วันศุกร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2564

640423_พุทธศาสนาตามภูมิ - มรรคมีองค์ 8 ทำให้พ้นจากอัญญเดียรถีย์

 รายการพุทธศาสนาตามภูมิ
วันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 

ณ บวรราชธานีอโศก


ชมการบันทึกวิดีโอเทป
ฟังเทปบันทึกเสียง


สมณะเดินดินว่า…วันนี้เป็นวันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ในช่วงนี้ทั้งโลกกำลังหวาดวิตกกับภัยโควิด วันนี้ไทยเราก็ติดเชื้อไปสองพันกว่าคน สาเหตุการติดเชื้อระรอก 3 นี้ ระบาดในหมู่คนเมืองที่เที่ยวสถานที่อโคจรกัน

พ่อครูว่า…SMS วันที่ 21 เม.ย. 2564

_ป้า น้อย : ฟังดืๆจะแปลกใหม่กว่าทื่เคยฟังมา

พ่อครูว่า…คนนี้ฟังธรรมแล้ว มีอานิสงส์ในการฟังธรรม 5 ประการ (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย) 1. ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง (อัสสุตัง  สุณาติ)

2. ย่อมเข้าใจชัดในสิ่งที่ได้ฟังแล้ว (สุตัง  ปริโยทเปติ)

3. ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ (กังขัง  วิหนติ)

4. ย่อมทำความเห็นให้ถูกตรง  (ทิฏฐิง อุชุง กโรติ) .

5. จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส (จิตตมัสสะ  ปสีทติ)

(พตปฎ. เล่ม 22   ข้อ 202)

ขอให้ปฏิบัติ แล้วเอาไปอ่านกิเลสที่เกิดจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ที่ทำให้เกิดเวทนาแล้วปฏิบัติที่เวทนา 108 นี่แหละ เข้าไปสัมผัสและเกิดสภาวะคู่เสมอเรียกว่า ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60 ทำให้เกิดเวทนาสองเป็นเวทนาเดียว ซึ่งเป็นสิ่งที่อาศัยกันเกิดตามปฏิจจสมุปบาท

 

_Danuthum Virulhsirikul (ดนุธรรม วิรุฬห์ศิริกุล) : "พระพุทธเจ้า" ท่านเป็น พระมหากษัตริย์ท่านมีพร้อมสมบูรณ์ในทุกทุกอย่าง แต่ท่านก็ทิ้งหมดในทุกอย่าง เพื่อออกบวช แต่พระบางรูปทุกวันนี้ก็เอาทุกอย่าง หลงลาภ หลงยศ สวนทางการสอนของ พระพุทธองค์ ทุกวันนี้ไม่มีแล้ว"พุทธแท้" พ่อท่านเคยพูดไว้ เจ้าอาวาสบางวัด ก็มีแค่พรรษาเท่านั้น เหมือนเป็นยามมีหน้าที่เฝ้าวัดแค่นั้น จะศึกษาพระธรรมคำสั่งสอน ก็หายากเต็มที มีแต่เดรัจฉานวิชาเต็มไปหมด สมัยนี้คนเราเชื่ออะไร

 หลงอะไรง่ายง่าย และขาดเหตุผล เพราะขาดความรู้และคำสั่งสอน ของพระธรรมที่ถูกต้อง ไม่มีพระที่ไหนหรือวัดใดในประเทศนี้ สอนแบบพ่อท่านที่ถูกต้อง ทั้งพยัญชนะ และ สภาวะ ใครฟังแล้วถ้ามีความเข้าใจ และ ปฏิบัติตามได้อย่างถูกต้อง จะสามารถเข้าถึง โลกุตระธรรมได้ ถ้ามีความอดทน และ ลดตัวลดตนได้จริง....กราบนมัสการ"พ่อท่าน"... ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่งครับ..

พ่อครูว่า…อาตมาก็ยืนยันตามความจริงนี้ แต่ขออภัยพุทธศาสนาทุกวันนี้เป็นแบบเวลาที่ปฏิบัตินอกพูดกันอยู่ อาตมาก็ดึงเอาธรรมะที่ถูกต้องคืนมาได้เท่านี้ ก็ขอพูดตรงๆเป็นวิชาการ ไม่ได้ไปข่มไม่ได้ไปทำร้ายทำลายใครหรอก ศึกษาให้ดีถ้ารู้แล้วก็เปลี่ยนทฤษฎี เปลี่ยนวิธีปฏิบัติหน้าที่เสีย มาเอาที่ถูกต้องที่อาตมาอธิบาย แต่จะยากอะไรก็ทำถ้าใจเย็น เอาศาสนา ถ้าคุณไม่เอาศาสนาก็ไปเอาลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขก็แล้วไป คุณไปเอาธรรมะกับพระเจ้า ถ้าใครอยากจะเอาธรรมะก็มาเอาอย่างอาตมา ไม่ต้องไปเอาหรอกศาสนาที่เป็นเดียรถีย์

 

_บัวดาว พรมเลิศ : กราบขอบพระคุณท่านฟ้าไทท่านข้าฟ้าท่านสิกขมาตุกล้าข้ามฝันฟังเข้าใจเพิ่มขึ้นค่ะ

_บุญระบบ มุนีเวช  : ท่านข้าฟ้าเทศน์ตรงสภาวะเข้าใจง่ายดีจังค่ะ

 

_rachagorn iamjaturapatr (รัชกร เอี่ยมจาตุรภัทร) : คนที่ปฏิบัติจริง เกิดผลที่ตนเอง จะเข้าใจและรับผลนั้นโดยอัตโนมัติ  การลดละกิเลสทำให้ร่างกายปราศจากโรคภัย แข็งแรงโดยธรรมชาติเป็นเรื่องจริงแท้ ผู้ที่ไม่ปฏิบัติหรือปฏิบัติไม่ถูกต้องไม่ได้ลดละกิเลส จะเข้าใจไม่ได้เลย เพราะไม่มีสภาวะเกิดที่ตนเอง ในกรณีของพ่อท่านพระโพธิรักษ์นี้เป็นเรื่องจริง ท่านลดละกิเลสได้จริง เราเคยมีประสบการณ์เกี่ยวกับตัวท่านว่าท่านคือผู้ที่บรรลุธรรมจริง คนที่ไม่เชื่อไม่ควรลบหลู่พระอริยะ

 

_Kuan Jam (ควรจำ) : คนส่วนใหญ่เวลาอวยพรให้กันก็หนีไม่พ้นเรื่องสุขภาพ ไม่มีใครอยากทุกข์กายทุกข์ใจ พ่อครูจึงทำให้เห็นเป็นตัวอย่างว่าถ้าอยากมีสุขภาพดีอายุยืนต้องปฏิบัติอย่างไร ในมิติสังคมการมีสุขภาพดีจะช่วยลดภาระแพทย์พยาบาล ลดค่าใช้จ่ายในการรักษา สัมพันธ์กับหลักคำสอนในพุทธศาสนา "สุขภาพจะดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับกิเลสของแต่ละคน ถ้ากิเลสมากโรคมาก กิเลสน้อยโรคน้อย กิเลสมากก็เบียดเบียนมาก การเบียดเบียนทำให้เป็นโรคและอายุสั้น" ในพระไตรปิฏกก็มี

พ่อครูว่า…สรุปว่าเขายืนยันว่าเอาพระไตรปิฎกเป็นหลัก แต่ท่านที่เรียนบาลีจากอรรถกถาจารย์ เป็นหลัก โดยเฉพาะวิสุทธิมรรค ซึ่งเป็นของท่านพุทธโฆษาจารย์ที่ยังไม่เป็นสัมมาทิฏฐิ เป็นบุคคลผู้เป็นสัทธานุสารี ตามหาสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้าท่านพยายามสร้างปัญญาแต่ท่านเป็นสายเจโต ก็ได้อย่างนั้น ศึกษาตามมา อาตมาก็พูดตามที่ควรพูด

 

พระป่าสายหลับตาคืออัญญเดียรถีย์ในปัจจุบัน

_เซียนเบิร์ด ระเบิดแจ็คพอต : ท่านบอกว่าพระอรหันต์ของแท้แล้วบอกว่าหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวน หลวงตามหาบัวทั้งหมดเป็นของเก๊ กรรมหนักท่านพูดแบบนี้ประชาชนเขารู้ไตรก็รู้ครับฟังจากคำสอนของหลวงปู่มั่นปฏิบัติแล้วเห็นจริงครับแล้วท่านไม่ได้ว่าไครด้วยท่านพูดเเบบนี้ผมบอกเลยว่ากรรมหนักมากเลยครับแต่ผมไม่กล้าด่าท่านหรอกครับเพราะยังไงท่านก็เป็นพระแต่ท่านไม่ควรพูดอย่างนี้ครับมันจะกลับย้อนเข้าไปหาท่านเองนะครับ

พ่อครูว่า…ขอบคุณที่แสดงความเป็นห่วงอาตมา

ท่านบอกว่าพระอรหันต์ของแท้แล้วบอกว่าหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวน หลวงตามหาบัวทั้งหมดเป็นของเก๊

ก็ขอยืนยันอีก ด้วยความจริงใจ ไม่ได้มีอคติในจิตใจ พูดอีกทีว่าอรหันต์หลวงปู่มั่นหลวงปู่แหวน หลวงตามหาบัว สายหลับตาทั้งหลายแหล่เป็นโมฆะทั้งนั้น สายหลับตาไม่ใช่ศาสนาพุทธตั้งแต่ต้นแล้ว ไม่มีอปัณกปฏิปทา ไม่เป็นไปตามจรณะ 15 วิชชา 8 ก็หลวงตามหาบัว หลวงปู่มั่น หลวงปู่แหวนก็ปฏิบัติหลับตา มันไม่มีชาคริยา มันไม่ตื่น ไม่มีการสัมผัส ไม่มีการสังวรอินทรีย์ ไม่มีโภชเนมัตตัญญุตา ไม่มีชาคริยานุโยคะ มหาบัวก็กินหมากปากเปรอะ เป็นสิ่งเสพติดอยู่ก็รู้ง่ายๆ แต่ก็ยังเสพติด

มันเป็นจิตแบบเดียรถีย์ ออกนอกขอบเขตพุทธ มันไปยึดสิ่งเหล่านั้นว่าถูกอย่างยึดมั่นถือมั่น อาตมาพูดอย่างไรเขาก็ไม่เชื่อ เพราะว่าปิดประตูแล้วไม่มี ปรโตโฆษะ ไม่มีทางจะโยนิโสมนสิการ ทำใจในใจได้อย่างถูกต้องของแท้ตามของพระพุทธเจ้าหรอก อย่างไรก็ยาก เพราะฉะนั้นมิจฉาทิฏฐิในคู่ที่บอกว่าเป็น ปรโตโฆษะ กับ โยนิโสมนสิการ เขาไม่มี เขาก็ไม่มีทางได้สัมมาทิฏฐิ

อาตมาพาทำอย่างโยนิโสมนสิการไปถึงที่เกิดกิเลส เขาทำไม่ได้ ไปนั่งหลับตาไม่มีวันเข้าถึงที่เกิดเหตุ ไม่มีวันที่จะถ่องแท้ แยบคาย ไม่มีวันที่จะมีการปฏิบัติจิตได้ เพราะมันไม่เป็นวิญญาณฐีติ อย่างนี้ เป็นต้น

ที่อาตมาอธิบายอย่างนี้ 100 อาจารย์มั่น 100 มหาบัว ก็อธิบายอย่างอาตมาไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ธรรมะพระพุทธเจ้า อาตมาอธิบายตามหลักธรรมพระพุทธเจ้า ตรวจสอบตาม พระไตรปิฎกได้ทุกตัว แต่เขาพูดไปอย่างโวหาร วาทกรรม ลิงตกต้นไม้ มันง่ายเข้าใจง่ายตื้นๆรู้ตีหัวเข้าบ้านเป็นพระอรหันต์อย่างนี้เป็นต้น พูดอย่างอื่นๆที่คนเขาฟังเข้าใจกันได้ง่ายๆ ซึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้าเข้าใจไม่ได้ง่ายๆ ทุรนุโพธา รู้ตามได้ยาก คัมภีรา (ลึกซึ้ง), ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก), ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก), สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่), ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น), อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้), นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน), ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น)   (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 34)

ขออภัยที่ต้องพูดอย่างแข็งแข็งยืนหยัดยืนยัน เพราะว่าครึ่งทศวรรษแล้ว 50 ปีอาตมาก็ยกระดับการเป็นผู้ใหญ่ ถือว่าเป็นรัตตัญญูแล้ว เป็นผู้อายุยาวทางธรรม ถึงขั้นนี้แล้ว เข้ารัตตัญญู ก็ต้องตามจริงพูดยืนยันความจริงอย่างผู้ใหญ่ อย่างเมตตาเอ็นดูเด็กๆ ที่ยังพาล ยังเยาว์ ยังไม่เดียงสา

เถรสมาคมทั้งเถรสมาคม ท่านยังเยาว์ ยังพาล ยังไม่เดียงสา ยังไม่เข้าใกล้ธรรมะพระพุทธเจ้า หลงติดอยู่ในลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขทั้งนั้น

 

 

 

มีสูตร ว่าด้วย อัญเดียรถีย์ คือเดียรถีย์เป็นนักบวชนอกศาสนาพุทธ อ่านประกอบ

เล่ม 19 ข้อ 117 อัญญติตถิยวรรคที่ 5 วิราคสูตร ข้อปฏิบัติเพื่อสำรอกราคะ

[๑๑๗] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก พึงถามเธอ ทั้งหลายอย่างนี้ว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ในพระสมณโคดม เพื่อประโยชน์อะไร? เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงชี้แจงแก่พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นอย่างนี้ว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพื่อสำรอกราคะ.

[๑๑๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก พึงถามเธอทั้งหลายอย่างนี้ว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ทางมีอยู่หรือ? ข้อปฏิบัติเพื่อสำรอกราคะมีอยู่หรือ? เธอทั้งหลาย

ถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงชี้แจงแก่พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น อย่างนี้ว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ทางมีอยู่ ข้อปฏิบัติเพื่อสำรอกราคะมีอยู่.

[๑๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทางเป็นไฉน? ข้อปฏิบัติเพื่อสำรอกราคะ เป็นไฉน?

อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แล คือ ความเห็นชอบ ฯลฯ ความตั้งใจชอบ นี้เป็นทาง นี้

เป็นข้อปฏิบัติเพื่อสำรอกราคะ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงชี้แจงแก่

พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น อย่างนี้  จบ สูตรที่ ๑

พ่อครูว่า…ฟังดีๆ เดียรถีย์ แปลว่า นักบวชนอกพุทธ ท่านทั้งหลายเป็นนักบวชนอกพุทธ แต่ชาวอโศกเป็นนักบวชศาสนาพุทธ ไม่มีใครไปจัดการท่านแต่ท่านปฏิบัติผิดเองก็เลยออกนอกขอบเขตพุทธกันไปจริงๆ ที่เป็นสัจจะ

เอ้า เชิญท่านอัญญเดียรถีย์ทั้งหลายในเถรสมาคม ฟัง

อาริยมรรคมีองค์ ​8 มี สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ  สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ

ปฏิบัติให้พ้น สัมมาอาชีวะ 5 ปฏิบัติกัมมันตะให้พ้นมิจฉา 3 ปฏิบัติสัมมาวาจาให้พ้นมิจฉา 4 ปฏิบัติสังกัปปะ 7 ให้พ้นมิจฉาสังกัปปะ 3 แต่ท่านศึกษา แต่ท่านไม่ได้มีการรู้จักรู้แจ้งการศึกษา ท่านได้แต่บัญญัติภาษา ท่านไม่ชัดเจนถึงความหมายเมื่อรู้ความหมายแล้วก็ต้องเอาไปปฏิบัติให้ถึงสภาวะจิต เจตสิก รูป นิพพานจริง ท่านทำไมได้

เพราะแม้แค่นี้ ท่านก็ปิดประตู อาชีะคือหลับตา กัมมันตคือหลับตา วาจาคือปิดปากหลับตา สังกัปปะคือดับจิตหยุดนึกคิด

นี่คือ การปฏบัติอย่างอาจารย์เสาร์ อาจารย์มั่น สายหลับตาทั้งหลาย คือเดียรถีย์

แต่สายพระบ้านที่เข้าใจว่า ปฏิบัติอย่างหลับตาทั้งหลายเป็นเรื่องถูกต้องก็เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิ

ขออภัยที่อาตมาพูดตรงมากพูดถูกหน้าแงเขาตลอดเวลา อาตมาไม่ได้พูดด้วยความโกรธเคืองชิงชัง แต่พูดด้วยความสงสาร

อาตมาพ้นสงสารแล้ว คนไม่ต้องสงสารอาตมาหรอก คืออาตมาพ้นวัฏฏะต่างๆ อาตมาสะดวกมากในการบอกความจริงทุกวันนี้ เพราะอาตมาเป็นพระอรหันต์ พูดอย่างผู้ไม่มีอวิชชาก็พูดอย่างผู้มีวิชชาจริงๆตรงๆ

พวกยึดอวิชชาเป็นวิชชาเขาก็แย้งๆๆ สัจจะมีหนึ่งเดียว ผู้ที่มีปฏิภาณปัญญาจะแย้งอาตมาไม่ได้จะฟังอย่างสงบแต่ผู้ที่ไม่มีปัญญาก็จะแย้งๆๆ มันเป็นสัจจะนะตรงนี้ อาตมาพูดก็ยกอ้างธรรมะพระพุทธเจ้าสัจจะมีหนึ่งเดียว

เถรสมาคม พระที่บริหารศาสนาพุทธอยู่ในเมืองไทย คือกลุ่มเถรสมาคมหรือคณะใหญ่นี้ กับทางพระปฏิบัติคือสายหลับตาทั้งหลายไม่ใช่เฉพาะสายอาจารย์มั่น สายอื่นก็สายหลับตา แต่ถือว่าอาจารย์มั่นเป็นอาจารย์ใหญ่มาก ซึ่งพากันออกเป็นเดียรถีย์ กันหมดแล้ว

ก็ท่านจมวนอยู่ในวัฏสงสารที่ยังไม่ผุดไม่เกิด ยังจมอยู่ในวังวนโลกียะต่ำ โลกียะลงนรกมืดด้วย เรียกว่าอเวจี

เอาอินทริย์ภาวนาสูตร

อินทรีย์ภาวนา แปลว่า ปฏิบัติให้เกิดผล แล้วเป็นการเจริญอินทรีย์เจริญอย่างไร วิธีปฏิบัติพลังกำลังของการจะเกิดพลังทางจิต เจตสิก รูป นิพพาน เกิดพลังไปกำจัดกิเลสจะเจริญอินทรีย์อย่างไร หมายความว่าอินทรีย์คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทางทวารทั้ง 6 จะปฏิบัติอย่างไร ปฏิบัติกับอินทรีย์ทั้ง 6 อย่างไร

ทีนี้ ในเรื่องนี้ท่านว่าไว้ใน อินทริยภาวนาสูตร ล.14

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖

มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์

๑๐. อินทริยภาวนาสูตร (๑๕๒)

             [๘๕๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-

             สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าไผ่ ในนิคมชื่อกัชชังคลา ครั้งนั้นแล อุตตรมาณพ ศิษย์พราหมณ์ปาราสิริยะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ แล้วทูลปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการทักทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ฯ

             [๘๕๔] พอนั่งเรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามดังนี้ว่า ดูกรอุตตระ ปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกหรือเปล่า ฯ

             อุ. แสดง พระโคดมผู้เจริญ ฯ

             พ. ดูกรอุตตระ แสดงอย่างใด ด้วยประการใด ฯ

             อุ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ท่านปาราสิริยพราหมณ์แสดงการเจริญอินทรีย์แก่สาวกทั้งหลายอย่างนี้ว่า อย่าเห็นรูปด้วยจักษุ อย่าได้ยินเสียงด้วยโสต ฯ

             พ. ดูกรอุตตระ เมื่อเป็นเช่นนี้ คนที่เจริญอินทรีย์แล้วตามคำของปาราสิริยพราหมณ์ ต้องเป็นคนตาบอด ต้องเป็นคนหูหนวก เพราะคนตาบอดไม่เห็นรูปด้วยจักษุ คนหูหนวกไม่ได้ยินเสียงด้วยโสต เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ อุตตรมาณพ ศิษย์ปาราสิริยพราหมณ์ นั่งนิ่ง เก้อเขิน คอตกก้มหน้า ซบเซา หมดปฏิภาณ ฯ

พ่อครูว่า…ท่านอุตระมีปฏิภาณปัญญา ฟังพระพุทธเจ้าก็เข้าใจ สะดุ้งสุดตัวเลย เราเรียนมาผิดหรือ แต่ชาวเถรสมาคม สายพระป่า สายอาจารย์มั่นก็ตาม หรือสายหลับตาทั้งหลาย คอตกซบเซานั่งนิ่งที่ไหน ก็มีแต่แย้งว่า อรหันต์หรือ? ก็คนตาบอดหูหนวกจะไปเห็นพระอรหันต์ได้อย่างไร คนตาบอดไม่เห็นหรอกเมฆ แต่คนตาบอดสอดตาเห็นก็พากันมาชมเมฆกันใหญ่ บอกว่า สวยจริง

ปฏิบัติธรรมของเขาทุกวันนี้ไม่มีมรรคมีองค์ 8 เข้าได้ปฏิบัติอาชีพ 5 ที่ไหน ปฏิบัติกัมมันตะที่มีมิจฉา 3 ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร  เขาไม่ได้ปฏิบัติเลย เขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เขาไม่ได้ปฏิบัติกัมมันตะที่ให้พ้นมิจฉาชีพ 5 เขาก็กุหนา ลปนากันอย่างหลงงมงายเลย เกิดเรื่องเกิดราวสารพัดกัน ที่จริงเขาประนีประนอมซูเอี๋ยกัน ถ้าไม่ประนีประนอมกัน เขาปราชิกกันไปเยอะแล้ว โดยเฉพาะเรื่องเงินทอง

เอาอีกอัน อวดอุตรมนุสธรรมที่ไม่มีจริงในตนก็ปาราชิกเหมือนกัน อวดอรหันต์เก๊ มีในตนแต่เป็นของเดียรถีย์ แล้วมาบอกว่าของพระพุทธเจ้าอีก ฟังดีๆ คุณเซียนเบิร์ด

คุณบอกว่า อรหันต์ของแท้ แต่อาตมาว่าอรหันต์ของเก๊ คุณบอกว่าอาตมามีกรรมหนัก อาตมาว่า อาตมาหนักที่มีกุศลธรรม แต่ทางโน้นอกุศลกรรมหนักกว่าอาตมา อาตมาต้องช่วย

เขาว่า ประชาชนก็รู้ใครก็รู้...ที่ว่าท่านไม่ได้ว่าใคร ท่านจะไปว่าใครได้ เพราะท่านไม่รู้เรื่อง เป็นยังไงท่านไม่รู้เรื่องธรรมะพระพุทธเจ้าเลยจะไปว่าใครได้ แต่อาตมานั้นรู้ลึกซึ้งจึงว่าได้ ยังหยิบเอาความละเอียดมาว่าได้อีกนะ อาตมารู้ก็ว่าได้ แต่ท่านไม่รู้จะเอาอะไรมาว่าเขาได้

อาตมามีกุศลกรรมหนักมาก แต่ที่คุณไม่กล้าด่า ก็เป็นความดีของคุณ ก็ยังรู้จักไว้ รู้จักฐานะ อาตมาก็ขอบอกว่า อาตมาควรพูดอย่างนี้ เพราะสมัยพระพุทธเจ้านั้น ท่านด่าเดียรถีย์อย่างกับอะไรดี แต่คุณบอกว่าท่านไม่ด่า แต่ท่านว่า ท่านบริภาษก็คือด่า แล้วคนมาแปลพระบาลีเป็นไทยก็แปลด้วยคำวิจิตรไพเราะที่ไม่เป็นโลกุตระธรรม ที่จริงมันต้องแปลแรงกว่านั้นแต่ถ้าท่านแปลให้ดูนิ่มนวลให้ ดูไม่แรง เลยทำให้น้ำหนักของความผิดมันหนัก ความผิดมันมันหยาบก็เลยกลายเป็นเบานุ่มนิ่มไปหมดเลย นี่ก็เป็นบาปของผู้แปล เป็นความผิดของผู้แปลที่เจตนาดี แต่เป็นการทำอกุศลใส่ตัว ทำผิด

ยกตัวอย่าง อย่างพระสารีบุตร เป็นคนไม่เรียบร้อยสุภาพ เดินไปก็ไปโดนคนนั้นคนนี้ ท่านก็แปลว่าพระสารีบุตรเอา

สู่แดนธรรม...ในอัมพัฏฐสูตร ที่แปลอาจารย์ของอัมพัฏฐะ ถีบหรือเตะ แต่ท่านแปลว่าเอาเท้าปัด

พ่อครูว่า…อันนั้นก็ได้ แต่พระสารีบุตร ท่านกระโดกกระเดก ท่านก็เดินไปชนได้ แต่ท่านไปแปลว่า เอาชายผ้าไปกระทบ ก็เป็นเจตนาดีของท่าน อยากให้สุภาพ สวยดูดี แต่มันผิดสภาวธรรมก็เลยเพี้ยนไปเรื่อยๆ

 

อัญญเดียรถีย์ของศาสนาพุทธยุคปัจจุบันคืออย่างไร

ที่ว่าอาตมาไม่ควรพูดอย่างนี้ แต่อาตมากลับเห็นว่าควรพูดให้ถูกต้องตามมหาปเทส

มากเลย

อาตมาพูดเกินที่พระพุทธเจ้าว่าไว้ เพราะมันมีเหตุปัจจัยต่างๆ เกินกว่าในยุคพระพุทธเจ้ามาก ยกตัวอย่างง่ายๆ ในยุคพระพุทธเจ้า ภิกษุทั้งหลายไม่เคยหลงลาภ ยศสรรเสริญ ในยุคนี้ไม่มี เกินกว่าที่พระพุทธเจ้าท่านจะห้ามหรือพูดถึง เพราะในสงฆ์หมู่อื่นไม่มี แต่มีศาสนาพราหมณ์ ที่เพี้ยนจากพุทธไปเป็นเดียรถีย์ มันกลับไปกลับมาด้วยสัจธรรม พุทธกับพราหมณ์ สองอันสลับไปมาตลอดกาล

พราหมณ์คือ สายเทวนิยมของพุทธ แต่สายเทวนิยม100% อย่างสายทางยุโรป ทางตะวันออกกลาง มันไม่ใช่สายทางเอเชีย อินเดีย มันเป็นเทวนิยมคนละขั้ว

เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าท่านบริภาษเดียรถีย์ อย่าไปบอกว่าท่านไม่บริภาษ แต่ท่านบริภาษโดยสภาวะ เพราะว่าเดียรถีย์เขาไม่ใช่ชาวพุทธ ท่านว่าเนื้อหา ก็ไม่ต้องพูด สมาคมเดียรถีย์ แต่อาตมาก็ต้องว่า ในกลุ่มพุทธ ก็ต้องว่า เถรสมาคมเดียรถีย์ มันก็คนละยุค และก็คนละหน้าที่ หน้าที่พระพุทธเจ้าไม่ต้องมาว่าชาวพุทธหรอก ก็มีส่วนเล็กน้อยที่เกะกะเกเรอย่างพวกฉัพพัคคีย์ หรือลูกศิษย์พระเทวทัต ท่านก็ว่าแรง ว่าจะถูกแผ่นดินสูบลงนรกอเวจี จะบอกว่าท่านไม่ว่าได้อย่างไร ท่านว่า แต่คุณได้พยายามกลบเกลื่อนให้คนที่พร้อมจะตามฟังอย่างที่คุณพูด ให้มาฟังอาตมาบ้าง (ว่าภิกษุสาติ ท่านก็ว่าแรงอย่างเช่น เธอขุดเรา เป็นคำแรง)

พ่อครูว่า…คือ ทำลายพระพุทธเจ้าถึงราก (ขุดเรา) ภิกษุสาติมีทิฏฐิอันลามกเห็นปานนี้เกิดขึ้นว่า "เราย่อมรู้ทั่วถึงธรรมตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ว่า  วิญญาณนี้นั่นแหละ ย่อมท่องเที่ยว  แล่นไป  ไม่ใช่อื่น”

ภิกษุเหล่านั้นปรารถนาจะปลดเปลื้องภิกษุสาติจากทิฏฐินั้น  จึงซักไซ้ ไล่เลียงสอบสวนว่า  ท่านอย่ากล่าวอย่างนี้  ท่านอย่ากล่าวตู่พระผู้มีพระภาค  การกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคมิได้ตรัสอย่างนี้เลย  ดูกรท่านสาติ วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น  พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยปริยายเป็นอเนก  ความเกิดแห่งวิญญาณเว้นจากปัจจัยมิได้มี.  (มหาตัณหาสังขยสูตร พตปฎ. ล.12  ข.440)

ภิกษุสาติ ไปหลงวิญญาณสัมภเวสี ไม่เอาวิญญาณฐีติ ที่เป็นของศาสนาพุทธ เอาปฏิบัติที่สัมผัสอยู่ปัจจุบันทางทวารทั้ง 6 จึงมีสถานที่ตั้งแห่งการปฏิบัติ แต่ว่าสัมภเวสีไม่มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็คือไปนั่งหลับตา ถ้าคนฟังธรรมะเป็น อาตมาพูดนี้ชัดเจนนะ การหลับตาเป็นของเดียรถีย์ทั้งหมด แล้วทำไมศาสนาพุทธทุกวันนี้ไปหลงหลับตา ก็คือมันเป็นมิจฉาทิฐิไปหลงความผิดเป็นความถูก จึงไปหลงเดียรถีย์ ไม่ใช่อาตมาไปกล่าวโทษใส่ความ แต่มันเป็น อาตมาจึงหยิบความเป็นจริงเอามาพูดในฐานะเป็นชาวพุทธด้วยกัน อาตมาไม่ไปว่าหรอกเดียรถีย์ข้างนอกหรือเดียรถีย์ข้างนอก อาตมาจะพูดกับพี่น้องชาวพุทธ ว่า

เธอมิจฉาทิฏฐิไปแล้วนะ พูดกับเขาก็ตรงหน้าแงเขาเลยก็เลยแรง แต่มันเป็นสัจจะ ที่อาตมาพูดซ้ำซากไม่ใช่อาตมาดื้อด้านดึงดัน แต่อาตมามีเมตตาสูง อาตมาจะมีเมตตาไม่มีประมาณอยู่ตลอด มาพยายามดึงพวกเดียรถีย์มาสู่ทางพุทธ สำหรับพวกหลงทาง แต่พวกที่เป็น อัญญเดียรถีย์อย่างสนิทแล้วเขาไม่ฟังอาตมาหรอก เขาตีทิ้งคนละส่วนเลย เขาจะอยู่ส่วนเขาเราก็อยู่ส่วนเรา เป็นนานาสังวาส จะเรียกว่าคนละนิกาย คนละศาสนาก็ไม่เป็นไร มันอยู่ในศาสนาเดียวกัน อาตมาก็ถือว่าเป็นนานาสังวาส อาตมาก็จบอยู่ 2 อย่างนี้

1. ถ้าผู้ใดบรรลุธรรมด้วยกันก็เป็นหนึ่งเดียวกัน ส่วนผู้ไม่บรรลุธรรมเขาจะเห็นต่างกันหมด ไม่มีทางที่จะเป็นหนึ่งเดียวกันได้เลย เมื่อเราเห็นอย่างนั้นแล้วเราก็จบ คุณก็เห็นอย่างนึงเราก็เห็นอีกอย่างหนึ่ง เรียกว่านานาสังวาส ก็จบ นี่คือความจบของพระพุทธเจ้า อาตมาก็ไม่มีปัญหา คนที่เป็นนานาสังวาสคนละนิกาย คนละศาสนา คุณก็เป็นไปซิ   ไปทำกับคุณอาตมาก็ไม่ได้ว่าพวกคุณ แต่อาตมาว่าพวกพุทธที่ควรทำให้ถูกตามพระอนุสาสนีของพระพุทธเจ้า แล้วอาตมาก็เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพูดสิ่งที่ถูก มันก็จะไปฟาดหัวผู้ที่ปฏิบัติผิด พูดเมื่อไหร่ก็ฟาดหัวผู้ที่ปฏิบัติผิด แต่คุณบอกว่าคุณปฏิบัติถูก คุณก็ไปอยู่กับพวกเดียรถีย์ แต่ถ้าคุณว่าไม่ใช่ คุณเป็นพุทธ ก็ต้องมาฟังสิ่งที่อาตมาพูดสิ

นอกจากคุณจะบอกว่า ตกลงคุณไม่ยอมไปเป็นเดียรถีย์แต่คุณจะอยู่นี่แหละ คุณก็อยู่ของคุณเป็นนานาสังวาส อาตมาไม่ไปว่าคนละศาสนาหรอก คุณก็ยืนยันว่าคุณเป็นพุทธอาตมาจะไปว่าอะไรได้ แต่คุณก็คือพวกนอกคำสอนของพระพุทธเจ้า ทำคำสอนพระพุทธเจ้าเรียนคำสอนพระพุทธเจ้าไม่ถูกไม่ตรง ไม่เข้าเป้าเลยแม้แต่แค่ กรรม 4 สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ก็ทำมิจฉากันอยู่ มิจฉาอาชีพ 5

ชาวอโศกพ้นมิจฉาอาชีวะ 5 ได้

1. การโกง ทุจริต คอร์รัปชั่น (กุหนา)  มีในงานการเมือง .

2. การล่อลวง หลอกลวง (ลปนา) ในนักธุรกิจ-การเมือง .

3. การตลบตะแลง (เนมิตตกตา)  ยังเสี่ยง-ยังไม่แน่แท้

4. การยอมมอบตนในทางผิด  อยู่คณะผิด (นิปเปสิกตา)

5. การเอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะ  ลาภัง  นิชิคิงสนตา)

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 275  มหาจัตตารีสกสูตร)

พ่อครูว่า…คุณทำงานทำการกับหมู่กลุ่มแต่ก็ยังเอารายได้เข้ากระเป๋าตัวเอง คือยังไม่พ้น ลาเภนะ  ลาภัง  นิชิคิงสนตา ยังรับค่าแลกเปลี่ยนเป็นค่าแรงงานของคน ยังไม่พ้นมิจฉาชีพข้อที่ 5 แต่ชาวอโศกเป็นผู้พ้นมิจฉาชีพข้อ 5 เยอะ แต่ก็ยังมีผู้แฝงอยู่ก็ยังพอมี หาเลห์หาเหลี่ยมเอาให้แก่ตัวเองได้มากๆ พวกนี้ก็ยิ่งบาปหนัก เพราะว่ามาเอาจากผู้ที่ท่านบรรลุ ผู้ที่ท่านสูงส่ง ถ้าไปแย่งชิงจากผู้ที่ต่ำก็บาปไม่กระไร แต่นี่ไปแย่งชิงจากผู้ที่ท่านสะอาดบริสุทธิ์แล้ว ก็ยิ่งบาปหนักซับซ้อน เพราะฉะนั้นการมาทำแย่งรายได้ มาเบียดหรือแอบเอาจากในนี้มันบาปนะ ถ้าคุณจะเอารายได้ควรไปทำข้างนอก คุณจะมีความรู้ความสามารถอยากได้รายได้อยู่ก็ทำ แต่ถ้ามาอยู่ในนี้ไม่ควรจะมาเอารายได้อยู่ในนี้  จะมาทำเพื่อปฏิบัติตนให้ตนเองเป็นหนี้ซ้ำซ้อนมาเอารายได้อยู่ในนี้มันบาปเยอะ นี่ก็พูดสัจธรรมให้ฟัง

เพราะฉะนั้นในสายของศาสนาเถรสมาคม เป็นอัญญเดียรถีย์ไป ทั้งหลับตาปฏิบัติก็เป็นเดียรถีย์ 100% ลืมตาก็เป็นเดียรถีย์ 100% เพราะไปหลงโลกีย์เต็มรูปด้วย พระปฏิบัติเค้าหลับตายังไม่หลงลาภยศสรรเสริญเท่ากับสายลืมตาเถรสมาคม สายนั้นจมอยู่ในลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอย่างเนียนสนิทเลย ซึ่งน่าสงสารมาก อาตมาพูดด้วยความสงสาร “เด็กเอ๋ยเด็กน้อย ความรู้เจ้ายังด้อยเร่งศึกษา เมื่อเติบใหญ่เจ้าจะได้มีวิชา เป็นเครื่องหาเลี้ยงชีพสำหรับตน” น่าสงสาร ยังเป็นเด็กผู้ไม่เดียงสาอยู่เลย อาตมาทำงานเมื่ออายุป่านนี้แล้ว จึงพูดได้เหมือนผู้เป็นผู้ใหญ่ พูดอย่างอื่นดูหรือสงสาร

ท่านทั้งหลายที่อายุบางคนมากกว่าอาตมา ก็ยังเป็นเฒ่าทารกอยู่ พูดง่ายๆใช้ศัพท์ชัดๆทางโลก เป็นอย่างนั้นจริงๆ เป็นผู้เยาว์วัยอยู่ แม้แต่อายุมากก็เป็นผู้เยาว์วัย ไม่เดียงสาเลย งมอยู่กับ ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ศาสนาพุทธเป็นโลกุตระ เห็นลาภยศสรรเสริญโลกียสุขเป็นของสกปรก เป็นของไม่น่าไปแตะ เป็นของไม่ควรจะไปแปดเปื้อน

 

นิมนต์พ่อครู จิบน้ำ

สมณะเดินดิน…ในแวดวงพวกเราที่มาอยู่ทำงานฟรี ไม่มีเงินเดือนก็เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อย่างมาก องค์ประกอบสังคมเราบริบูรณ์ในการปฏิบัติธรรมแล้วทำไมต้องโลภเอาให้แก่ตัวเองมาก

 

ผู้บรรลุมรรคมีองค์ 8 ของศาสนาพุทธเป็นอย่างไร

พ่อครูว่า…ก็มาตอบผู้ที่ยังไม่เข้าใจ ไปหลงอยู่ในมิจฉาอาชีวะ 5 มิจฉากัมมันตะ 3 มิจฉาวาจา 4 มิจฉาสังกัปปะ 3

ฟังมิจฉาอาชีวะ 5 นั้น เพราะไม่สามารถรู้สัมมาทิฏฐิ ไม่สามารถปฏิบัติสัมมาสังกัปปะได้ วาจา 4 จึงไม่เป็นสัมมา พูดออกนอกรีดพระพุทธเจ้าเป็นมิจฉาวาจา ไปพูดอะไร ทั้งหมดเลย ทั้งพูดไม่จริงเรียกว่าโกหก แล้วยังมีส่อเสียด พูดหยาบ หยาบอย่างไร?.. หยาบอย่างหวาน หยาบอย่างไพเราะจนหลงคารม

อาตมาพูดไม่หยาบไม่หวาน พูดถึงความผิด พูดถึงสิ่งที่เป็นสัมมาทิฏฐิ มันก็ถูกต้อง พูดถึงมิจฉาทิฏฐิมันก็ไปโดนเขา มันก็เลยแรง คำว่าไม่พูดหยาบ จึงไม่ง่าย แล้วอาตมาไม่ได้พูดส่อเสียด ท่านทั้งหลายพูดส่อเสียดกันตลอดเวลา ส่อเสียดคือทำให้ทะเลาะกัน ส่อเสียดนี้ใครผิดใครถูกคุณก็ไม่รู้ ก็เลยพูดเข้าข้างทางนั้นเข้าข้างทางนี้ เพื่อให้คนฟังแล้วก็เกิดความยึดถือ เพ่งโทษกัน ก็ทะเลาะกันอยู่ตลอดเวลา เรียกว่าส่อเสียด พวกที่พูดส่อเสียดตลอดเวลา คือพวกนักข่าว พวกบรรณาธิการ พวกหาเรื่อง ถ้าเขาไม่มีเรื่องก็ไม่มีเป็นข่าวมาให้พูด เขาก็เป็นคนทำให้เกิดเรื่อง เพราะฉะนั้นนักข่าว นักงานหนังสือพิมพ์ เสี่ยงกับบาปมากเลย เพราะเป็นพวกนักส่อเสียด อันนี้ไม่ได้ใส่ความนะ

การจะเป็นนักข่าวที่ดีต้องรู้ว่าตัวเองพูดส่อเสียดหรือไม่ พูดให้เกิดความเข้าใจหรือไม่ คุณต้องเป็นการตัดสินแยกแยะว่าอะไรผิดหรือถูก การจะเป็นนักข่าวได้ คุณต้องเป็นยอดยิ่งกว่านักผู้พิพากษาที่จะต้องรู้ความถูกความผิดจริง การเป็นนักข่าวที่ไม่มีปัญญาจึงได้บาปเยอะ โดยไม่รู้ตัว น่ากลัวมาก พูดให้ฟัง พวกนักข่าวทั้งหลายแหล่ หรือนักหนังสือพิมพ์ นักเขียนบรรณาธิการ พวกหาเรื่องเก่งๆ ถ้าไม่มีเรื่อง เขาก็ไม่มีสิ่งที่จะมาหากิน จึงมีความเสี่ยงมาก เพราะฉะนั้นจึงเป็นงานที่ไม่น่าทำ เป็นมิจฉาชีพที่น่ากลัวมากเลย งานบรรณาธิการงานนักข่าวจะต้องมีปัญญาจริงๆ มีภูมิธรรมสูงเป็นอรหันต์ หรือเป็นอริยบุคคลชั้นสูงที่จะรู้ความถูกความผิด หรือว่าอะไรคือกุศลอกุศลที่แท้ คุณจึงจะแยกแยะพูดให้รู้ว่า อันนี้เป็นกุศล แต่พวกคุณยังไม่ได้เป็นเลย มันก็เลยยากมาก

ในกัมมันตะ 3 ฟังดูตื้นๆ ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร เขาก็มิจฉากัมมันตะเต็มกันไปสังคม ไม่ได้มีเมตตากันในสัตว์เลย หวังประโยชน์เพื่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ ในศีลข้อที่ 1 ไม่มี ศีลข้อที่ 2 ก็ยังโลภ ลาภยศ จนผิดหยาบ กลาง ละเอียด ยังโลภมากเท่าใด ทำงานพ้นมิจฉาอาชีวะ 5 ทำงานฟรี นั้นจึงจะเป็นงานพ้นการมิจฉาได้ คือทำงานไม่มีลาภ

ซึ่งมันไม่ง่ายเลยในการทำกัมมันตะ การงานที่จะเป็นอาชีพและเป็นการงานเลี้ยงชีพด้วยกัมมันตะที่เบียดเบียนสัตว์ โดยเฉพาะเบียดเบียนคน อาตมานี้ไม่เบียดเบียนใคร มีแต่สงสารคน มีแต่เมตตาคนไม่ได้เบียดเบียน ด่าเอาบุญ พูดบริภาษ อาตมาว่า ผู้จะบริภาษได้ ต้องเป็นผู้รู้จริงถ้าไม่รู้จริงก็บริภาษผิดก็เป็นวิบากของคนพูดไป

เพราะฉะนั้นแม้แต่การจะรู้ กรรม 4 สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ เขาก็พ้นมิจฉาได้ยาก เพราะว่าสังกัปปะ 7 มิจฉา 3 ของสังกัปปะ 7 คุณไม่พ้น

มิจฉา 3 ของสังกัปปะ ผู้รู้จิตในจิต จัดการเรื่องจิตรู้จักสังกัปปะ 7 รู้จักจิตที่วิตกแล้วก็ทำให้จิตเป็นวิจาร คือพฤติที่ดียิ่ง

วิจาร จาร แปลว่า อาการจิตดำเนินอยู่ ถ้ามันดำเนินเป็นวิ ที่ไม่ควรเป็น คือต้องปฏิเสธต้อเนกขัมมะเอาออก ถ้าทำเป็นแล้วมันก็จะดีขึ้น วิ ดียิ่งขึ้น คำว่า วิ นี้ มีสิริมหามายา มีความหมายทั้ง 2 ด้าน dialagtic ถ้าฟังเป็นจะแยกแยะได้แล้วไม่แย้ง อันนี้หมายถึงสิ่งที่ปฏิเสธ อันนี้หมายถึงที่เป็นอย่างยิ่ง ดีอย่างยิ่ง เจริญอย่างยิ่ง ก็เป็นวิจาร

ต้องแยกสิ่งที่ไม่ดี วิ เอาออก ให้บริสุทธิ์ดีเป็น วิ อันยิ่งได้ ทำให้กิเลสออกได้ รู้จักมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ กิเลสหลุดได้ เมื่อกิเลสหลุด จิตก็สะอาด สั่งสมเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโสอพินิโรปนา เรียกว่าจิตสงบ ตกผลึกลงเป็นจิตตั้งมั่น ควบแน่น อัปปนา พยัปปนา แน่นยิ่งขึ้น ยิงแน่นยิ่งคล่อง ยิ่งคล่องยิ่งแน่น เป็น ปาคุญญตา เป็นมุทุธาตุ เป็นธาตุที่มีมรรคผล ทั้งสองด้าน ไม่มี กับ มี  มุทุ

เพราะฉะนั้นผู้ที่บรรลุ จิตก็ยิ่ง เจตโสอภินิโรปนา ยิ่งตั้งมั่นอย่างสมบูรณ์แบบ ยอดเยี่ยม เป็นผู้ที่หลุดพ้น อย่างเป็นจิตตั้งมั่นสมบูรณ์แบบ สมาหิโต เจตโสอภินิโรปนา จึงมีตัวทั้งรู้และตัวที่สั่งสมลงเป็นตัวตั้ง เป็นเจโต เป็นศรัทธา และมีปัญญา ตักกะ วิตักะ สังกัปปะ เป็นสายปัญญา ส่วน อัปปนา พยัปปนา เจตโสอภินิโรปนา เป็นสายเจโต จึงเป็นความสมบูรณ์สูงสุดเป็นสองสภาพที่รวมกันอยู่เป็นวจีสังขาร นี่คือสังกัปปะ 7

การแยกแยะสังกัปปะ 7 เป็น ไม่ได้เอามาจากอาจารย์ไหน คัมภีร์ไหน อาตมาใช้ภาษาที่พูดกันรู้เรื่อง เป็นภาษาถิ่นที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า ให้พูดเป็นภาษาถิ่น ให้คนรู้เรื่อง อย่าไปดัดจริตหลงภาษาอื่นๆ ให้เก๋ให้เท่ห์ ไม่เอา ให้พูดภาษาที่เขาเข้าใจได้ดี มั่นใจว่าพูดไปนี้พวกเราจะรู้กัน ใช้ภาษาอย่างนี้ขณะนี้ เป็นคำว่าภาษาถิ่น ภาษาในสมัยนั้นยุคนั้น ที่พูดกันรู้เรื่อง ไม่ต้องไปกังวลจะต้องเป็นบาลี สันสกฤต เป็นภาษาอย่างนี้อธิบายแจกแจงให้เข้าใจถึงเนื้อหาและปฏิบัติให้ได้ บรรลุได้ พระบาลีไม่รู้ซักตัวก็ไม่เป็นไร แต่ผู้รู้บาลีก็เอาบาลีมาอ้างอิงยืนยันเท่านั้นเอง ถ้าอาตมาไม่อ้างอิงบาลี ไม่อ้างอิงสิ่งที่เป็นหลักฐานมา อาตมาทำไม่ได้หรอก เขาไม่ยอมรับ มันจำเป็นเท่านั้นเอง ไม่ได้อ้างเพื่ออยากโก้ว่า ผู้รู้บาลี ไม่ใช่ เขาหาว่าไม่รู้บาลีตามระบบการศึกษาแบบวจีวิพากษ์ วากยสัมพันธ์ ไวยากรณะ คุณก็ได้เรียนตามระบบก็ได้พยัญชนะได้ตามแบบนั้นของคุณไป แต่อาตมานี้ เอาสภาวะแท้ๆ มาพูดเต็มๆ อาจไม่อยู่ในกรอบไวยากรณ์ ไม่อยู่วจีวิพากษ์  ไม่อยู่วากยสัมพันธ์ของคุณ ไม่เข้าหลักเข้าเกณฑ์ของคุณ ​แต่อาตมาพูดอย่างผู้ที่ อาตมาไม่ได้ตกกฎเกณฑ์ของพระพุทธเจ้า ไม่ได้ออกนอกเรื่องนอกกรอบ แต่อาตมาพูดไปได้อย่างเต็มที่ พูดอย่างเอาสาระเป็นหลัก ออกนอกกรอบที่คุณรู้คุณเรียนมาได้โดยมั่นใจว่าไม่ได้ผิด

เหมือนนักดนตรีที่เขารู้ว่าเขาเล่นกันเป็นวงอยู่ เขาก็ออกนอกหมู่ไปเดี่ยว แต่เขาก็เข้ามาสู่หมู่ได้ ไม่ใช่ออกนอกหมู่แล้วกลับเข้าหมู่ไม่ได้เลย มันไม่ใช่อย่างนั้น

ศาสนาทุกวันนี้เป็นศาสนาที่น่าสงสารมาก ได้แต่พูดคำว่าสงสาร หมายความว่าเราพูดโดยเห็นเขาวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ ในวัฏสงสาร วนเวียนอยู่ในโลกีย์ วนเวียนอยู่ในความผิด วนอยู่ในความหลง ตามคุหัฏฐกสูตร

คำว่า กาย คำเดียวเขาก็ยังไม่รู้ เขาไม่รู้คำว่า กาย อย่างสัมมาทิฏฐิ แล้วเขาก็ไม่รู้อัตตาตัวตนที่เรียกว่า สักกะ ยังเข้าถึงตัวตนไม่ได้ ยังยึดได้แค่อัตตวาทุปาทาน ยึดได้แค่วาทะ ตัวตนแต่เขายังไม่เข้าถึงอัตตา

ผู้ที่จะรู้ถึงอัตตาดีและปฏิบัติตนทำใจในใจของตนออกจากอัตตาได้นั้น คุณต้องพบมิตรดี สหายดี สิ่งแวดล้อมดีก่อน คุณต้องพบแสงอรุณ 7 ก่อน ถ้าคุณยังไม่พบก็จะไม่มีปัญญารู้ว่าอัตตาคืออะไร โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา

ในพระไตรปิฎก 45 เล่ม ที่บอก อัตตา 3 อาตมาเห็นในพระไตรปิฎกเล่ม 9

1. การยึดครองหรือได้ตัวตนวัตถุภายนอก (โอฬาริกอัตตา ฯ)

2. การยึดครองหรือได้อัตตาที่สำเร็จด้วยใจ  ปั้นรูปสัญญา ไม่อาศัยวัตถุภายนอกหยาบๆ แล้ว (มโนมยอัตตา ฯ)

3. การยึดครองหรือได้อัตตาที่หารูปมิได้  หรือรูปละเอียดที่ปั้นสำเร็จขึ้นด้วยสัญญา (อรูปอัตตา  ปฏิลาโภ) 

(โปฏฐปาทสูตร  พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 302)

 

มีบันทึกอัตตา 3 นี้ไว้ตรงนี้เท่านั้น ในพระไตรปิฎก 45 เล่ม

เป็นลาภที่ได้อัตตา มันเป็นอย่างไร มันน่าได้ไหม ได้อะไร โอฬาริกอัตตา อัตตาเบ้อเร่อเลย ไม่รู้ว่าคุณแสวงหาอะไร คุณต้องแสวงหาความหมดอัตตาและคุณก็ไปหอบได้อัตตามา การได้ครองหรือได้ตัวตนหมดทั้งภายนอกและภายใน โอฬาริกอัตตา คุณไม่รู้แม้ภายนอกภายใน รวมหมดเลย โอฬาร ตะกละตะกลาม สวาปาม หมดเลย ได้โลกธรรม 100% เลย

จนกระทั่งสามารถแยกออกว่า มโน จิตของเราไปหลงยึดอัตตาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอัตตาภายนอก อัตตาภายใน มโนมยอัตตา ก็ลดอัตตาภายนอกก่อน หมดกามภพหยาบภายนอกแล้วก็เหลือภายใน  รูปภพ อรูปภพ ก็ล้างรูปภพอีก หมดจนเหลืออรูป ก็เหลือสุดท้ายอรูปอัตตา ก็ยังมีลาภที่เหลืออรูปอัตตา ก็ล้างอรูปของตนเองหมดก็หมดอัตตาได้

พูดภาษาง่ายๆ แต่วิธีที่จะรู้ไปถึงอัตตาจริงเข้าไปถึง สักกะ กาย ต้องรู้ทั้งภายนอกภายในกระทบสัมผัสแล้วเกิดสังขารทั้งหลายแหล่ แล้วก็ทำอภิสังขารได้ โดยเกิดปุญญาภิสังขารนี่แหละ เป็นสังขารตัวที่สมบูรณ์แบบ สังขารคือ การปรุงแต่งอย่าง อภิ อภิปัญญา อภิปรัชญา เป็นความรู้ที่ยอดเยี่ยม

สามารถที่จะรู้จักปุญญะ ทำบุญได้สำเร็จ คำว่า บุญ เป็นโลกุตระที่สุดยอด บุญเป็นเรื่องไม่น่าได้ น่ามี น่าเป็นเลย ใครยังมีบุญคนนั้นก็ยังมีกลิ เป็นโทษภัยในตัวอยู่ หมดบุญก็หมดบาป ปุญญปาปปริกขีโณ

แต่ก่อนเข้าใจผิดมิจฉาทิฏฐิว่าจะต้องได้บุญ แต่คุณทำบุญไม่เป็น ก็ไม่ได้สักอย่าง ศาสนาพุทธต้องเรียนรู้ทั้งบุญและบาป

(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

สมณะเดินดิน...คำว่า ด่าเอาบุญ คนทั่วไปก็เข้าใจได้ยาก

พ่อครูว่า…ฟังธรรมดีๆ สุตสูสังลภเตปัญญัง แล้วจะได้ปัญญา ปัญญาก็เป็นโลกุตระไม่ใช่ความรู้ความฉลาดโลกียะ เฉโก มันเป็นความฉลาดของพระพุทธเจ้าของศาสนาพุทธเท่านั้น แต่เขาเอาไปใช้เลอะอีก อาตมาก็ต้องมาแก้ มันเมื่อยจริงๆ พยัญชนะเพี้ยน ผู้รู้ทั้งหลายแปลสำนวนตัวเอง จนคนเข้าใจผิด ศาสนาพุทธจึงเป็นกลองอานกะใหม่หมดเลย ไม่เป็นพุทธที่เป็นโลกุตระแล้ว แต่เป็นพุทธเก๊ พุทธปลอม พุทธตกแต่ง ไปด้วย ลาภ ยศสรรเสริญ โลกีย สุข หรือมัวโมหะ ประกอบไปเป็นกลองอานกะ เป็นศาสนาพุทธเต็มรูปเลย

อาตมาเอาความจริงมาพูดท่ามกลางที่เขาหลงผิดกัน ขออภัยนะ จนกระทั่งไม่เหลือใครที่เข้าใจที่อาตมาพูดได้เลย ตอนแรกๆ ไม่มี ผู้รู้ยอดเยี่ยมของประเทศไทย เป็นผู้รู้ศาสนาพุทธเป็นที่ 1 ก็ตีอาตมา อย่าง ไม่เลี้ยงเลย ตีว่า เป็นผู้ที่ทำให้พระธรรมวินัยวิปริต เป็นผู้วิปริตจากพระธรรมวินัย ใครหนอ... ที่เป็นกันแน่อย่างนี้ ใครไปทักท้วง แม่ปูท้วงลูกปูว่าเดินเป๋ แล้วแม่ไม่ดูตัวเองว่าตัวเองเดินไม่ตรงเหมือนลูก ก็น่าสงสารมาก ไม่รู้ตัว

อาตมาพูดได้อย่างเข้มข้น พูดได้ชัดเพราะมีพวกคุณได้ฟังธรรมและเอาไปปฏิบัติ ปฏิบัติแล้วก็บรรลุธรรม อาตมาจึงจัดให้พวกคุณบรรลุธรรม ถ้าคุณไม่บรรลุธรรมไม่มาอยู่อย่างนี้หรอก ทิ้งลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุขมาจริงๆ ทิ้งได้ยิ่งกว่าพระเจ้าที่เป็นเจ้าคุณ ที่เป็นสมเด็จอะไรโน่น เขายังทิ้งไม่ได้ เพราะเขาไม่รู้ว่าเขาติด เหมือนมหาบัวติดหมากก็ทิ้งไม่ได้ ฉันเดียวกันกับพวกที่ติดลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็ทิ้งไม่ได้เหมือนกันนั่นแหละ เพราะมันหลง มันไม่รู้เรื่อง แม้ว่าทุกวันนี้ฟังโพธิรักษ์พอเข้าใจได้บ้าง แต่ก็สายเสียแล้วกลับตัวไม่ได้ อาตมาทุกวันนี้ก็แบกพระไตรปิฎกมาอ้างอิง

 

เล่ม 19 สังโยชนสูตร ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อละสังโยชน์

[๑๒๐] สาวัตถีนิทาน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก พึงถามเธอทั้งหลายอย่างนี้ว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอยู่ประพฤติ พรหมจรรย์ในพระสมณโคดมเพื่อประโยชน์อะไร? เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงชี้แจงแก่พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นอย่างนี้ว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ ในพระผู้มีพระภาคเพื่อละสังโยชน์ จบ สูตรที่ ๒

อนุสยสูตร ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อถอนอนุสัย

[๑๒๑] ... ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเพื่อถอนอนุสัย ฯลฯ จบ สูตรที่ ๓

อัทธานสูตรประพฤติพรหมจรรย์เพื่อกำหนดรู้สังสารวัฏ

 [๑๒๒] ... ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค

เพื่อกำหนดรู้สังสารวัฏอันยืดยาว ฯลฯ  จบ สูตรที่ ๔

อัทธานสูตร

ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อกำหนดรู้สังสารวัฏ

 [๑๒๒] ... ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค

เพื่อกำหนดรู้สังสารวัฏอันยืดยาว ฯลฯ  จบ สูตรที่ ๔

อาสวสูตร

ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อสิ้นอาสวะ

 [๑๒๓] ... ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค

เพื่อความสิ้นอาสวะ ฯลฯ  จบ สูตรที่ ๕

วิชชาวิมุตติสูตร

ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำให้แจ้งซึ่งวิชชาและวิมุตติผล

 [๑๒๔] ... ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค

เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งผลแห่งวิชชา และวิมุตติผล ฯลฯ  จบ สูตรที่ ๖

ญาณทัสสนสูตร

ประพฤติพรหมจรรย์เพื่อญาณทัสสนะ

 [๑๒๕] ... ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค

เพื่อญาณทัสสนะ ฯลฯ  จบ สูตรที่ ๗

 

พ่อครูว่า…สิ่งเหล่านี้มันเป็นลำดับ อธิบายสังโยชน์ อนุสัย สังสารวัฏอาจยืดยาว อธิบายวิชชาวิมุติ ญาณทัสนะ วิมุติญาณทัสนะ

แล้วท่านก็สรุปว่า...อนุปาทาปรินิพพานสูตรข้อปฏิบัติเพื่ออนุปาทาปรินิพพาน

 

[๑๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก พึงถามเธอทั้งหลายอย่างนี้ว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระสมณโคดม เพื่อประโยชน์อะไร เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงชี้แจงแก่พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นอย่างนี้ว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย เราทั้งหลายอยู่ประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาค เพื่ออนุปาทาปรินิพพาน.

[๑๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกพึงถามเธอทั้งหลายอย่างนี้ว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ก็ทางมีอยู่หรือ? ข้อปฏิบัติเพื่ออนุปาทาปรินิพพานมีอยู่หรือ? เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงชี้แจงแก่พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นอย่างนี้ว่า ดูกรผู้มีอายุทั้งหลาย ทางมีอยู่ ข้อปฏิบัติเพื่ออนุปาทาปรินิพพานมีอยู่.

 [๑๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทางเป็นไฉน? ข้อปฏิบัติเพื่ออนุปาทาปรินิพพานเป็นไฉน? อริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ นี้แล คือ ความเห็นชอบ ฯลฯ ความตั้งใจชอบนี้เป็นข้อปฏิบัติเพื่ออนุปาทาปรินิพพาน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายถูกถามอย่างนี้แล้ว พึงชี้แจงแก่พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้นอย่างนี้.

จบ สูตรที่ ๘ จบ อัญญติตถิยวรรคที่ ๕

 

มรรคผลแท้จริงของพุทธคือปรินิพพานเป็นปริโยสาน

พ่อครูว่า…ทางที่ว่าเป็นมรรคมีองค์ 8 เดี๋ยวนี้ปฏิบัติกันที่ไหนแต่ไปปฏิบัติหลับตา สัมมาทิฏฐิข้อแรกของมรรค 8 องค์ ก็เป็นมิจฉาแล้ว มิจฉาตั้งแต่คำว่า ทาน นัตถิทินนัง ทานแล้วไม่มีอานิสงส์ของศาสนาพุทธเลย เพราะว่าการทำทานนั้นเกิด สาเปกโข

ล.23 ข.49 ทานสูตร เทวดา 6 อย่าง พรหม 1 อย่าง

 อันที่ 1 จาตุมหาราชิกา(ท้าวกุเวร ท้าววิรุฬหก ท้าวธตรฐ ท้าววิรูปักษ์) คือ ทำทานแล้ว

1. ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ

2. มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ

3. มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ

4. ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้ ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ

คือไม่รู้ศาสนาพุทธเลย พวกที่สอนกัน ทำทานกรวดน้ำให้ผู้ตาย เป็นเดียรถีย์ทั้งนั้นเลย แม้แต่เอาเป็นคำพร ยถาวารีวหาฯ ก็ทั้งนั้นเลย มหาบัวพอเทศน์เสร็จก็จะบอกรับพร  ยถาวารีวหาฯ จบสาธุใส่หัวใส่เกล้า เดียรถีย์ก็ทำกันอย่างนี้ น่าสงสาร เด็กๆพวกนี้ทำอย่างไม่เดียงสาเลย ไม่น่าเอ็นดู ทำแล้วน่าสงสาร เห็นแล้วว่าเขาจมอยู่ในสงสาร จะว่าก็ไม่รู้จะทำอย่างไร จะไม่ว่าก็ไม่รู้จะทำอะไร ก็จำเป็นต้องว่า มันก็ได้แต่จำนนต้องว่า เอาแต่มรรคองค์ 8 ก็ไม่เหลือแล้ว กลายเป็นนั่งหลับตา อาชีวะ 5 ก็ไม่รู้กัมมันตะ วาจาก็ไม่รู้ วาจาก็อย่าไปพูดซะก็อย่าไปคิดนั่งดับเข้าไป ก็เป็นแบบนี้แหละที่เขาทำมากันตั้งแต่ไหนแล้ว ดับเข้าไปๆ อย่าไปคิดอะไร

เต็มไปด้วยรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ตัวเองติดก็ยังไม่รู้ ที่จริงน่าจะรู้ว่าตัวเองติดเพราะเคยเลิกแต่ก็เลิกไม่ได้ พฤติกรรมของมหาบัวติดหมากติดพลู   พยายามจะเลิกแต่ก็เลิกไม่ได้ ก็เลยโมเม บอกลูกศิษย์ว่าไม่ติด แต่เป็นเรื่องของธาตุขันธ์ ไม่รู้แม้แต่การเสพติดคืออะไร ขนาดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่เสพเต็มบ้องอยู่นี่ ผู้ติดลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ก็เสพกันอยู่เต็มบ้องก็ไม่รู้ตัว เสพติดกัน

อาตมาพูดถูกก็พูดสิ่งที่ควรยก ก็พูดถึงพวกตัเจวเอง พูดสิ่งผิดก็ถูกเขาอีก พูดยกย่องก็ถูกพวกตนเอง แล้วพวกคุณไม่มาปฏิบัติอย่างนี้ ปฏิบัติถูกจะได้ยกย่องบ้าง ถ้าหากเจ้าคุณสมเด็จ เจ้าคุณจะมาเรียนรู้อย่างอาตมาบ้างแล้วก็จะกลับไปเป็นสมเด็จก็ไปได้ ถ้าให้ได้อย่างที่อาตมาพูดได้มรรคผลแล้วคุณจะไม่ใยดีต่อลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แต่พูดอย่างนี้โพธิรักษ์เอ๋ย สาเปกโข ไอ้หวังตายแน่ พูดอย่างมีความหวัง

คือ เรื่องของศาสนาพุทธเป็นเรื่องที่สุดยอด เป็นเรื่องที่ดับภพจบชาติ ดับหมดเลย อเวจีทั้งหลายก็ดับ สวรรค์ก็ดับ แม้ที่สุดพรหม 16 ชั้น พรหม 20 ชั้น ดับหมด หากมีก็ไม่หมดภพหมดชาติ ผู้หมดภพหมดชาติจะรู้ว่า สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องสมมุติทั้งหมดเลย สวรรค์ 6 ชั้น พรหม 16  ช้้น รูป อรูป พรหมอีก 4 ชั้น เป็น 20 ชั้น เป็นนิรมาณกาย เป็นกายที่เขาสร้างภพชาติขึ้นมา ที่เขาสมมติหลอกให้ยึดติดกัน คุณก็มีอุปาทาน ไปทางนั้นแหละ มีอุปาทายา ในโลก ในภพชาติ ยึด อุปาทายา ยึด

พระพุทธเจ้าสอนให้มายึด ถ้าจะยึด อนุปาทายา ปรินิพพาน คือออกจากความยึดมาเป็นไม่ยึด ของเขาอุปาทายา แต่นี่ต้องมา อนุปาทายาปรินิพพาน

อาตมามาอธิบายธรรมะถึงขั้นปรินิพพานคืออะไร แล้วสุดท้ายปรินิพพานเป็นปริโยสาน ยังดีที่มีมูลสูตรรับรองคำนี้ จึงอธิบายไปถึงอุตุนิยามได้ ถ้าไม่มีปรินิพพานเป็นปริโยสานเป็นสุดท้ายของอมตะบุคคล ก็ไม่สามารถที่จะ รู้แล้วเข้าใจ อย่างพวกคุณฟังรู้ ปรินิพพานเป็นปริโยสานคืออะไรปรินิพพานอย่างจบอวสานเลย ปริโยสานสมบูรณ์แบบเลย แล้วปรินิพพานเป็นปริโยสานเป็นปรินิพพานแบบไหน

ก็คือผู้ที่แยกธาตุจิตของตัวเองให้เป็นอุตุนิยามได้หมดเลย ไม่กลับมารวมตัวเป็นเรือน เป็น คหะ เคหะ ไม่กลับมาอีกเลย ตัดยอดเสา ยอดจั่ว ยอดต้น ยอดหลังคา ยอดอะไรหมดเลย เรือนเคหะของมารไม่เหลือเลย อย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่รู้ก็อธิบายไม่ได้อย่างที่อาตมาอธิบาย ใครที่ถามว่าอาตมามาประกาศเป็นอรหันต์รู้ได้อย่างไรว่าเป็นอรหันต์ ก็นี่ไงกำลังอธิบายให้ฟัง เป็นความรู้ของอาตมาทั้งนั้น ถ้าคนไม่รู้อย่างอาตมาอธิบายอย่างนี้ได้เหรอ อาตมารู้ถึงปรินิพพานเป็นปริโยสาน จึงพูดได้ แต่ตอนนี้ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน เพราะตั้งภพเป็นโพธิสัตว์ ยังจะทำงานต่ออีก แล้วตัวเองก็จะตั้งปณิธานบำเพ็ญต่อไปเป็นพระพุทธเจ้า ถ้าตั้งใจฟังดีๆทำความเข้าใจก็จะเข้าใจได้ ไม่ได้พูดหลอก เหมือนว่าที่เขาพูดกันว่าเป็นพระศรีอริยเมตไตยมาเกิด ไม่ใช่ อาตมาไม่ใช่พระพุทธเจ้า อาตมาเป็นโพธิสัตว์ก็พูดความจริง

มันมีจริง แล้วไม่มีใครมาไล่เรียงระดับโพธิสัตว์ให้ฟังหรอก อย่างมหายานมีโพธิสัตว์มากมาย อมิตาภพระพุทธเจ้า เป็นต้น มีที่ไหน พระพุทธเจ้าปรินิพพานเป็นปริโยสานแยกธาตุเป็นอุตุหมดแล้ว แล้วจะไปมีภพมีชาติไปอยู่ที่พุทธเกษตรที่ไหนอีก

มรรคองค์ 8 นี้สรุปลงไปในการปฏิบัติคือเทวธัมมา แล้วเทวธัมมาก็แยกให้ได้เป็น 2   ทวเยนะ แยกอะไร?..แยกเวทนา เข้าฐานปฏิบัติมีเวทนาเป็นฐานปฏิบัติ ทำเวทนาให้เป็น 1 เอกสโมสรณาให้เป็น 1 ได้ เมื่อเป็น 1 จะรู้ว่า เวทนาก็คือสังขาร เมื่อเกิดวิชชาก็รู้สังขาร สังขารปรุงแต่งเป็นวิญญาณ เมื่อแยกด้วยนามรูป ก็รู้วิญญาณเกิดจากนามรุปปรุงแต่งเป็นสังขาร แล้วจะเกิดรายละเอียดของอายตนะ

อายตะก็แยกให้ฟัง อายะ กับ ตน เป็นตัวสะพานต่อกัน อายะ คือประโยชน์ หากว่าตนได้ประโยชน์ก็ยังเป็นอวิชชาอยู่ ต้องให้รู้ว่านี่แค่สังขารมันปรุงแต่งกันอยู่เมื่อมีผัสสะ อ้อ อายตนะเกิดจากผัสสะ มี 2 ตัวสังขารปรุงแต่งกันอยู่แล้ว อายตนะ คือวิญญาณ วิญญาณก็แยกย่อยเป็นเวทนา เป็นเวทนาสัญญาสังขารซึ่งเป็นนามซ้อนอยู่ในนาม

พระพุทธเจ้าสอนให้รู้เต็มรูปเป็นรูป 28 นาม 5

เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ

เพราะฉะนั้นการเรียนรู้จักทำใจในใจให้เป็นโยนิโสมนสิการได้ คุณต้องมีผัสสะเป็นนาม สามเส้า เวทนา เจตนา ผัสสะ ก็ทำใจในใจที่เวทนา แล้วอ่านเจตนาในเวทนาให้ได้

เจตนาเป็นกาม เป็นปฏิฆะ แล้วฆ่า ล้างกาม ล้างปฏิ.ฆะให้หมด ก็เหลือเวทนาสะอาด

เวทนา ปราศจากกิเลส เรียกโดยศัพท์ว่า อุเบกขา หรือ ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ปราศจากกิเลส ปราศจากความดูดและผลัก ปราศจากนรกสวรรค์ สะอาดจากความเป็น 2 เป็น 0 หรือเป็นกลาง

อุเบกขาก็ต้องล้างกิเลสออก ก็ต้องแยกเวทนาออกเป็นเคหะสิตะกับเนกขัมมะให้ได้ ถ้าไม่มีปัญญาแล้วก็ใช้สัญญากำหนดหมายว่า แยะแยะ มีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์ แยกอาการ ลิงค นิมิต อุเทส ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ทั้ง แยกอาการ ลิงค นิมิต และเวทนา 2 ทำให้เป็น 1 ก็อยู่ในพระสูตรนี้

ถ้ามันมี 2 ก็ต้องต่างกัน มันมี 1 ถึงจะไม่มีอะไรต่าง แยกให้ได้ ก็เลยเรียกเวทนาหนึ่งว่าเป็นเวทนาแท้ เวทนาอีกอันว่าเป็นเวทนาเก๊ เพราะมันมีเจตนาผิด เจตนาเป็นตัณหา เจตนาเป็นกามตัณหา ภวตัณหา ก็ล้างกามก่อน หมดกามก็เหลือภว เป็น รูป อรูป ก็ล้างอีก เนกขัมมะ ล้างจนหมด จิตสะอาดทั้งกามและภพทั้ง 3 ภพ กามภพ รูปภพ อรูปภพ หมด จิตก็เป็นจิตสะอาดบริสุทธิ์ คุณก็จะเห็นของจริง รู้ของจริงของคุณได้ ด้วยการปฏิบัติทำอาชีพและกรรมทุกกรรม และทางวาจา แล้วจัดการกับสังกัปปะ 7 ให้ได้

สมณะเดินดิน...สรุปจบ

1 ความคิดเห็น:

640804_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5 วันพุธที่ 4 สิงหาคม  2564 ณ บวรราชธานีอโศก ชมวิดีโอได้ที่นี่ ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่น...