยอดเยี่ยมย่อมมีได้เพราะละการเกี่ยวข้องด้วยการอ้างชาติ ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างโคตร ความเกี่ยวข้องด้วยการอ้างมานะ และความเกี่ยวข้องด้วยอาวาหวิวาหมงคล.

 

          [163] ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ จรณะนั้นเป็นไฉน วิชชานั้นเป็นไฉนเล่า.

ดูกรอัมพัฏฐะ พระตถาคตเสด็จอุบัติในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลกเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม

พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตามทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง

คฤหบดี บุตรคฤหบดี หรือผู้เกิดเฉพาะในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อมฟังธรรมนั้น ครั้นฟังแล้วได้ศรัทธาในพระตถาคต

พ่อครูว่า...สิ่งที่มนุษย์ควรได้ที่สุด สำคัญยิ่งกว่าสิ่งใดคือ วิชชาจรณะสมบัติ

กษัตริย์ก็มีการสืบสันตติวงศ์ อัมพัฏฐมานพข่มว่า พราหมณ์ สูงกว่า แต่ พระพุทธเจ้าตรัสแก้ ว่า กษัตริย์ไปเป็น พราหมณ์ ได้ แต่ พราหมณ์ ไปเป็นกษัตริย์ไม่ได้

เมื่อได้ศรัทธาแล้ว ย่อมเห็นตระหนักว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นทางปลอดโปร่ง การที่บุคคลผู้ครองเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ให้บริสุทธิ์ โดยส่วนเดียวดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไร เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต

พ่อครูว่า...ตอนนี้มันไกลมามาก นักบวชไม่ใช่พราหมณ์ นักบวชคือนักบวช นักบวชจริงคือพระพุทธเจ้า โดยพระพุทธเจ้ามีไว้ผมเหมือนพราหมณ์ ท่านโกนหัว แต่ไม่ได้คลุกขี้เถ้าเพราะท่านไม่ได้ถูกไล่ออกไม่ได้ถูกลงโทษ โกนหัวเอง ใครมาท่านก็บวชให้เอง เป็นเอหิภิกขุ

พระพุทธเจ้า ท่านเป็นนักบวช เพราะท่านเป็นผู้มีวิชชาสมบัติ และจรณะสมบัติจริง แต่อัมพัฏฐะไม่มี แม้แต่อาจารย์ของอัมพัฏฐะก็ไม่มี

สมัยต่อมาเขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ออกบวชเป็นบรรพชิต

พ่อครูว่า...ปัจจุบันนักบวชทำตัวดุจฆราวาส เพราะมีเงินมีทรัพย์ไปศฤงคาร ฝากธนาคารไว้ เป็นเจ้าของธนาคารด้วย อย่างพระในญี่ปุ่น สืบทอดกันเป็นตระกูล ตระกูลนี้เป็นเจ้าของธนาคารเลย

สู่แดนธรรม... สมัยพระพุทธเจ้าเรียกว่าพราหมณ์มหาศาล

พ่อครูว่า... เดี๋ยวนี้ก็คือพระมหาศาล ไทยยังไม่แย่เท่าญี่ปุ่นเท่านั้นเอง

สู่แดนธรรม... สมัยนั้น ผู้ปกครองเมือง จะดูว่านักบวชไหนปกครองคนได้ดีก็จะยกบ้านเมืองให้ปกครองเลยอย่างเช่นพระเจ้าพิมพิสาร

เมื่อบวชแล้วสำรวมระวังในพระปาติโมกข์อยู่ ถึงพร้อมด้วยมารยาทและโคจร มีปกติเห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อยสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ประกอบด้วยกายกรรมวจีกรรมที่เป็นกุศล มีอาชีพบริสุทธิ์ถึงพร้อมด้วยศีลคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ เป็นผู้สันโดษ.

จุลศีล

ดูกรอัมพัฏฐะ อย่างไร ภิกษุจึงชื่อว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล?

๑. ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ละการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะวางศาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู มีความกรุณา หวังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่ ข้อนี้เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

พ่อครูว่า....ในจุลศีลข้อท้ายๆห้ามเลี้ยงสัตว์

ข้อ ๑๘. เธอเว้นขาดจากการรับแพะและแกะ.

ข้อ ๑๙. เธอเว้นขาดจากการรับไก่และสุกร.

ข้อ ๒๐. เธอเว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้า และลา.

สรุปว่า มนุษย์เอาสัตว์มาใช้ประโยชน์ ท่านแบ่งการใช้ประโยชน์เป็น 3 ประเภท

ประเภทแรกแพะใช้นม แกะใช้ขนเอามาเป็นประโยชน์ ประเภทต่อไปไก่และสุกรกินเนื้อมันเลย ประเภทสุดท้ายช้าง โค ม้า และลาเอามาใช้แรงงาน

สรุปว่าเลี้ยงปลาก็จะกินปลา เลี้ยงไก่ก็จะกินเนื้อหรือไข่ เลี้ยงสุกรกินเนื้อแต่ไม่กินขี้มัน เป็นต้น

ในจุลศีลไม่ให้ฆ่าไม่ให้ทำร้าย แต่ในข้อท้ายไม่ให้ใช้ประโยชน์จากสัตว์เลย อย่าว่าแต่เลี้ยงเพื่อฆ่าหรือขายอย่าง CP นี่บาปมหาศาล ทุกวันนี้มันไม่ใช่ไก่แล้ว มันเป็นโรงงานผลิตชีวะอันหนึ่ง อาจจะมีสัตว์ชนิดอื่นอีก อย่างเช่นไก่เลี้ยงเป็นฟาร์มมหาศาล มันไม่ได้ไปไหนเลย เป็นไก่พิการด้วย ให้มันกินอย่างเดียว จุดไฟให้มันเพื่อให้ไข่ 2 ฟอง หลอกมันทั้งวันทั้งคืน นี่คือเรื่องของสัตว์ เห็นไหมว่าคนเรานี้เห็นแก่ตัว

จริงๆแล้วคนเราพระพุทธเจ้าท่านตัดไม้ตัดมือไม่ให้เกี่ยวข้องอะไรกับสัตว์เลย เขาเอามาเป็นโรงงานชีวแล้วอาศัยชีวะนี้ เขาจะมีอายุให้ไก่มัน 45 วัน แล้วก็ต้องเอาไปขายกินเนื้อหรือเอาเข้าโรงงานทำเนื้อหมด ไม่ต่ออายุ 45 วัน เขามีกำหนดได้หมดเลย อาศัยชีวะของเขามาเป็นเครื่องมือหากินในชีวิตของตนเอง อย่างไม่เห็นแก่ชีวิตเลย เหมือนเป็นวัตถุอย่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าจิตใจเขาทำด้วยอะไร แล้วทำโรงงานใหญ่โตมโหฬารรวยเละเลย เพราะคนมันเสื่อมมากศาสนาเสื่อมมาก กินเนื้อสัตว์

พวกนี้ก็เลยถือโอกาสที่คนติดเนื้อสัตว์ สร้างโรงงานใหญ่โตร่ำรวย อาศัยความโง่ของคนเพื่อที่จะสร้างความร่ำรวยให้แก่ตนเอง แล้วตัวเองนั่นแหละโง่ยิ่งกว่าโง่ เพราะมีใจดำอำมหิต คนที่ข่มคนโง่ ทับถมคนโง่ หากินบนคนโง่อีก คนนั้นสุดยอดใจดำอำมหิตที่สุด คุณจะรวยอย่างไรก็ช่างแต่คุณเป็นคนใจดำอำมหิต ร้ายแรงที่สุดไม่น่าคบเลย

ขยายความเรื่องศีลเพื่อให้เห็นชัดเจนว่าปฏิบัติศาสนาพุทธไม่ใช่ตื้น แต่ทุกวันนี้ปฏิบัติเละเทะไปหมด พูดไปแล้วก็สงสารศาสนา

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่านี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง แต่ทุกวันนี้พระไม่เอาแล้วเรื่องศีล  มีแต่เรื่องของวินัย 227 ข้อ อีกหน่อยก็จะกร่อนลงเหลือแค่สัญลักษณ์ ผ้าน้อยห้อยหู อย่างญี่ปุ่นเหลือเพียงเป็นคนทำพิธีกรรม พอจะไปทำพิธีกรรมก็แต่งชุดนักบวช เมื่อไม่ได้ทำพิธีกรรมก็เหมือนกับคฤหัสถ์ทุกอย่าง ยิ่งกว่าคฤหัสถ์ด้วย เพราะว่าทำงานทุกอย่างเหมือนกับคฤหัสถ์เขาทำได้ด้วย จะมีอาชีพอะไรจะร่ำรวยได้ก็ทำหมด และยังได้เป็นเจ้าของพิธีกรรม เป็นเจ้าพิธี จะไม่รวยได้อย่างไร คือรวบไปหมดทั้งงานศาสนากับงานทางโลกก็เอา แม้จะเป็นเจ้าของธนาคาร เจ้าของกิจการก็ทำได้หมด และเป็นเจ้าของพิธีได้ด้วย นี่พระนะ เมืองไทยไม่เป็นขนาดนั้นก็ยังดี แต่ญี่ปุ่นเป็นอย่างนั้นแล้ว

๒. เธอละการลักทรัพย์ เว้นขาดจากการลักทรัพย์ รับแต่ของที่เขาให้ ต้องการแต่ของที่เขาให้ ไม่ประพฤติตนเป็นขโมย เป็นผู้สะอาดอยู่ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

๓. เธอละกรรมเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกลเว้นขาดจากเมถุนอันเป็นกิจของชาวบ้าน แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

สมณะเดินดิน... สรุปจบ


วันพุธที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

640728_พุทธศาสนาตามภูมิ - ทำไมพ่อครูเชียร์นายกประยุทธ์สวนกระแสกับคนอื่น

 รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ทำไมพ่อครูเชียร์นายกประยุทธ์สวนกระแสกับคนอื่น
วันพุธที่ 28 กรกฎาคม  2564

ณ บวรราชธานีอโศก











ดูวิดีโอได้ที่นี่
ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่นี่


สมณะฟ้าไท... วันนี้เป็นวันพุธที่ 28 กรกฎาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ยุคโควิดเด็กของเราก็อยู่กับที่ไม่ได้ไปไหน ทำให้จิตใจสงบไปด้วย การเป็นอยู่ก็ไม่เดือดร้อน แต่คนที่อยู่นอกวัดโดยเฉพาะในเมืองบางคนก็เดือดร้อนการกินอยู่ เพราะพึ่งพาตนเองไม่ได้ ของเราอยู่กับพ่อครู อยู่กับเศรษฐกิจพอเพียงสบายมาก

พ่อครูว่า...พวกบ้านนอกขณะนี้อย่างไรๆก็ไปหากบหาเขียดหาปูหาปลากินกันได้ จะอดอยากอดตายก็หาไปเก็บผักจับปูจับเขียดกินได้ แต่ในเมืองมันไม่รู้จะไปจับอะไรกิน แม่น้ำเจ้าพระยาก็ไม่มีใครจะไปหาปลากัน กลายเป็นเส้นทางคมนาคมทางน้ำเท่านั้นไม่ได้เป็นที่ทำประมง นอกจากแม่น้ำเจ้าพระยาตามบ้านนอก แต่ในกรุงเทพฯไม่มี มีแต่พวกที่ตกปลาเล่นๆกันเท่านั้นเอง เป็นเรื่องตลกของมนุษยชาติ

สมณะฟ้าไท... สรุปว่าเรามาอยู่กับพ่อครูดีที่สุดแล้ว อยู่บ้านนอก

พ่อครูว่า... ดูสิ อินทผาลัมมีสีเหลืองก็มีสีแดงก็มี มันจะต่างกันอย่างไร สีแดงมาจากศีรษะอโศก สีเหลืองของราชธานีอโศก บอกว่าถวายหลวงปู่ หลวงปู่จะกินให้ท้องแตกเลย

SMSวันที่ 23-24 ก.ค. 2564

_Danuthum Virulhsirikul (ดนุธรรม วิรุฬห์สิริกุล) : กิเลสของคนมันมากเสียจนไม่รู็ว่า.. โควิด" มันคือเชื้อโรคเชื้อไวรัส นายกหรือใครไม่ใช่เทวดา.. ที่จะบันดาลอะไรให้ใครได้.. เอาแต่กิเลสความต้องการของตนเอง.เมื่อไม่ได้ก็ว่าก็ด่า..ใครมาเป็น" นายก"ตอนนี้ก็โดนว่าโดนด่า กันทุกคน แทนที่จะดูแลตัวเองให้ปลอดภัยจาก" โควิด" ยังมีการกินเลี้ยงจับกลุ่มกัน.ไม่มีสามัญสำนึกกัน"อดเปรี้ยวไว้กินหวาน" จะเอาแต่ความสุขสนุกสนานของตนเอง โดยไม่สนใจคนอื่นโดยส่วนรวม..มีแต่จะเป็นโควิดเพิ่มขึ้น..สงสาร"นายกประยุทธ"มากๆ ทุกวันนี้ท่านก็นอนไม่หลับเพราะประชาชนมีความทุกข์ ใครที่ชอบว่าท่าน... ผู้นั้นก็รับกรรมไปเต็มๆนั่นแหละ... เพราะ.. นายกประยุทธ ท่านเป็นคนที่มี"ธรรมะ" อยู่ในใจอยู่แล้ว..

 

ทำไมพ่อครูเชียร์นายกประยุทธ์สวนกระแสกับคนอื่น

_2166 พล : ส.ศิวรักษ์ อาจารย์ปราโมทย์ สนธิ ทนายนกเขา ฯลฯ ออกมาไล่ประยุทธิ์ มีแต่พ่อท่านคนเดียวเท่านั้นที่เชียร์ หมายความว่าอย่างไรครับขอช่วยอธิบายหน่อย

พ่อครูว่า... หมายความว่าความเห็นอาจารย์ส.ศิวรักษ์ก็ดี อาจารย์ปราโมทย์ก็ดี ซึ่งอาจารย์ปราโมทย์กับอาตมาเล่นกันมาตั้งแต่อายุ 3-4 ขวบตอนอยู่จังหวัดหนองคาย ตอนนั้นลุงของอาตมาเอาอาตมาไปเลี้ยงเป็นลูก ลุงอาตมาเป็นหมอ อาจารย์ปราโมทย์ก็มีพ่อเป็นหมอเหมือนกัน ซึ่งอ.ปราโมทย์เกิดปีเดียวกันกับอาตมา เป็นลูกหมอด้วยกัน โรงพยาบาลมีอยู่แห่งเดียวในจังหวัดนั้น

อาตมาก็เห็นต่างกันกับเขา ในประเด็นที่ว่า 1 2 3 4 คนที่ยกตัวอย่างมาไล่พลเอกประยุทธ์ 4 คนนี้ก็มีความเห็นคล้ายกันว่าควรจะไล่ ก็ออกมาไล่พลเอกประยุทธ์ จะให้คนอื่นมาเป็นแทน ซึ่งก็เป็นกรรมวิธีซึ่งไม่รู้ว่าจะได้ใครมา ตอนนี้หน้าสิ่วหน้าขวานเรื่อง covid ก็ยังร้ายแรง ปัญหาหลายๆด้านกำลังติดพันอยู่ แล้วก็จะเปลี่ยนม้ากลางศึกกันต่างๆนานาพวกนี้มันยังไง อาตมารู้สึกว่า แต่ละท่านๆ สมาธิสั้น ส.ศิวลักษณ์ก็ดี  อาจารย์ปราโมทย์ก็ดี สนธิคดี ทนายนกเขาก็ดี สมาธิสั้น คือไม่ดูอะไรยาวๆทำอะไรยาวๆ จะเปลี่ยนแปลง จะสงบอยู่อย่างยาวๆนานไม่ได้ ก็รู้สึกตอนต้นเขารู้สึกว่าทนอีกนิดหน่อยแต่ทนไม่ได้ก็จะเปลี่ยนแปลง ก็เป็นสมาธิสั้น อาตมาอธิบายได้แค่นี้ ท่านทั้งหลายนี่สมาธิสั้น

อาตมาดูองค์รวม ที่อาตมาเคยพูดแล้วว่าเมืองไทยมีนายกมา 29 คน อาตมาก็เห็นว่า ทั้งเหตุการณ์บ้านเมืองเหตุการณ์ของโลก แม้แต่เรื่อง covid แม้แต่เรื่องเศรษฐกิจของสังคมประเทศ ซึ่งจริงๆแล้วนายกประยุทธ์กอบกู้เศรษฐกิจประเทศได้ในท่ามกลางความหนัก ที่รัฐบาลทักษิณ สมชาย สมัคร ยิ่งลักษณ์ ช่วยกันทำให้เศรษฐกิจเมืองไทยชิบหายวายป่วงหนักมาตลอดเลย แล้วก็นายกประยุทธ์นี้มารับต่อ คุณลองคิดดูสิ ตั้งแต่ทักษิณ สมัคร สมชายยิ่งลักษณ์ทำให้เศรษฐกิจเมืองไทยชิบหายวายป่วงไปเท่าไหร่แล้วนายกประยุทธ์ต้องมานั่งรับแบกหามเศรษฐกิจที่พวกท่านเหล่านั้นทำชิบหายมาทับถมมา Covid ก็ปานนั้น เศรษฐกิจก็ปานนี้ การบริหารบุคคลต่างๆนานาอีกที่กำลังเปลี่ยนแปลง กำลังปรับปรุง

อาตมาดูกว้างดูองค์รวมแล้วบอกว่าฝีมือใช้ได้ ไม่ใช่ดูแคบๆแต่เพียงว่ามุมใดมุมหนึ่ง ในบางเรื่อง ขออภัยอาตมาไม่ได้เป็นผู้ที่เรียนจบปริญญาต่างๆนานามา ก็ดูสิ ความเห็นมันต่างกันได้ แต่สรุปแล้วโดยรวม รู้สึกว่ามันเป็นยุคเป็นกาละที่ ประเทศไทย อาตมามองไปถึงขั้นว่า มีความเข้าใจเรื่องกรรมวิบาก ความเข้าใจเรื่องของกาละ ยุคสมัย เข้าใจทั้งเรื่องของสังขารของสังคมประเทศ ที่มันได้เป็นมา เป็นสังขารโลก สังขารสังคมของประเทศไทย ซึ่งประกอบด้วยพุทธศาสนา มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและอยู่ในระบอบประชาธิปไตยมาจนกระทั่งถึงป่านนี้ ก้าวหน้ามากเลย

ประชาธิปไตยก็ก้าวหน้าล้ำยุคของโลก อาตมาพูดอย่างนี้พวกที่เป็นนักศึกษาเป็นนักปราชญ์ เป็นผู้รู้เรียนรู้ตำรับตำราทางตะวันตกก็ดี อเมริกาก็ดี แต่อาตมามีความรู้ของพระพุทธเจ้า ในยุคพระพุทธเจ้ายังอยู่นั้นไม่ได้เรียกว่าประชาธิปไตย แต่การบริหารปกครอง อาตมาก็รู้ว่าพระพุทธเจ้าอยู่ในยุคนั้น ท่านทำประชาธิปไตยโดยมีธรรมนูญคือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ใครมาเข้ารีตก็มานับถือศีลของท่าน แล้วท่านก็บริหารปกครองไปตามทฤษฎีของท่าน ก็เกิดเป็นมนุษย์โดยเฉพาะเป็นนักบวชที่ชัดเจน ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่สมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่เป็นประชาธิปไตยที่เยี่ยมยอดที่สุดแล้ว อันนี้แหละคนเข้าใจได้ยาก มันก็เลยเข้าใจไม่ได้ ประชาธิปไตยช้อนอยู่ในประเทศสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในยุคทาส ยังจัดจ้าน

แต่ว่าพระพุทธเจ้าท่านทำรอดได้ ฉันเดียวกันกับอาตมาทำสาธารณโภคีรอดได้ เป็นสังคมสาธารณโภคีอยู่ในทุนนิยม แม้จะให้ไม่เป็นทุนนิยมแต่ประเทศไทยยังเป็นทุนนิยมอยู่นั่นแหละ คุณอาจจะบอกว่าไทยไม่ใช่คอมมิวนิสต์ ก็เข้าใจได้เข้าใจไหมง่ายๆ แต่เมืองไทยเป็นประชาธิปไตยแล้วเป็นประชาธิปไตยอย่างไร ประเทศไทยทุนนิยม ไม่ใช่ประชาธิปไตยคอมมิวนิสต์ เพราะอะไรเพราะไปติดในพยัญชนะที่ว่า อิสรเสรี

อิสรเสรี ซึ่งคอมมิวนิสต์ไม่ใช่อิสรเสรีภาพ แต่สำหรับคนควรจะมีหลักเกณฑ์หลักกฎหมายระเบียบข่มไว้บ้างเท่านั้นเอง อุปาทานแค่ข่ม

ทีนี้ประเทศไทยก็ไปเอาอย่างอเมริกาอย่างทางตะวันตกหลายประเทศเขา แต่ของเขากฎหมายเข้มกว่าของไทย ประเทศไทยพยายามเอาอย่างแต่ไม่เข้มไม่เคร่งเท่าเขาด้วย มันก็เลยแย่กว่าเขา ดูข้อมูลแล้วก็ดียังมีแกนของธรรมะพระพุทธเจ้า

ผ่านมา 70 กว่าปี มีพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงครองราชย์มา 70 พรรษา ในหลวงเป็นพระเจ้าแผ่นดินในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เปลี่ยนนายกมาตั้ง 29 คน สมัย 70 ปีที่ทรงครองราชย์ผ่านนายกรัฐมนตรีมา 26 คน ตั้งแต่จอมพลป. จอมพลสฤษดิ์ จอมพลถนอม จอมพลประภาส จะเห็นได้ว่าต่างกันกับนายกฯในรุ่นของรัชกาลที่ 8 รัชกาลที่ 7

เท่าที่อาตมามีความรับรู้ได้ตั้งแต่ จอมพล ป. ก็เห็นว่านายกฯกับกษัตริย์ร่วมกันบริหารประเทศเป็นราชประชาสมาสัย หมายความว่ามีพระราชากับประชาชน อาศัยซึ่งกันและกัน ประชาชนคือจำนวนประชากรทั้งหมด และต้องอาศัยกันระหว่างพระราชากับประชาชน ซึ่งในหลวงรัชกาลที่ 9 ทำได้ จนกระทั่งเกิด bomb of love ท่านบริหารมา 70 ปี ประชาชนเข้าใจเลยว่าในหลวงทำเพื่อประชาชนจริงๆ เป็นพระราชาของประชาชนจริงๆ ทรงงานเพื่อ ประชาชนจริงๆ นายกฯบริหารประเทศ ในหลวงบริหารประเทศ ในหลวงเป็นนายกฯตลอดกาลส่วนนายกฯที่ถูกเลือกมาก็เปลี่ยนไปมา แต่ในหลวงพระองค์นี้ ครองราชย์ตั้ง 70 ปี บริหารประเทศมายาวนานกว่าใครๆในโลก บริหารจนกระทั่ง ต่างประเทศก็ยกย่องให้เป็น king of king

คนก็ไม่รู้ว่านี่คือประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข แล้วก็ส่งบริหารมา 70 กว่าปีได้รับการยกย่องว่าเป็น King of จริงของระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กระแสสังคมให้ค่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งรัชกาลที่ 9 เป็นประมุขที่มีนายกรัฐมนตรี ในยุคของรัชกาลที่ 9 มีตั้ง 20 กว่าคน

อาตมาก็ว่า แต่ละนายกฯเข้าใจความเป็นประชาธิปไตยดีขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงนายกฯทักษิณดีขึ้นมากเลย  แต่ไม่ใช่ว่าทักษิณดีขึ้นมากเลยนะ ทักษิณจะทำแบบบ้าอำนาจ แปลว่า คุณธรรมของประเทศไทยดีขึ้นมากเลย ซึ่งประเทศไทยทำมาดีขึ้นมากแล้ว แล้วจะให้เป็นอย่างเดิมอีก จึงได้เกิดการประท้วงต่อต้านทักษิโณมิกส์ เพราะคนไทยรู้เข้าใจประชาธิปไตย รู้ทันประชาธิปไตย ทักษิณถึงถูกจิ้มเลยว่า แกจะมาเป็นเผด็จการ แกจะมาแสดงอำนาจบาตรใหญ่ จะมาสร้างหมู่กลุ่มรวบรวมอำนาจคัดค้านประชาชน ผู้ที่ประท้วงอยู่ทุกวันนี้ก็ยังไม่เข้าใจ ยังหลงเศษอำนาจ

ทักษิณแสดงความโง่ขนาดหนัก เพราะประเทศไทยเขาเปลี่ยนนายกฯมาตั้งมากมายแล้ว คุณจะทำเก่งเพราะคุณขี้โกง เอาเงินของประเทศไทย แล้วก็เบ่งอำนาจ เพราะมีเงินเท่านั้นเองทุกวันนี้ ทักษิณถ้าไม่มีเงินก็คือหมาตัวนึง เขาไม่เข้าใจความซับซ้อนของความเป็นมนุษย์ เรื่องมนุษย์ชาตินี้ลึกซึ้งมาก ความเป็นไปความเป็นอยู่

นายกฯประยุทธ์บริหารประเทศไปได้ดีมากเลย อาตมาไม่ได้พูดประชดบอกว่าให้อยู่ต่ออีกเลยสัก 20 ปีทำไป เสียงนกเสียงกาพวกนั้นก็เป็นธรรมชาติของประชาธิปไตย เพราะไม่ใช่ระบบคอมมิวนิสต์ที่จะเก็บกวาดพวกนี้เข้าคุกให้หมด ซึ่งมันไม่ใช่ แล้วมันก็ต้องมีสิ่งเหล่านี้ ซึ่งจริงๆแล้วสวยงามมาก

ฝ่ายค้านก็มีอยู่แล้วในรัฐสภาก็มีอยู่แล้ว พวกนี้อวดเก่งอวดดีว่า ฝ่ายค้านจริงๆแล้วพวกข้า แต่เปล่าหรอกคุณคือเศษส่วนความโง่ที่รับช่วงมาจากทักษิณ ดิ้นกระแด่วอยู่อย่างนั้น คือพวกเศษความโง่ของทักษิณ ก็เป็นธรรมชาติเป็นตัวยืนยันความจริงว่า นายกประยุทธ์นี้จะเป็นอย่างไร

เพราะฉะนั้นพวกที่สมาธิไม่ยาวไม่ว่าจะเป็น ส.ศิวรักษ์ อาจารย์ปราโมทย์ คุณสนธิ  ทนายนกเขา อีกเยอะแยะ นักวิชาการต่างๆ พวกนี้นึกว่ามีความรู้ เขาก็จะเป็นอย่างนี้ อาตมาก็เป็นมนุษย์คนหนึ่งเกิดมาในยุคนี้ แม้ว่าอาตมาจะไม่ได้เป็นคนอยู่ในระบอบหรืออยู่ในเส้นทางของมนุษยชาติ แม้อาตมาเป็นคนที่นอกเส้นทาง ของสามัญ อาตมาเป็นคนวิสามัญ ไม่ได้เป็นคนมีความรู้ไปตามเส้นทางที่จะไปทำการบริหาร อาตมาเดินมาในสายทางที่เป็นโลกุตระธรรม ซึ่งอาตมาเดินนอกทางตลอดเพราะศาสนาพุทธยุคนี้ไม่มีโลกุตระแล้วตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ใน อาณิสูตร เรื่องกลองอานกะโลกุตรธรรมจะหายไปในอนาคต เนื้อแท้ของกลองอานกะหายไปแล้ว เหลือแต่โครงสร้างโครงแห้งๆพังๆ อาตมาก็ต้องเอากลองอานกะเอาโลกุตระมาคืน

ประชาธิปไตยที่เป็นประชาธิปไตยขาเดียว แบบอเมริกาแบบตะวันตกหลายประเทศนี้ เป็นประชาธิปไตยพิการ ประชาธิปไตยที่ไม่มีวิญญาณ ไม่มีการสืบทอดของวิญญาณ จะพยายามไปสืบทอดโดยการไปจับตัวออกจากประชาชนทั่วไปอย่างเดียว สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือว่า ในความเป็นชีวะ โลกแห่งความเป็นชีวะจะต้องมี 2 เสมอ เทวะ ก็มีรูปมีนาม มีจิตวิญญาณกับมีองค์ประกอบของสรีระและวัตถุต่างๆ

แต่คนไม่เข้าใจในความลึกซึ้งความละเอียดของธรรมชาติพวกนี้ เขาก็เลยสุดโต่งไปในทางขาเดียว จะเอาแต่ทางวัตถุจะเอาแต่ร่างไม่เอาจิตวิญญาณ ไม่เอาการสืบทอดทางจิตวิญญาณ สืบทอดแต่ทางวัตถุ วัตถุ วัตถุ ซึ่งไม่ใช่มนุษย์แล้วนะ แต่ยิ่งเลือกแต่วัตถุยิ่งแหลกราญ ไม่มีเชื้อสายของจิตวิญญาณ ซึ่งมันต้องมีคู่เสมอ ซึ่งมันไม่ง่ายจริงๆ

อาตมาพูดนี้ไม่มีอะไรรับรองป้องกันยืนยันอ้างอิงเลยว่าอาตมาเป็นคนมีความรู้ แต่ก็อาตมาก็แสดงภูมิไปอย่างนี้ ใครจะรับได้เห็นว่าเป็นสาระบ้างก็แล้วแต่

อาตมาก็ยังจะเชียร์ต่อไป ไม่ได้มาป้อยอทำเล่น มันเหมาะสมและควรอยู่ อย่าเปลี่ยนม้ากลางศึก ตอนนี้ยังไม่สมควร จะเสียหายมากเลย ก็ถ้าหากนายกฯประยุทธ์ลาออกคุณก็จะต้องเลือก บรรดาส.ส. ที่มีอยู่นี้เป็นนายกฯคนใหม่ ในบรรดา ส.ส.ตอนนี้ใครเหมาะสมกว่านายกฯประยุทธ์ ถ้าหากไม่ได้ยุบสภาเลือกตั้งใหม่ ก็จะต้องเลือกคนใดคนหนึ่งมาเป็นนายกฯใหม่ แล้วบรรดาส.ส. ที่มีอยู่ตอนนี้ก็รู้หน้ารู้ตารู้ชื่อเสียง หรือว่าจะมีม้ามืด ม้าขาวอยู่ในที่มืดๆโผล่ขึ้นมาอย่างไร?...ใคร? แค่นี้ก็ยากแล้ว ถ้ายิ่งเลือกตั้งใหม่รับรองว่ายิ่งเละเทะ

หากเลือกตั้งใหม่อาตมาว่าทักษิณทุ่มโถมหนักเลย เพราะว่าเป็นฟางเส้นสุดท้ายของเขา ว่ามั้ย แล้วมันจะรวนกันขนาดไหนประเทศไทย จะฆ่าแกงกันมั้ย ซึ่งพวกเราก็อาจจะเดือดร้อนต้องไปประท้วงห้ามทัพ เราออกไปประท้วงจะทำให้เกิดความสงบ เราไม่ได้ออกไปรบราฆ่าฟัน ที่เราออกไปประท้วงเป็นตัวกลางอยู่ในถนนราชดำเนินนั้น เราไปสร้างอิทธิพลความสงบ เอาความสงบไปเป็นพลังงานเป็นอาวุธ เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด ทำให้เกิดความดำเนินไปของประชาธิปไตยไทย จึงเกิดความสงบ ไม่อย่างนั้นมันจะฆ่าแกงกันกว่านี้ จริงๆ

นี่เป็นความเจริญของประชาธิปไตยไทยมีประชาชนไทยเข้าใจแล้วมาช่วยกัน ก็เลยเกิดความสงบตั้งแต่เราไประงับ ทั้งๆที่ทักษิณจะก่อหวอดก่อความวุ่นวายขึ้นให้ได้ ตั้งแต่นายกนอมินีสมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ เขาพยายามก่อความวุ่นวายจนมีไอ้โม่งชายชุดดำมายิงปืนซุ่มยิง ก็เกิดจากพวกโน้นทั้งนั้น  ไม่ใช่ของประชาชนในประชาชน ไม่ใช่เนื้อแท้ของประชาชนคนไทย แต่เป็นพวกรับอิทธิพลรับจ้างมาจากทางโน้น

สุดท้ายมาถึงวันนี้มันผ่านไป จะว่าแพ้เขาก็แพ้ไปแล้ว มันสู้ไม่ได้สู้ประชาธิปไตยไทยไม่ได้ สู้อธิปไตยของประชาชนคนไทยที่แสดงพฤติกรรมจริงมาแล้วผ่านมากี่นายกฯพวกเราก็ร่วมมือตลอด จนกระทั่งมาไล่ยิ่งลักษณ์ นายกฯประยุทธ์ถึงได้มารับช่วงแทน เราก็สบายมาจนถึงป่านนี้ 7 ปี มีแต่เสียงหมาเห่าหมาหอนบ้าง ก็ยังเป็นไปได้ดี ก็ยังไม่รู้ว่าจะต้องออกไปอีกหรือเปล่า ถ้าเกิดมีอะไรมีอิทธิพลทำให้เราจะต้องออกไปเราก็ออกไป ถ้ามันมีอิทธิพลจริง เราก็ไม่ประมาทเขา แต่เท่าที่ดูแล้วน่าจะยาก เท่าที่ดูตามเหตุปัจจัยองค์รวมที่เขาทำ มันไม่น่าจะฟื้นขึ้นมาได้ ก็คงจะไม่ต้องไปออกแรงอีก

ซึ่งอาตมาเชื่ออยู่ลึกๆของตัวเอง ถ้าจะเกิดเหตุการณ์เหมือนอย่างในยุคทักษิณ สมัครสมชาย ยิ่งลักษณ์ ถ้าเราออกไปอีกคราวนี้ประชาชนจะเข้าใจ ยิ่งกว่าตอนโน้น อาตมาว่านะถ้านายกฯประยุทธ์ต้องออกไป ประชาชนคนไทยจะเข้าใจยิ่งกว่ายุคโน้น แต่ดูแล้วมันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้

อาตมามององค์รวมวงกว้างไกลลึก คนอื่นไม่ได้มอง เขาออกจากสมาธิไปแล้ว อาตมาก็ยังอยู่ในสมาธิก็เลยสมาธิลึกยาว ท่านเหล่านั้นสมาธิสั้นไม่ได้ลึกเหมือนอาตมา

 

_Kru Sa (ครู สา) : อยู่ห่างจากวงจรพ่อท่านมากมาย แต่ไม่ห่างจากคำสอนพ่อท่าน และทำตัวเป็น🍍🍍🍍🍍🍍🍍🍍🍍🍍🍍ค่ะ

 

SMS วันที่ 25 ก.ค. 2564

_สมสมัย นันตะโภค : กราบนมัสการท่านสมณะท่านสิกขมาตุและญาติธรรมทุกท่านค่ะ

โมทนาสาธุกับทุกท่านที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมเป็นพุทธบูชา ดิฉันอยู่นอกวัดก็ขอร่วมตั้งตบะด้วยค่ะ

1. กินข้าววันละ 2 มื้อ ไม่กินจุบจิบ

2 .ออกกำลังกายสัปดาห์ละ 5 วันค่ะ

_yak sa (ยาก สา) : สาธุ กราบขอบพระคุณท่านฟ้าไทไขความลับตั้งตบะ ตัวอยากตัวยากต้องยาว 10 ปี ตั้งให้ถูกตัวเดียวขอตั้งกินมื้อเดียวครับ

 

สมณะฟ้าไทว่า...

_SMS วันที่ 26-27 ก.ค. 2564

_Varreru Rarm (วาเรรู ราม) : กราบนมัสการพ่อท่านครับ ผมขอกราบเรียนถามพ่อท่านว่า การตั้งจิตขอเกิดติดตามพ่อท่านทุกชาติๆไป จะใช่วิธีการกำหนดจิตแบบเดียวกันกับการตั้งจิตกำหนดเวลาตื่นในช่วงกลางคืน อย่างที่พวกเราทำกันอยู่ไหมครับ เพราะผมต้องการติดตามพ่อท่านไปทุก ๆ ชาติจนกว่าพ่อท่านจะปรินิพพานครับ ปกติการกำหนดการตื่นผมทำได้เป็นประจำครับ กราบขอบพระคุณพ่อท่านเป็นอย่างสูงครับ

   พ่อครูว่า... มีนัยยะคล้ายกันอยู่ที่เราจะยึดที่จะทำสิ่งนั้นให้ได้ เรื่องการตื่นเป็นเฉพาะเรื่อง แต่อาตมานั้นมีหลายเรื่อง ติดตามอาตมาจะได้หลายเรื่อง แต่การทำเรื่องความตื่นอันนั้นเป็นนัยยะคล้ายกัน การจะตั้งจิตตามอาตมาก็คล้ายกันได้ ซึ่งเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ไม่เชื่อคุณเป็นคนแรก มีพระโพธิสัตว์มากี่องค์ก็เป็นธรรมชาติของคนที่คิดว่า จะติดตามอย่างนี้แหละ โดยไม่ได้ติดใจอยู่ที่บุคคล ทุกชาติทุกชาติก็ไม่ใช่บุคคลนั้นแล้ว ชาติหน้าก็เป็นใครไม่รู้ ก็ต้องดูว่า องค์นี้ เป็นทะไลลามะองค์เก่าหรือเปล่า ก็ต้องตาม เป็นทะไลลามะองค์เก่าจากชาติก่อน คุณก็ต้องติดตามอย่างนั้นคล้ายๆกันกับทางทิเบตเขา อันนั้นเป็นตัวตนบุคคลเราเขา แต่ทางนี้ไม่ใช่อย่างนั้นทีเดียว เอาที่ธรรมะ องค์นี้มีธรรมะคล้ายกันกับอันชาติเก่าเลยถ้าระลึกได้ว่าเราเคยตามมา ก็เอาที่จรณะ 15 วิชชา 8

 

_Pornthip Thaiiad (พรทิพย์ ไทยเอียด) : ถ้าลูกได้เจอคำสอนพ่อครูก่อนหน้านี้ หนี้ที่ก่อมาเพื่อสนองความอยากอย่างโลกๆ คงไม่เกิดขึ้น เสียดายที่ได้ฟังธรรมช้าไปหน่อย แต่นับจากวันที่เข้าใจธรรมะที่พ่อสอน ลูกก็ตั้งใจบอกตัวเองหยุดความอยากทั้งหลาย ไม่ก่อหนี้เพิ่มอีก จะขอใช้ชีวิตแบบติดดิน ทำอาชีพที่ไม่ผิดศีลเลี้ยงชีพแล้ว

 

_พันธุ์ พอเพียง : พรุ่งนี้จะค่อยๆเป็นไทแล้วจากชีวิตหาเงินหาทอง (เริ่มมอบงานให้หลาน)งานที่ได้รับเกียรติจากสมณะงานแรกคือ ตัดแต่งกิ่งไม้ให้โล่ง ที่พุทธสถานสีมาอโศกครับ (ผมกักตัวที่เซฟโซนแล้ว 21 วันครับ)

 

ศีลกับปัญญาเป็นสมบัติโลกุตระ

_โกศล สุขเล็ก : กราบคารวะพ่อท่าน..พระพุทธองค์ไม่ประสงค์สมบัติภายนอกกาย เน้นเอาแต่สมบัติภายในคือปัญญา..

พ่อครูว่า... ถูกต้องซึ่งเรื่องสมบัติภายนอกคนที่เขายังหลงอยู่ ก็เป็นเรื่องบารมี เรื่องภูมิของเขาจะต้องอยู่กับสมบัติภายนอก เช่น ลาภยศสรรเสริญ แล้วก็หลงติดสุขอยู่ ซึ่งเขาไม่รู้หรอกว่าความสุขเป็นเรื่องลึก เป็นเรื่องมายา เป็นเรื่องทุกข์ ความทุกข์กับความสุขเป็นอย่างเดียวกันแต่เขาก็ไปเกาะเกี่ยวความสุขอยู่ เขาก็หลงอยู่อย่างนั้น เขาก็มีลาภยศสรรเสริญประมาณนั้น เขาอยู่ได้เป็นสุข ก็อยู่กันมาจนกระทั่งอายุ 40 50 60 70 80 90 แล้วก็ตายไป แต่ถ้าคนรู้แล้วเอามาทางนี้แน่นอน ไม่เอา จะต้องเลิกทิ้ง ก็เป็นสัจจะ ปัญญาพวกนี้เป็นปัญญาจริงๆ อาตมากำลังขยายปัญญา 8 ของพระพุทธเจ้า ซึ่งยากที่จะขยาย เพราะเป็นเรื่องสุดยอดลึกซึ้งจริงๆ แต่ก็พยายามเขียนเท่าที่พอจะทำได้ ซึ่งจะทำให้ยาวเท่าไหร่ก็ได้ ก็คงเอาประมาณนึง

คำศัพท์คำว่าปัญญาเป็นศัพท์ของพระพุทธเจ้า แต่เดี๋ยวนี้ผิดเพี้ยนไปจนเข้าใจว่าปัญญาเป็นภาษากลางๆ มาก่อนพระพุทธเจ้า เรียกความรู้ที่เป็นความฉลาด เป็นปัญญา ซึ่งความรู้ความฉลาดเป็นโลกียะภาษาบาลีเรียกว่า เฉโก แต่คำว่าปัญญาในพระพุทธเจ้าองค์ไหนไม่รู้บัญญัติ ซึ่งพระพุทธเจ้าสมณโคดมก็เอาคำว่าปัญญานี้มาใช้ตามพระพุทธเจ้าองค์ก่อนที่ตั้งไว้ เป็นโลกุตรธรรม ขอยืนยันว่าปัญญาเป็นภาษาเรียกความรู้ความฉลาดที่เป็นโลกุตระธรรมไม่ใช่เรื่องโลกียะเลย

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในเล่ม 21 บอกว่า ศีลอยู่ที่ไหนปัญญาอยู่ที่นั่น ไม่มีปัญญาที่ไม่มีศีล ไม่มีศีลที่ไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้นผู้ที่มีปัญญาคือผู้ที่มีศีล การไปนั่งหลับตาไม่เอาศีลเลยไม่มีทางเกิดปัญญาเลย แต่นั่งหลับตาเกิดปัญญาไม่ได้ อาตมาเคยบอกว่าปัญญาเกิดในปัจจุบัน ปัญญาจะเกิดมีจักษุ ปัญญา ญาณ วิชชา อาโลก

ปัญญาอันศีลชำระให้บริสุทธิ์         (โสณทัณฑสูตร ล.๙  ข.๑๙๓)

ศีลอันปัญญาชำระให้บริสุทธิ์        

ศีลมีในบุคคลใด  ปัญญาก็มีในบุคคลนั้น

ปัญญามีในบุคคลใด  ศีลก็มีในบุคคลนั้น

ปัญญาเป็นของบุคคลผู้มีศีล และศีลก็เป็นของผู้มีปัญญา

นักปราชญ์ย่อมกล่าวศีลกับปัญญาว่าเป็นยอดในโลก

เหมือนบุคคลล้างมือด้วยมือ หรือล้างเท้าด้วยเท้า ฉะนั้น

 

และ ฌานกับศีล

ฌานเผากิเลสทำให้เกิดบุญเป็นขั้นตอนสุดท้าย ทำบุญเสร็จจบหมดกิเลสก็ไม่ต้องทำบุญอีก ปุญญปาปปริกขีโณ เป็นคนสิ้นบุญสิ้นบาป เป็นพระอรหันต์ บุญเป็นพลังงานใน ปัจจุบัน ต่อจากฌาน บุญเป็นพลังงานไฟ เป็นมือประหารสุดท้าย เพชฌฆาตมือสุดท้าย ฌานฆ่ามาจนสุดท้ายทำบุญ ฆ่ากิเลส

 

อรูปฌาน 4 แบบพุทธกับแบบฤาษี

_Emty (เอมที) : กราบนมัสการพ่อครูครับอรูปณาณ 4 มีอาการความรู้สึกอย่างไร

สมณะฟ้าไท... แต่ก่อนเขาว่าปฏิบัติศีลให้มาที่สันติอโศก จะมีปัญญาให้ไปที่สวนโมกข์ จะมีสมาธิให้ไปธรรมกาย แต่ที่จริงแล้วศีลจะทำให้เกิดสมาธิปัญญา

พ่อครูว่า... ผู้ไม่เข้าใจก็ไปแยกแบ่ง ศีลก็ไปสันติอโศก ปัญญาไปที่สวนโมกข์ สมาธิไปที่ธรรมกาย ซึ่งก็เป็นภูมิของแต่ละคนเข้าใจอย่างนั้นก็ว่าไป ความจริงแล้วศีล สมาธิ ปัญญาแยกกันไม่ได้ ศีลก็ต้องพูดก่อน ต่อมาต้องพูดสมาธิ ต่อมาก็พูดปัญญา วิมุติไปตามลำดับ อาตมาก็ทำไปตามลำดับ คนเข้าใจไม่ได้ก็หาว่ามีแต่ศีล ก็ถูกแล้วเริ่มต้นต้องเป็นศีล ต่อมาก็เป็นสมาธิ ปัญญา วิมุติไปตามลำดับ

อาตมาเองอาตมาไม่ได้สงสัย เพราะอาตมารู้ว่าทำอะไรอยู่  ผู้ที่มาตำหนิตามภูมิของท่าน อาตมาก็ไม่แปลกอะไรเราก็รับฟัง เราก็รู้ว่าท่านเข้าใจได้อย่างนี้ ก็ไม่ได้ไปดูถูกดูแคลนท่าน ก็รู้กัน

อรูปฌาน 4 นั้น อย่าว่าแต่อรูปฌานเลย รูปฌาน 4 ก็ไม่มี ไปนั่งหลับตานั้นเป็นแบบ ฌาน เดียรถีย์ นั่งสะกดจิตหลับตาให้หยุดนิ่ง ที่นี้พวกที่นั่งสะกดจิตหลับตาพอไปถึง ฌาน 4 เขาจะจบ จะไม่เป็นอุเบกขา แต่จะเป็นสมถะ เขาจะสงบแบบดับ สงบดำมืด เรียกว่ากิณหะ แล้วไปหลงความดำความดับ ความมืด  ว่าเป็นสิ่งที่น่าได้ น่ามี น่าเป็น เรียกสุภกิณหะ แล้วเขาไปได้ความมืด เขานั่งหลับดับมืด กัณหะ กัณหา ต้นตระกูลของ อัมพัฏฐะ มืดดับเป็นอสัญญีสัตว์ตัวที่ 5

ฌาน 4 ดับเป็นฌานฤาษี พอดับถึง ฌาน 5 เป็นอสัญญีสัตว์ เขาไปดับความกำหนดรู้เลยจะเข้าไปถึง ฌาน 6 7 เขาจะไม่ได้เลย เขาดับอสัญญี จะไปรู้จัก อากาศ วิญญาณัญจาฯได้อย่างไร เพราะดับสัญญาไปแล้ววิญญาณมันไม่มีอะไรเลย  มันเป็นความเพ้อพก มันไม่มีเลย

อากิญจัญยายตนะ หมายความว่า กิเลสนิดนึงน้อยหนึ่งก็ไม่มี ไม่ได้หมายความว่าไม่มีแสงสว่าง อากิญจัญยายตนะ หมายความว่ากิเลสนิดนึงน้อยหนึ่งก็ไม่มี ไม่มีกิเลสเลย

ฌาน ของผู้ที่ตื่นรู้ของพระพุทธเจ้าจะจบที่ อากิญจัญยายตนะ ในวิญญาณฐีติ 7 ไม่ต้องมี เนวสัญญานาสัญญายตนะ เพราะจะปฏิบัติอย่างมีภูมิปัญญาถูกต้องมีสัมมาทิฏฐิ มาถึง     อากิญจัญยายตนะ ก็จะรู้กิเลสหยาบกลางละเอียดก็จะหมดกิเลสได้สนิท เป็นนิโรธสมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องใช้ สัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะสัญญากำหนดอากาศ กำหนดวิญญาณ กำหนดความไม่มีกิเลส จบในตัวหมดแล้วด้วยการตื่นรู้เต็ม ใช้สติสัมปชัญญะ ทำใน จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก จบในตัว จึงไม่ต้องมีอะไรรุ่มร่ามต่อไป ที่จะไป เนวสัญญานาสัญญายตนะ สัญญาเวทยิตนิโรธ ไม่ต้องมี

หรือมีก็ได้ ในวิโมกข์ 8 แล้วก็เข้าใจมาตามลำดับ ได้ เพราะฉะนั้นการรู้ อากาสานัญจายตนะ ในอรูปฌาน 4 เริ่มตั้งแต่ อากาสานัญจายตนะ ซึ่งเป็นความรู้ของวิโมกข์ 8 ของผู้ที่ชัดเจนในรูปนาม

วิโมกข์ 3 ข้อ 1 2 3 เป็นวิโมกข์ที่รู้จัก รูปนาม วิญญาณอย่างชัดเจน ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในอาหาร 4 ที่บอกว่าเรียนรู้รูปนามได้ก็เรียนรู้ได้ทุกอย่าง

รูปนามในวิโมกข์ 3 ข้อ 1 ต้องมีนามมีรูป ต้องเห็นรูป แล้วตัวที่เห็นคือนาม

1. ผู้มีรูป  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย   (รูปี  รูปานิ  ปัสสติ)

ผู้ปฏิบัติจะต้องเห็นรูป เพราะผู้ปฏิบัติคือคน มีจิตวิญญาณ ก็ต้องเอาจิตวิญญาณ มาเห็นรูปอย่างมี ปัสสติ รูปี รูปานิ ปัสสติ ก็จะต้องปฏิบัติให้เห็นนะไม่ใช่หมายความว่าหลับใน เห็นจะต้องมีตากระทบรูป มีหูกระทบเสียง มีจมูกกระทบกลิ่น ต้องมีคู่มีรูปนาม นี่เป็นข้อที่ 1 ผู้มีรูปย่อมเห็นรูปทั้งหลาย ท่านแปลไว้สั้นๆ

คำว่าเห็นคือปัสสติ ย่อมเห็น คือต้องปฏิบัติรู้รูปนาม มี นามเข้าไปรู้รูป

เช่น คนตาบอดไม่สามารถเห็นรูป ปฏิบัติวิโมกข์ข้อที่ 1 ไม่ได้ เพราะคนตาบอดก็คือคนไม่มีรูป เพราะฉะนั้นเมื่อคนไม่มีรูป ก็ปฏิบัติให้เห็น เป็นผู้ปฏิบัติรูปานิ ปฏิบัติรูปนาม ให้นามเข้าไปเห็นรูปไม่ได้เพราะตาบอด

พระพุทธเจ้าถึงมีบอกไว้ในพระไตรปิฎกเล่ม 14  [๘๕๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าไผ่ ในนิคมชื่อกัชชังคลา ครั้งนั้นแล อุตตรมาณพ ศิษย์พราหมณ์ปาราสิริยะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ แล้วทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการทักทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ

[๘๕๔] พอนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามดังนี้ว่า ดูกรอุตตระ ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือเปล่า ฯ

อุ. แสดง พระโคดมผู้เจริญ ฯ

พ. ดูกรอุตตระ แสดงอย่างใด ด้วยประการใด ฯ

 อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ (หลับตา) อย่าได้ยินเสียงด้วยโสต (ปิดหูหรือหนีเสียงไปหาที่เงียบ) ฯ

พ. ดูกรอุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของปาราสิริยพราหมณ์ ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก เพราะคนตาบอดไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ อุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตกก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ ฯ

พ่อครูว่า... จะมาพูดถึงคนหลับตาปฏิบัตินั้นปิดทางบรรลุธรรม ทำไมถึงไม่รู้ตัวกันสักทีว่าเป็นลูกศิษย์ของ ปาราสิย พราหมณ์ สอนให้ตาบอดหูหนวกจะไปได้ฌานอย่างไร

ฌาน ต้องมีสติ เต็ม ตื่น รู้ สัมผัสกับสิ่งภายนอก แล้วเมื่อเกิดกิเลสก็สร้างพลังงาน ฌาน ให้เผากิเลสให้มันหมดไป ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่ก็ต้องพูดต่อไป น่าสงสารตัวเองที่ต้องพูดต้องบ่นทั้งๆที่เขาเสื่อมไปจากศาสนาพุทธหมดแล้ว เรียกว่าข่มก็แล้วบอกว่าผิดเต็มที่ก็แล้ว ก็พูดไปบ่นไป รายละเอียดต่างๆก็ว่าไป ทีนี้เข้าไปหาวิโมกข์ต่อ

วิโมกข์ ข้อที่ 1 ต้องมีรูปนาม จะบอกว่า รูปี คือรูป รูปานิ คือผู้มีนามในตัว ก็จะต้องรู้รูปก็จะเห็นรูปได้ จะต้องเป็นคนมีรูปมีนามมีตาหูจมูกลิ้นกายใจครบ แล้วต้องมีการสัมผัสเห็นด้วยกันได้

 

2. *ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (10/66)   ย่อมเห็นรูปทั้งหลายในภายนอก (อัชฌัตตัง  อรูปสัญญี  เอโก  พหิทธา รูปานิ  ปัสสติ) . (*พ่อครูแปลว่ามีสัญญาใส่ใจในอรูป)

อัชฌัตตังคือภายใน

อรูปสัญญี คือ การกำหนดรู้ตั้งแต่รูปไปถึงอรูป คือผู้นี้กำหนดรู้จากภายนอก รูป อรูป

ผู้ไม่เข้าใจไปเอา อะไปใส่เป็น อสัญญี คือไม่กำหนดไม่สำคัญมั่นหมายกับรูปภายใน ทั้งที่มันเป็น อรูป กับ สัญญี คือ ต้องเป็นผู้กำหนดรู้ได้หมายสำคัญมั่นหมายใน อรูป รูป ทั้งภายนอกภายใน

อันนี้ท่านไล่เป็นลำดับๆไปว่า เมื่อผู้มีรูปย่อมกำหนดรู้รูป ตั้งแต่รูปภายนอกเป็นกาม หมดกามก็เข้าไปกำหนดรู้ ภวภพ ภายใน เป็น รูป อรูป และต้องรู้ทั้งภายในและภายนอกกำหนดรู้ทั้งภายในและภายนอก เห็นรูปภายนอกอยู่อย่างปัสสติ

มันยากเหมือนกัน ในขณะรู้รูปภายในทำรูปภายนอกแล้ว รูปภายนอกก็ยังอยู่ ทำกิเลสหมดภายนอกได้ก่อนแล้วไปทำลายกิเลสภายในจนหมดอรูป คือ หมดกามรูป รูปรูป อรูป หมดไปตามลำดับๆ นี่คือวิโมกข์ข้อ 2

 

3. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ  อธิมุตโต โหติ, หรือ  อธิโมกโข  โหติ   (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงามที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)

พตปฎ. ล.10  ข.66 /  ล.23  ข.163

พ่อครูว่า... ท่านไปแปลอธิโมกข์ว่า น้อมใจ ที่จริงมันคือทิศทางของจิตมันโน้มเอนไปในทางที่เจริญ สุภะ  งอกงามไพบูลย์ จิตมันก็ไปแล้วจิตมันก็เดินทางแล้วจิตมันก็เป็น สุภันเตวอธิมุตโต โหติ เจริญไปเป็น สัมโพธิปรายนะ ไปสู่ที่สุดที่สูง ตามลำดับๆ  เป็นวิโมกข์ 8 ข้อที่ 3

 

สรุปให้ฟังใหม่ วิโมกข์ 3 ข้อนี้คือทั้งหมดของ รูปฌาน ไม่ใช่ 4 บางคนยังงงว่า ทำไมท่านไม่เป็น 4 ข้อ ซึ่ง จากนี้ไปจะเป็นอรูปฌานอีก 4 ก็ทำไมไม่เป็น 4 ก็เพราะท่านเอาเนื้อหามาพูดมาบอกวิโมกข์ แต่เขาเข้าใจว่าเป็นเรื่องของฌาน 1  2 3 4 เขาเข้าใจสับสนว่า ฌาน สมาบัติ ต้องไปนั่งหลับตาหมดเลย อาตมาไปขยายความที่ท่านทำไว้เละยิ่งกว่าหญ้ามุงกระต่ายไม่ไหว

อาตมาอธิบายเอง เขาก็หาว่าอาตมาอธิบายไม่เหมือนอาจารย์เก่าๆที่อธิบาย ก็จะไปเหมือนได้อย่างไรเพราะอย่างนั้นมันเละมันผิด เมื่ออาตมาพูดอย่างนี้เขาก็บอกว่าอวดเก่งชะมัด เขามีครูบาอาจารย์สอนๆกันมา แล้วเอ็งหาอาจารย์ก็ไม่ได้ สำนักก็ไม่มี แล้วบอกว่าตัวเองเสียด้วย ตัวเองเป็นพระพุทธเจ้าหรืออย่างไร เราก็ไม่เคยพูดสักทีว่าเป็นพระพุทธเจ้า เราบอกว่าเราเป็นโพธิสัตว์ มาในยุคนี้สืบทอดต่อเอามาจากของเก่าจริงๆ เขาก็ไม่เชื่อ ทั้งๆที่เขาก็เรียนรู้กรรมวิบาก เป็นพระโพธิสัตว์สั่งสมบารมีมาเรื่อยๆ ก็เรียนนะอาตมาก็เป็นโพธิสัตว์อย่างนั้น เขาก็งง ไม่เชื่อ ไม่เชื่อน้ำหน้าอาตมา หน้าอาตมาไม่มีน้ำหรือไง ไม่เชื่อน้ำหน้า ไม่เป็นไร คนเชื่อน้ำหน้ามีเท่าไหร่ก็เอา

สู่แดนธรรม... ในคำถามของเขาคงอยากรู้ว่า อรูปฌานทั้งสี่ที่พ่อท่านอธิบายแบบพุทธ

ผมขอถาม อรูปฌานข้อแรก แบบพุทธที่ว่า เป็นความว่างหาที่สุดไม่ได้เป็นคุณสมบัติข้อ 1 ของ อากาสานัญจายตนะ ถ้าอย่างพุทธที่เป็นสัมมาทิฐิจะต้องเห็นอย่างไร

พ่อครูว่า... คำว่า อากาสานัญจายตนะ ก็เป็นพยัญชนะท่านแปลเป็นไทยว่าอากาศคือที่ว่างเป็นท้องฟ้า ก็นั่นแหละ เราจะต้องรู้สึกว่าจิตมันว่างๆ มันไม่มีอะไรติดขัด มองทะลุไปได้ ถ้าใครสามารถมองทะลุท้องฟ้า จะพยายามเห็นอากาศเป็นอวกาศ คือมันจะว่างและว่างและว่างๆทะลุไปเลย นั่นแหละคือคำว่าอากาศ

ส่วน วิญญานัญจายตนะ ก็คือธาตุรู้ของจิตวิญญาณ ก็จะรู้ว่าความว่างเป็นอย่างนี้เอง มีจิตวิญญาณที่เป็นธาตุบริสุทธิ์ไม่มีกิเลสมีจิตวิญญาณที่เป็นธาตุบริสุทธิ์ไม่มีกิเลสผสมไม่มีกิเลสเจือปน สะอาดบริสุทธิ์เลย จึงเรียกว่าวิญญาณ เพราะฉะนั้น ก็มีสองอย่าง

อากาศกับวิญญาณ อีกอันหนึ่งคือ ความมีกับไม่มี ก็คือภาษา คำว่า ถ้ามี กิเลสอยู่เหลือ มันก็ไม่ใช่วิญญาณ วิญญาณไม่สะอาด ไม่ว่างจากกิเลส

อากาศหรือว่างคือมันหมด ไม่มี ว่างคือไม่มี เปล่าสูญแล้ว กับตัววิญญาณที่แท้สะอาดๆ

อากิญจัญยายตนะ แปลว่า นิดนึงน้อยนึง ก็ไม่มี

สู่แดนธรรม... สรุปว่า กิเลสมันเคยเล่นงานเรา เมื่อเรากำจัดกิเลสได้ ไปถึง อากาสานัญจายตนะ ก็จะมีสัญญา 3 อย่าง

พ่อครูว่า... ไม่ใช่ว่างจากสัญญา แต่สัญญาจะต้องรู้ว่าว่าง คุณว่างจากสัญญาก็เป็น อสัญญีสัตว์ มันก็ไม่ได้เรื่อง มันต้องสัญญาที่จะเห็นความว่าง สัญญาที่ตรวจสอบแล้ว ตรวจสอบอะไร ก็ตรวจสอบวิญญาณนั่นแหละ สัญญาที่ตรวจสอบวิญญาณว่าวิญญาณมันเป็นวิญญาณแท้ๆ ไม่มี สัญญาในรูปต่างๆ เป็นสิ่งที่ถูกรู้โดยการดับล่วงพ้น ราคะ ปฏิฆะ ล่วงพ้นกาม ล่วงพ้นปฏิฆะ

เพราะฉะนั้นเมื่อตรวจสอบสัญญากำหนดรู้ จิตวิญญาณแล้ว จิตวิญญาณมันว่าง อากาสานัญจายตนะ ว่างจากอะไร ว่างไม่มีกิเลส กิเลสมันไม่มี มีแต่วิญญาณสะอาด

เพราะฉะนั้นอากาศกับวิญญาณก็เป็นตัวขยายความกัน วิญญาณเป็นอย่างอากาศ อากาศเป็นอย่างไร ก็อากาศที่ไม่มีวิญญาณ ต้องแยกให้ได้ว่าคุณต้องมีธาตุรู้กับวิญญาณ วิญญาณของคุณสะอาดโล่งโปร่งไม่มีกิเลส พูดเป็นนัยยะของการไม่มี

พูดถึงสภาพที่มีก็คือมีความไม่มี คำว่าไม่มีกับความมีก็เลยกลายเป็นคำเดียวกัน ไม่มีกิเลสนั่นคือ อากิญจัญยายตนะ มันคือมีสภาพสมบูรณ์แล้ว อากิญจัญยายตนะ ไม่มีกิเลสนั่นคือสภาพที่มีสมบูรณ์แล้วของอากาศกับวิญญาณ

อากาศกับวิญญาณคือ อากิญจัญยายตนะ พยัญชนะ อากาศกับวิญญาณคือ วิญญาณสะอาดไม่มีกิเลสคือว่างจากกิเลส ว่างจากกิเลสก็คือ อากิญจัญยายตนะ ไม่มีกิเลส

วิญญาณนี้จึงมี 2 อย่างบอกภาวะปฏิเสธกับภาวะรับ อากาสานัญจายตนะ กับ อากิญจัญยายตนะ

อธิบายไปจนเกินคำถามไปมากแล้ว

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ


640804_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5 วันพุธที่ 4 สิงหาคม  2564 ณ บวรราชธานีอโศก ชมวิดีโอได้ที่นี่ ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่น...