รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ปฏิบัติอย่างมีลำดับลำดับพาให้เป็นอรหันต์จริง
วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม 2564
ณ บวรราชธานีอโศก
ชมวิดีโอได้ที่นี่
ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่นี่
สมณะเดินดิน…
วันนี้วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
ฟังข่าวตอนนี้ช่องไหนก็มีแต่รายงานสถานการณ์ covid 19
เขาบอกว่าตัวเลขติดเชื้อประเทศไทยต่อวันอาจจะถึง 10,000 คนในอีกไม่กี่วัน
วันนี้ก็ติดเชื้อรวม 9 พันกว่าคน รัฐบาลใช้มาตรการเข้มข้นขึ้นโดยไม่ได้ใช้คำว่าล็อคดาวน์
แต่เป็นมาตรการแบบเข้มงวด
พ่อครูว่า...SMS
วันที่ 7-8 ก.ค. 2564
_kunwinan Thongchai (คุณวินันท์ ธงชัย) :
ดีจังค่ะที่สมัยนี้มียูทูป ได้เข้ามาฟังธรรมะดีๆ.
_วรางค์ภร
เดชวัฒน์ : 🙏🙏🙏น้อมกราบนมัสการฯพ่อท่านฯ💡 😷
สังคมโลกุตระสาธารณโภคีชาวอโศกเปรียบเสมือน...
โอเอซิสแก่นักเดินทางสู่ความพ้นทุกข์ แต่สังคมโลกียะเปรียบเสมือน...
ทะเลทรายที่เต็มไปด้วยราคะ โทสะ โมหะ ฯ
พ่อครูว่า...จริงนะ
อันนี้เราก็ไม่ได้หลงงมงายไม่ได้หลงตัวตนในธรรมะของเราที่เป็นสาธารณโภคีหรือเป็นโลกุตระที่เราได้มา
เพราะมันเป็นคุณวิเศษที่ดี พิสูจน์ยืนยันกันว่าดีจริงนะ
แต่ว่าคนที่ไม่มีดวงตาไม่มีภูมิปัญญารู้ว่าสิ่งนี้คือสิ่งวิเศษสิ่งดีจริง
เราก็บังคับเขาไม่ได้ก็น่าสงสาร ก็ไม่มีปัญหาอะไร ใครพบ ใครได้ ใครรับก็ได้ไป
คนที่ไม่รู้ว่าดีก็ไม่มาเอา คนที่พบแล้วแต่ไม่รู้ไม่เห็นหรือปฏิเสธก็มี บางคนไม่แคร์ปฏิเสธแต่เห็นว่าผิดด้วย
เห็นว่าสิ่งที่เขาได้เป็นเดรัจถีย์เดรัจฉานวิชาเป็นเรื่องนอกรีตเป็นสิ่งที่ถูกก็มี
ก็เป็นเรื่องหลากหลาย
_ป้ารัตน์ หนึ่งในธรรม :
ตอนนี้ที่ผ่านมามีผู้ชมเป็นแสน แสดงว่ามีผู้ที่สนใจฟังคำสอนของพ่อท่าน มากขึ้น
ส่วนผู้ที่ท่านต่างวิจัยวิจารณ์มาเต็มที่ พ่อท่านและพวกเราชาวอโศกยินดีรับฟังได้
เพราะธรรมะยังไม่ถึงใจ
พ่อครูว่า...ก็เชิญเลยยินดีให้วิจัยวิจารณ์มาได้เต็มที่
_ประจักษ์ ทุมไมล์ :
ขอถามซ้ำหลวงพ่อโพธิรักษ์เป็นพระอรหันต์และกล่าวหาหลวงตาบัวเป็นสมถะหัวตอนั่งหลับตาไม่ใช่พระอรหันต์อย่างที่ลูกศิษย์กล่าว
หรือคนข่าวทั่วไป อันนี้หลวงพ่อโพธิรักษ์อายุ 140 ปี
เกิดไม่ถึงหลวงพ่อพูดมุสากล่าวอ้างสิ่งที่ยังไม่ถึง
เวลาตายก่อนหลวงพ่อโพธิรักษ์จะรับผิดชอบอะไรจ๊ะ
พอหลวงตาไม่เป็นสมถะหัวต่ออย่างที่กล่าวหา หลวงพ่อโพธิรักษ์ไม่เป็นพระอรหันต์
ต้องมีคนกล่าวผิดคนหนึ่งและตกอเวจีที่หมิ่นประมาทพระอริยเจ้าพระอรหันต์แน่นอนใช่ไหมจ๊ะ
..คำถามนี้ช่วยยื่นให้หลวงพ่อโพธิรักษ์ตอบซ้ำหน่อยได้ไหมจ๊ะ
เจ้าของคุณแพคงไม่กล้าพูดเหมือนหลวงพ่อโพธิรักษ์ที่กล่าวหลวงตานะจ๊ะกลัวตกนรกกันเป็นแถวจ้ะเป็นห่วงจริงๆนะจ๊ะครั้งพุทธกาลก็มี
โปฐีล ใบลานเปล่ากึ่งพุทธกาลคิดว่าก็ต้องมีและมีมากด้วยจ้ะ
พ่อครูว่า...เราก็พูดสิ่งที่เป็นอนาคตไป
คนนี้พยายามจับเอามาย้ำยืนยันเพื่อจะใส่ประเด็นว่าเราพูดมุสา
เราก็จะไปมุสาอะไรเราพูดว่ายังไม่ถึงก็ยังไม่ถึง คนนี้ก็สรุปเอาเอง
ต้องดูพลความด้วยสิ
แล้วเรื่องอรหันต์เราก็อ้างอิงตามหลักฐานในพระไตรปิฎก
แบบสมถะหยุดนิ่งเฉยแบบหัวต่อ
ซึ่งคุณไม่เชื่อก็เพราะว่าดูไม่ออกเองแล้วอาตมายืนยันว่าอาตมากล่าวไม่ผิด
อาตมาว่าอาตมาเป็นอรหันต์นั้นกล่าวจริง
ส่วนคนที่กล่าวผิดก็ตกนรกอเวจีจริง ส่วนอาตมากล่าวจริงก็ไม่ตกนรก
ส่วนถ้าคุณหมิ่นประมาทพระอริยเจ้า แล้วไปยกย่องพระหัวต่อ แล้วไปว่าพระอรหันต์
ระวังนรกอเวจีจะมีในตัวเอง
อย่างที่อาตมาพูดจะมีสักกี่คนไม่มากหรอก
คุณก็ไม่แม่น ขนาดมีมากมีน้อยก็ยังไม่แม่น ก็เป็นความรู้ของคุณประจักษ์
ศึกษาติดตามไปดีๆอาตมายินดีต้อนรับ พยายามฟังธรรมะดีๆ ที่ไม่ดีก็แย้งมาได้ จะได้เห็นหลากหลายดี
_Danuthum Virulhsirikul (ดนุธรรม
วิรุฬห์ศิริกุล) : ชาตินี้กว่าจะมาเจอ"พ่อท่าน" ก็เกือบจะเอาชีวิตไม่รอด
ทั้งโรคหัวใจ อุบัติเหตุทางรถยนต์.. และกระเพาะอาหารทะลุ
เพราะไปเสียเวลาทางโลกีย์อยู่นาน แต่ที่ผ่านผมก็หาที่ปฏิบัติธรรมเพื่อให้หลุดพ้น
ไปด้วยแต่มันไม่ใช่และมันไม่เจอ เพราะมีแต่วัดที่เป็นมิจฉาทิฎฐิ
หรือไม่ก็เป็นเทวนิยม ที่ไม่ได้ดับทุกข์อะไร ยิ่งทำยิ่งอยากได้สิ่งโน้นสิ่งนี้
ชาติหน้าถ้าเกิดอีก ขอพบเจอ"พ่อท่าน"
ตั้งแต่เกิดไม่ต้องไปเสียเวลากับทางโลก ที่เป็นโลกีย์ทำแต่บาป
เสียเวลาเปล่าประโยชน์ เพราะคนเราทุกคน รู้แต่วันเกิดตัวเองแต่ไม่รู้วันตาย
ของตัวเอง "พ่อท่าน" คือหนึ่งเดียวในคำสอนของ"พระพุทธเจ้า"
ในยุคนี้.. พระรูปอื่นหรือมหาเถรสมาคม เขาไม่รับรองพ่อท่าน
เพราะ"พ่อท่าน" ไปตัดลาภตัดยศเขา เพราะเขาหลงกันหมดแล้ว เหมือนกับ
"ขึ้นหลังเสือแล้ว" ลงไม่ได้เดี๋ยวเสียฟอร์ม
เพราะทุกวันนี้พุทธแท้ไม่มีแล้ว ทุกวันนี้พระบางรูปก็เหมือนคนทั่วไป..
ต่างกันที่ชุดไตรจีวรเท่านั้น.. กราบนมัสการ"พ่อท่าน" ด้วยความเคารพสูงอย่างยิ่งครับ..
พ่อครูว่า...อันนี้เป็นการยืนยัน
ถ้าหากอาตมาถูก เถรสมาคมก็ต้องผิด ถ้าหากอาตมาผิดเถรเสมาคมก็ต้องถูก
ซึ่งคุณคนนี้มองออก
คนไทยที่ฟังธรรมะอาตมาอยู่บ้าง ไม่มีอคติเกินไปก็น่ารู้น่าจะมองออก
แต่ก็อาจจะไม่แข็งแรงพอที่จะกล้าแสดงตัวว่าเห็นด้วย
สำหรับคนที่กล้าแสดงตัวว่าเห็นด้วยก็เป็นความกล้าหาญชนิดหนึ่ง
ซึ่งก็หาได้ยากในยุคนี้
_7253 : ถามคำถามพ่อท่านได้ที่ SMS
ที่เดียวใช่ไหมคะ มีถามทางไลน์ไหมคะ
(ขอให้ส่งมาที่ ไลน์หมายเลขโทรศัพท์ 0839639292
)
_หลวงตาแด่ธรรม ธัมมรักขิโต :
โยมทะเลาะกันเพราะยึด อัตตา นักบวชแตกกันเพราะยึดทิฏฐิ
_อนันต์ แก้วเนตร : ชอบรายการนี้มากๆ
(พุทธศาสนาตามภูมิ โดยสมณะ สิกขมาตุ)
กาย ฌาน และปัญญา
พ่อครูว่า...
เราก็มีหน้าที่แสดงธรรมะไปตลอดเวลา
มีชีวิตเกิดมาชาตินี้อาตมาก็หันทิศทางมาทางนี้แล้วไม่ถอยไปทางไหน
ตายเป็นตายมาทางนี้ ก็จะทำงานศาสนานี่แหละเพราะเป็นความยิ่งใหญ่ในความเป็นคน
คนได้ธรรมะได้โลกุตรธรรมก็สบายแล้วเจริญประเสริฐสูงสุดแล้ว บรรลุธรรมเป็นอรหันต์แล้วก็ไม่มีอะไรเท่าเทียมหรอก
ไปหาลาภยศสรรเสริญสุขอะไรอย่างนั้น มันไม่จบ ได้มากเท่าไหร่ก็ไม่มีจบ ไม่จบ
แต่ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นอรหันต์แล้วจบ พระพุทธเจ้าตรัสว่าจบกิจ
จบกิจของความเป็นมนุษย์เลย มนุษย์มีกิจอะไรแล้วแต่จะมีสารพัดกิจ
ถ้าได้จิตเป็นอรหัตผลเป็นอรหันต์ มันจบกิจเลย
กิจใดๆไม่มีปัญหาอะไรสบายมีชีวิตอยู่สบาย
อยากให้ผู้ที่ยังไม่ได้เจอตรงนี้
อาตมาเจอ พูดแล้วในสิ่งที่จริงที่สุด จบกิจแล้วมันสบาย
สบายอย่างที่เรียกว่าไม่ต้องไปเป็นพิษภัย ไม่ต้องเป็นตัวถ่วงอะไรของโลกเขาเลย
มีแต่ช่วยเหลือโลกมนุษย์เขาให้ได้อย่างที่เราได้ อย่างที่เรามีเราเป็นให้ได้มาก
ก็ทำงานเท่านี้แหละต่อไปจนกว่าจะตาย ตายแล้วจะปรินิพพานเป็นปริโยสานหรือจะทำต่อ
สำหรับอาตมาก็มีความรู้ชัดเจนบอกได้เลยว่าอาตมายังไม่ตาย
ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จะตายหมดลมหายใจในชาตินี้ก็จะเกิดมาต่ออีก
ยังจะไม่ปรินิพพาน เป็น ปริโยสานพูดก็พูดเลยว่า แม้จะหมดสมัยพระสมณะโคดม 5,000
ปีนี้อาตมาก็จะเกิดมาต่ออีกจนกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง
เป็นปณิธานของอาตมาอย่างนั้นจริงๆ
เป็นเรื่องที่ไม่มีใครจะมาพูดโพธิสัตวภูมิมากเท่าอาตมาในชาตินี้
เป็นความรู้ของโพธิสัตว์ ตั้งใจฟังจะได้รู้ เรื่องของความเป็นโพธิสัตว์ เพราะทาง
เถรวาท โดยเฉพาะในเมืองไทยไปนับถือความคิดแบบอุจเฉททิฏฐิ
จะโต่งไปทางอุจเฉททิฏฐิแล้ว เขาจะไม่มีความรู้ความเข้าใจในโพธิสัตวภูมิเลย
อาตมาจึงจะต้องมาอธิบาย มาแสดงความจริงในความเป็นโพธิสัตว์
ซึ่งนัยยะของสภาวธรรมมันลึกซึ้งซับซ้อน
มันเข้าใจได้ยากมากเลย อาตมาเกิดมาในยุคนี้
ความเสื่อมของศาสนาพุทธนั้นเกือบหมดแล้ว
แม้แต่พยัญชนะต่างๆก็เข้าใจผิดเพี้ยนไปไกลมากเลย เช่น คำว่า
ฌาน
คำว่า สมาธิ มันไม่เหลือเลย สมาธิไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า
ฌานก็ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้าแต่ผิดเพี้ยนไปไกลลิบเลย จากของพระพุทธเจ้า
ฌาน
ของพระพุทธเจ้านั้นไม่ต้องเสียเวลา ไม่ต้องเสียสถานที่ ไม่ต้องไปเสียอิริยาบถใดเลย
ฌานของพระพุทธเจ้านั้นอยู่ในทุกอิริยาบถ อยู่ในทุกสถานที่ อยู่ในทุกเวลา
แค่นี้ก็ต่างคนละฟากโลก
เริ่มต้นคำว่า
กาย ก็เข้าใจกันผิด
กาย
เป็นตัวแรกของ สังโยชน์ ข้อที่ 1 คือ สักกายทิฏฐิ
พระพุทธเจ้าให้อุปัชฌาย์สอนผู้ที่บวชใหม่
สอนให้รู้ว่ากายคืออะไร ให้แยกกายแยกจิตให้ชัด
พลังงานที่เรียกว่าจิตวิญญาณเมื่อใดมันเป็นกาย องค์รวมสังขารมันมาประชุมอยู่
เมื่อใดมันไม่มีอะไรจึงไม่ใช่กาย เมื่อใดไม่อะไรอยู่ในจิตนี้ เช่นมันไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ
มันมีแต่สังขารมีแต่สัญญา อันนี้ไม่ใช่จิตแล้ว มันก็ไม่ใช่กายไม่มีกาย
และความไม่มีกายคือลักษณะอาการอย่างไร
จิตที่ไม่มีกาย อาการอย่างไร จิตที่มีกาย อาการอย่างไร
เดี๋ยวนี้เขาไม่มีความรู้แล้ว
เพราะฉะนั้น
สักกายทิฏฐิ หรือที่พระอุปัชฌาย์สอนให้แยกกายแยกจิตได้ ไม่รู้แล้ว
ก็แยกกายแยกจิตไม่ได้
หากแยกกายแยกจิตไม่ได้
ไม่มีทางนิพพาน
เพราะจิตที่มีลักษณะทำให้จิตไม่มีกายได้
ก็เป็นจิตที่ไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณ นี่แหละเป็นจิตที่มีลักษณะอุเบกขา
ลักษณะที่มีความรู้สึกหนึ่งเดียว รู้ความจริงตามความเป็นจริง กระทบอะไรก็มีเวทนา 1
เดียว ไม่มีเวทนา 2 พูดอย่างนี้เข้าใจไหม
ปฏิบัติกับเวทนาของเราขณะกระทบสัมผัสไม่มีเวทนา
2 ถ้ามารมีก็เป็นผีมาหลอก
ปฏิบัติให้เกิดปัญญา
ปัญญาจะมีพลังทำให้มารผีหลบหน้าเลย
แต่ถ้าปัญญายังไม่มีพลังพูดอย่างไรมันก็ยังมีอยู่ในตัวของคุณ เข้าใจไหม
เคยเป็นเคยมีไหม ทำให้ไม่มีมารไม่มีผีได้ไหม ...ได้
ศาสนาพุทธสอนเรื่องนิพพาน
ทำให้รู้นิพพาน ทำให้จิตทำฌานได้ จิตทำฌานได้ ฌานนี้คือปัญญา
มีปัญญา
ฌาน 1 2 3 4 พลังปัญญาไปถึงฌาน 4
เป็นพลังที่ทำให้จิตเป็นพลังฌานคือไฟหรือพลังอุณหธาตุ
มีพลังมีฤทธิ์สลายกิเลสได้เลย เป็นอุเบกขา ซึ่งเป็นความจริงเลย
ผู้ใดปฏิบัติถึงจริงมีจริงเป็นจริง ทำให้เกิดจิตเป็นฌานได้ก็จะเกิดมีปัญญาได้
เพราะฌานคือพลังปัญญา เป็นพลังงานทางจิต มันมีฤทธิ์เดชที่จะเผาผลาญหรือสู้กับกิเลส
กิเลสมันสู้ไม่ได้ ฌานคือพลังงานวิเศษ หรือปัญญา
“ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา
ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน”
แต่ฌานเดี๋ยวนี้ไม่เป็น
ฌานของพระพุทธเจ้าแล้ว กลายเป็นชานหมากชานอ้อยชานเรือนไปหมดแล้ว ไม่เป็นพลังงานอุณหธาตุแล้ว
เพราะทำไม่ถูก
ที่ทำไม่ถูกเพราะไปนั่งหลับตา
มันไม่อยู่ในจรณะ 15 วิชชา 8
จรณะ 15
วิชชา 8 แยกกันไม่ได้ เพราะฌานคือจรณะ ส่วนปัญญาคือวิชชา 8 แยกกันไม่ได้ เป็น 2
สิ่ง ที่แยกกันไม่ได้ สภาวะ 1 เป็นภาคปฏิบัติ สภาวะ 1 เป็นภาคความรอบรู้เรียกว่า
ปัญญา อย่างนี้เป็นต้น
ผู้ใดรู้จักฌานจริงๆ
ผู้นั้นมีสิทธิ์ถึงนิพพาน “ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด
ผู้นั้นแลอยู่ใกล้นิพพาน” ไม่ช้าไม่นานก็นิพพาน
อย่างพวกเราใกล้นิพพานแล้วก็นิพพานไปเยอะแล้ว นิพพานจากอบายมุข นิพพานจาก กาม
จากรูป อรูป นิพพานจากอวิชชาก็เป็นอรหันต์ นี่ไล่ไปตามหลักวิชชา
แล้วคุณจะรู้ว่าคุณถึงตรงไหน
คุณก็ต้องรู้ตัว ปฏิบัติธรรมต้องมีปัญญา มีการเทียบวัด ตัดสิน ได้ก็ อ๋อ..
เราได้อันนี้แล้ว เราถึงตรงนี้แล้ว เราเป็นตรงนี้แล้ว จึงจะรู้ว่าเราจะจบ
จบกิจเป็นอรหันต์แล้ว ถึงจะรู้ ถ้าไม่รู้ก็งมงาย งมๆคลำๆพูดไม่ได้
อาตมาประกาศตัวว่าเป็นอรหันต์
คนก็บอกว่ารู้ได้อย่างไรว่าตนเองเป็นอรหันต์ อ้าว.. ก็คุณพูดอย่างไร
คนเป็นอรหันต์ก็ต้องรู้สิว่าตนเองเป็นพระอรหันต์
หากไม่รู้ว่าตนเองเป็นพระอรหันต์แล้วจะมาบอกว่าตัวเองเป็นพระอรหันต์ได้อย่างไร
ก็บอกว่ารู้ได้ ไง ก็อาตมารู้ จิตมันเป็นอย่างไร กิเลสมันเป็นอย่างไร
กิเลสมันมีหรือไม่มี แม้แต่เป็น อุปกิเลส มานะ ที่เหลือ
เราก็ต้องรู้ว่าเราไม่มีถึงจะบอกว่าตัวเองเป็นอรหันต์ได้
เราเป็นอรหันต์เราก็บอกอย่างนี้
เขาก็บอกว่าอวดตัวอวดตน อ้าว.. ก็เราก็บอกไปตามจริง
เขาฟังความจริงเป็นเรื่องไม่จริง อาตมาก็รู้ เพราะเขาเอง 1. ไม่มีความเชื่อถือ 2.
ไม่มีภูมิพอจะรับได้ บอกไปอีกเขาก็จะมองว่าเป็นอคติว่า อวดตัวอวดตนทำไม
อวด
คือแสดง คือบอกกล่าวให้รู้ความจริง คำว่าการอวดมันเป็นอย่างไร การอวดมันเป็นกิเลส
ก็มีกิเลสอยากอวดโอ่ อยากมีตัวมีตน อาตมาก็บอกว่าอาตมาไม่มีตัวตน ไม่มีความอยากอวดอยากโอ่
ว่าอาตมาโก้เก่ง ไม่มี มันเป็นจริงเท่านั้นเอง
ใครจะว่าอาตมายิ่งใหญ่หรือเก่งหรือไม่เก่งไม่มีปัญหา
แต่อาตมามีสิทธิ์พูดความจริงเท่านั้น เขาก็ฟังไม่เป็น
พูดไปจนหมดทุกมุมเหลี่ยมทุกนัยยะ ทุกการกระทำต่ำสูงกว้างยาวอะไรพูดไปหมด เขาก็ยัง
ก็น่าเห็นใจ คนที่เขาไม่ยอมรับนับถือ
แต่เขาไปยอมรับนับถือคนที่อธิบายไม่ได้อย่างอาตมา
มีแต่ตีขลุมว่าบรรลุอรหันต์กับการนั่งหลับตาไป
มันจะได้เรื่องอย่างไรเอามาพูดก็ไม่ได้บอกได้แต่ว่า ปึ๋งปั๊ง จบ
บอกวันเวลาสถานที่เรื่องราวอยู่แค่นั้น
แต่ไม่ได้พูดธรรมะว่าอาการมันเป็นอย่างไร เออ.. เอาละ
รายละเอียดสิ่งเหล่านี้พูดไปมันก็จะยาว
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สู่แดนธรรม...
สมณะเดินดิน... คนไทยเชื่ออิทธิปาฏิหาริย์
พ่อครูว่า...
คนไทยเชื่อฤทธิ์เดชตรงที่ว่าโดนลูกปืนหลายร้อยลูกก็ไม่ตาย
เพราะฤทธิ์เดชของพ่อแม่ครูอาจารย์ช่วย
เขานับถือมากเพราะช่วยชีวิตเขาไว้เขาก็ต้องเชื่อ
ก็เขาเองเขาเจอของเขาเองเขาก็ต้องเชื่อ มันน่าสงสารตรงที่ว่าเป็นพุทธศาสนิกชน
แต่ไปเข้าใจว่าอันนี้เป็นเรื่องจริง เรื่องนี้มันเป็นเรื่องเหตุการณ์
เป็นเรื่องขององค์ประกอบ เป็นเรื่องของบารมีอะไรต่างๆนานาเยอะแยะ
มันไม่ใช่เป็นเรื่องของใครหรือของฤทธิ์เดชอะไร
เหมือนกับหลวงพ่อคูณ
ก็ยังดีที่บอกว่าตัวเองไม่ได้เก่งอะไรหรอก ที่บอกว่าช่วยคนรถคว่ำได้
หลวงพ่อคูณก็บอกว่าถ้ามันวิ่งเร็วกว่านี้กูโดดลงแล้ว กูไม่มีฤทธิ์เดชอะไรหรอก
มันก็หลงเชื่อเอา ถ้าเอากูเข้าไปในรถแล้วรถวิ่งเร็วขนาดนั้นกูโดดลงรถก่อนแล้ว
กูไม่ไปกับมันหรอกมันจะพากูไปตาย แต่คนก็ไปหลงเชื่อ ตลกจริงๆเลย
หลวงพ่อคูณก็รู้ตัวแต่มันก็เหมือนไม่รู้ตัวทำการมอมเมาคนอยู่นั่นแหละ เหมือนกับหลวงตาบัวตรงนี้เหมือนกัน
คือเป็นความหลงซ้อนความหลง ได้เงินทองมาก็เอาไปให้โรงพยาบาล
ไปช่วยสังคมสงเคราะห์มองไปทางโน้น ได้มาช่วยประเทศชาติเลย
ก็เลยทำสิ่งที่เป็นเรื่องนอกรีตนอกทางของศาสนาพุทธ
แล้วหลงตัวเองว่าตัวเองเก่งตัวเองดี
มันไม่ใช่กิจของสงฆ์เลย หารายได้มากๆเอาเงินทองมาช่วยประเทศก็ไม่ใช่เรื่องของศาสนา
ไม่ใช่เรื่องของพระพุทธเจ้าไม่ใช่กิจไม่ใช่หน้าที่ของพระภิกษุ
แล้วก็หลงงมงายในสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นสิ่งที่ดี
ก็เลยติดยึดกับสิ่งเหล่านี้ตลอดไปจนตาย
สัจจะหนึ่งเดียวตรงกันแม้ในยุคเสื่อมของศาสนา
สู่แดนธรรม...
วันนี้พ่อท่านได้เทศน์เกี่ยวกับความเป็นอรหันต์และคนไม่เชื่อ สอดคล้องกับสถิติ
ปุ๊กทองไท ได้ส่งสถิติช่อง youtube บุญนิยม
-ณ ปัจจุบันดูสดๆ ในแต่ละรายการ อยู่ที่ประมาณ
100-250 คน รายการดูสดมากที่สุดคือ รายการภาคค่ำของแต่ละวัน
-ยอดติดตามช่อง 3แสน 4หมื่น คน
(สมัครตั้งแต่วันที่ 3 มี.ค. 2554 fmtv.)
-ยอดการดูรวมทุกคลิปรวม 101,178,574 วิว
-คลิปพ่อท่านที่มีคนดูสูงสุด คือ พ่อท่านประกาศอรหันต์ มีคนดู 1.2
แสนวิว
-คลิปที่มีคนดูมากที่สุดในช่อง คือเพลง
จดหมายถึงพ่อ โดย อี๊ด ฟุตบาธ 34 ล้านวิว
-คลิปอันดับ 2 คือ เปิดหลักฐานปล้นประเทศไทย
4.8 ล้านวิว
-คลิปอันดับ 3 คือรายการถึงสื่อถึงคน ตอน
ปลูกกล้วยขายทั้งปี
-คลิปอันดับ 4 คืนปะทะไทย-เขมร 1.4 ล้านวิว
พ่อครูว่า...
มันเป็นความจริงตรงที่ว่าเป็นยุคความเสื่อม คนยุคนี้อวิชชา คนยุคนี้เห็นผิดเป็นถูก
เห็นถูกเป็นผิด รู้ไม่ได้ว่าถูก
บอกว่าถูกอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อเพราะไม่มีภูมิปัญญารู้ในสิ่งที่ถูก
บอกเท่าไหร่ก็ไม่รู้ แต่มันจะทำยังไงได้ จะให้คนถูกไม่ยืนยันความถูก แล้วบอกว่าไม่มาฟังเลยดีกว่าความถูก
มันก็ไม่ได้ อย่างไรความถูกมันก็ควรฟังและควรได้อย่างไร
ก็ต้องยืนยันอย่างนี้ก็ต้องยืนยันความถูก สิ่งที่ผิดไม่ต้องยืนยัน
ต้องข่มต้องว่าต้องตำหนิ ผิดน่ะ มันก็มีอยู่ 2 อย่าง ถูกก็ต้องยืนยันถูก
ผิดก็ต้องถูกว่าถูกตำหนิมันก็เป็นจริงอย่างนั้นไม่มีอย่างอื่นมันมี 2 อย่าง
อาตมามั่นคงไม่ได้สับสนว่าอาตมานี้ถูก มีความถูก เอาความถูกมายืนยัน มาประกาศ
แล้วความที่ไม่ตรงกับอาตมาก็เป็นสิ่งที่ผิด
ถ้าถูกต้องตรงกันสัจจะมี 1 เดียว ไม่มี 2 มีหนึ่งเดียวใน จูฬวิยูหสูตร
ที่แย้งสัจจะหนึ่งเดียวหรือสิ่งที่เป็นอรหันต์แล้วมันผิดทั้งนั้น
อาตมาก็ยืนยันความเป็นอรหันต์ขยายความความเป็นอรหันต์
ที่พูดอยู่ทุกวันนี้อะไรที่บอกว่าใช่ก็ใช่อะไรที่ไม่ใช่ก็บอกว่าไม่ใช่
อะไรผิดเพี้ยนมากก็บอกว่าผิดเพี้ยนมาก ถล่มตำหนิมากๆ
อะไรที่ผิดเพี้ยนน้อยก็พูดตำหนิน้อย หรืออะไรถูกมากก็พูดถึงมากเหมือนกัน
ดีไม่ดีก็ไม่ค่อยพูดถึงเท่าไหร่ เพราะความสุขอยู่ที่ตัวเอง
ที่หมู่ตัวเองไม่ได้อยู่ที่คนอื่น ก็เลยต้องพูดย้ำทีไรก็ที่เดียวนี่แหละ
เพราะสัจจะมีหนึ่งเดียวจะไปย้ำอย่างอื่นได้อย่างไร สัจจะมีหนึ่งเดียว
ก็ถูกมีอยู่ที่ไหนก็ที่นี่ ที่ไหนก็ที่อาตมา
แล้วก็ยืนยันหนักไปเช่นนั้นว่าในยุคกึ่งพุทธกาลนี้
มันไม่มีถูกเลย อาตมานำความถูกมาประกาศในกึ่งพุทธกาลเพื่อกอบกู้ศาสนาพุทธ
ก็พูดไปเถอะ จนจะหมดสิ้นแล้ว ที่พูดไม่เล่นลิ้นไม่ได้หวั่นไหว
สู่แดนธรรม... ในอนาคตคนจะรู้มากขึ้นไหมครับ
พ่อครูว่า...
ในอนาคตคนจะรู้มากขึ้นที่จะรู้มากขึ้นเพราะว่าผู้ที่แสวงหาจะมีอยู่
แล้วความจริงเป็นหนึ่งเดียวแล้วยืนนาน อาตมาตายไปแล้ว สิ่งที่บันทึกอยู่ก็จะมี
เขาก็จะตามหาสิ่งที่บันทึกไว้ เหมือนพระพุทธเจ้าสิ้นพระชนม์ จะมีการบันทึกไว้
ตั้งแต่บันทึกไว้ไม่ใช่เป็นตัวหนังสือ แต่เป็นความจำถ่ายทอดกันมาเป็น สังคีตะ
สังคายนา รักษาคำสอนไว้ จนกระทั่งมีการบันทึก เดี๋ยวนี้ก็มีหลายภาษาด้วย
เพราะฉะนั้นก็ไม่มีวันที่จะสูญหาย
สิ่งที่จะยืนยันความเป็นจริงคือ
1. แต่ละความหมายของแต่ละสูตรแต่ละองค์รวม
องค์รวมของ 2 สภาพเรียกว่า เทวะ จนกระทั่งรวมมากขึ้นเป็นสังขาร เป็น 3 4 5 6 7 8 9
10 รวมกันเป็นกลุ่มหมู่ที่มากขึ้น
จนกระทั่งรวมจากความหมายของบัญญัติแล้วก็มาเป็นสภาวะอยู่ในตัวบุคคลปฏิบัติตามบัญญัติภาษาได้
เมื่อบุคคลปฏิบัติได้หลายคนเข้ามากคนเข้าก็รวมหมู่กัน มันเป็นอันเดียวกัน
น้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน มันก็มารวมกัน จนเป็นหมู่กลุ่ม เป็นเอกีภาวะ สามัคคียะ
เป็นหนึ่งเดียวกันเสมอสมานสามัคคีกันอยู่กันอย่างพิสูจน์สัจจะ
อยู่ร่วมกันด้วยดีไม่ทะเลาะกัน อวิวาทะ
นอกจากไม่ทะเลาะกันแล้ว
ก็อยู่กันอย่างช่วยกันสร้างสรรค์ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน สังคหะ เคารพกัน รักกัน
ระลึกถึงกัน ตรงตามคำสอน ธรรมะพระพุทธเจ้าเอาแต่คำพูดนี้มายืนยันพิสูจน์
คนปฏิบัติประพฤติได้ตรงตามอนุสาสนีตามคำสอน
สาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 ในสมัยประชาธิปไตย
สาราณียะคืออะไร
คือการระลึกถึงกัน พวกเราระลึกกัน
และเป็นการระลึกถึงกันอย่างไม่ใช่อย่าง
กาม ไม่ได้ระลึกถึงอย่างพยาบาท ระลึกถึงเพื่ออยากให้ได้สัจธรรม
นี่เป็นจุดเป้าหมายว่าเราอยากให้ได้สัจธรรม
เราละเลิกได้ลดความทุกข์จากอันนี้ก็อยากจะให้ผู้ที่เราระลึกถึงได้อันนี้บ้าง
ใครที่ควรระลึกถึงก่อน ก็นึกถึงพ่อแม่และนึกถึงลูกระลึกถึงเพื่อนระลึกถึงญาติ ระลึกถึงคนที่เราเคารพรักที่สุดอยากจะให้ก่อน
จนกระทั่งระลึกถึงเยอะแยะมากมายคนขึ้นไป เป็นความรักความเคารพนับถือ ครุกรณะ
แล้วประพฤติสังคหะ ช่วยเหลือเกื้อกูลกันไปรวมเป็นสภาวะจิต 7 อย่าง
เป็นคุณสมบัติคุณพิเศษของจิต ที่เกิดคุณภาพประสิทธิภาพที่คนมี 7 อย่างนี้แล้วก็จะเกิดธรรมะองค์รวม
ของประสิทธิภาพธรรมะ 7 ชนิดนี้ มาเป็นความรวม
1. สาราณียะ (รู้จักระลึกถึงกัน คำนึงถึงคนที่ควรเอื้อ)
2. ปิยกรณะ
(รักกันสัมพันธ์ดี-ปรารถนาดีต่อกัน)
3. ครุกรณะ (เคารพกัน รู้จักฐานะ รู้จักคุณวุฒิ)
4. สังคหะ (สงเคราะห์เกื้อกูลช่วยเหลือกัน)
5. อวิวาทะ
(ไม่วิวาทแตกแยกกัน)
6. สามัคคียะ (พร้อมเพรียงกัน มีพลังรวมยิ่งใหญ่)
7. เอกีภาวะ (เป็นปึกแผ่น มีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)
(โกสัมพีสูตร
พตปฎ. ล.22 ข.282-283)
ธรรมะ 7
ชนิดนี้รวมกันแล้วเกิดสภาวะจะมาเป็นคนมีพฤติกรรม
กายวาจาใจที่น่าเลื่อมใสประพฤติร่วมกันอยู่ ประพฤติร่วมกันก็มี ลาภโดยธรรม
ลาภธัมมิกา มีประสิทธิภาพถึงขั้นได้ลาภมาแล้วก็เอามารวมกันเป็นกองกลาง
เป็นกองกลางโดยที่ไม่ได้ยึดว่าเป็นของเราของกู เป็นของใครของมันก็ไม่
มารวมกันอยู่เป็นหนึ่งเดียวกองกลาง เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสาธารณโภคีนี่
คนประพฤติได้สูงสุดแล้วในบรรดาคนไม่ว่าจะในยุคไหน
ในยุคพระพุทธเจ้า
พูดไปแล้วคนจะหาว่าเราไปข่มพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าท่านทำกับฆราวาสให้เกิดสาธารณโภคีไม่ได้ แต่ในยุคนี้โพธิรักษ์ทำได้ก็หาว่าอาตมาไปอวดไปข่มพระพุทธเจ้า
คือคนไม่เข้าใจองค์ประกอบของกาละเทศะฐานะ มันคนละบริบทคนละกาละคนละเวลา
คนละสิ่งที่ยึดถือ
สังคมในยุคโน้นถือว่าเป็นยุคทาสเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นนายทาสกับลูกทาสไม่รู้จักสิทธิมนุษยชน
แต่ทรัพยากรในยุคโน้นก็ยังมากอยู่ไม่อัตคัตขาดแคลนเหมือนในยุคนี้
เป็นไปในลักษณะของสังคมยุคโน้น
แต่ในยุคนี้เป็นยุคประชาธิปไตย
เป็นยุคที่มีอิสรเสรีภาพบริบูรณ์
ทาสบก็ไม่มีไม่เป็นแล้วสมบูรณาญาสิทธิราชย์ก็ไม่มีแล้ว มันก็เปิดกว้างทำได้หมด
สาราณียธรรม
6 จึงทำได้กับมนุษยชาติ สังคม ทำได้ ซึ่งปรากฏความจริงว่าชาวอโศกทำได้
อยู่กันมาเป็นสาราณียธรรม 6 อยู่กันอย่างนี้ สาราณียธรรม 6 คือ เมตตากายกรรม
เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา
1. เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
2. เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
3. เข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ทั้งลับ-แจ้ง
4. แบ่งปันลาภผลให้กับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (ลาภา ธัมมิกา -
มีลาภตามธรรมแห่งสาธารณโภคี)
5. มีศีลเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (สีลสามัญญตา)
6. มีความเห็นเสมอสมานกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย (ทิฏฐิสามัญญตา)
(ล.22 ข. 282-283)
ตรงตามคําสอนพระพุทธเจ้าหมดเลยพิสูจน์ได้
แล้วมาหาว่าเรานี้ผิดไปจากศาสนาพุทธ คุณจะฉลาดสักนิดนึงเพื่อจะตรวจสอบความจริง
คุณที่ส่งข้อความมา ให้ตรวจสอบตามพระไตรปิฎกที่อาตมาอ้างอิงไปแค่นี้
เอาหลักสาราณียธรรมนี้เป็นตัวชัดเจน
เรามีความจริงที่แท้ตรงตามพระพุทธเจ้าท่านปฏิบัติ
มหาบัวหรือกลุ่มที่นั่งหลับตาเป็นอย่างนี้ได้ไหมทำอย่างนี้ได้ไหม เถรสมาคมทำได้ไหม
ทำให้เกิดสาราณียธรรม 6 ไหนล่ะหมู่ชนไหน กลุ่มชนไหน สังคมไหน
หมู่บ้านไหนทำได้มีไหม ชาวอโศกทำได้ไม่ใช่แค่หมู่บ้านเดียวแต่เป็นชุมชนที่มีสาราณียธรรมหลายสิบหมู่บ้านทั่วประเทศไทย
นี่คือความจริงไม่ได้อวดอ้างอะไร
ยืนยันความจริงว่าเราพิสูจน์ตามธรรมตรงตามพระอนุสาสนี
อย่างนี้ทำไมโง่หนักตาบอดหูหนวกไม่รู้
แล้วก็บอกว่าตัวเองจะเป็นปราชญ์ จบมหาเปรียญ จบปริญญาเอกก็แล้วแต่ ทำไม
มันยากอะไรนักหนา ที่จะเทียบเคียงคำสอนพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้บันทึกไว้
โชคดีที่นับถือพระไตรปิฎกฉบับเดียวกัน
ที่แปลจากบาลีเป็นไทยพวกคุณก็แปลกันเองด้วยอาตมาไม่ได้ไปช่วยแปล
ก็ตามที่คุณแปลจากพระบาลีนี่แหละอาตมาก็ทำได้ตามคำแปลของคุณ ตามที่พระบาลียืนยัน
ถ้าหากมนุษยชาติในยุคนี้สมัยนี้ทำได้ สาราณียธรรม 6 เราก็ทำได้ทำให้คนมีวรรณะ 9
เราก็ทำได้นี่มันยอดใช่ไหม
ให้คนมาเลี้ยงง่าย
พวกเราสบาย เลี้ยงไม่ยากเย็นอะไรไม่เหมือนกับทางโลกเขาเลย ทำให้เจริญให้พัฒนา
ถึงเวลาก็มานั่งฟังธรรม ถึงเวลาก็ไปทำงานทำอย่างอื่น ติวธรรมะกัน สุโปสะ
ไม่เอาเวลาไปติวเรื่องโลกนักหนา ทำบ้าง แต่อันนี้เป็นแกนหลักก็รู้แล้ว สุโปสะ
เจริญได้ดี
และเป็นคนมาจน
มามักน้อย อัปปิจฉะ ทำจริงไม่ได้ทำเพราะถูกหลอกล่อลวงและเล็มเลียบเคียง
แต่มาด้วยปัญญาด้วยความเฉลียวฉลาดของแต่ละคน
ที่แต่ละคนเห็นจริงว่าต้องมาเป็นอย่างนี้ แล้วมาจนอย่างนี้มันประหลาดนะ
คนในยุคนี้ก็ตาม บอกว่ามาจนไม่เอา มันเป็นเรื่องประหลาดจริงๆนะ มีไหมคนอยากมาจน
แล้วอาตมาก็ยืนยันว่า ไม่ใช่แต่ว่าอาตมาพูดอันนี้
อาตมาโชคยังดีในยุคนี้เกิดมามีพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่
9 ได้ตรัสอย่างเดียวกับอาตมาพูด และอาตมาพูดอย่างเดียวกับที่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่
9 ตรัส แล้วก็ตรงกับที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส
มันก็เลยอาตมาก็เลยค่อยยังชั่วขึ้นหน่อย
ถ้าหากอาตมาจะมาพูดแต่เรื่องความจนเขาด่าอาตมาเละเลยนะถ้าไม่มีพระเจ้าอยู่หัวตรัส
ถึงแม้จะมีในพระไตรปิฎก เขาก็จะฟังไม่เป็น แต่เมื่อในหลวงรัชกาลที่ 9 ตรัส
เรื่องแบบคนจน ต้องมาเอาแบบคนจน ต้องมาขาดทุนจึงถูกต้อง ขาดทุนของเราคือกำไรของเรา
มันก็สอดคล้องและไปด้วยกันตามที่อาตมาพูดแล้วพาให้พวกเราปฏิบัติบำเพ็ญอย่างนี้แล้วปฏิบัติได้ด้วย
ทำได้ด้วยเป็นคนจนแล้วทำอะไรได้ด้วย มันก็เลยพิสูจน์ความจริงว่า
ธรรมะพระพุทธเจ้านั้น มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบอยู่ตราบใด โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์
อาตมาก็ยืนยันว่า นี่แหละสังคมมนุษย์ที่มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
โลกไม่ว่างจากพระอรหันต์ ที่นี่มีพระอรหันต์ เขาก็ฟังไม่ขึ้นอีก
ก็ยังงงๆว่าพระอรหันต์จะมีอย่างนี้หรือ
อรหันต์จะต้องอย่างพระป่านั่งหลับตาไม่เอาลาภยศสรรเสริญโลกียสุข
คนที่ไม่เอาลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ชนิดที่พาซื่อ
แล้วก็ไม่มีปัญญารู้ว่าเราไม่เอาลาภ มันมีปฏิภาณปัญญา
เราไม่เอาแต่เรามีเราได้
ดีไม่ดีมีคนไหลเวียนมาให้เยอะแล้วเราก็สะพัดไป แต่เราไม่ได้ติดยึดไม่ได้สะสม
เป็นสภาวะที่รู้ได้ยากจริงๆหากไม่มีสภาวะจริง
แต่จะทำเป็นรูปธรรมเดี่ยวๆว่าฉันไม่เอา หรือจะเกี่ยวข้องแต่แสดงได้เจ๋งอย่างมหาบัว
เรี่ยไรได้เยอะ ได้ทองคำมากมายเข้ากองคลัง รับรองว่าข้านี้บริสุทธิ์
ไม่มีอะไรผิดพลาด ตัวเองไม่เกี่ยวเลยแม้แต่บาทเดียว พูดเต็มที่ซะแล้วก็ทำยิ่งใหญ่
อาตมาทำอย่างนั้นบ้างแต่ก็โก้ดีนะ
คนก็ไม่เชื่อ
แล้วพวกมาจนอย่างโพธิรักษ์ก็มีนะ แล้วบอกว่าอาตมามากอบโกยเรี่ยรายสะสมไม่ได้
ซึ่งมันก็ไม่มี มันจะมีที่บอกว่ามันบอกว่า มันจนแต่ทำไมมีอะไรเยอะแยะ
เราก็ไม่ได้ไปเรี่ยไร เราทำด้วยเรี่ยวแรง และอาตมาก็มีการกันไว้ด้วย
อาตมาไม่รับเงินทองจากคนนอกที่ไม่ใช่ชาวสมาชิกชาวอโศก
เพราะฉะนั้นเงินเราเป็น
GDP เป็นเงินโดเมสติกของพวกเราภายในจริงๆเลย
ไม่เอาเงินคนข้างนอกมาเป็นสมบัติของพวกเรา
เรายังจะพยายามขายให้ต่ำกว่าทุนให้ถูกกว่าอีก ที่เราทำได้เพราะ
1.เราไม่ได้คิดค่าแรง 2.ไม่ได้คิดกำไร และ 3. เราเจตนาให้มันถูกที่สุดเท่าที่เราจะถูกได้
ของของเราราคาต่ำกว่าทุนเด็ดขาดเลยทั้งนั้น แม้ว่าจะดูราคาแพงก็ตามแต่
แต่ค่าองค์รวมแล้วไม่ได้แพงกว่าสังคม แล้วไม่มีเจตนาเอาให้แพงด้วย
แล้วที่เราไม่ได้ทำเป็นมาหลายปีก็คือตลาดอาริยะ
ถ้าได้ทำก็ดี อยากจะทำก็ไม่มีโอกาส แต่มันก็น่าจะมีโอกาสในภายภาคหน้าที่จะทำได้
คงจะสนุกน่าดูเลย ก็ต้องว่าไปตามเหตุปัจจัย
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
ระงับกายสังขาร ระงับจิตสังขาร ในอานาปานสติสูตร
สมณะเดินดิน... คนเข้าใจว่า
เป็นอรหันต์แล้วต้องหยุดนิ่งไม่ทำอะไร เขาบอกว่าพวกปฏิบัติธรรมะทำงานได้ด้วยหรือ
เขาเข้าใจว่าต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับใคร แต่เขาไม่เข้าใจว่าอริยสัจ ข้อที่ 3 คือ
ทุกข์นิโรธคามินีปฏิปทา คือดับทุกข์ได้แล้ว ก็มาทำงานรับใช้ผู้อื่น
ทำงานเหมือนชาวบ้านเขา
พ่อครูว่า...
เป็นเรื่องลึกซึ้งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น คัมภีรา
(ลึกซึ้ง) ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก) ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก) สันตา
(สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) . ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ
ไม่ข้ามขั้น) อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้) นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)
ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) (พตปฎ.
เล่ม 9 ข้อ 34)
อันนี้ยิ่งใหญ่มากเลย
เป็นธรรมะที่ลึกซึ้ง คนธรรมดารู้ไม่ได้ อาตมาเอาโลกุตรธรรม พระพุทธเจ้ามาประกาศ
มันลึกซึ้ง แต่มันยุคเสื่อม หากไม่เสื่อมคนก็จะมามาก ประกาศไปคนก็มามาก
แต่นี่มันยืนยันว่า ยาก เห็นตามได้ยาก รู้ตามได้ยาก บรรลุตามได้ยาก
แล้วมันสงบระงับ
ความสงบระงับนี่แหละ
กายสังขารังปัสสัมภยัง ความสงบระงับทางกาย ขอขยายความตรงนี้ในอานาปานสติ
อานาปานสติไปนั่งหลับตาแล้วไม่มีกาย
แต่ อานาปานสติ ที่บอกว่า ปัสสัมภยังกายสังขารัง แล้วก็มี ทำความสงบระงับของจิตต่อ
ทีนี้คำว่ากาย ท่านก็อธิบายว่า ข้างนอกทั้งหมดคือ กาย
หยาบเท่าไหร่ก็เป็นกายเท่านั้นแต่ต้องมีจิตร่วมด้วยเสมอ
จึงเป็นคำที่ลึกซึ้งที่สุดที่ให้อุปัชฌาย์สอนให้ลูกศิษย์สัทธิวิหาริก
ปฏิบัติสังโยชน์ 10 ก็ให้ก็
ฟรู้จัก
กาย อย่างสัมมาทิฏฐิให้ได้ ถ้าไม่สามารถที่จะไม่รู้ว่า กายนี้คือจิต
กายตถาคตเรียกว่า จิต มโน วิญญาณ แต่ถ้าเข้าใจว่า กาย คือร่างสรีระไม่มีจิตเลย มันเป็นมิจฉาทิฏฐิ
100%
ฟังที่อาตมาพูดหากคุณไปนึกว่า
กายคือร่างกายสรีระ 100% ไม่มีจิตเกี่ยวข้องเลยคุณเป็นมิจฉาทิฏฐิ 100%
กายต้องเป็นจิตด้วย กายตถาคตเรียกว่า จิต มโน วิญญาณ พระไตรปิฎก เล่ม 16 ข้อ 230
อย่างนี้เป็นต้น
ถ้าคุณไม่ชัดเจนไปฟังคำตรัสพระพุทธเจ้าอันนี้คุณก็หัวหมุนตาย
ทำไม กายตถาคตเรียกว่า จิต มโน วิญญาณ ถ้าคนไปเข้าใจว่า กาย คือสรีระดินน้ำไฟลมเท่านั้น
คุณจะงงหัวแตกเลย
อาตมามาฟื้น
แม้แค่คำว่ากายต้องมาเน้นที่จิต มโน วิญญาณ แต่ก็ต้องมีภายนอกด้วย
อันนี้เป็นสิริมหามายา คำคู่ที่แยกไม่ได้ แต่ต้องรู้ว่าเน้นอะไร
มันเสื่อมไปแล้วศาสนาพุทธ หมดแล้ว
จะบอกว่าไปพิจารณากายในกายตามสติปัฏฐาน
4 ซึ่งเป็นข้อแรกของโลกุตรธรรม 37 เริ่มข้อแรกคือพิจารณากายในกาย
เมื่อคุณเข้าใจกายผิด จะพิจารณากายในกายอย่างไรก็พิจารณาไม่ออก ถ้าคุณเข้าใจว่า
กายคือข้างนอก แล้วมันจะเข้าใจเข้าไปข้างในอย่างไร
ก็กายคือดินน้ำไฟลม
แล้วกายในกายจะเป็นอย่างไร เขาจะตื้อ เขาจะเข้าไปหาจิตอย่างไรเพราะกายไม่ใช่จิต
เอากายไปยัดไว้ในจิตได้อย่างไร ซึ่งเอาพยัญชนะมาอธิบายจะดูตลก แล้วมันยากนะ
มันยากมากๆเลย
เป็นเรื่องที่
คำว่า สันตา แปลว่าสงบนะ
ปัสสัมภยังกายสังขารัง
ทำความสงบให้แก่กายสังขารคือการปรุงแต่งของกาย ก็จะต้องเข้าใจว่า กาย
หมายถึงกิเลสที่อยู่กับจิตแล้วเกี่ยวกับจิตที่ยังสัมพันธ์กับภายนอก
เช่นสัมพันธ์กับคนกับสัตว์กับวัตถุกับดินน้ำไฟลมอยู่ข้างนอก
แล้วเราก็เกิดกิเลสอยู่ เราก็ทำกิเลสนั้นให้ลดละจางคลายสงบลงให้ได้
การปฏิบัติถ้าคุณไม่สัมผัสกับคนกับสัตว์
ไม่สัมผัสกับดินน้ำไฟลมกับพืชพันธุ์ธัญญาหาร คุณจะทำกาย ปัสสัมภยังกายสังขารัง
ได้อย่างไรในอานาปานสติสูตร เห็นไหม คุณจะเอาแต่ลมหายใจเข้าออกแล้วทำให้สงบระงับ
แล้วคุณก็ไปเล่นความสงบระงับพาซื่อว่าลมหายใจเบาลงเรื่อยๆ จนกระทั่งหยุดเปล่า
หนักเข้าก็หยุดลมหายใจเลยนี่แหละสมถะตายเลย มันก็ตลกซึ่งมันไม่ใช่เลยเห็นไหม
ปัสสัมภยังกายสังขารังต้องลดกิเลสที่เกี่ยวกับภายนอก
กามาวจร กามภพ ให้หมด แล้วก็ทำกับกิเลสที่เหลือต่อไปคุณไม่มีทางเลือกหรอก
เมื่อทำกิเลสทาง กายภายนอกหมดแล้วสงบระงับแล้ว
มันก็จะมีเหลืออยู่ที่จิตเท่านั้นเอง คุณก็ต้องทำที่จิตคือ ปัสสัมภยังจิตสังขารัง
เป็นลำดับลำดา
แต่นี่กายยังกินหมากปากเปรอะ
กิเลสอบายขั้นต้นหยาบก็ยังไม่รู้เลยแล้วจะบอกว่าหลับตาแล้วเป็นอรหันต์
แม้กายสงบก็ไม่ต้องหลับตา หากว่าปฏิบัติรู้จัก กาย ก็จะรู้ว่า
ไม่มีกิเลสกับสิ่งหยาบ หมากพลูบุหรี่พวกนี้ไม่ติดแล้วไม่ข้องแวะแล้ว
แต่นี่ไม่รู้เลย ตายไปแล้วก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองติด
คุณว่าตายไปจะมีคนเอาหมากพลูบุหรี่ใส่ไปด้วยไหมในโลง (น่าจะมี)
ที่พูดอย่างนี้
เอามาหาบัวมาเป็นตัวอย่าง เพื่อยืนยันให้รู้ว่าตื่นเสียที
อย่าไปหลงในสิ่งที่ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งที่ใช่ ความสงบระงับละเอียดลออ สงบคืออะไร
คือรู้จักตัวกิเลสที่เกี่ยวกับกายภายนอกก่อน ก็ระงับได้ กำจัดได้ ทำให้ดับได้
แล้วก็มาทำต่อ เหลือจิต คุณก็มาทำให้จิตสงบต่อ หมดในรูปภพ อรูปภพ
อุปกิเลสที่เหลือต่อจนหมดเกลี้ยง
คุณก็เป็นอรหันต์นี่พูดอย่างเป็นลำดับลำดาอย่างแท้จริงเลยนะ
ต้องใช้สำนวนภาษาของมหาบัวเป็นลำดับลำดา ถูกต้อง
แต่นี่ไม่รู้จักความลำดับลำดา
แต่ตัวเองพูดอย่างสวยเลยว่าลำดับลำดา ซึ่งมันไม่ลำดับลำดาหรอก แต่มันลำดับลำดื้อ
ลำดับลำด้วน ไม่ไปไม่มา
อธิบายธรรมะวิเคราะห์วิจัยพูดถึงเนื้อ
พูดถึงสาระธรรมะด้วย คนที่เขาไปหลงผิดยึดผิดก็วิจัยวิจารณ์ไป ตำหนิไป
คนที่ทำถูกแล้วก็ว่าไป แล้วก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
สิ่งที่ถูกมันก็มีแต่พวกเราก็ต้องยกพวกเรา ยกมากก็ไม่ดี สิ่งที่ผิดก็เป็นที่เขา
เราไปพูดสิ่งผิดก็เลยต้อ.งผิดที่เขานั่นแหละมาก พอมากเข้า ก็บอกทำไมว่าแต่เขา
สมณะเดินดินว่า...
สรุปจบ

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น