วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

640707_พุทธศาสนาตามภูมิ - ความเสื่อม 4 ประการของศาสนาพุทธในยุคนี้

 รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ความเสื่อม 4 ประการของศาสนาพุทธในยุคนี้ 
วันพุธที่7 กรกฎาคม  2564

ณ บวรราชธานีอโศก











ชมวิดีโอได้ที่นี่
ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่นี่


สมณะฟ้าไท…วันนี้วันพุธที่ 7 กรกฎาคม 2564 แรม 13 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้สถานการณ์โควิด 19 ก็ไม่ได้ลดหย่อน มีแต่จะเพิ่มขึ้น มีสายพันธุ์ เดลต้า แลมด้า (พ่อครูบอกอีกหน่อยคงมีมาม่าจากญี่ปุ่น) ตอนนี้แค่เดินผ่านกันก็ติดเชื้อได้แล้ว การช่วยเหลือสังคมที่ดีที่สุดคือการไม่ออกจากบ้าน ไม่ไปรับเชื้อโควิด

พ่อครูว่า... วันนี้บนโต๊ะมีผลไม้เหลืองอร่าม ถ้าเผื่อว่าไม่บอกทางบ้านจะไม่รู้ คล้ายๆมะไฟ แต่ลูกนี้คือลูกอินทผาลัม เป็นอินทผาลัมที่ปลูกที่บ้านราชฯ อยู่ข้างๆศาลาเฮือนศูนย์สูญนี้เลย และมีมะนาวลูกโตเท่ากำปั้น จากบ้านนายภูเขาเพชร นี่คือผลหมากรากไม้ ใบไม้ ดอกไม้ที่มนุษย์ต้องอาศัยรับประทาน เป็นอาหารของชีวิตที่สำคัญ อาหารเป็นหนึ่งในโลก พวกเราก็เข้าใจและพยายามทำกันให้ดีให้มากๆ ถ้าสามารถทำได้อุดมสมบูรณ์จนสามารถไล่แจกเขาได้เลยไม่ต้องขาย ใครมาเราก็แจกให้ ตัดกองไว้หน้าร้าน ใครมาถึงก่อนได้ก่อนแจกตามควร แจกให้ได้รับประทานกัน ลองคิดดูถ้าเป็นไปได้มันจะสนุกขนาดไหนในชีวิต แจกพืชผักผลไม้

สู่แดนธรรม... ต่อไปคงมีการขอแรงห่อพริกเกลือ แจกคู่กับผลไม้ กินคู่กันครับ

พ่อครูว่า... จะเอาขนาดนั้นเลยหรือจะเมื่อยไปหน่อยละมั๊ง ไปมอมเมาเขาล่ะ พูดถึงพริกเกลือ อาตมานึกถึงตอนที่ตัวเองยังเด็กๆ เรียนอยู่ที่พิบูลมังสาหาร ตอนประมาณ ม.3 ม.4 อยู่วัดกลาง อาตมาไปโรงเรียนต้องห่อพริกเกลือไปด้วย เมื่อครูสอนหันหน้าเข้ากระดาน เราก็แอบปีนลงหน้าต่างไปในวัด ซึ่งเป็นโรงเรียนอยู่ในวัด สวนในวัดมีต้นกล้วยเยอะ เราก็ไปตัดลูกกล้วยอ่อนจิ้มพริกเกลือ มันอร่อยจริงๆ ได้แอบออกจากห้องเรียนแล้วขโมยตัดกล้วยอ่อน ของวัด นั่งจิ้มเกลือกิน โอ้โห มันอร่อยรู้สึกว่ามีรสชาติวิเศษเหลือเกิน ทำไมคนเราทำชั่วมันมันส์อย่างนี้ล่ะนะ นึกถึงตอนเด็กๆ มันสนุกอย่างนั้นจริง มันตื่นเต้นมันสนุกได้ผจญภัยดี ครูจับได้โดนตีตามเรื่อง คนเราสารพัดแต่ละคนมีประวัติชีวิต มีบุพเพนิวาสานุสติญาณ เล่าสู่กันฟัง

ชีวิตถ้าไม่รู้จักความจริงก็จะสุขๆทุกข์ๆ ไม่รู้จักความสุขความทุกข์ที่เป็นความจริงก็จะเป็นอย่างนี้

 

SMS วันที่ 5-6 ก.ค. 2564

_เวียงทอง นุ่นภักดี : กราบพ่อครูเจ้าค่ะ หนูพอจะมีวิบากดี อยู่บ้างที่มีโอกาสได้ฟังธรรมพุทธแท้อย่างนี้ ติดตามฟังเป็นประจำ หัดอ่านกิเลสและไม่เชื่อกิเลสง่ายๆค่ะ แม้จะยากมากทำได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่จะพยายามเต็มที่เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... ดีแล้วขบถ ต่อกิเลสนั้นดีแล้ว อย่าไปเชื่อมันง่ายๆ

 

_จรรยา อิ่มประเสริฐ : โจทย์ทุกโจทย์เหมาะกับเรา เพราะเราทำมา ไม่ว่าหนักเบาเราทำมาเองทั้งนั้น / คุณจำลองนี่แหละพ่อบอกได้อรหันต์แน่นอนแล้ว สาธุ

พ่อครูว่า...คุณจำลองฟังไว้ คนอื่นเขามองออก แต่คุณเองมองตัวเองไม่ออก

 

เศรษฐกิจสุดยอดคือรับและให้อย่างไร้อัตตา

_คอยใคร : บางคนสมบัติในวันนี้ที่ได้รับ ได้มาแล้วอาจไม่ได้เอาไปใช้แต่อาจเพียงแค่รับมาเฉยๆ ผมคิดแบบนี้ผิดไหมครับ

พ่อครูว่า...คำว่าสมบัติของคุณกินความเท่าไรแค่ไหน ซึ่งคิดแบบนี้ก็ไม่ผิด และมันก็เป็นความจริงด้วย ในความจริงที่ลึกซึ้ง สมบัติบางคนที่ได้รับมา อย่างเช่น อาตมาได้รับเงินมาที่พวกเราให้มา บริจาคมา ซึ่งต้องเป็นสมาชิกชาวอโศกซึ่งจะบริจาคเงินได้ คนที่ยังไม่ได้มาคบคุ้นรู้จักชาวอโศก อย่างน้อยมาวัด 7 ครั้ง อ่านหนังสือ 7 เล่ม ไม่ทำความรู้จักกันจริงจังก็จะไม่รับบริจาคจากพวกเขา นี่เป็นมาตรการของชาวอโศก ชาวอโศกไม่ได้ไปวุ่นวายรบกวนเงินภายนอกชาวอโศก ที่เป็นเงินของคนอื่น

เพราะฉะนั้นไม่ได้รบกวนใครเลย เป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อนว่าชาวอโศกเราเป็นผู้ที่มีเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจสุดยอดแล้ว พึ่งตนเองได้อย่างลึกซึ้ง เงินทองข้าวของเกื้อกูลในหมู่เราเองและสะพัดไปสู่ภายนอก แต่พวกเราไม่ไปเบียดเบียนเอาของคนอื่นที่นอกบารมีในหมู่กลุ่มชาวอโศกไม่ไปสร้างวิบาก มีแต่การเกื้อกูลกันเพราะว่ารู้กันแล้ว ก็จะไม่เป็นหนี้สินไม่เป็นวิบากหนักเหมือนอย่างชาวข้างนอกเขา

อาตมาเอาของพระพุทธเจ้ามาพาพวกเราทำได้ ไม่ได้ไปเบียดเบียนข้างนอกเลย มีแต่ให้ภายนอกเขา เราอยู่ภายในไม่เบียดเบียนภายนอกเขา นี่เป็นเศรษฐศาสตร์ที่โลกทั้งโลกยังไม่รู้ ประเทศไทยก็ไม่ได้รู้ว่าชาวอโศกเป็นนักเศรษฐศาสตร์ระดับไหน ชาวอโศกมีความเบียดเบียนน้อย มีแต่ทำประโยชน์ให้กับคนไทย ซึ่งเรายังไม่เก่งกับต่างประเทศไม่ได้สะพัดไปต่างประเทศ เพราะพวกเราไม่ได้เป็นวงการทุนนิยมที่เป็นองค์กรใหญ่ ค้าขายกับต่างประเทศ ไม่ถึงขนาดนั้น เป็นคนที่เศรษฐศาสตร์สุดยอด มันไม่เบียดเบียนคนอื่น อยู่ในหมู่กลุ่มเราเองที่เต็มใจจะเผื่อแผ่กันอย่างถูกๆ ไม่ใช่มานั่งเอาเปรียบกัน ไม่ใช่

เพราะฉะนั้นแม้แต่พวกเรา เราออกไปข้างนอกก็ไม่ได้ซื้อหาอะไรเละเทะ ซื้อในสิ่งที่จำเป็น อย่างอื่นเราก็หากินหาใช้เองแล้วก็จำกัดเขตของพวกเราว่า เรามีเท่านี้พอ เราใช้เท่านี้ก็พอ เป็นเศรษฐศาสตร์ที่ไม่หนัก ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่มีวิบาก ยิ่งเล็กยิ่งน้อย ยกตัวอย่างอาตมารับเงินมาจากที่เขาบริจาค ก็ไม่ได้เคยมาใช้ส่วนตัว อาตมารับมาเฉยๆแล้วเอาเข้ากองกลางไปใช้สะพัดให้คนอื่น อาตมาเคยพูดมานานหลายปีแล้ว แม้แต่ว่าตัวเองจะหิวหนักๆจนจะตายจะต้องใช้เงินซื้อกิน ก็ไม่กิน ถ้าไม่มีใครเอาอาหารมาประเคนมาถวายให้ฉัน จะเจ็บป่วยจะตายแล้วไม่มีใครเอาเงินรักษาก็ปล่อยให้ตายเลย แต่จะให้เอาเงินที่บริจาคมาใช้สำหรับส่วนตัวมันน่าละอาย ซึ่งเราจะไม่ทำเลย อันนี้เป็นเรื่องเคร่งครัดของอาตมาเองและอาตมาจะรู้อันนี้ อาตมาทำได้จนถึงทุกวันนี้ทำได้อย่างไม่มีตัวตน อันนี้เป็นการแสดงออกถึงความไม่มีตัวตนได้ละเอียดสูงสุด

 

อรหันต์แบบมหาบัวกับอรหันต์แบบโพธิรักษ์ ต่างกัน

_ประจักษ์ ทุมไมล์ : หลวงพ่อโพธิรักษ์ประกาศตนอายุขัย 140 ปี  อันนี้ถ้าเป็นจริงก็น่าโมทนา    แต่ถ้าไม่จริงลูกศิษย์จะตอบว่าอย่างไร

พ่อครูว่า...อาตมาไม่ได้กำหนดว่าจะอายุเท่านั้นเท่านี้เป๊ะๆ แต่เขียนตัวเลขไว้ห่างๆไกลๆ 151 คุณก็ลดลงมาเหลือ 140 ให้ อาตมาเคยพูดว่าลดลงมาถึง 120 หรือ 100 ก็แล้วแต่ อาตมาจะพากเพียรขยายอายุขัยให้นานที่สุดไม่รู้จะนานได้ขนาดไหน

พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับพระอานนท์ว่าเราจะอายุขัยเกินกว่า 100 หรือ 100 ได้ แต่เราปลงอายุสังขารแล้ว อายุ 80 ก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน

อาตมายังไม่เก่งเท่าพระพุทธเจ้าก็ได้แต่ประมาณ ถ้าหากบอกว่า 140 ปีและเป็นจริงไม่ได้ตามนั้น เป็นอย่างไร เป็นภาษาประกอบที่อธิบายสภาวะสัจธรรม ไม่ได้ยึดมั่นเป็นของเรา

_และที่กล่าวอ้างตนเป็นพระอรหันต์ไปกล่าวต่อว่าหลวงตา มหาบัวเป็นสมาธิหัวตอนั่งหลับตา ไม่ใช่พระอรหันต์แค่หลงในสมถะ  ที่พ่อโพธิรักษ์กล่าว 2 ประเด็นนี้ถ้าเป็นจริงอย่างที่พ่อที่โพธิรักษ์กล่าวหาก็เสมอตัว ที่ว่าท่านเป็นพระอรหันต์

_แต่ถ้าไม่จริงอย่างโพธิรักษ์กล่าวหา หลวงตามีลูกศิษย์ทุกชนชั้นและมีหลากหลาย

พ่อครูว่า...สิ่งที่อาตมามีลูกศิษย์น้อยกว่ามหาบัว จริง แต่ธรรมดาคนโง่ก็จะมีมากกว่าคนฉลาด อาตมาจะสอนคนฉลาดแล้วจะมีคนรับธรรมะอาตมาได้จำนวนน้อย เช่นคุณประจักษ์ก็คงจะรับความรู้ที่อาตมาให้ได้ยาก ไม่มีปัญหา อาตมาก็เข้าใจความจริงอันนี้ดีอยู่ คุณประจักษ์

_ขนาดพระมหานิกายที่กล่าวจาบจ้วงตอนหลังก็ยังไม่กล้า เพราะกลัวถ้าท่านเป็นพระอรหันต์ นรกตามบัญญัติแน่นอน

พ่อครูว่า..ความเข้าใจของคุณว่าอาตมาไม่ใช่อรหันต์ มหาบัวเป็นอรหันต์ก็เป็นไปตามจริงก็ยอมรับตามภูมิของตน ไม่มีปัญหาหรอก ถ้าคุณเข้าใจว่ามหาบัวเป็นอรหันต์ คุณก็จะแสวงหาตามแบบมหาบัวก็จะได้อันนั้นเป็นที่สุดตามมหาบัวทำ แต่ถ้าคุณเข้าใจว่าอาตมาเป็นอรหันต์ คุณก็จะมาแสวงหาตามอาตมาก็จะได้อย่างนี้ สัจจะมันตรงๆ ไม่มีอะไรจะทะเลาะวิวาทกันด้วย  และมันก็เป็นจริงอย่างนั้น ไม่ได้ไปข่มแบ่งอะไรกัน ใครจะเอายังไงก็เอาอย่างนั้น อาตมาเชื่อมั่นอย่างนี้เอาอย่างนี้

_ผมว่าโพธิรักษ์และหลวงตาบัวต้องถูก 1 และผิดแน่นอน แต่ดูแล้วก็เคยฟังคำโพธิรักษ์บ่อยตอนแรกก็รังเกียจพระพุทธรูป กลอนจีน ดอกไม้ธูปเทียน แต่วันนี้มีครบทั้งพระพุทธรูป นี่แค่พื้นฐานเบื้องต้นคิดว่าพระโพธิรักษ์ต้องลงนรกกับสิ่งที่อนุมานจ๊ะ แต่ถ้าผิดก็ขอลงนรกตามหลวงตาบัวนะจ๊ะขอรับ

พ่อครูว่า..ก็แล้วแต่เป็นไปตามจริง อาตมาไม่ได้เป็นผู้จัดสรรให้ใครลงนรกขึ้นสวรรค์ ก็วิจัยวิจารณ์ไปตามจริง ขอยืนยันได้ว่าคุณก็เป็นความเห็นของคุณอย่างหนึ่ง อาตมาก็เป็นความเห็นของอาตมาอย่างหนึ่ง พูดไปแล้วยืนยันแล้ว มันก็ต่างคนต่างเห็น เพราะฉะนั้นก็แสวงหากันไปตามทิฏฐิ มันไม่ได้แย่งกันแข่งกัน เป็นไปตามความเห็นของใครของใคร สมัครใจ แล้วก็วิจัยวิจารณ์กัน คุณวิจารณ์อาตมาเต็มที่เลย อาตมาก็วิจารณ์สำหรับคุณที่จะเหมาะจะวิจารณ์วิจัย อาตมาว่าคุณยังไม่ต้องวิจัยวิจารณ์มากหรอกเพราะว่าคุณยังไม่ใช่มหาบัว แต่ถ้าคุณไปทำผิดแบบมหาบัว อาตมาก็ต้องวิจัยวิจารณ์คุณเหมือนกัน แต่อันนี้ขออภัยคุณไม่มีอะไรให้อาตมาวิจัยวิจารณ์นัก ก็ไม่ได้ทำ  เพราะมันก็จะเสียเวลา

 

_กิ่งฟ้า ขันหล้า : กราบนมัสการค่ะท่านสิกขมาตุ ถ้าไม่เจอชาวอโศกคงทุกข์มากกว่านี้ค่ะ แต่โชคดีที่เจอชาวอโศกและฝากลูกสาวไปเรียนที่สันติอโศกได้..ยุคนี้ปลอดภัยที่สุดและทุกข์ลดลง..ถ้าลูกเรียนข้างนอก คงทุกข์มากอีกหลายเท่าค่ะ

 

ตนเป็นอนาคามีหรือไม่ในหมู่อโศกอนาคามี

_ลูกไกลพ่อ : สถานการณ์ของโลก ขณะนี้ถือว่าค่อนข้างวิกฤตสำหรับโลกียชนที่ได้รับความเดือดร้อนโดยทั่วกันและทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ  ในด้านกลับกันก็เป็นโอกาสของโลกเช่นเดียวกันที่มีตัวหยุดยั้งความเจริญที่สร้างหายนะให้โลกเช่นกัน เพราะความโลภ ความไม่รู้ของสัตว์โลก ทำให้ได้เห็นลำแสงความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา กำลังฉายชัดขึ้นตามคำสอนของพระพุทธองค์  กำลังผุดภาพขึ้นมาให้เห็นชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ  โดยเฉพาะสิ่งที่พ่อท่านพาชาวอโศกปฏิบัติกันมา  ค่อยๆฉายภาพชัดเจนขึ้นว่าศาสนาของพระพุทธเจ้า ถ้านำมาปฏิบัติอย่างถูกต้อง  สามารถกู้วิกฤตแห่งหายนะนั้นได้แน่นอน  และสามารถช่วยผู้อื่นได้ด้วย  อย่างที่ชาวอโศกได้ทำอยู่เป็นแสงส่องให้ผู้คนได้เห็นภาพเป็นแบบอย่างชัดเจน

พ่อครูว่า... อาตมาว่าจริง แต่เรายังไม่เปิด ก็เลยไม่เห็น แต่ถึงจะเปิดอย่างไรก็คงไม่ได้มามากมาย เพราะว่ามันเป็นความยาก

_แต่มีชาวอโศกจำนวนหนึ่งที่หลงอัตตาตนเอง  หลงความรู้ว่า การได้ฟังแล้ว เหมือนกับคนอื่นก็คือได้แล้ว  ยังไม่มีปัญญาเข้าถึงการปฏิบัติว่าการได้แล้วคืออะไร  ก็เลยไม่ยอมทำตามหมู่มาก  ที่เขาได้ลดอัตตายอมทำตามกันไปทั้ง ๆที่อาจไม่ถูกใจ  แต่เพื่อให้หมู่ได้ก้าว เดินไปด้วยความราบรื่น  ก็ต้องตามไป เพราะเราเลือกเข้ามาอยู่ในหมู่นี้เอง  ก็คือตามพ่อและหมู่สมณะไปอย่างไม่ลังเล

อย่างนี้ เรียกว่า เป็นตัว “ถ่วง”ความเจริญของหมู่ที่กำลังก้าวไปหรือไม่ เป็นวิบากหรือไม่ น้ำหนักบาปขนาดไหน

หรือสิ่งที่ลูกๆทะเลาะกันไม่ยอมกันนี้ เป็นวิบากของพ่อครูที่ต้องมีลูกๆแบบนี้คอยฉุดรั้งให้เหนื่อยมากขึ้น  การเผยแพร่ศาสนาของพระพุทธเจ้าก็ไปได้ช้ากว่าที่ควรจะเป็น  เพราะมีมือมาปิดลำแสงไม่ให้ส่องสว่างได้ไกล

หรือนี้เป็นวิบากร่วมของชาวอโศกที่ต้องเกิดเช่นนี้ 

หรือทุกคนคิดว่าพ่อท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว  รับได้ทุกสภาพโดยไม่มีผลกระทบทางจิตใจ ไม่เสียพลังงาน คิดแบบนี้ใจดำไปไหม?????

                                                กราบนมัสการด้วยความเคารพ

                                                                             ลูกไกลพ่อ

 

พ่อครูว่า... ค่าเฉลี่ยชุมชนชาวอโศก อาตมาเคยพูดว่าเป็นชุมชนอนาคามีขึ้นไป แต่คุณเองคุณได้อนาคามีหรือเปล่า คุณอาจจะรู้ถึงขั้นอรหันต์ถึงโพธิสัตว์เลย แต่ความจริงคุณได้ภูมิธรรมเท่าค่าเฉลี่ยของหมู่หรือไม่ คิดดีๆสอนดีๆลึกซึ้งดีๆ อย่าอวดดีกับหมู่เกินไป หมู่ชาวอโศกไม่ใช่ของขี้ไก่นะ ทองแท้ไม่ใช่ขี้ไก่

คนไหนยอมตามหมู่ได้แสดงถึงคนนี้เป็นอนาคาริกชน เป็นคนในหมู่อนาคาริกชน เป็นคนที่ไม่มีตัวไม่มีตน เอาหมู่เป็นตน เป็นคนที่มีคุณสมบัติสูงเข้าขั้นอนาคามีกลายๆ เอาอะไรเทียบกับหมู่ไปเทียบอะไรอื่นๆไปตามมาตรวัด แต่ไม่ได้หมายความว่า คุณเป็นอนาคามีแล้วหรือใกล้แล้ว

เรื่องนี้เป็นปัญหาในชาวอโศกขณะนี้ เป็นผู้ที่เห็นแก่เงิน เห็นแก่ได้อยู่ในนี้ ซึ่งเราก็อาจจะถึงขั้นให้ออกไปจากหมู่บ้านนี้ไป ถ้าจะเข้ามาอยู่ในนี้ ลักษณะเป็นลูกจ้างก็ได้ แต่เราจะให้อยู่หรือให้ออกก็ได้ เป็นคนที่หลงเงินทองขนาดหนัก อยู่มานานแล้ว ทำไมถึงได้อวิชชา ถ้าพูดเป็นภาษาไทยก็คือทำไมโง่ขนาดหนัก อยู่กันนานแล้วทำไมเห็นแก่เงินทอง ลาภยศอะไรขนาดนั้น กิเลสหนาอะไรขนาดนั้น ก็รู้ตัวเถอะ กระทบใครที่เป็นอย่างนี้ก็ให้รู้ตัวให้ดีซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสังเวชใจ เข้ามาอยู่ในหมู่แล้วน่าจะได้คุณธรรม ละอัตตาตัวตน ลดละความโลภโกรธหลง แค่เงินทองข้าวของในหมู่ชาวอโศกขี้หมูมากแล้ว แต่นี่ยังหน้าแดงหน้าเขียว เป็นคนหลงเงินทองหน้าเลือดอยู่ในนี้ น่าสงสารจริงๆ

คนที่เป็นอย่างนี้ก็มีวิบากแน่ เป็นตัวถ่วงหรือก้าวไปมองได้ 2 นัย  เช่นเหมือนพระเทวทัต เป็นตัวอย่างอย่างให้แก่หมู่ให้แก่สงฆ์  เป็นตัวอย่างนั้นซึ่งเราก็ไม่เอาแน่นอนอย่างนั้น ก็เป็นได้ มองได้เป็น 2 นัย เป็นตัวอย่างก็ได้ เป็นตัวถ่วงก็ได้

คนนี้เข้าใจ อาตมาเหนื่อยจริงๆ เหนื่อยกับคนพวกนี้ ก็มองไปในแง่ว่าเป็นตัวอย่างให้ได้เรียนรู้ไปเร็วก็ได้

เรื่องนี้เป็นวิบากร่วมของชาวอโศก หรือที่บอกว่า “หรือทุกคนคิดว่าพ่อท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว  รับได้ทุกสภาพโดยไม่มีผลกระทบทางจิตใจ ไม่เสียพลังงาน คิดแบบนี้ใจดำไปไหม?..”

ก็ใจดำอยู่พอสมควร  มันก็เป็นผลกระทบกับอาตมา อาตมาก็ต้องรับรู้ต้องจัดสรร จัดสรรไม่ได้ก็ให้หมู่ช่วยจัดสรรอย่างนี้เป็นต้น ก็ต้องเสียพลังงานแน่นอน คิดแบบนี้ใจดำ ต้องช่วยกันคิดช่วยกันทำจึงจะไม่ใจดำ ดีแล้วถูกแล้ว

 

ความเสื่อม 4 ประการของศาสนาพุทธในยุคนี้

พ่อครูว่า... เราเอา อัมพัฏฐสูตร มาพูดเรื่องความเสื่อมของศาสนาพุทธ ที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ตั้งแต่ตอนยังมีพระชนม์ชีพ ตอนตรัสรู้และเผยแพร่ศาสนาไม่นานนักได้พบกับ อัมพัฏฐมานพ ได้พูดคุยกัน อัมพัฏฐะก็เบ่งขี้แตกเลย คือเขาบอกว่าเขาเป็นผู้ที่รู้วิชชา จรณะท่องบ่นสาธยายมา สอนคนอื่นบอกคนอื่นอยู่ เป็นอาจารย์อยู่ แล้วก็ไปดูหมิ่นพระพุทธเจ้า ตนเองเป็นพราหมณ์ ไปดูถูก พระพุทธเจ้า คือไปหาว่า พระพุทธเจ้า เป็นคฤหัสถ์ พระพุทธเจ้า มาบวชทีหลัง และเป็นตระกูลกษัตริย์มาด้วย ไม่ใช่เป็นตระกูลพราหมณ์ ถ้าเป็นตระกูลพราหมณ์จึงจะเป็นนักบวชแท้ เขายึดถือกันอย่างนั้นเลย พราหมณ์นี้เป็นลูกพระพรหม เกิดมาจากพระบาทของพระพรหมเลยต่อเนื่องกันมาหมดเลย ส่วนกษัตริย์นี้ไม่ใช่ลูกพระพรหม กษัตริย์เป็นลูกฆราวาส แม้มาบวชก็เป็นสมณะโล้น ไม่ใช่ลูกพระพรหม เพราะฉะนั้นจะเป็นเจ้าของจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ได้ วิชชาจรณะสมบัติ เพราะเป็นสมบัติของพระพรหมไม่ใช่เป็นสมบัติของกษัตริย์ ของฆราวาส ของผู้ที่ไม่ได้เกิดมาเป็นนักบวช จรณะสมบัติเป็นของพรามห์ของนักบวช มันซับซ้อนไปเป็นอย่างนั้นเลย

พระพุทธเจ้า ก็เลยไล่เรียงประวัติย้อนหลังสลับไปสลับมา สุดท้าย พระพุทธเจ้า ก็ตัดสินสุดท้ายว่า จรณะ 15 วิชชา 8 เป็นคุณธรรม ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตระกูลหรือเป็นนักบวชหรือเป็นฆราวาส แต่เป็นสมบัติลักษณะคุณธรรม ซึ่งใครเรียนรู้ใครปฏิบัติคนนั้นก็ได้จรณะ คนนั้นก็ได้วิชชา ไม่ใช่สิ่งที่จะไปยึดมั่นถือมั่นเป็นของตัวของตนคนเดียว ธรรมะเป็นของพระเจ้า ธรรมะเป็นของพระศาสดา ธรรมะอื่นไม่ใช่ของพระเจ้าไม่ใช่ของพระศาสดา พระเจ้าก็คือพระพรหม ซึ่งมันไม่ใช่อย่างที่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นของพระพรหมเท่านั้น

จริงๆแล้วอัมพัฏฐะ ได้ภาษา คำว่า จรณะ 15 วิชชา 8 เข้าใจรายละเอียดความหมายของบัญญัติภาษาดีอย่างไรก็แล้วแต่ แต่สภาวะจริง จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่ได้เข้าหาจรณะ 15 ไม่ได้มีวิชชา 8 จนถึง อาสวะสิ้น ไม่ได้เป็นสภาพนั้น ก็ต้องเอาสิ่งจริง จะเป็นใครก็แล้วแต่จะเป็นฆราวาสหรือเป็นนักบวช จะเป็นพราหมณ์หรือเป็นกษัตริย์ หรือเป็นตระกูลกษัตริย์กับตระกูลพราหมณ์เป็นคนละตระกูลก็ตาม สามารถที่จะเข้าถึงจรณะ เข้าถึงที่สุดแห่งวิชชา ที่สุดแห่งจรณะ15 คือเป็นฌาน ที่สุดแห่งวิชชาคือสิ้นอาสวะ

 

ฌาน สูงสุดที่สุดจบด้วย อุเบกขา หรือ มีคำไวยพจน์ว่า ไม่สุขไม่ทุกข์ อทุกขมสุข

อทุกขมสุข กับอุเบกขาไม่ใช่สิ่งเดียวกันต่างกัน ไม่เหมือนกัน ไม่สุขไม่ทุกข์เป็นเพียงการอ่านอารมณ์ แล้วคือการทำอารมณ์ ส่วนอุเบกขาไม่ใช่แค่การอ่านอารมณ์หรือทำอารมณ์ แต่ทำอารมณ์ให้ถึงอุเบกขา คือสภาพบริสุทธิ์จากกิเลส มีคุณสมบัติ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา นี่เป็นเนื้อแท้ของอุเบกขา

ส่วนความไม่สุขไม่ทุกข์เป็นความรู้สึกทางอารมณ์ เป็นได้ 2 นัยยะ

นัยยะที่มีความรู้สึกไม่สุขไม่ทุกข์ ก็ได้ สำหรับผู้ที่เป็นสัมมาทิฏฐิทั้งหมด เพราะฉะนั้นความไม่สุขไม่ทุกข์กับอุเบกขา จึงพอใช้เทียบกันได้ แต่ไม่เหมือนกันเด็ดขาด เพราะผู้ที่มิจฉาทิฏฐิ 100% ก็ทำความไม่สุขไม่ทุกข์ให้แก่ตนเองแบบสมถะได้ แต่ไม่ใช่ว่าไม่สุขไม่ทุกข์เพราะได้ฆ่ากิเลสตัวเหตุให้ตายสนิทไม่เกิดอีกเลย ไม่ใช่ เพราะเขาจะไม่รู้จัก

ศาสนาเทวนิยม หรือศาสนาที่ไม่ใช่พุทธ แยกกิเลสกับจิตออกจากกันไม่ได้ ไม่ได้เรียนรู้เรื่องกิเลส อย่างถึงที่สุด ผู้ที่เรียนรู้กิเลสถึงที่สุดแล้ว จึงจะถึงที่สุดเป็นอนัตตา ถึงที่สุดแห่งความไม่เหลือตัวตนแล้ว แม้แต่จิตวิญญาณจะไปอยู่กับพระเจ้าก็ไม่มี สุดท้ายทำให้จิตสลาย เป็นดินน้ำไฟลมไปเลย เป็นอุตุธาตุไปเลย

ศาสนาพระเจ้าไม่รู้จักเรื่อง การทำจิตให้สลาย จิตของตัวเองก็อยู่ไปนิรันดร เป็นธาตุรู้ที่ไปแตะต้องไม่ได้เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จะเป็นอย่างไรก็ต้องอยู่ในอาณัติของพระเจ้าหมด จำนน

เพราะฉะนั้นจิตวิญญาณหรืออัตตาของแต่ละคนๆ เป็นคนที่ไม่มีอิสระสัมบูรณ์ Absolute อย่างน้อยที่สุดคุณต้องเป็นทาสพระเจ้าอยู่ นั่นคือศาสนาพระเจ้า จะไม่มีอิสระ Absolute จะไม่มีอิสระสมบูรณ์สุด ไม่ถึงขั้นสมบูรณ์สุด ไม่ถึงขั้นเป็นจริงที่สุดที่เรียกว่า Axiom  ไม่สูงสุดไม่จริงสุด ความจริงที่สูงสุดเรียกว่า Axiom เป็นความจริงที่พ้นการพิสูจน์ จากความสูงสุดแล้ว หรือเป็นความจริงที่สูงสุด

ศาสนาพระพุทธเจ้าพิสูจน์ได้คือพิสูจน์ เทวฺ พิสูจน์ด้วยจรณะ 15 วิชชา 8 สูงสุดแล้ว สิ้นอาสวะ ถึงรู้จักความเป็นอนัตตาที่แท้จริง เลิกจากอัตภาพ สูญจากอัตภาพ สูญไปจากพระเจ้า ไม่มีพระเจ้าเป็นเจ้าของพิสูจน์ได้ชัดเจนอย่างนั้น ก็เพราะว่ามีหลักจรณะ 15 วิชชา 8 เป็นพุทธคุณ ที่ยิ่งใหญ่

เพราะฉะนั้นเนื้อแท้เป็นสมบัติของศาสนาพุทธแล้วก็คือ จรณะ 15 วิชชา 8 จึงเรียกว่าจรณะสมบัติ วิชชาสมบัติ เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธกับศาสนาพราหมณ์ก็เป็นศาสนาอันเดียวกัน แต่มันก็กลับไปกลับมาเท่านั้นเอง เมื่อถึงคราวเสื่อมก็เป็นพราหมณ์

สมัยพราหมณ์ชนะพุทธ ก็ถือว่าพุทธเสื่อม ไม่มีศาสนาพุทธ มีแต่ศาสนาพราหมณ์ เหมือนตอนที่พระพุทธเจ้าอุบัติก็ไม่มีศาสนาพุทธไม่เหลือเชื้อเลย และมีแต่ศาสนาพราหมณ์ ก็มีพระพุทธเจ้ามาประกาศศาสนาพุทธในโลกยุคนั้นกัปป์นั้น ซึ่งเป็นยุคที่มีแต่ความรู้ซึ่งเขาก็เรียกว่าพระเวทอันเดียวกัน ความรู้อันเดียวกันแต่ตีความและยึดถือกันคนละเรื่อง อันหนึ่งเป็นอัตตา อีกอันหนึ่งเป็นอนัตตา อันหนึ่งเป็นพระเจ้า อีกอันหนึ่งเลิกจากพระเจ้าเลย

เมื่อความเสื่อมเกิดขึ้น ความเสื่อม ยังไม่ถึงขั้นอนัตตา ยังไม่รอบถ้วนจนถึงขั้นสลายอัตตาได้ ก็จะมีสิ่งที่มีอยู่ที่จะครองโลก เหลืออยู่คือสิ่งที่มีพระเจ้า ในยุคไหนก็แล้วแต่ที่เป็นศาสนาพระเจ้า ยิ่งใหญ่ ศาสนาพุทธก็จะไม่มีในยุคนั้น เป็นยุคที่เสื่อมที่สุดในมนุษย์ เมื่อพระพุทธศาสนาอยู่ไม่ได้แล้ว ไม่เหลือความรู้อย่างศาสนาพุทธ

เช่น ตอนนี้ พุทธศาสนา พ.ศ. 2500 กว่าไปแล้ว คุณว่าความรู้ของพุทธเสื่อมไปแล้ว กว่าครึ่งจนเกือบจะหมดหรือไม่ จนเกือบจะหมด อาตมาใช้คำว่าเกือบคือให้คะแนนแล้วนะ ที่จริงควรจะบอกว่ามันหมดแล้ว อาตมาไปควานเอามาจากก้นมหาสมุทรเอาขึ้นมาปัดฝุ่น เป็นอย่างนั้น ถึงยากมากเลยที่จะเอาสิ่งที่เขาทิ้งจมในมหาสมุทรตั้ง 500 โยชน์ มันจะรู้เรื่องกันได้ง่ายๆหรือ แต่ก็ยังไม่หมด ยังมีผู้รับช่วงได้ อาตมาเอามาประกาศในยุคนี้ จึงรับโลกุตระธรรมกันได้ ซึ่งก็น่าสงสารผู้ที่เขารับไม่ได้ ซึ่งเขาก็เป็นผู้ที่เรียนรู้พระเวทได้เก่งเหมือน อัมพัฏฐะ เรียนรู้พระเวทเก่งมากมาย

การย้อนแย้งนี้ อาตมาก็ยังพูดไม่จุใจตนเองว่า ทำไมอธิบายความไม่ถึงใจตนเอง คือ

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ตั้งแต่ท่านตรัสรู้ไม่นานก็พบกับ อัมพัฏฐะ ตอนตรัสรู้ก็เป็นที่รู้กันทั่วไปในวงการศาสนาพราหมณ์ พราหมณ์ที่เป็นหัวหน้าใหญ่ ก็รู้ว่าท่านก็มีนิพพาน จรณะ 15 วิชชา 8 เหมือนกัน ก็จะต้องตามศึกษาว่าจริงหรือไม่จริงแค่ไหน เสร็จแล้วพอถึงตอนนี้ที่เอามากล่าวมาบันทึกไว้ในอัมพัฏฐสูตร เอาเรื่องเหตุนิทานสมุทัยปัจจัยของ อัมพัฏฐะ มาเป็นตัวเอกในนิทานเรื่องนี้ เกิดเรื่องราวขึ้นมาเป็นนิทานเรื่องราวเอามายืนยัน 

หัวใจสำคัญ อัมพัฏฐสูตร คือความเสื่อมของศาสนาพุทธหรือความเสื่อมของจรณะ 15 วิชชา 8 ในยุคพระพุทธเจ้าก็เสื่อมมากแล้ว คล้ายๆกับในยุคนี้ 2,500 กว่าปี พระพุทธเจ้ามา สร้างศาสนาพุทธเลย แต่อาตมาไม่ใช่เป็นเจ้าของไม่ใช่ผู้สร้างศาสนาพุทธ อาตมาเป็น สยังอภิญญา เป็นผู้มีเนื้อแท้ของโลกุตรธรรม เนื้อแท้ศาสนาพุทธ จรณะ 15 วิชชา 8 เอามาประกาศลงไปในยุคนี้ แต่อาตมาไม่ใช่เจ้าของจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่ใช่เจ้าของศาสนาพุทธ แต่อาตมาเป็นลูกศิษย์ เป็นลูกพระพุทธเจ้าเหมือนกับศาสนาเทวนิยมเขาก็บอกว่าเขาเป็นพระบุตร ก็คล้ายๆกัน

(พ่อครูไอตัดออกด้วย)

สมณะฟ้าไท... พ่อครูพยายามอธิบายว่า จรณะ15 วิชชา 8 เป็นสิ่งสำคัญที่ชาวพุทธต้องมาปฏิบัติ ทำให้คนพ้นทุกข์ได้จริง บรรลุธรรมได้

พ่อครูว่า... สูตรนี้ พระพุทธเจ้าเอามาตรัสไว้ตั้งแต่ในยุคพระพุทธเจ้า มีนิทานคือ ตรัสกับอัมพัฏฐะเป็นหลัก ในพระไตรปิฏกเล่ม 9 นี้ มี 12 สูตร มีพระสูตรนี้สูตรเดียว ที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงความเสื่อมของศาสนาพุทธ อะไรเป็นเครื่องชี้บ่งความเสื่อม ก็คือ การออกป่า

เชื่อว่าผู้มี จรณะ 15 วิชชา 8 คือผู้ที่จะเป็นอาจารย์ต้องอยู่ในป่า นี่เป็นความเชื่อที่ผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นตัวต้นตัวใหญ่ที่สุดเลย ตัวปลายที่สุดเลย เพราะฉะนั้นจะเริ่มต้นเสื่อมก็เอาที่ประเด็นนี้

ประเด็นที่บอกว่า ถ้าจะแสวงหาอาจารย์แล้ว จะต้องไปเอาอาจารย์ ผู้ที่มีจรณะและวิชชาต้องอยู่ในป่า นี่เป็นประเด็นสำคัญ ลองอ่านดูความเสื่อม 4 ประการนี้ อ่านแล้วอ่านอีกอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่าเบื่อ ต้องฟังให้ดีให้แตกฉาน

 

ทางเสื่อมวิชชาและจรณะ 4

 

ดูกรอัมพัฏฐะ วิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้แล มีทางเสื่อมอยู่

4 ประการ 4 ประการเป็นไฉน?

1. ดูกรอัมพัฏฐะ สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ หาบบริขารดาบสเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคผลไม้ที่หล่น สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่หนึ่ง.

พ่อครูว่า... บําเรอคือปรนเปรอกัน ยกย่องเชิดชู บูชารับใช้

ถ้าไปบำรุงถูก เป็นอาจารย์ที่มีจรณะ 15 วิชชา 8 ก็เรียกบำรุง ไม่ใช่บำเรอ ไปรับใช้ปรนเปรอ ช่วยเหลือทุกอย่าง รับใช้เพื่อให้ได้จรณะวิชชาจากท่าน แต่นี่เพราะว่าเป็นความเสื่อมก็เลยไปบำเรอไม่ใช่บำรุง บำเรอคนผิด บำเรอผู้อยู่ในป่า เข้าป่าข้อที่ 1 แต่ก็ยังมีพระวินัยอยู่ ยังไม่เสื่อมเท่าไร ยังเหลือเศษความเป็นวินัยอยู่บ้างเหลือติงๆอยู่ในผู้ที่ออกป่า นี่คือความเสื่อมเต็มรูปแล้ว นี่เป็นความเสื่อมของจรณะ 15 วิชชา 8 คือสิ่งที่ตัวเองจะตามไปเอา แต่ไปเอากับคนเสื่อม กับคนที่ไม่ได้มีวิชชา จรณะจริง จึงเรียกว่าคนเสื่อมจากจรณะสมบัติ วิชชาสมบัติ คนอยู่ในป่านี่ แสวงหาคนในป่านั้นเป็นความเสื่อมความโง่เป็นความไม่รู้จากศาสนาพุทธ

อาตมาเคยบอกว่าอาจารย์ผู้ที่มีจรณะ 15 วิชชา 8 เป็นคนเมืองอยู่ในเมือง ศาสนาพุทธไม่ได้ไปรุ่งเรืองอยู่ในป่าหรอก จะต้องไปรุ่งเรืองอะไรให้ช้างม้าวัวควายในป่าจะได้เรื่องอะไร มันต้องมารุ่งเรืองอยู่ในคนนี้สิ เป็นเมืองที่มีคน มันถึงเป็นประโยชน์ยิ่ง ตื้นๆแค่นี้ก็ยังเข้าใจไม่ได้ เห็นว่าเห็นว่าเป็นความมิจฉาหรือความโง่ของคนแค่นี้ยังเข้าใจไม่ได้ ศาสนาพุทธจึงเป็นศาสนาของคนเมือง ไม่ใช่ศาสนาคนเถื่อน คนป่า อย่างนี้เป็นต้นข้อที่ 1 ซึ่งพูดแล้วยังไม่ถึงใจอาตมา มันลึกซึ้งกว่านี้อีก 

สู่แดนธรรม... ในป่าจะหาคนที่มีทุกข์อริยสัจไม่ได้หรอก จะมาช่วยโปรดคนทุกข็ต้องมาหาในเมือง

พ่อครูว่า... ใช่ ทุกข์อริยสัจ ต้องรู้เหตุแห่งทุกข์ที่เกิดจากผัสสะ ผัสสะต้องมีตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ว่าผัสสะมีแต่ใจ ไม่มีผัสสะนอก ไม่มีโผฏฐัพพะ มีแต่ผัสสะภายใน ซึ่งผัสสะภายในท่านไม่เรียกผัสสะเต็มๆด้วย โผฏฐัพพะถือว่าเป็นผัสสะภายนอก ผัสสะภายในไม่เรียกว่า ผัสสะหรอก เพราะไม่มีสิ่งกระทบภายนอกไม่มีกาย ซึ่งคนยุคนี้แม้จะเข้าใจได้ยาก แต่ก็ยังมีคนเข้าใจได้อย่างพวกคุณ

 

[164] 2. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติ และจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยมนี้ ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ถือเสียมและตะกร้าเข้าไปสู่ราวป่าด้วยตั้งใจว่า จักบริโภคเหง้าไม้รากไม้และผลไม้ สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สอง.

พ่อครูว่า...ข้อนี้หาผลไม้ไม่ได้ก็ยังแย่กว่าสัตว์อีก โง่กว่าสัตว์เหล่านั้น ข้อนี้ตอนนี้ไม่ถือวินัยแล้ว เสื่อมหนัก ขุดดินหารากไม้กินแล้ว แต่ปักใจว่า อรหันต์ต้องเป็นผู้ออกป่าอยู่ในป่า ซึ่งมีความรู้อย่างตื้น ว่าป่าเป็นที่ที่สร้างความสงบ ไม่มีคนไม่มีโลกธรรมลาภยศสรรเสริญโลกียสุขที่ปรุงแต่งกันอยู่ในเมือง เต็มไปหมด อยู่ในป่าไม่มี ก็ไปอยู่กับเสือสิงห์กระทิงแรดนั่นแหละ ก็เลยกลายเป็นศาสนาสัตว์แต่ละชนิดสัตว์ป่าไม่ใช่ศาสนาของคน ที่จะต้องมีลาภยศสรรเสริญโลกียสุขแล้วก็ต้องเรียนรู้กิเลสที่มันวุ่นวายหนักหนาสาหัสอยู่กับลาภยศสรรเสริญโลกียสุขนี่แหละ ตัวเองก็จะต้องไม่ตื่นเต้นกับลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แม้มันจะมีมาก

อย่างเช่นมหาบัวไม่รู้ตัวเองหลงตัวเองว่ามีบารมี มาเรี่ยไรประชาชน เพื่อจะเอามาช่วยประเทศชาติ ซึ่งก็จริง ในยุคที่มันแย่เช่นในยุคของทักษิณ มันก็เป็นเรื่องดีเพราะว่าเงินคงคลังมันไม่เหลือแล้ว มหาบัวได้โอกาสก็เรี่ยไรเงินมาเข้า มันสอดคล้องกับยุคสมัย แล้วมหาบัวภูมิใจดีใจที่ได้ช่วยประเทศชาติเรี่ยไรเงินของมหาบัวที่ไหน ซึ่งไม่ใช่ ที่ดินของมหาบัวด้วย ได้มามากก็นึกว่าตัวเองเก่งตัวเองยอดเยี่ยม หลงตัวหลงตนขนาดนั้น ไม่รู้ว่าการดีใจหลงภาคภูมิในลาภยศ ซึ่งไม่ใช่การแสดงถึงผู้ที่มักน้อยสันโดษ ไม่ใช่เลย คนละเรื่องที่จะเป็นสมณะของศาสนาพุทธเลย แต่เราภาคภูมิใจว่าชีวิตนี้ยิ่งใหญ่ที่ทำสิ่งนี้ ซึ่งมันเป็นโลกีย์มากเลยเลอะเทอะหนัก แล้วไปหลงโลกีย์หนักพวกนี้

ซึ่งมันซับซ้อนตรงที่ว่า คนไปบริจาคให้มหาบัวคือคนโง่หนัก โง่มากๆเลย เพราะไปหลงในลาภยศเงินทองต่างๆ หรือไปหลงว่ามหาบัวมีคุณธรรมสูงสุด ตามที่มหาบัวหลอกได้สำเร็จก็เลยยิ่งทับทวีได้ลาภมาก ได้มีมาก เอาสิ่งนี้เป็นเครื่องตัดสินว่า ตนเป็นผู้ที่มีลาภมาก แล้วตนก็ไม่เอาลาภนี้ เอาไปให้ประเทศ ช่วยประเทศไว้ โดยที่ไม่รู้ว่าจิตตัวเองผูกไว้ว่านั่นแหละของกู ฝีมือกูทำ ไม่ได้วางได้ปล่อยเลย แต่ภาคภูมิใจ ดีใจที่สุดเลยในชีวิตนี้

ดีใจแล้วแสดงออกว่า บริสุทธิ์ มหาบัวว่า ตัวเองนี่ บริสุทธิ์ที่สุด เงินแม้บาทเดียวก็ไม่ได้เอาเข้าตัวเอง เอาเข้าประเทศหมด ซึ่งความบริสุทธิ์ของตัวเองก็ดีอยู่ แต่ไม่รู้ในความสรรเสริญ ยศศักดิ์ ที่ตัวเองทำ เรื่องโลกธรรม แสดงถึงว่าตัวเองมีโลกธรรมมาก สูง ก็หลงดีใจในโลกธรรมซ้ำซ้อนอีก คือมันน่าสงสาร

เป็นเรื่องที่อาตมาจำเป็นต้องพูดเหมือนข่มเบ่งลบหลู่มหาบัว แต่แท้จริงเป็นการบอกสัจธรรมที่ความซับซ้อนลึกซึ้งที่เขาไม่รู้ว่า เขาไปหลงในความซับซ้อนเหล่านี้ คนที่จะแสดงความจริงเป็นสมณะลูกพระพุทธเจ้า ไม่ต้องเอาอลังการทางลาภยศสรรเสริญมาเป็นเครื่องยืนยันว่าตัวเองหลุดพ้นจากสิ่งเหล่านั้น จงเอาความจริงที่เป็นโลกุตรธรรมมาบรรยาย มาแสดงมาทำให้คนเข้าใจและให้คนมาปฏิบัติตาม ได้เป็นคนลดความเป็นโลกียะทั้งหมดมาสิ อันนี้ต่างหากเป็นเครื่องแสดงที่จริงของโลกุตระหรือศาสนาพุทธ ส่วนคนที่มีอลังการหรูหรามากแสดงออกได้ในลาภยศสรรเสริญโลกียสุขนั้น มันไม่ใช่

ในชีวิตของพระพุทธเจ้าไม่ได้แสดงอย่างมหาบัวนะ เช่น อาตมามีคนมาบริจาคเยอะแล้วเอาเข้าแคว้นสักกะ ท่านไม่ได้ทำเลย ท่านแสดงถึงความเป็นคนจน ไปไหนแสดงความจน แล้วคนก็อยากจะทำทาน แต่คนไม่ค่อยมีโอกาสจะได้ทำทานกับท่านเท่าไหร่ แต่คนก็พยายามทำให้นะ นางวิสาขาหรืออนาถบิณฑิกเศรษฐีก็พยายามยัดเยียด หรือเศรษฐีอื่นๆก็ไม่ค่อยได้ทำทานกับพระพุทธเจ้าเท่าไหร่ พร้อมจะเป็นพ่อยกแม่ยกได้รายใหญ่ที่สุด แต่ท่านไม่ได้อีนังขังขอบกับสิ่งเหล่านั้น ไม่ได้เอามาคุยโขมงโฉงเฉงโอ้อวดอะไรเลย อะไรอย่างนี้เป็นต้นซึ่งมันคนละเรื่องกันเลย

นี่ยังหลงเอาโลกธรรมมาโชว์กัน ลาภก็มาก ยศก็มาก สรรเสริญก็ได้มาก เขาว่าเป็น   อรหันต์ๆ ได้หมด ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข เอาหมด แล้วก็ไม่รู้ตัว นี่ข้อ 2

 

[165] 3. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถที่จะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ และไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ จึงสร้างเรือนไฟไว้ใกล้บ้าน หรือนิคมแล้วบำเรอไฟอยู่ สมณพราหมณ์นั้น ต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สาม.

พ่อครูว่า...อันนี้เสื่อมสมบูรณ์แบบ เป็นผ้าป่าก็เสื่อมแล้ว แต่นี่ยังไปสร้างเรือนไฟ เป็นอัคคียัญ อาศัยไฟ อาศัยน้ำเป็นสื่อ สิญจนยัญ เพื่อติดต่อกับวิญญาณพระเจ้าวิญญาณเทวดา วิญญาณภูตผีปีศาจอะไรก็แล้วแต่ แม้แต่พระพรหมหรือพระเจ้า

ศาสนาที่ใช้การสวดอ้อนวอน มีเครื่องสื่อเป็นน้ำเป็นไฟ​ พวกนี้ยังเป็นเทวนิยมทั้งนั้น

ก็มีศาสนาบางศาสนาในยุคนี้ที่ไม่ให้มีรูปเคารพของศาสดา ไม่พยายามใช้ไฟใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์เคารพ เอาแต่การสวดกับการเคารพ เป็นการเชื่อมต่อกับพระเจ้า กับสิ่งสูงสุด แล้วสิ่งสูงสุดไม่มีอื่นใดนอกจากพระเจ้าองค์เดียว ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็เป็นศาสนาที่เป็นไปได้ในโลก

ความเสื่อมนั้นคือการตัดตัวเองออกจากความจริง ตัดเอาแต่พวก กลายเป็นตัวกูของกู ซึ่งโลกมีทั้ง 2 ส่วน

พุทธเข้าใจทั้งเทวนิยมและอเทวนิยมหรือพุทธก็อีกอันหนึ่ง ศาสนาอเทวนิยม โลกุตระนั้นจะมีมนุษย์เพียงส่วนน้อยที่มารู้ได้ ศาสนาพุทธจึงไม่มีทางใหญ่ อย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 ชัดเจนในเรื่องนี้มาก ตรัสไว้ เราไม่อยากก้าวหน้า ถ้าเป็นการก้าวหน้าอย่างที่เขาก้าวหน้า เพราะการก้าวหน้าอย่างนั้นมีแต่ทางเสื่อมมีแต่ความเสื่อม ซึ่งภาษาของในหลวงท่าน มันเป็นเรื่องลึกที่คนไม่เข้าใจทันถึงความซับซ้อนหลายชั้น

แล้วท่านเป็นในหลวงเป็นเบอร์ 1 ของประเทศ ท่านตรัสไปนี้ กระทบทั้งรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ ซึ่งเขาอยากเป็นเบอร์ 1 ทางด้านทรัพย์สินเงินทอง พระเจ้าแผ่นดินในหลวง ร. 9 เราก็บอกว่าเราไม่อยากเป็นอย่างนั้น เราก็พอมีเราก็อุดมสมบูรณ์ของเรา เห็นไหมว่ารู้จักความพอดี จึงใช้ศัพท์คำว่าพอเพียง จึงไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อประเทศอื่น ถ้าเมืองไทยยังยืนว่าจะต้องเดินตามสูตรพระราชา โดยเฉพาะของในหลวงรัชกาลที่ 9 นี่แหละ ซึ่งอาตมาขอยืนยันว่าท่านเป็นพระโพธิสัตว์สุดยอดเลย รับรองไปรอดจริงๆเมืองไทย ทุกวันนี้ถือว่ารอดกว่าประเทศไหนๆ แต่คนเข้าใจไม่ได้หาว่าหลงตัวเอง ซึ่งไม่ใช่การหลงตัวแต่เป็นความจริง ตอนนี้ยังไม่มีอะไรเป็นหลักฐานพิสูจน์ความจริงยืนยันที่สมบูรณ์ ก็ดูไป

สร้างเรือนไฟคือ มีเรือนที่มีการบูชาไฟ บูชาน้ำ จุดธูปจุดเทียน รดน้ำมนต์ อันนี้สร้างอยู่ในป่า

 

[166] 4. ดูกรอัมพัฏฐะ อีกข้อหนึ่ง สมณพราหมณ์บางคนในโลกนี้ เมื่อไม่บรรลุวิชชาสมบัติและจรณสมบัติอันเป็นคุณยอดเยี่ยม ไม่สามารถจะหาผลไม้ที่หล่นบริโภคได้ไม่สามารถจะหาเหง้าไม้รากไม้และผลไม้บริโภคได้ และไม่สามารถจะบำเรอไฟได้ จึงสร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้วสำนักอยู่ด้วยตั้งใจว่าผู้ใดที่มาจากทิศทั้ง ๔ นี้ จะเป็นสมณะหรือพราหมณ์ก็ตาม เราจักบูชาท่านผู้นั้นตามสติกำลัง สมณพราหมณ์นั้นต้องเป็นคนบำเรอท่านที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะโดยแท้ นี้เป็นทางเสื่อมข้อที่สี่.

พ่อครูว่า... หมายความว่า แม้จะจุดธูปจุดเทียนบูชาไฟอย่างไรคนก็ยังไม่มา เรียกลูกค้าไม่ได้ มีน้ำมนต์ดีอย่างไรก็เรียกคนไม่ได้

ถ้าจะขยายความคือไม่รู้อะไรแล้วเลอะเปรอะไปหมดแล้ว อะไรก็ได้

พระพุทธเจ้าตรัสในบริบทในยุคนั้นแค่นี้ แต่ในยุคนี้สมัยใหม่กว่าขั้น Star Wars นึกไม่ถึงว่าจะมีคนอย่างธัมมชโย สร้างเรือนไฟมีมุข 4 ด้านในทาง 4 แพร่ง สร้างเป็นจานบิน ยิ่งกว่าเรือนมุข 4 ด้านแบบสมัยโบราณเก่า จตุรมุข ยิ่งใหญ่ยังกลับประสาท แต่อันนี้ยิ่งใหญ่กว่าปราสาทออกนอกโลกเลยเป็นจานผีเลย มีจานผีใหญ่เบ้อเริ่ม เป็นแบบ Star Wars ก้าวหน้ายิ่งกว่าที่คิด ยิ่งกว่าเรือนไฟที่เป็นจตุรมุข 4 ด้าน นี่กลมดิกเลย เล่นได้ทุกเหลี่ยมไม่มีเหลี่ยมเลย นี่ถ้าเผื่อว่าศาสนาพุทธไม่รู้ทันก็จะยิ่งใหญ่กว่านี้ คงจะสร้างสนามบินให้เรือบินลงที่ธรรมกายได้เลย ถ้ายังไปได้ต่อไม่ถูกต่อต้าน จริง อย่าว่าแต่สร้างสนามบินให้เรือบินลงเลย คงจะมีสนามปล่อยจรวดออกนอกประเทศด้วย (โยมว่า.. กำแพงวัดยาว 14 กิโลเมตร ) 14 กิโลเมตรนิดเดียวมันต้อง 4,000 กิโลเมตร สู้กำแพงเมืองจีนไม่ได้

พูดไปแล้วจะเห็นว่ามันเป็นโลกียะจมอยู่ในลาภยศสรรเสริญโลกียสุข มันก็มี 2 พวก พวกไปในป่าดับดิ่งลึกลงไปเข้าป่า เป็นเรื่องลึกลับต่างๆ มีวิญญาณเทวดา เทวดาต่างประเทศ ก็สอนเทวดาต่างประเทศ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ใครพิสูจน์ความจริงไม่ได้ ศาสนาพระพุทธเจ้าเป็นศาสนาที่ต้องพิสูจน์ความจริงได้ คนทุกคนสามารถมาสัมผัสร่วมกันเป็นเอหิปัสสิโก ยืนยันพิสูจน์กันได้เป็นวิทยาศาสตร์ มีตาหูจมูกลิ้นกายกระทบสัมผัสกัน จึงเป็นศาสนาที่ไม่ลึกลับเป็นศาสนาที่เปิดเผยเหมือนสองมือแบ เปิดเผยทุกอย่างชัดเจน ทุกคนสามารถสัมผัสร่วมกันได้หมด ไม่ใช่ลึกลับ ไม่มีอะไรลึกลับเลย เปิดเผยให้รู้กระจ่างแจ้งหมด อย่างนี้คือศาสนาพระพุทธเจ้า ไม่มีอะไรอำพราง

ศาสนาอื่น ศาสนาเทวนิยม แม้แต่พระเจ้าผู้เป็นเจ้าของความรู้ความจริง ก็ไม่รู้ตัวตนเป็นสิ่งลึกลับจริงๆ แล้วความรู้นั้นๆ ความจริงนั้นๆ เป็นของพระศาสดาแต่ละองค์ แต่ไม่รู้กรรมวิบากว่าตัวเองได้สั่งสมมาเป็นของตน เป็นความรู้ความจริงที่ตนเองมีมา ที่สอนคนอื่นนั้นเป็นของตนเอง แต่ท่านไม่รู้ว่าเป็นของตนเอง ไม่เชื่อแม้แต่ว่าตัวเองจะมีความรู้ได้ถึงขนาดนี้ ก็ต้องมีผู้ที่รู้ยิ่งมาประทานให้ เห็นไหม ไม่รู้แม้กระทั่งว่าอันนี้เป็นของๆตน อาตมาพูดของตน แม้อาตมาจะไม่ได้บอกว่าอาตมาเป็นพระพุทธเจ้า เพราะอาตมายังไม่ใช่พระพุทธเจ้าจริง อาตมาเป็นแค่โพธิสัตว์ระดับ 7 มีของตนเองมาจริง อาตมายืนยันกล้าหาญชาญชัยอย่างนั้นเลย แต่อย่างนั้นขออภัยขี้ขลาดขนาดนั้น

สมณะฟ้าไทว่า... สรุปจบ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

640804_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5 วันพุธที่ 4 สิงหาคม  2564 ณ บวรราชธานีอโศก ชมวิดีโอได้ที่นี่ ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่น...