วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

640702_พุทธศาสนาตามภูมิ - อานาปานสติสูตร ตอน 3

 รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - อานาปานสติสูตร ตอน 3 
วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม  2564

ณ บวรราชธานีอโศก









ชมวิดีโอได้ที่นี่
ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่นี่


สมณะเดินดินว่า... วันนี้วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ใกล้จะเข้าพรรษาแล้ว ตอนนี้สถานการณ์โรค covid เป็นสถานการณ์ระดับโลก แต่ประเทศไทยก็แม้จะทำได้ดี แต่ก็มีผู้ที่มองว่าไม่ดี คือพวกมือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ และเจาะเรือให้รั่วด้วย แต่ชาวอโศกก็อยู่ได้โดยไม่ลำบาก ต่อไปภาวะเศรษฐกิจตกต่ำจะเป็นทั้งโลก ความเดือดร้อนยากเข็ญเป็นไปทั้งโลก ซึ่งบุญนิยม สาธารณโภคี ก็จะเป็นเหมือนที่พึ่งพาเป็น โอเอซิส ให้แก่คนในโลก

พ่อครูว่า... SMS วันที่ 30 มิ.ย.- 1 ก.ค. 2564

 

ธรรมะสองของการเอาตัวรอดในภาวะโควิด

_39อภิชาติ โชคสุข : ช่วยไปไล่ประยุทธหน่อยครับบบ เมื่อไรจะเปิดร้าน เหมือนเอาตัวรอดคนเดียวเลย

พ่อครูว่า... คนที่มาจะมีความกล้าเหมือนประยุทธ์หรือเปล่า เพราะว่างานนายกรัฐมนตรีนี้ทำเป็นเล่นไป คนไม่ทำงานเอาแต่คิดจะโกงกิน หารายได้เท่านั้น มันไม่ยากเท่าไหร่หรอก แต่คนเราจะป้องกันความเลวและสร้างสรรสิ่งที่ดีแก่สังคมมนุษยชาติ มันยากกว่ามองอย่างทักษิณมองมุมเดียว ประชาชนสังคมประเทศชาติจะฉิบหายวายป่วงไม่มอง มองแต่ว่ากูจะเอาอย่างเดียว ประชาชนประเทศชาติช่างมัน มองเอาประเด็นเดียว ก็สร้างวิธีโกงกินอย่างที่เขาได้ทำแล้วหาที่สุดไม่ได้ในความเลว แล้วเดี๋ยวนี้ก็ยังไม่หยุด ยังตากหน้าทำหน้าทะเล้น ซึ่งมันน่าจะละอาย หรือหยุดพักรู้สึกตัวแล้วก็ยังไม่หยุด อันนี้เราก็ไปบังคับเขาไม่ได้ ไปทำให้เขาเห็นเองไม่ได้เขาจะต้องเป็นตัวของเขาเอง แล้วพวกลิ่วล้อก็จะมีการยุแหย่ หาทางที่จะ..บางคนก็อาศัยเขามาพินอบพิเทาป้อยอให้ข้อมูลเท็จต่างๆ เขาก็ต้องให้เขาทำอยู่ด้วยเขาต้องอาศัยกันและกัน เรื่องมนุษยชาติในโลก ในยุคนี้อาตมาก็ว่ามีอันนี้แหละ ถ้าหากผ่านทักษิณไปแล้วเขาจะหยุดโดยเขารู้ หรือเขาจะหยุดเพราะเขาตาย แต่ไม่แน่หรอกคนที่จะมาต่อ ก็ไม่มีทางทำเหมือนทักษิณ ต่อให้ร้อยยิ่งลักษณ์ก็ทำไม่ได้ ดูคนอื่นจะอวดดีทั้งนั้น พูดไปก็เท่านั้นค่อยๆเป็นไป เราทำสิ่งที่เห็นควรร่วมมือร่วมใจกันให้มาก สิ่งที่เห็นดีเห็นงามก็ต้องพูดกันรวมตัวเพื่อจะสร้างสรรสิ่งที่เป็นเนื้อแท้ เนื้อจริงให้มีน้ำหนัก ให้มีคุณภาพ Quality และ Quantity มีทั้งคุณภาพและปริมาณ ให้มันมากขึ้น 2 นัยยะสภาวะ 2 คุณภาพและปริมาณ 2 ทุกอย่างสภาพ 2 ยิ่งใหญ่เรียนไปเถอะอาตมาเรียนสรุปหลายทีล่ะ

เทวะหรือสภาพ 2 เนี่ยสุดท้ายจบสุด คนที่มีความรู้ในเรื่องสภาพ 2 จะเห็นความแตกต่างของสภาพ 2 ตั้งแต่หยาบที่สุด ที่เห็นชัดได้ จนกระทั่งใกล้เคียงกันต้องพิจารณาว่าอันไหนควรหรือไม่ควรก็ขึ้นอยู่กับ เวลากาละ เทศะ ฐานะ สถานที่ ต้องรู้จักความเที่ยงของทั้ง 3 อย่างนี้ สถานะของแต่ละบุคคลและแต่ละบริบทของสังคม จะต้องชัดเจน เอา status quo องค์ประกอบที่เป็นสังขารปัจจุบันนั้น เอามาใช้ เราจะรับผิดชอบหน้าที่สังขารกว้างเท่าไหร่ เราก็ต้องรู้ตัวเรา อ้าขาผวาปีกเกินหน้าที่ เกินกว่าสิทธิเรามันก็จะไม่ได้ อย่าไปอวดดีเป็นอันขาด ที่เราอวดเก่งอวดดีโดยไม่มีมัตตัญญุตา ไม่ประมาณตน ไม่ประมาณธรรมะ ไม่ประมาณองค์รวมของสิ่งที่ทำ

สัปปุริสธรรม 7 คือ 1.ธัมมัญญุตา เป็นผู้รู้จักเหตุ  2.อัตถัญญุตา เป็นผู้รู้จักเป้าหมายจุดประสงค์  3.อัตตัญญุตา เป็นผู้รู้จักตน ตัวเราแค่ไหนแล้ว  4.มัตตัญญุตา เป็นผู้รู้จักประมาณ  5.กาลัญญุตา เป็นผู้รู้จักกาล  6.ปริสัญญุตา เป็นผู้รู้จักชุมชน สิ่งแวดล้อม  7.ปุคคลปโรปรัญญุตา เป็นผู้รู้จักบุคคล 

สรุปว่า ก็น่าเห็นใจคุณอภิชาติ อาจเดือดร้อนในหน้าที่การงานตอนนี้ ก็ควรจะช่วยเหลือตัวเองให้พึ่งพาตัวเองได้เช่นปลูกผักคอนโด ทำแบบไร้สารพิษ หลายกระถางซ้อนกันไป เวลารดน้ำก็รดน้ำตั้งแต่ข้างบนมันก็ไหลลงมาข้างล่างทั้งหมดอีก เป็นการประหยัดน้ำด้วย เป็นการทำแบบประโยชน์สูงประหยัดสุด

เอาสองข้างๆละ 20 สายเก็บกินไม่ทันเลย อาตมาว่าคนไม่สิ้นไร้ไม้ตอกหรอก แม้อยู่ในเมืองกรุงก็ทำได้ บ้านเช่าเราก็ทำได้ห้อยลงไป รอบๆบ้านก็ทำได้แต่มันได้ชั้นเดียว ถ้าปลูกผักแบบคอนโดมันได้หลายชั้นหลายอันก็ว่าไป ค่อยๆคิดหาทางออกเอาตัวรอดให้ได้โดยสุจริตตัวอยู่กับกสิกรรมนี่แหละอาตมาว่าไปรอด

 

_รุ่งศรี แก้วดวงสี : กราบนมัสการทั้งสามท่านค่ะ คิดเหมือนท่านฟ้าไทเลย ว่าพ่อครูนี่แหละ คือคนที่เป็นพ่อ อย่างแท้จริง ธรรมะจัดสรรเมื่อไหร่ จะมาค่ะ เพื่อรับใช้พ่อท่าน ตอนนี้ขัดเกลาตัวเองรอไปก่อนค่ะ

พ่อครูว่า... ยินดีต้อนรับ จะรอ ดีอย่าให้ช้าเกินล่ะ

 

สำคัญอาหาร 4 ที่ไม่ใช้แค่กวฬิงการาหาร

_หิ่งห้อยริมมูล : ขอกราบเรียนถามพ่อครู เรื่องอาหาร 4 ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า อาหารเป็นหนึ่งในโลก น่าจะหมายถึงกวลิงกฬาหารเป็นหลัก จึงทำให้พวกเราหมกมุ่นอยู่กับ อาหารหยาบคือคำข้าวอย่างเดียว ส่วน ผัสสาหาร  มโนสัญเจตนาหารและวิญญาณอาหาร มีความสำคัญมากหรือน้อยต่างกันอย่างไร และทำอย่างไร พวกเราจึงจะได้ชื่อว่า เป็นผู้มีอาหาร 4 ครบบริบูรณ์

พ่อครูว่า... ดี หิ้งห้อยริมมูลเขากระตุกต่อมหลงใหล​ ให้รู้สึกหน่อยนึง

อาหารมันช่วยสังขาร ร่าง คือสรีระ

กาย มันมีหลายนัยยะมากมุม

ตั้งแต่เริ่มต้น เช่นเป็นสังโยชน์ข้อที่ 1 หรือเริ่มต้นบวช อุปัฌาย์อธิบายกรรมฐาน 5  ให้ฟัง แยกให้ได้เมื่อไหร่เป็นกาย หากไม่มีกายก็หมดสุขหมดทุกข์ ก็บอกว่าเป็นอรหันต์สิ หรือมีกายอย่างมิจฉาทิฐิก็ปฏิบัติธรรมผิด ฝากไว้ก่อนประเด็นพวกนี้

ถ้าคำว่ากายคำเดียวคนเริ่มสัมมาทิฏฐิไม่ได้ สัมมาทิฏฐิตัวปลายคือแยกกายแยกจิตได้สำเร็จเป็นธรรมนิยาม 5 เริ่มต้นคือกายของตนเองนี้มีสภาวะอย่างไรรู้แต่พยัญชนะภาษา ยิ่งไปรู้ว่ากายเป็นหนึ่งเดียวไม่มีจิตร่วมคนนี้ปิดประตูบรรลุธรรม ให้เป็นปราญช์ขนาดไหนก็ปิดประตูบรรลุธรรม เช่นพวกหลับตาปฏิบัติปิดประตูบรรลุธรรม เพราะเขาไม่มีกาย แม้แต่แค่ลมหายใจนิดเดียวก็ขาดไม่ได้ ท่านเน้นให้เห็นว่ามันต้องมีข้างนอก ขาดลมก็ปิดประตูโมฆะเลย จะมีกิเลสกับลมหายใจเข้าออกแค่ไหนเชียว หากว่าตื่นรู้รับรู้ภายนอก จะมีกลิ่นอะไรมากระทบมากมาย ยังมีลิ้นรับรส กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็งอีก คุณก็ไม่ได้เรียนรู้ ของหยาบอย่างนั้น อย่างมหาบัวลืมตาปฏิบัติ ไม่รู้เรื่องเลยว่าตัวเองติดยึด มันเป็นโลกียรส ขาดปากไม่ได้เลยมันก็ยาก ซึ่งคนก็ไม่รู้

คนที่ติงมานี้ดี อาหารที่พอเลี้ยงร่างก็ดี แต่แม้จะพร่องไปหน่อยอายุสั้นลงก็ไม่เป็นไร จะอยู่ยาวไปอะไรกันนักหน้า จะอยู่ไปเพื่อเอาแต่เรื่องนี้ก็ได้ แต่มันมีอะไรมากกว่านั้นให้รู้

กระทบสัมผัสทวาร 5 แล้วเกิดกิเลสอีกอย่างไรในเจตนา ในผัสสาหารมีเวทนา มีสุขกับเหตุปัจจัยอย่างนั้นอย่างนี้ ตามศีลแยกประจำลำดับ ก็ต้องมาเรียงให้เป็นหมวดหมู่ลำดับบ้าง ไม่งั้นก็ติดแต่เรื่องนั้น หมกมุ่นยาวนาน อาจจะเด่นอาจจะเก่งเรื่องนั้น แต่จะทำให้กิเลสตัวเองในระดับ ผัสสะ เจตนา วิญญาณ ไม่รู้กิเลสในประเด็นอื่นๆนั้นเลย

เพราะฉะนั้นก็ยังติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่อยาบอยู่ ในเรื่องของกามก็ยังไม่ไปไหนยังมีกามรส ตั้งแต่เรื่องเพศตั้งแต่เรื่องเมถุน ตั้งแต่เรื่องสมสู่ คนต่อคน จนกระทั่งเฉพาะเรื่องรูป รส กลิ่น เสียง อะไรอีก มันก็ไม่ถ้วนทั่วไม่สมบูรณ์ไม่บริบูรณ์สักที เพราะฉะนั้นอย่าไปหมกมุ่นอยู่แค่ประเด็นเดียวหนักไปในทางเดียวมากมายนะ จะต้องเฉลี่ยให้ชัดเจนครบไป ถ้วนทั่ว 5 ทวาร 6 ทวารกับจิต แล้วนอกก่อนถึงจะถึงใน อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งมันก็ไม่ง่าย

 

อานาปานสติ ตั้งใจจะทวนให้ดีๆอีก

ทั้งสติปัฏฐาน 4 และอานาปานสติต้องลืมตาปฏิบัติ

อานาปานสติคือคู่สำคัญของสติปัฏฐาน 4

1.กายานุปัสสนา  สติปัฏฐาน  (กายในกาย)  

          (การกำหนดสติพิจารณากาย  คือ  การรวมประชุมกัน ทั้งกายนอก-ใน  ให้รู้เห็นความจริง)   กายนอกได้แก่..

          ก.       อาณาปาณสติ (กำหนดสติรู้ลมหายใจเข้า-ออก)

          ข.       อิริยาบถ (กำหนดรู้เท่าทันไปกับอิริยาบถ)

          ค.       สัมปชัญญะ (ทำความรู้สึกตัวในการกระทำทุกอย่าง)

          ง.       ปฏิกูลมนสิการ  (พิจารณากายเป็นของไม่สะอาด)

          จ.       ธาตุมนสิการ (พิจารณาเห็นกายโดยความเป็นธาตุ)

          ฉ.       นวสีวถิกา  (พิจารณาซากศพในสภาพกระจายไป)

2. เวทนานุปัสสนา  สติปัฏฐาน    การตั้งสติกำหนดพิจารณา “เวทนาในเวทนา” (ทั้ง 108 เวทนา)  ให้รู้เห็นทุกข์(ที่เป็นทุกขอริยสัจ) ตามความเป็นจริง

          3. จิตตานุปัสสนา  สติปัฏฐาน     การตั้งสติพิจารณาเห็น “จิตในจิต”  ให้รู้จิตที่เจริญขึ้นหรือยังข้องตามสัจจะจริง

          4. ธัมมานุปัสสนา  สติปัฏฐาน  การตั้งสติกำหนดพิจารณา “ธรรมในธรรม”  ให้รู้เห็นจริงตามความจริง   ได้แก่   นิวรณ์5,  ขันธ์5,  อายตนะ6,  โพชฌงค์7,   อริยสัจ4   

(พตปฎ. เล่ม 10  ข้อ 273 - 300)

คุณจะต้องมีสติปัฏฐาน 4 หมายถึงต้องมีสติเป็นฐานปฏิบัติในการลืมตา ลืมตาทั้งภายนอกภายในมีชาคริยาตื่น ไม่ใช่สติแข็งแรงอยู่แต่เพียงภายในใจในใจจิตในจิตอยู่ในภวังค์แต่ลืมตามาข้างนอกตื่นมาไม่มีสติเลย ขออภัยยกตัวอย่างเช่นมหาบัวไม่มีสติไม่มีปัญญา เมื่อไม่มีสติปัญญาไม่มีหรอกมีแต่ เฉโก ความรู้รอบโลก สติกับปัญญาเป็นคู่สำคัญไปด้วยกันมาด้วยกันเลือดราชธานีอโศก ไม่ใช่เลือดสุพรรณนะ เป็นอย่างนั้นจริงๆ

เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าแยกสติปัฏฐาน 4 กับอานาปานสติ 4 สติปัฏฐาน 4 ต้องทำแบบตื่นลืมตาหมด อานาปานสติก็ต้องมีสภาพตื่นพร้อมทั้งกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม ต้องตื่นมาหมดจึงจะเรียกว่าทำสติปัฏฐาน 4 ได้ ก็คือนัยยะตาม 16 ขั้นของอานาปานสตินั่นแหละ

คุณรู้ลมหายใจเข้าลมหายใจออกสั้นหรือยาวบอกแล้วว่าเป็นประเด็นแห่งความต่าง เป็นลิงค เป็นเพศ เป็นความต่างกันระหว่างสองอย่างเป็นสิริมหามายา เพราะฉะนั้นจากอันนั้นแล้วต้องรู้ให้ชัด

เรียนรู้ความต่าง กายกับจิตก็เป็นคู่ที่เป็นเทวะ คำว่า กายนี่แหละเป็นประเด็นยากเป็นนัยยะหยาบ หมดเลย เพราะฉะนั้นจึงยาก แต่หลับตาปิดประตูเลย แม้คำว่า กายหยาบๆ ก็ไม่มีสัมมาทิฏฐิหลุดพ้นก็ยังไม่ได้เลย เทียบเหมือนกับจะเข้าไปในใจกลางภูเขา ก็ต้องเอารอบนอกภูเขาออกก่อนที่จะเข้าไปสู่ภายในได้ หรือจะกินเนื้อทุเรียนก็ต้องต่อกับข้างนอก โดยไม่ผ่านเปลือกผ่านกระพี้เข้าไปภายในมันจะได้อย่างไร มันเป็นเรื่องผิดธรรมดาผิดธรรมชาติเป็นขั้นเป็นตอนผิดลำดับไม่ใช่เรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องธรรมดาธรรมดา อย่างนี้เป็นต้น

 

[๒๘๔] ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคมีภิกษุสงฆ์ห้อมล้อมประทับนั่งกลางแจ้ง ในราตรีมีจันทร์เพ็ญ เป็นวันครบ ๔ เดือนแห่งฤดูฝน เป็นที่บานแห่งดอกโกมุท วันนั้นเป็นวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเหลียวดูภิกษุสงฆ์ ซึ่งนิ่งเงียบอยู่โดยลำดับ จึงตรัสบอกภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บริษัทนี้ไม่คุยกัน บริษัทนี้เงียบเสียงคุย ดำรงอยู่ในสารธรรม

อันบริสุทธิ์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุสงฆ์นี้ บริษัทนี้เป็นเช่นเดียวกันกับบริษัทที่ควรแก่การคำนับ ควรแก่การต้อนรับ ควรแก่ทักษิณาทาน ควรแก่การกระทำอัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของโลกอย่างหาที่อื่นยิ่งกว่ามิได้ ภิกษุสงฆ์นี้ บริษัทนี้เป็นเช่นเดียวกันกับบริษัทที่เขาถวายของน้อย มีผลมาก และถวายของมากมีผลมากยิ่งขึ้น ภิกษุสงฆ์นี้ บริษัทนี้เป็นเช่นเดียวกันกับบริษัท อันชาวโลกยากที่จะได้พบเห็น ภิกษุสงฆ์นี้ บริษัทนี้เป็นเช่นเดียวกันกับบริษัทอันสมควร

ที่แม้คนผู้เอาเสบียงคล้องบ่าเดินทางไปชมนับเป็นโยชน์ๆ ฯ

พ่อครูว่า... คำว่าเนื้อนาบุญ จะว่าบุญเป็นสิ่งที่งอกเป็นผลประโยชน์ มันก็เป็นประโยชน์แต่มันไม่ได้สะสมผลที่เป็นสิ่งใด จะเป็นประโยชน์ที่การสั่งสมบุญเป็นมือสุดท้ายของเพชฌฆาตที่ฝฆ่ากิเลส

ฌานฆ่ากิเลสมาแล้วเป็นลำดับ แต่บุญนี้ตัดแน่นอนประหารอีกที ประหารสุดท้ายให้มันชัดไปเลยเด็ดขาด คำว่าบุญ มีคำจำกัดความหรือมีนิยามเฉพาะของมัน (พ่อครูไอตัดออกด้วย)

สมณะเดินดิน... คำว่าบุญเราใช้ผิดความหมายมานาน ทำให้ไกลจากการตัดกิเลสมาก

พ่อครูว่า... ท่านไม่ให้ศึกษาคำว่าบุญเป็นปฐม จะทำให้ฝึกทำฌานอย่างสัมมาทิฏฐิก่อน ทำแล้วอาสวะบางอย่างสิ้นได้ ส่วนบุญนี้มันถือว่าตัดอนุสัยหมดสิ้นเลย

[๒๘๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ผู้เป็นพระอรหันตขีณาสพ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ สิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ผู้เป็นอุปปาติกะ เพราะสิ้นสัญโญชน์ส่วนเบื้องต่ำทั้ง ๕ จะได้ปรินิพพานในโลกนั้นๆ มีอันไม่กลับมาจากโลกนั้นอีกเป็นธรรมดา แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ผู้เป็นพระสกทาคามีเพราะสิ้นสัญโญชน์ ๓ อย่าง และเพราะทำราคะ โทสะ โมหะให้เบาบางมายังโลกนี้อีกครั้งเดียวเท่านั้น ก็จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุสงฆ์นี้ ก็มีอยู่ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ผู้เป็นพระโสดาบัน เพราะสิ้นสัญโญชน์ ๓ อย่าง มีอันไม่ตกอบายเป็นธรรมดา แน่นอนที่จะได้ตรัสรู้ในเบื้องหน้า แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญสติปัฏฐาน ๔ อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

[๒๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญสัมมัปปธาน ๔ อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอิทธิบาท ๔ อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

พ่อครูว่า... สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4  เป็นห้องประชุมครบ 3 เส้า เป็น ISH หรือรูปนาม กับประธาน เริ่มต้นด้วย อย่างนี้แล้ว

สัมมัปปธาน 4 คือ 1.สังวรปธาน 2.ปหานปธาน 3.ภาวนาปธาน 4.อนุรักขณาปธาน

ก็ไล่ดับกิเลสไปตามลำดับ ได้ก็ดับอาสวะเป็นลำดับขั้น

อิทธิบาทเป็นตัวกำลังเป็นพลังงานเป็นตัวช่วยสำคัญ อิทธิบาทช่วยสติปัฏฐาน 4 กับสัมมัปปธาน 4 คืออิทธิบาท 4 มีพลังงานเพียร

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอินทรีย์ ๕ อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

พ่อครูว่า... อินทรีย์คือตัวมรรค พละคือตัวผล ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา

ศรัทธาคือความเชื่อความรู้ความเห็น ส่วนในวิริยะคือความเพียร

สติ ต้องตื่นเต็ม สติ เป็นตัวกลางของอินทรีย์ 5 พละ 5 จะว่าไปแล้วผลที่ได้จากสติจะเป็นสมาธิและปัญญา ส่วนตัว 2 ข้างหน้าคือศรัทธาและวิริยะ ก็มีนัยยะที่จะต้องเป็นลักษณะของ

เป็นความรู้ความเห็นความเข้าใจความเชื่อ แล้วก็มาปฏิบัติตามความเชื่อ ถ้าเป็นความเชื่อที่สัมมาศรัทธาก็เจริญ ถ้าเป็นความเชื่อที่ไม่เป็นสัมมาก็พาออกนอก

เมื่อเป็นมิจฉาศรัทธา ต้องทำให้ได้ สายสัทธานุสารี ส่วนสายธัมมานุสารีเป็นตระกูลปัญญา แต่ไม่ใช้คำว่า ปัญญานุสารี

โคตรหรือตระกูลคนที่เกิดมา เป็นสองตระกูลระหว่างสายศรัทธากับสายปัญญา ปัญญาเป็นการรู้โดยละเอียดสมบูรณ์ แต่ศรัทธาจะเนิ่นช้า ปฏิภาณมันน้อยกว่าปัญญา ไม่ได้มีใครไปบังคับ แล้วแต่ศรัทธาจะฝึกฝนตนให้เกิดความรวดเร็วเท่าเทียมปัญญาได้ไหมก็ได้ คุณปฏิบัติให้บรรลุเป็นอรหันต์แล้วฝึกโพธิสัตว์นี่แหละแล้วสายศรัทธาจะเป็นสายปัญญาได้ หรือแม้แต่ผู้หญิงเมื่อเป็นอรหันต์แล้วอยากเป็นผู้ชาย ก็พัฒนาเป็นโพธิสัตว์ไปอีก เป็นผู้ชาย

 

โพชฌงค์7 มรรมีองค์ 8 ในอานาปานสติ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญพละ ๕ อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญโพชฌงค์ ๗ อยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐอยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

พ่อครูว่า... คู่สุดท้ายคือ โพชฌงค์ 7 กับมรรคมีองค์ 8 นี่ต้องไปคู่กัน พระพุทธเจ้าเกิด มรรคมีองค์ 8 โพชฌงค์ 7 จึงเกิด ถ้าในยุคไหนที่ไม่มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นมาไม่มีพุทธศาสนา โพชฌงค์ก็ไม่เกิด มรรคมีองค์ 8 ก็ไม่เกิด จะเกิดได้ก็ต้องเป็นผู้ที่ได้สืบทอดปัญญา 8 ได้ฟังจากพระโอษฐ์จากสัตบุรุษจากครูผู้สัมมาทิฏฐิ รู้เองไม่ได้

อธิบายครน. หรม. จะหารออกต้องให้ครบ จะเพิ่มคูณอย่างไรก็อย่าเวอร์ ระวังให้น้อยไว้ อย่าคูณเกินเวอร์

เมื่อได้ครบโพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 ก็อยู่ในโพธิปักขิยธรรม 37

1. สติปัฏฐาน 4 สติตรวจสอบจิตให้บริสุทธิ์

2. สัมมัปปธาน 4         ยุทธวิธีเพียรทำลายกิเลส

3. อิทธิบาท 4   ทะยานยันไปสู่ความสำเร็จ

4. อินทรีย์ 5    สั่งสมเป็นกำลังธรรมของจิต 

5. พละ 5                 ขุมกำลังธรรมะของจิต

6. โพชฌงค์ 7   การก้าวเดิน..สู่การตรัสรู้

7. มรรคมีองค์ 8          ทางเอกเพื่อเดินสู่การตรัสรู้

 

โลกุตรธรรม 46 คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปปธาน 4 อิทธิบาท 4 อินทรีย์ 5 พละ 5 โพชฌงค์ 7 มรรคมีองค์ 8 อริยมรรค 4 สามัญญผล 4 และนิพพาน 1

ธรรมเหล่านี้เป็นโลกุตระฯ (หรือโลกุตระ 46) (ล.31 ข.620)

ปฏิบัติโพธิปักขิยธรรม 37 จะเกิดผลอะไร ก็เจริญเมตตา เจริญกรุณา เจริญมุทิตา เจริญอุเบกขา

 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญเมตตาอยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญกรุณาอยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญมุทิตาอยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอุเบกขาอยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอสุภสัญญาอยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอนิจจสัญญาอยู่ แม้ภิกษุเช่นนี้ในหมู่ภิกษุนี้ ก็มีอยู่ ฯ

พ่อครูว่า...อสุภสัญญาคือ กำหนดรู้สิ่งที่ไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น ศาสนาพุทธมาเรียนรู้ 0 เรียนรู้ ไม่มี ความไม่น่าได้ ไม่น่ามี ไม่น่าเป็น แต่สัจจะธรรมก็ทำเหตุครบ ความได้มันก็จะมีเอง ทำเหตุครบ ผลมันก็ได้เองตามกรรมวิบาก

คุณตีหัวเขาเปรี้ยงเสร็จเรียบร้อย ตีรายเดียวไม่พอดีเขา 3 รายเลย คุณจะได้ 3 คดีหรือเปล่า คุณไม่ต้องไปเรียกร้องหรอก ก็เพราะว่าคุณทำ คุณได้ 3 คดีแน่ ใช่ไหม กรรมเป็นอันทำ คุณจะเอาทนายความที่ดีอย่างไรก็ไม่มีทาง

พูดถึง ธัมมชโย ทนายความเขาอาจพลิกคดีได้หรือไม่ เราก็ดูไป

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

สมณะเดินดิน...พระพุทธเจ้าเกิดโพชฌงค์ 7 จึงเกิด มรรคมีองค์ 8 จึงเกิด จะเห็นได้ว่าถ้าไม่มีสัตบุรุษ ไม่มีสยังอภิญญาที่จะเข้ามาสืบทอดต่อ มรรคมีองค์ 8 ก็จะหายไป ถ้าไม่มีผู้รู้มาขยายก็จะไม่เกิดมรรคผล ไม่สามารถปฏิบัติได้จริง

 

อุบายเครื่องออกจากกิเลสในอานาปานสติสูตร

[๒๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ย่อมมีภิกษุในภิกษุสงฆ์นี้ ที่เป็นผู้ประกอบความเพียรในอันเจริญอานาปานสติอยู่ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ภิกษุที่เจริญอานาปานสติแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญสติปัฏฐาน ๔ ให้บริบูรณ์ได้ ภิกษุที่เจริญสติปัฏฐาน ๔ แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญโพชฌงค์ ๗ ให้บริบูรณ์ได้ ภิกษุที่เจริญโพชฌงค์ ๗ แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมบำเพ็ญวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์ได้ ฯ

พ่อครูว่า...จะอยู่ตรงไหนก็ตามก็ให้ทำสติปัฏฐาน 4 มีวิธีอุบายเครื่องออกจากกิเลส อุบายเครื่องออกไม่ใช่ให้ไปนั่งหลับตาปฏิบัติธรรม แต่เป็นสิ่งที่คุณจะใช้ปฏิภาณปัญญา และจบด้วยปัญญาอันยิ่ง ปัญญาอันยิ่งจึงจะทำให้อาสวะสิ้นได้ อาสวะสิ้นด้วยปัญญาอันยิ่ง ด้วยสัมมัปปัญญา

อาสวะจะสิ้นด้วยอย่างอื่นไม่ได้ กดข่มไม่ได้ หรือจะใช้สติลืมตา สบายๆแบบสายท่านพุทธทาสหรือติชนัทฮัน ไม่มีทางสำเร็จหมดอาสวะ ไม่ได้เรียนรู้จิตในจิตลงไปเลย ไม่ได้เรียนรู้เวทนาในเวทนาลงไปเลย กายในกายก็ไม่ได้เรียน กาย เป็นสภาวะ 2 มีรูปมีนาม หรือมีกายมีจิต มีภายนอกภายในเสมอ คือ 2 มีหลายมุมหลายความละเอียด ถ้ารู้ความละเอียดเหล่านี้ไม่ได้ก็ปฏิบัติธรรมไม่ได้เหมือนมี 2 ต้องเลือก 1 ไปเรื่อยๆ เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ จนกว่าจะชิงแชมป์คู่สุดท้ายปลายยอด คุณก็ต้องชิงแชมป์มาตั้งแต่แชมป์เล็กน้อย แชมป์ปานกลางจนถึงแชมป์ใหญ่ มันก็ต้องเป็นอย่างนั้นถึงจะเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่ตัดลัด ไม่ทิ้ง ไม่โกรกชันเหมือนเหว แต่ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ทรายจะเรียบ รอยอะไรหายไปหมด ไม่มีรอยเท้าหมารอยเท้าคนอะไรเลย เมื่อคลื่นทะเลซัดมาทรายก็จะถูกทำให้เรียบลาดลุ่ม

เมื่อเข้าใจแล้วก็จะรู้ว่าสติปัฏฐาน 4 กับอานาปานสติ ไม่ได้แยกกัน แล้วอันไหนนอกอันไหนใน เป็นสิริมหามายา ถ้าหากอธิบายลมหายใจเข้าออกเป็นภายนอกก็ได้ แต่สติมันต้องเป็นตัวจิตเป็นภายในก็ได้ แต่เวลาปฏิบัติจริงๆแล้วต้องสติปัฏฐาน 4 เป็นนอกก่อนแล้วจึงอานาปานสติ เป็นผลของสติปัฏฐาน 4

คุณต้องปฏิบัติกายนอกกายก่อน นอกตั้งแต่อบายมุข ตั้งแต่กามภพ กว่าจะมาเป็นในจิตต้องทำภายนอกก่อน ได้ภายนอกแล้วไม่ได้หนีจากภายนอก ได้แล้วก็อยู่เหนือมันเป็นอุตตระไม่ได้หนี แต่ว่าสิ่งโน้นหมดฤทธิ์ เรามีอำนาจเหนือจริงๆ ไม่ได้ข่มเบ่งด้วย แต่เขาเคารพนับถือบูชาด้วยยกให้เลยด้วย นี่เป็นสัจจะเป็นนามธรรม รูปธรรมด้วย 2 อย่างเลย ทั้งรูปทั้งนาม

เราไม่ต้องไปเบ่งหรอก คนจะเคารพไม่ต้องทำอวดโอ่ มันซ้อนเอาสิ่งดีมาพูดมาบอก แล้วบอกว่าไม่ได้อวดโอ่ พระพุทธเจ้าก็จำนน ท่านบอกว่าเราเป็นไก่ตัวพี่ เรานี่แหละเก่งกว่าใครทั้งหมด  เราไม่มีใครไล่ทัน ท่านก็พูดความจริงเหล่านี้ทั้งหมด หากว่าตีความอย่างง่ายๆคนอวดโอ่ก็เป็นอย่างนั้นแหละ เอาสิ่งที่รู้มาอวดให้คนไม่รู้เท่าทัน แล้วพฤติกรรมในจิตเป็นได้จริงไหมก็ไม่รู้ ก็สามารถครอบงำเฉพาะในสิ่งที่ตัวเองอวดรู้ได้ รู้แต่ภาษาบัญญัติเก่งแต่ภายนอก แต่เนื้อในจิตพฤติกรรมในคุณทำไม่ได้ กิเลสมันลดได้จริงตั้งแต่เบื้องต้นท่ามกลางบั้นปลายอย่างชัดเจนครบถ้วน ทีละลำดับจนแน่ใจว่าตั้งแต่อบายมุขเป็นอย่างนี้หมดแล้ว อธิบายได้

กามก็หมดแล้ว เหลือรูปภพอรูปภพ มานะ อุทธัจจะกุกกุจจะ หากข้างนอกยังทำไม่ได้เลยมันก็ต้องมี มานะ อุทธัจจะกุกกุจจะ แน่ เหมือนกล้องจุลทรรศน์ของคุณส่องขยายได้เท่านี้ ละเอียดกว่านั้นคุณจะรู้ได้อย่างไร ก็กล้องคุณมีสมรรถนะขยายได้เท่านี้ รู้สภาพได้เท่านี้ กล้องจุลทรรศน์ของคุณก็ยังหยาบอยู่เลย หรือกล้องโทรทัศน์ คุณรู้ได้สั้นๆแค่นี้ จะไปรู้ไกลกว่านั้นได้อย่างไร จะไปรู้เสียงสองเป็นโสตทิพย์ได้อย่างไรเพราะยังไม่มีคุณสมบัตินั้น คุณวิเศษนั้น ซึ่งมันต้องทำให้มีเหตุปัจจัยในตัวเองจริงๆ มันจะเกิดขึ้นมาได้

 

ความดับและความเกิดในอานาปานสติสูตร

สรุปแล้ว [๒๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างไรทำให้มากแล้วอย่างไร (พ่อครูไอตัดออกด้วย)  จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ อยู่ในป่าก็ดี อยู่ที่โคนไม้ก็ดี อยู่ในเรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า เธอย่อมมีสติหายใจออก มีสติหายใจเข้า เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้น หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวง หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้าสำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขารหายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขาร หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักระงับจิตสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับจิตสังขาร หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักทำจิตให้ร่าเริง หายใจออก ว่าเราจักทำจิตให้ร่าเริง หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักตั้งจิตมั่น หายใจออก ว่าเราจักตั้งจิตมั่น หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเปลื้องจิต หายใจออก ว่าเราจักเปลื้องจิตหายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัด หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัดหายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส หายใจเข้า สำเหนียกอยู่ ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส หายใจเข้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานาปานสติ อันภิกษุเจริญแล้วอย่างนี้ ทำให้มากแล้วอย่างนี้แล จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ฯ

พ่อครูว่า... คุณมีลมหายใจเข้าออกขณะที่คุณตื่นอยู่นี่แหละ ไม่ใช่ไปรู้สึกแต่ลมหายใจเข้าออกเฉพาะตอนนั่งหลับตา คุณยังไม่ตายก็มีสติรู้ลมหายใจเข้าออก ลมหายใจบอกถึงชีวิตว่ายังไม่ตาย คนจะบอกว่าตายหรือยังก็ดูที่จมูกง่ายๆ ดูแค่นั้นก่อน ส่วนคนอื่นรู้ลึกกว่านั้นก็ค่อยว่ากันในรายละเอียด

มันก็ตื้นๆ ก็แล้วส่วนอื่นล่ะ แค่ลมหายใจเป็นความรู้สึก ตาคุณก็ผ่านสัมผัสเข้าออกเพียงปลายจมูกเท่านี้ การได้เห็น การได้ยินเสียง ลิ้นได้รส เย็นร้อนอ่อนแข็งอีก กิเลสมันเกิดอยู่ได้ทั้งนั้น ซึ่งหยาบกว่าลมหายใจเข้าออกอีก นอกนั้นมันแรงกว่าเยอะแยะ แล้วจะไปตีขลุมว่า เอาแค่นั่งหลับตาดูแค่ลมหายใจเข้าออกก็ดับอาสวะได้นั้นไม่ใช่

ที่ท่านอธิบายไว้ว่า แม้อาสวะบางอย่างดับได้ ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณนั่งหลับตาดับได้ ไม่ใช่ นั่งหลับตาดับไม่ได้หรอก ทำนิโรธฤาษี อุทกดาบส อาฬารดาบสได้ เป็นนิโรธโลกีย์ แต่ไม่ได้รู้กิเลส ตัดกิเลส ดับกิเลส ไม่ได้ฆ่าตัวตนของกิเลส ฤาษี อุทกดาบส อาฬารดาบส ก็ทำแบบนั้นได้ยาวนานจนป่านนี้ไม่รู้จะมาเกิดใหม่หรือยัง พระพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วจะไปช่วยอาจารย์ทั้งสองแต่ท่านก็ตายไปก่อนแล้วก็เลยอุทานว่าฉิบหายแล้วหนอ

ท่านสรุปในอานาปานสติ สรุปว่า ลมหายใจเข้าออกในคนมีชีวิต

ไล่ไปตามกระบวนการ มีกาย มีเวทนาได้ผลลดกิเลสก็เป็นอุปกิเลสในจิตต่อ มันได้ตอนแรก เป็นการได้เมื่อปฏิบัติตามสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้าตามทฤษฏี  คุณก็จะมีจิต วิตกวิจาร ถ้าวิตกวิจารยังแรงอยู่ จิตยังไม่นับว่าสุข ต้องเป็นฌาน 3 จึงระงับปีติ เป็นสุขได้ เข้าถึงเอกัคคตา จิตเป็น 1 1ไม่เป็น 2ที่่จะปรุงแต่งเป็นกาย

สะกดจิตไม่ปรุงแต่งได้ แต่ถ้าเรียนรู้อย่างสัมมาทิฎฐิรู้ตัวเหตุในจิตคือกิเลส ก็ฆ่ากิเลสทำกิเลสให้มัน วิราคานุปัสสี แล้วทำถึง นิโรธานุปัสสี ดับกิเลสได้ เริ่มต้นมีนิโรธ ถึงจะเรียกว่าเข้าสู่วิมุติหรือนิโรธ ถ้ามันยังไม่ดับ ยังไม่ถึงขั้นนิโรธหรือยังไม่ถึงขั้นวิมุตก็ตาม กิเลสมันดับ กิเลสมันเบาบาง วิราคา จางคลาย ก็ยังไม่ถือว่าบริบูรณ์ ต้องนิโรธ ทวนแล้วทวนอีก คือปฏินิสสัคคานุปัสสี ทวนแล้วทวนอีก   ทวนอะไรก็คือ นิสสัคคะ ไม่มีสวรรค์

อาตมาแปลตามสภาวะ ใครจะยึดถือตามไวยากรณ์ก็แล้วแต่

สัคคะ คือสวรรค์โลกีย์ ส่วนโลกุตระไม่มีสวรรค์ โลกุตระดับสวรรค์ดับนรกดับเทวะดับทั้งคู่ มันต้องชัดเจนมันถึงจะสูญ เรียกว่าดับกายก็ได้หรือดับรูปนาม

หรือผัสสะดับ เวทนาดับ ที่จริงมันไม่ดับ มันมีเวทนาอยู่ สัญญาก็ไม่ได้ดับ เพราะว่ามี ผัสสะ เวทนา คุณยังมีชีวิตอยู่ก็ต้องมีสิ่งเหล่านี้ต้องมีสัญญากำหนดรู้ ผัสสะก็มี เวทนาก็มี แต่มันมีอาศัย 1 ได้แล้วไม่เป็น 2 หรือทำ 0 ได้แล้วด้วย 0 อะไร ก็เป็น 0    3 อย่างมัน 0 หมดเลย

ไม่ต้องผัสสะ หรือผัสสะอยู่ก็เหมือนไม่มี ผัสสะ แถมอายตนะก็ด้วย เหมือนไม่มีอายตนะ (นี่ภาษานะ) ไม่มีอะไรมาเชื่อมต่อ อายตนะเป็นสะพานเชื่อมต่อถ้าไม่มีผัสสะ อายตนะไม่เกิด ยิ่งอายตนะไม่เกิดไม่ตั้งที่ไหนเลย นอกจากจะมีสภาพคู่รูปนามที่มีปฏิกิริยากัน

คู่สุดท้ายของสภาวะ 2 ที่มิจฉาทิฏฐิคือ อสัญญีสัตว์ กับ เนวสัญญานาสัญญายตนะ

อสัญญีสัตว์ไม่มีอายตนะ แต่ เนวสัญญานาสัญญายตนะ ก็มีอายตนะ แต่ถ้าคุณไม่มีอะไรกระทบกันสะพานก็ไม่เกิด อายตนะก็ไม่มี หากว่าดับสัญญา

ในสัตตาวาส 9 คุณทำแบบมิจฉาทิฏฐิ คุณก็เข้าใจนิโรธว่าเป็นการดับสัญญา ดับเวทนา คุณก็ทำเหมือนอาฬารดาบส อุทกดาบส ดับเลย เป็นอสัญญีเลย แล้วคุณจะไปรู้อะไรต่อเพราะว่าคนดับสัญญาเกลี้ยงไปหมดแล้ว ของพระพุทธเจ้านั้น สัญญาเวทยิตนิโรธ ไม่ได้ดับสัญญาไม่ได้ดับเวทนาเลย แต่เห็นนิโรธเกิด ทำกิเลสดับนิโรธเกิด

สัญญามันกำหนดรู้ในเวทนา ชัดเจนหมดเลยเคล้าเคลียอารมณ์ เวทยิตตัง โดยสัญญา สัญญากำหนดรู้อย่างเก่งด้วยแล้วเห็นนิโรธดับหมด จึงจะบอกว่าเป็นอรหันต์ได้ แต่นี่ไปดับสัญญาเสียแล้ว อากาสานัญจายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ เก๊หมด เป็นนิรมาณกาย สัมโภคกาย อาทิสมานกาย เป็นกายเก๊ กายภพไม่มีภายนอก สร้างภพชาติเป็นอากาศ สร้างภพชาติเป็นธาตุรู้ เป็นวิญญาณ แล้วก็สร้างความดับ

ความดับของฤาษีมี 3 อย่าง แล้วเขาแยกไม่ออกหรอก 3 อย่างนี้

อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญยายตนะ  ยตนะ 3 อย่างนี้เหมือนกันหมดคือมันดับสัญญาเหมือนกัน แต่ก็ไปปั้นสภาพเป็นอากาศ เป็นวิมาน เป็นวิญญาณ เป็นวิญญาณสัมภเวสีที่ปั้นเอง

สมณะเดินดิน... สรุปจบ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

640804_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5 วันพุธที่ 4 สิงหาคม  2564 ณ บวรราชธานีอโศก ชมวิดีโอได้ที่นี่ ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่น...