วันศุกร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2564

640430_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมวิจัยให้รู้ความต่างในวิญญาณฐิติ 7

 รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ
วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564

ณ บวรราชธานีอโศก


ชมการบันทึกวิดีโอเทป
ฟังเทปบันทึกเสียง


          สมณะเดินดินว่า…วันนี้วันศุกร์ที่ 30 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก วันนี้ประเทศไทยก็มีสถานการณ์ covid ที่ยอดผู้ติดเชื้อลดลง แต่ประเทศอินเดียคนเสียชีวิตมากต้องเอามาเผากันข้างถนนแล้ว และมีข่าวใหญ่ของประเทศอิสราเอลที่คนไปร่วมงานกันหลายหมื่นคน มีเหยียบกันตาย 44 คนบาดเจ็บอีกกว่า 150 คน อิสราเอลเพิ่งฉลองว่าประเทศฉีดวัคซีนไปถึง 70% ตอนนี้ก็เหมือนกับเป็นการปลดปล่อย การกดข่มไว้มานาน รอดจากโควิดได้ แต่ก็ไม่รอดจากการไปฉลอง ส่วนอินเดียระบาดหนักมีการแพร่เชื้อโควิดสายพันธุ์ใหม่ด้วย

พ่อครูว่า…พ่อครูยกมะม่วงลูกโตมาให้ดู มีผลไม้อีกหลายอย่างที่เอามาประดับโต๊ะ

 

SMS วันที่ 25 เม.ย. 2564

 

_อังเคิลน้อย : นศ.หนุ่มมีสภาวะ ซึมเศร้า ดิ่งชั้น 6 ห้างดังย่านพระราม 3 ร่างกระแทกพื้นดับสลดเสียดายจัง ถ้าเขาได้ได้พบพระพุทธศาสนาที่แท้จริงอย่างที่ชาวอโศกได้พบ เขาคงไม่ตาย

พ่อครูว่า…ก็จะทำไงได้ เราก็เดินทางไปตามสายวิบากผู้ที่จะได้มาพบอโศกก็ไม่ใช่ว่าจะธรรมดานะต้องมีบารมีพอสมควร

 

_ตุ๊ก อัศวิน : วันอาทิตย์ที่แล้วพลาดติดตามฟังธรรมสดจากพ่อครู..ด้วยไม่ทราบว่าย้ายมาเทศน์ตอนเช้า แต่ได้ติดตามฟังย้อมหลังจนได้..จึงขอกราบขอบพระคุณทีมสื่อที่ทำให้สามารถติดตามฟังธรรมะดีๆย้อนหลัง..โดยไม่จำกัด กาละ สถานที่และโอกาส..กราบอนุโมทนา/สาาาาธุเจ้าค่ะ

 

_มั่นใจพุทธ บุญเสร็จ : เรื่องคนมาเอาของที่ตู้ปันสุขนั้น เป็นอย่างที่พ่อท่านพูดทุกอย่าง ลูกเห็นจริงตามนั้น เพราะเห็นอยู่ทุกวัน เพราะหน้าบ้านมีตู้ปันสุขตั้งไว้ตั้งแต่โควิทครั้งแรกจนถึงปัจจุบัน มีของใส่ให้เกือบทุกวัน คนที่เป็นFCตู้ปันสุข คือคนเดิมๆ พฤติกรรมเดิมๆ แรกๆมีขัดข้องในใจต่อสิ่งที่เขากระทำ เพราะอยากให้ถึงมือผู้อื่นบ้าง แต่บัดนี้กลับรู้สึกได้ถึงความเมตตาที่มีต่อพวกเขา โดยคิดว่าสิ่งที่เราต้องการเกื้อกูล เราได้ทำสำเร็จแล้ว เขาก็มาตามหน้าที่เขา ต่างบรรลุผลทั้งสองฝ่าย ก็เลยวางใจได้ ทั้งหมดทั้งมวลก็ด้วยอานิสงค์จากการฟังธรรม ทบทวนธรรมบ่อยๆ  ขอน้อมกราบขอบพระคุณพ่อท่านอย่างสูงสุด ตลอดถึงสมณะ สิกขมาตุ ทุกรูป รวมถึงผู้มีธรรมในใจทุกคน และขอบคุณFCตู้ปันสุขด้วย ที่ช่วยกระแทกผัสสะ ให้ได้เห็นขยะในจิต จนสามารถกวาดล้างให้สะอาดขึ้นเรื่อยๆ ตามลำดับ 🌾ของแจกฟรี มีเท่าไหร่ก็ไม่พอ🙏🏻🙏🏻🙏🏻

พ่อครูว่า…ของแจกฟรีมีเท่าไหร่ก็ไม่พอหรอกเพราะคนตะกละไม่รู้จักพอมันก็เอาไปไม่รู้จักพอก็ค่อยๆศึกษาไปอย่างนี้แหละ เราก็จำนน ก็หาทางจะเตือนสติเขาต่างๆนานา อาตมาว่า เช่นเอากล้องไปตั้งไว้ให้เขาเห็นกล้องก็จะรู้จักเหนียมบ้าง ดีเหมือนกันนะ เอาไปตั้งๆไว้ ก็ไม่ใช่จับผิดเขาหรอก แต่ว่าให้เขาสำนึกบ้าง บางคนอาจจะไม่สำนึก กล้องจับก็จับไปก็ได้นะเราก็จะได้รู้ว่า คนนี้คงจะสอนยาก (สู่แดนธรรมว่า…บางทีกล้องอาจหายไปด้วย) กล้องไม่ได้ปันสุขด้วยนะ

 

_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน ลูกได้นั่งฟังพ่อครูเทศท์ แม่อายุ ๘๕ ปีก็นั่งอยู่ด้วยค่ะ พอถึงตอนพ่อครูเทศท์ถึงว่า หลวงปู่มั่นปฏิบัติผิดทาง พระพุทธเจ้าสอน และหลวงปู่มั่น หลวงปู่เสา เป็นพวกเดียรถีย์ แม่ก็พูดขึ้นว่า "เฮ็ดจั่งได๋น้ออ..อยากให้คนมานั่งฟังพ่อครูเทศท์เด้.. (แม่เว้าอิสานค่ะ)พอรุ่งเช้าลูกก็เอาประเด็นที่แม่พูด พูดกับแม่ว่า ที่แม่อยากให้คนมาฟังพ่อครูเทศท์นั่นแม่คิดถูกแล้ว และลูกก็ยังบอกกับแม่ว่าที่พ่อครูเทศท์สอนทุกวันนี้พ่อครูไม่ได้เทศท์เพื่อล่าบริวาร พ่อครูเทศท์เพื่อขัดเกลาคน ให้รู้อะไรผิด อะไรถูก ลูกก็ยังบอกแม่อีกว่า ลูกเคยอ่านเจอที่พ่อครูเทศท์ว่าพ่อครูจะช่วยคนที่มีปัญญาก่อน แล้วแม่ก็ถามลูกว่า"คนมีปัญญาจั่งได๋" ลูกตอบแม่ตามความที่ลูกมีปัญญาน้อยและตามความเข้าใจของลูกว่า คนที่มีปัญญาก็อย่างเรานี่ไงแม่ ที่เรามาศรัทธามาปฏิบัติตามพ่อครู ลูกอยากให้แม่ชัดเจนว่า คนมีปัญญาคือคนแบบไหน ลูกกราบนิมนต์พ่อครูเมตตา ช่วยอธิบายให้สมบูรณ์ว่า คนที่มีปัญญาที่พ่อครูช่วยนั้นคืออย่างไร ให้แม่ได้เข้าใจชัดเจนด้วยค่ะ น้อมกราบพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ

พ่อครูว่า…ก็แปลว่าคนที่ไม่มาเข้าใจไม่มาฟังอาตมายังแย้งอยู่ก็ยังไม่มีปัญญา

อาตมาจะต้องอธิบายเรื่องปัญญานี้ให้คนเข้าใจอีกนาน คงสนองความต้องการจะให้อาตมาอธิบายเดือนนี้ให้คนเข้าใจว่าปัญญาเป็นอย่างไรและคนฟังก็จะเข้าใจได้เลยจบ ยังไม่หรอก เพราะว่าปัญญาเป็นเรื่องลึกซึ้งซับซ้อนมาก ปัญญาเป็นโลกุตระ แล้วโลกียะกับโลกุตระต่างกันอย่างไรก็ต้องขยายความอีกไปเรื่อยๆ จนกว่าจะครบกระบวนการของโลกุตระกับ

โลกียะว่าต่างกันอย่างไร เอาน่าเอาให้เสร็จก่อน ที่จริงก็สำเร็จรายทางไปเรื่อยๆ แต่คนก็ยังเข้าใจไม่ได้ครบรอบ ไม่ค่อยจะชัดเจน ก็ค่อยๆว่าไป ก็ค่อยๆติดตามฟังก็แล้วกัน เพราะปัญญานี้มันคือความรู้ที่ครบกระบวนการของโลกุตรธรรม มันยังไม่ครบก็ต้องสงสัย วิจิกิจฉาอยู่อย่างนั้น ยังติดนิดๆหน่อยๆ อาตมาจะหยิบปัญญา 8 มาเขียนเป็นหนังสืออีกเล่มเลยนะ นี่ก็กำลังเขียนรวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไรอยู่ ก็ต้องขอฝากไว้ก่อนโอฬาร

 

ตัดคอถวายพระพุทธเจ้าเป็นบาปไหม

_ฟ้าพรห์มไพร นาวาบุญนิยม : พ่อท่านคะอยากเรียนถามพ่อท่านว่า..พระที่ตัดคอตัวเองเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาบาปมั้ยคะ..ถือว่าจิตเป็นกุศลมั้ย

พ่อครูว่า…ตอบ บาป บาปเต็มที่ เป็นกุศลไหม ไม่เป็นเลย อย่าอุตริกระทำ ไม่เป็นประสาเลย โง่เต็มที่เลย โดยไปเอาแง่เชิงประเด็นที่ดูเท่ๆ ตัดหัวถวายพระพุทธเจ้า แล้วคุณตัดไปทำไม ตัดคุณก็ตายทิ้งไปเฉยๆ ถวายพระพุทธเจ้าและพระพุทธเจ้าต้องการให้คนตายทิ้งไปเฉยๆหรือ อย่าทำเท่มาเป็นถวายเลย ท่านไม่ต้องการให้คนมาตายทิ้งฟรีๆ ไปถวายท่านทำไมท่านไม่ต้องการอะไรแล้ว ท่านให้คุณเกิดปัญญา แล้วทำไมโง่หนักเข้าไปอีก ท่านต้องการให้ฉลาดให้รู้ว่า เออ..สงวนรักษาขันธ์แล้วศึกษาปฏิบัติตนให้พัฒนาไป ได้ร่างมาเป็นคนก็เป็นกุศลหนักหนาแล้ว แล้วมาพบพระพุทธศาสนาด้วย ก็ยังทำโง่ไปตัดหัวถวายอีกนี่คือความโง่ มันคือมิจฉาทิฏฐิซ้อน ว่าดีว่าเท่สุดยอด ฆ่าตัวตายถวายพระพุทธเจ้าอย่างนี้ พระพุทธเจ้าไม่เคยส่งเสริม อันนั้นเป็นเล่ห์เหลี่ยมของผู้ที่เป็นศาสดาอื่น

 

_สติพล จนพัฒนา : **การแจกของกับคนขี้โลภหรือแจกอาวุธให้กับโจรจะต่างอะไรกัน..เป็นการส่งเสริมคนที่ไม่ดีหรือเปล่าหรือว่ากรรมใครกรรมมันครับ?!.

พ่อครูว่า…มันก็ต่างกันอยู่บ้าง ค่อยๆมีกลวิธีอะไรซับซ้อนที่จะต้องให้เขารู้สึกตัว ก็ต้องแก้ไขจากคนที่เขาทำผิดทำชั่วนี่แหละให้ค่อยๆรู้สึกตัวและค่อยๆกลับ ก็ต้องทำด้วยกรรมดีไปทำให้คนเจริญไม่ใช่ไปเอากรรมชั่ว

ก็กรรมใครกรรมมัน ก็ถูกเป็นกำปั้นทุบดิน แต่ก็ค่อยๆกระทำถ้าเผลอว่ามีแต่คนแบบนี้ไม่มีคนอื่นให้พัฒนาเลยเราก็คงต้องไปทำ แต่เราจะไปบังคับว่ามีคนเดียวคนอื่นไม่เกี่ยวไม่ได้คนอื่นก็ต้องได้ คนอื่นเขาก็สำนึก ดีไม่ดีเขาก็จะเกิดมาช่วยในการที่เอามาใส่กระท่อมปันสุขให้คนอื่นเขามีเขาก็เอามาใส่ด้วย มันก็จะเกิดพัฒนาการ ส่วนคนที่เป็นแบบนี้ก็เป็นวิบาก ถือว่าเป็นวิบากของเขา

 

SMS วันที่ 26-27 เม.ย. 2564

 

_ตุ๊ก อัศวิน : พ่อครูเป็นผู้เยี่ยมในพุทธภพ(ในกาละนี้) ท่านไม่ต้องเตรียมตัวในการแสดงธรรม เพราะท่านคือธรรมสามีตัวจริง เสียงจริง !!!ยิ่งกว่าพระไตรปิฎกเคลื่อนที่เพราะท่านมีสภาวะธรรมรองรับ สามารถแสดงธรรมที่ถูกต้องตรงธรรมในที่ทุกสถาน..ในกาลทุกเมื่อ / ขอน้อมกราบ_/\_สาาาาธุการด้วยความเคารพยิ่ง..เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า…คนนี้ก็มองอาตมาในเชิงเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ แต่อย่าเพิ่งยกย่องอะไรมาก คนจะเข้าใจอย่างคุณมีไม่มาก

 

_ตุ้ม พรทิพย์ : ไม่เคยได้ยินใครอธิบายกระจ่างแจ้งอย่างนี้มาก่อนเลยค่ะ

 

_สมรัก มากเกลื่อน : อธิบายมากชัดครับ (เทศน์เช้าวันจันทร์ที่ 26)❤️❤️❤️❤️

 

_Ka Por (ข้า พอ) : กลิ = กิเลส ใช่ไหมคะ

พ่อครูว่า…ใช่ กลิ ก็คือกิเลส กิเลส คำสองคำนี้คือคำเดียวกัน แต่ทีนี้สลับพยัญชนะ ยืนยันขณะเป็นนามเป็นรูป เป็นกลิ ก็ยืนยันตัวตน พอเป็นกิเลส

 

_แก่นนวน มาลัยขวัญ : กายคือรูป+นาม เป็นที่อาศัยของกลิ

 

กินเหล้าไม่ทำให้บรรลุอรหันต์แต่เป็นอรหันต์แล้วกินเหล้าได้

_Sutas Supapattarnon (สุทัศ สุภาภัทรานนท์) : อรหันต์กินเหล้าทำไมบรรลุใด้

พ่อครูว่า…อรหันต์กินเหล้าหนักบรรลุไม่ได้  แต่อรหันต์ที่บรรลุแล้วกินเหล้าได้ถ้าจะต้องกินเหล้า ในตำนานจีนก็มีอรหันต์จี้กง กินเหล้าแล้วไปเที่ยวโปรดสัตว์แล้วก็กินเหล้าไป ก็เป็นเรื่องพิเศษเป็นกรณีไปสำหรับบุคคลที่ถนัดอย่างนั้น ตนเองก็มีความเก่งชำนาญพิเศษในทางนั้น ก็ไปโปรดคนขี้เหล้า มีความรู้มีปฏิภาณปัญญา มีวิธีการในการที่จะโปรดคนขี้เหล้าด้วย ก็ไปเมากับเขา แต่ท่านเมาท่านไม่เมาท่านเมาท่านมีสติ เรื่องความเมานี้ อาตมาก็เคยพูดถึงตัวเองเหมือนกัน อาตมาก็กินเหล้ากับเขาไม่เคยเมาหัวทิ่มหัวตำหรือว่าสติตกสักที กินเหล้าด้วยกันนี้เขาเมากัน เคยกินกันสองคนกับสมจินต์ ธรรมทัต (ตายไปแล้ว) ทำงานโทรทัศน์ด้วยกัน เคยกินกันตั้งแต่เปิดสถานี อาตมาได้เฮนเนสซี่มาขวดนึง ก็มาซัดกันกับสมจินต์ สุราขวดเดียว น้ำแข็งก็ on the rock จนกระทั่ง เฮนเนสซี่หมด ก็ยังไม่ถึงสองยามก็สั่งแม่โขงมาอีกครึ่งขวด หวดต่อสองคน ซัดเข้าไปอีก หมด โซดาหนึ่งขวดกับน้ำแข็ง เสร็จแล้วสมจินต์เมาพับเลย ไม่รู้เรื่องเราก็มึน แต่ไม่เสียสติ ก็หิ้วสมจินต์นั่งท้ายรถ จับมือมากอดมัดไว้ มันไม่มีสติเลย จำไม่ได้เอาผ้าผูกกับตัวเราไว้ไหม ก็ไปส่งบ้านเขา ลากขึ้นบันได เมียเขาก็มารับตัวไป

ทุกที อาตมากิน กินเบียร์ตั้งแต่กลางวันเย็นจนกระทั่งรุ่งเช้า หมดไปแล้วหลายลัง กินกันสองสามคน กินแล้วเดินเยี่ยวๆ มันก็ไม่เมา แต่พวกเพื่อนก็เมากัน อันนี้ไม่ได้อวดเก่งอะไรมันก็เป็นความจริงตามผู้ที่มีสิ่งที่ได้ฝึกฝนหรือว่าได้สร้างอำนาจทางสติแข็ง สติดี สติไม่ถูกกดข่มด้วยอำนาจ แม้อำนาจประสาทตัวเองก็ไม่ได้อ่อนแอ จนทำให้สติใช้ประสาทไม่เต็มหรือสติไม่แข็งแรงพอ สติแข็งแรงพอ สติก็เป็นนาย ประสาทก็เป็นบ่าวได้ แต่ถ้าคนที่สติอ่อนแอ สติก็เป็นบ่าว ประสาทก็เป็นนาย ก็เป็นธรรมชาติศึกษาฝึกฝนไปก็จะรู้เข้าใจ

สรุปว่า กินเหล่าไม่ได้ทำให้บรรลุอรหันต์ได้ แต่กินแล้วทำให้กดประสาทไม่รู้เรื่องฉิบหายไปหมด ผู้ที่ขายเหล้าก็เป็นบาป คนกินเหล้าตัวเองอ่อนแอตัวเองเสียหาย ทำให้คนอื่นตายมีผลต่อเนื่องเป็นเหตุปัจจัยที่ตามมาบานปลาย มันชิบหายวายป่วงหมดเลย เพราะฉะนั้นคนขายเหล้าเป็นเจ้าของนี้รวย แต่ได้บาปนับไม่ถ้วนเลย อาตมาไม่ใช่พูดเพราะริษยาเขารวย แต่สงสารเขา

สู่แดนธรรม...พระภิกษุกินเหล้าชื่อพระสาคตะ ก็เคยกินเหล้าจนเมา แต่ตอนหลังบรรลุอรหันต์ ท่านยังไม่ได้เป็นอรหันต์ก็เลยดื้มเหล้า ไม่มีว่าดื่มเหล้าแล้วเป็นอรหันต์

 

_อาภรณ์ จองเจริญกุลชัย : น้อมกราบขอบพระคุณ ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุ เทศน์สอนในครั้งนี้(พุทธศาสนาตามภูมิโดยสมณะสิกขมาตุ วันอังคารที่ 27)  ได้เข้าใจในคำว่า การติดยึดได้ชัดเจนขึ้น และติดตามรับฟังธรรมะของพ่อครู แล้วนำไปปฏิบัติ ได้ขัดเกลาจิตใจตัวเอง ในการติดยึดดีถือดี ได้เห็นกิเลสของตัวเองชัดขึ้น จะขอพัฒนาในการฝึกฝนตัวเองให้ดีขึ้น กราบสาธุค่ะ

 

ทำอายตนะให้หมดอวิชชาในปฏิจจสมุปบาท

_ฟ้าเจือศีล...ดิฉันขอทำความเข้าใจคำว่า “อายตนะ” คำนิยามที่ทราบจากพ่อครู

“อายตนะ” คือสะพาน เมื่อเกิดกระทบผัสสะ ระหว่างรูปกับประสาท 6 ทวาร เมื่อ อายตนะเกิดขึ้นจะไม่ทรงอยู่จะหายไปทันที เหลือไว้แต่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่เมื่อพ่อครูบอกว่ายืดสะพานนี้ออกก็จะจับตัวเวทนาได้ ทำให้เข้าใจได้ว่า คำว่า “อายตนะ”เป็นหน้าที่สะพานเข้าสู่ “โลกุตระ” แต่โดยสภาวะแล้ว ถ้าตีแตกแยกขยายอายตนะออก ก็จะเห็นว่าประกอบด้วยเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

ดังนั้นเมื่อพูดถึงเวทนา หรือสังขารก็คือการพูดถึงอายตนะ แต่ถ้าถามถึงความหมายตามภาษาตัวสะกด “อายะตนะ” จึงไม่ได้แปลว่า “สะพาน” ตรงตัว แต่เป็นหน้าที่ให้ “ตน” ได้ศึกษาเรียนรู้เข้าสู่โลกุตระธรรม การได้ศึกษาเรียนรู้ก็คือได้ประโยชน์ตรงตามความหมาย “อายตนะ” กราบรบกวนพ่อครูช่วยพิจารณาถูกหรือผิดค่ะ

พ่อครูว่า…ถูกต้องจริงๆมันเป็นตัวเดียวกันหมดถ้าเข้าใจแล้ว สังขาร วิญญาณ นามรูปอายตนะ ผัสสะเวทนา แม้ที่สุดตัณหา ก็เป็นตัวเดียวกันที่อวิชชา

แต่ก่อนคนอวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะก็เป็น อวิชชา ทั้งหมด  มันเป็นโดมิโนต่อเนื่องกันไปหมดเลย

และเป็นตัวเหตุ คือตัณหา ตัณหาคืออวิชชา ตัณหาคือมันโง่ โง่เพราะไม่รู้เหตุว่าอาการ ลิงค นิมิต คือตัณหา ที่ต้องการมาเป็นตัวกูของกู ก็จึงต้องฆ่าตัวนี้เสีย ดับตัวนี้เสีย

ตัณหากับอุปทาน อุปาทานคือ อาการอันเดียวกับตัณหาแต่มันสงบนิ่งหยุดเป็น static ส่วนตัณหามันก็เป็น Dynamic เป็นตัวบทบาทเมื่อไม่มีบทบาทมันก็นิ่งเฉย มันก็เป็นตัวอันเดียวกัน ตัวหนึ่งนิ่ง ตัวเคลื่อนที่ก็เป็นตัณหา ไม่เคลื่อนที่ก็เป็นอุปทาน

ก็ 2 ตัวนี้แหละคือภพชาติของคุณ คุณสั่งสมไว้ในตัวภวะ ตัวที่มันเกิดอยู่กับคุณเองตัวพลังงาน ว ที่มันโตมันใหญ่อยู่กับคนเสร็จแล้วมันก็รอเวลาชาติ เวลาเกิด คุณก็ไม่รู้ ภว กับ ชาติ ภว ก็เป็น static ส่วนชาติก็เป็น Dynamic มันเกิดขึ้นมาแล้วเมื่อมันเคลื่อนขึ้นมาก็เป็นชาติแต่ละคู่เป็นเทวะ  ดับชาตก็ดับภพ แต่ดับภพก็ดับชาติ พอดับชาติได้ ภพก็ดับ อุปาทานก็ดับ เหตุคือชาติตัวอวิชชา เกิดมาก็เป็นอวิชชา

เกิดมาคือตัวอวิชชา แท้จริงตัวอวิชชา คือเหตุใหญ่เป้าหลักคือตัณหา จะดับชาติตัวไหนก็ดับชาติตัวตัณหา แต่ไปดับอุปาทานก็ได้ แต่มันนิ่ง ดับถูกหรือไม่ถูกก็ไม่รู้ พวกนั่งหลับตาปฏิบัติพวกนี้มั่วว่าดับอะไรไม่รู้เรื่องเลย มันมืดมน มันไม่ชัดเจน ไม่แจ้งสว่าง อยู่กับมืดกับมืด

เพราะฉะนั้นคำว่ามืดหรือดำจึงเป็นคำที่ยากมากที่จะเข้าใจ ภาษาบาลีท่านว่า กัณหะ หรือกิณหะ เป็นพหูพจน์คือ กัณหา กิณหา แปลว่าดำมืด สุภกิณหา คนที่ไปหลงดำหลงมืด

คนที่รู้ตัวดำตัวมืด พยัญชนะแทน คนไม่รู้ตัวดำตัวมืด แล้วนึกว่าเป็นตัวนิโรธ ก็คือพวกมิจฉาทิฏฐิที่เป็นลักษณะมืดดำ บทบาทมันนิ่งๆ แต่นิ่งๆหยุดๆเป็นพยัญชนะ เป็นสภาวะจริงๆมันมีความต่าง

พวกลืมตามันนิ่งเพราะไม่มีตัวเหตุ ที่มาทำให้มันไม่นิ่ง ไม่มีตัวเหตุก็ทำให้มันไม่นิ่ง แต่พวกนิ่งแบบนั้นที่เหตุก็ไม่รู้ ดับก็ไม่รู้ แต่สะกดทั้งหมดทั้งมวลดับให้มันมืดมันดำลงไป เพราะฉะนั้น คนที่ประสงค์จะได้ความมืดความดำมันมีสัมมาทิฐิกับมิจฉาทิฏฐิ แต่มันเหมือนกันตรงที่สัญญาก็ตรงกันกายก็ตรงกัน แต่ต่างกันที่ทิฏฐิ ตัวที่ 4 จึงอธิบายยากมาก

ต่างกันตรงที่ทิฏฐิความเห็นที่ต่างกัน เมื่อความเห็นต่างกันแล้ว สัญญาก็เลยไปกำหนด แม้ว่าสัญญาจะกำหนดว่าเป็นความมืดความดำเหมือนกัน แต่วิธีการใช้ให้ดับต่างกัน มันต้องรู้ว่า สภาวะกับวิธีปฏิบัติต่างกัน สัมมาทิฏฐิปฏิบัติอีกอย่างหนึ่งจึงได้ผลออกมา แม้จะดำมืดเหมือนกัน เพราะคนที่ยังไม่ตายก็อาศัย ดำมืด ไม่ใช่ว่าตายไปเลยดำมืดไปเลย แต่พูดเป็นภาษาใหม่ว่าดำมืดคือไม่มีอันนั้น

ทีนี้ไม่มีอย่างไม่เห็น ไม่รู้ ไม่สว่าง คือพวกมิจฉา แต่ดำมืดอย่างสัมมาคือรู้ว่าทำให้มืดทำให้ดำชัดเจนไม่สว่างมืด ก็ต้องรู้ว่ามันมีนัยยะสำคัญต่างกัน จบที่สภาวะอันนี้ อาตมาไม่มีภาษาพูดต่ออีกแล้ว เข้าใจไหมว่าจบตรงไหน ที่ยังไม่เข้าใจก็งง นิ่งอยู่ คนที่เข้าใจก็อยู่ที่กิเลสดับ ก็ไม่มีความมืดมีแต่สว่าง แต่จะเรียกว่าดับมืดหรือดับ ก็เรียกได้ ตามพยัญชนะ ตามภาษาที่คุณเรียก ไม่ได้ขัดแย้งเลย คนที่มีสัมมาทิฏฐิไม่ขัดแย้งแม้คุณจะเรียกด้วยภาษานั้นอธิบายสภาวะ ซึ่งเป็นสภาวะอีกอย่างหนึ่งดิ้นได้ด้วย สภาวะอย่างคนมันเป็นมิจฉาแต่จะอธิบายให้สัมมาคนที่มิจฉาอธิบายให้เป็นสัมมาไม่ได้ คนที่สัมมา จึงจะอธิบายเป็นสัมมาได้หรืออธิบายให้รู้มิจฉาได้เข้าใจ 2 อย่างเป็นสิริมหามายาจะเอามุมไหนมาโชว์มาแสดงก็ได้

จึงมีคำพูดว่า ไอ้ที่พูดได้ไม่ใช่ของจริงของจริงต้องนิ่งใบ้ ใช่คนใบ้ไม่รู้จะพูดอะไรให้ฟังแต่คนอย่างนั้นจะมาพูดได้ แต่คนที่พูดไม่ได้จริงๆพูดไปก็จะยิ่งงงหนักเลอะเข้าป่า ก็เลยนิ่งดีกว่า ก็ถือว่าเป็นตัวจบลึกซึ้งมาก

 

อัทธาน อัตตา นิรัตตา

_ฟ้าใส แซ่หว่อง...กราบนมัสการค่ะ

จากการฟังธรรม ปฏิจจสมุปบาท โยมขอกราบเรียนถามคำถามพ่อครู   ในรายการธรรมมะหลังไมค์ค่ะ(FB บันทึกโพธิรักษฯ) เพื่อ ถนอมเสียงพ่อครู ในการแสดงธรรม  หน้าจอค่ะ (และบางท่านอาจเบื่อ คำถาม SMS)

เป็นคำถามหลังไมค์โดย พ่อครู มีมีอิริยาบท สบาย ๆ ไม่ตอบก็ได้ ถ้ามีอาการไอ ค่ะ

 

1. ความหมายคำว่า “นิรัตตา” กับ “อนัตตา”

 

2. ความหมาย “อัทธาน” กำหนดรู้สังสารวัฏอันยืดยาว หมายถึง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต หรือไม่คะ ?

….กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ…..ฟ้าใส

พ่อครูว่า…นิรัตตา เป็นภาษาตะแบ่ง คือไม่มีอัตตา อนัตตาก็ไม่มีอัตตา แต่นิรัตตา เป็นอัตตาที่มิจฉาทิฏฐิ ถ้าอนัตตาแล้วเป็นผู้ที่มีอัตตา ส่วนนิรัตตา ก็แปลว่าไม่มีอัตตาแต่เป็นอย่างมิจฉาทิฏฐิ หลงผิด เขามีแต่เขาไม่รู้ว่ามีอัตตา ก็แปลว่านิรัตตา หรือมีวิธีการที่มิจฉาทิฏฐิไปดับอัตตา เขาก็ว่าเขาไม่มีอัตตา ซึ่งมันยังไม่สัมมาทิฏฐิ

ส่วนอนัตตา ไม่มีอัตตาแบบสัมมาทิฏฐิสมบูรณ์แบบเลย

นิ กับ ร นิคือไม่ ร ก็เป็นพลังงานหนึ่ง ส่วน อ ไม่มีอิ ก็แปลว่า ไม่ แล้วยัง น ก็ไม่อีก คือไม่ ไม่ คือไม่มีอัตตา ก็ลึกซึ้งกว่า

อ กับ น ก็แปลว่าไม่เหมือนกัน อ กับ น อันไหนละเอียดหรือหยาบกว่ากัน อ หยาบ หรือละเอียด ก็ละเอียดกว่า น หยาบกว่า

ใครว่า น หยาบกว่า อ ยกมือ

อ มันเป็นสระ เลย ไม่ใช้เศษวรรคด้วย อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ

เพราะฉะนั้น น กับ นิร หยาบกว่ากัน

ทีนี้ความหมายของอัทธาน คือ กำหนดรู้สังสารวัฏอันยืดยาว พระพุทธเจ้าหรือแม้แต่อาตมาก็รู้ว่า กาละ ก็มีอดีตปัจจุบันอนาคต อดีตหมายถึงขนาดไหน? ปัจจุบันหมายถึงขนาดไหน? อนาคตหมายถึงอย่างไร? ก็คงพอเข้าใจ ส่วนคนที่กำหนดสังสารวัฏวนเวียนด้วยกาลเวลาอันยืดยาวไม่มีที่สิ้นสุด คืออัทธาน มันก็ไปไม่มีที่จบ ไม่มีที่หยุด แล้วไม่มีปัจจุบันที่เรียนด้วย พวกอัทธาน ที่จอดก็ไม่มี ก็ไม่มีที่จบได้เลย

 

ธรรมวิจัยให้รู้ความต่างในวิญญาณฐิติ 7

วิญญาณฐีติ 7 คำว่า ต่างกัน นี่ มันหมายถึงอะไร

กายต่างกันสัญญาต่างกัน อะไรมันต่าง รู้ไหม?...ทิฏฐิ คนหนึ่งมิจฉาทิฏฐิ อีกคนสัมมาทิฏฐิ ถ้าอย่างไหนตรงกันกับผู้สัมมาทิฏฐิคนนั้นก็เป็นสัมมาทิฏฐิ ถ้าอันไหนตรงกันกับมิจฉาทิฏฐิแล้วแย้งกับสัมมาทิฏฐิคุณก็เป็นผู้มิจฉาทิฏฐิ

สัญญาคือการกำหนดหมาย กำหนดเข้าไปว่าอันนี้คืออันนี้แล้วมันตรงกับผู้ที่สัมมาทิฏฐิ มันก็เป็นสัมมาทิฏฐิ คุณก็ไปกำหนดหมายของคุณตรงกัน แต่มันไปตรงกับผู้มิจฉาทิฏฐิคุณก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ

จะรู้ได้อย่างไรว่าสัมมาหรือมิจฉา อันนี้แหละก็ต้องตามสูตรวิญญาณฐิติ 7 ส่วนสัตตาวาส 9 นั้น มันเป็นความเป็นสัตว์ ปฏิบัติที่วิญญาณฐิตินี่ เมื่อปฏิบัติที่วิญญาณฐิติ 7 ขั้นจบที่อากิญจัญญายตนะก็จบเลย ความเป็นสัตว์ตายหมด เริ่มตั้งแต่ อสัญญีสัตว์ ก็ไม่เป็น ไม่ไปดับสัญญา แต่ไปทำสัญญาให้เต็ม ปฏิบัติธรรมะพระพุทธเจ้า แม้ไม่เต็ม สัญญายังไม่ค่อยคมยังไม่ค่อยแม่นยังมะรำมะเรืองเป็น เนวสัญญานาสัญญายตนะก็ไม่เอา เอาให้สัญญามันแม่นคมตรงตื่นเต็มมีปัญญาเต็มๆ เวลาทำงานสัญญาก็เต็มปัญญาก็เต็มทำงานให้มันเต็มๆตื่นเต็มทั้งกายวาจาใจ อย่างนี้เป็นต้น แล้วปฏิบัติ

เมื่อสัมมาทิฏฐิอย่างนี้ปฏิบัติเมื่อมาถึงอากิญจัญญายตนะกิเลสมันก็จะหมด คุณก็ยังต้องทบทวนด้วยเตวิชโชด้วยการปฏิบัติ กาละ 3 ปัจจุบันสังคมลงเป็นอดีตจนกระทั่งอนาคตมันมาอีกเมื่อไหร่ก็มาเลย เราจัดการให้มันเป็น 0 ได้หมดจนกระทั่งมันเข้ามาไม่ถึงตัวเราเลยแค่มาใกล้ก็เป็น 0 แล้วอย่างคารวะด้วยความเกรงกลัว คารวะด้วยความรักเคารพอย่างแรงกล้าเลย กิเลสมันจะสยบมาถึงขนาดนั้นเลย เหมือนหนังจีนเลยสุดยอด นั่นถือว่าจบแน่นอนอย่างนี้มันถึงเป็นของแท้ไม่ใช่เป็นหลงแต่เป็นจริงด้วยมีเหตุการณ์ปรากฏตามที่ประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ไปปฏิบัติจนกว่าจะตาย คุณก็ได้เหตุปัจจัยจริงๆปฏิบัติแล้วมีสภาวะเกิดจริงเป็นจริงตามที่อาตมาว่ามันก็จบ

 

ลองมาขยายความ..จับประเด็นให้ได้ว่า ที่ว่าต่างกันในวิญญาณฐีติ 7

กายต่างกันสัญญาต่างกัน

กายต่างกันสัญญาอย่างเดียวกัน

กายอย่างเดียวกันสัญญาต่างกัน

กายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน

เอา 4 อันนี้ก่อน

อากาสาฯก็แม่นเป็นรูป วิญญานัญจาฯก็แม่นเป็นนาม

ว่างสว่างใสจะกลายเป็นอาภัสรา ใสของสัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิ

ส่วนวิญญาณนั้นก้ำกึ่ง สุภกิณหา ซึ่งมันเข้าใจยากอยู่

อาภัสรา แจ้งสว่างไปไกลเหมือนธัมมชโย ส่วน สุภกิณหา เอาแต่ดับไม่รู้เรื่องอย่างพวกสายอาจารย์มั่น หลวงตาบัว พวกหนึ่งก็สว่างเกินจนจับอะไรไม่ติด รู้เกินจับไม่ติด เราเข้าใจทั้งสองข้างแล้วรู้จักความถูกต้องพอเหมาะพอดี จะว่าสว่างก็รู้พอเหมาะพอดี จะว่ามืดก็พอเหมาะพอดี ไม่ติดทั้งมืดและสว่าง มืดดับดำอะไรคือกิเลส มืดดับดำหมดไปเลยเหมือนกับหลุดเข้าไปในสามเหลี่ยมเบอร์มิวด้าเลย ชัดเจน ส่วนสว่างก็สว่างอย่างมีจักขุ ญาณ ปัญญา วิชชาแสงสว่าง อาโลก สมบูรณ์แบบครบครันถูกต้อง

สรุปแล้วมันจะต้องเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งกายทั้งสัญญา เป็นหนึ่งเดียวกัน ท่านจบไปตรงอันที่ 4 กายอย่างเดียวกันสัญญาอย่างเดียวกัน

ก็ยังมี นัยยะที่อาตมาอธิบายไปเมื่อกี้นี้ สำหรับผู้มิจฉาหรือผู้สัมมา ผู้มิจฉาก็เข้าใจความมืดความดับอย่างเขาอย่างสายอาจารย์มั่นกับหลวงตาบัว กับสายธัมมชโย คนละขั้ว แล้วเขาหลงกันจริงๆอยู่อย่างนั้นน่าสงสารจริงๆเลย ทั้งคู่นี้หลับตาทั้งคู่ ปฏิบัตินี่คือตัวเหตุใหญ่ไม่มาปฏิบัติตามลำดับลืมตาโดยจรณะ 15 วิชชา 8 เพราะฉะนั้นเขาจะมาอธิบายจรณะ 15 วิชชา 8 อย่างที่อาตมาอธิบายสู่ฟังนี้ไม่ได้ แยกศีล อปัณณกธรรม 3 สัทธรรม 7 แล้วก็เจริญเป็นฌาน 1 2 3 4 มีวิชชามีความรู้มีธาตุรู้เป็นยาดำ ช่วยให้ชัดเจนมีความฉลาดความถูกต้องไปตามตลอดเวลา มีธาตุรู้ที่เป็นโลกุตระเรียกว่าปัญญา ญาน วิชชา ประกอบไปด้วยตลอด

เพราะฉะนั้นจึงเกิด ฌาน มาลงตรงคำว่า ฌานก็แล้วกัน

 

คำว่า ฌานวิสัย เป็นอจินไตย

ฌานเป็นคำกลางๆแล้วรู้กันอยู่ครองโลก ผู้ปฏิบัติธรรมไม่ว่าจะเป็นสายไหนๆ ไม่ว่าจะเป็นสายหรือสีหรือสายตะวันออกกลาง สายจีน ญี่ปุ่น สายอินเดีย ฌานทั้งนั้น ใช้คำว่า ฌาน จนกระทั่งไม่สามารถจะหาคำอื่นมาใช้แทนไม่ได้ ก็เลยหาคำข้างเคียง

ฌาน มีนัยยะ 2 อย่าง 1.เป็นพลังงาน อุณหธาตุ 2.มันทำให้กิเลสลดละจางคลายและดับได้จริงๆหมดเนื้อหมดตัวเผาผลาญ หายไปเลย ไม่เหลือเศษเหลือซาก ใช้พยัญชนะแบบรูปธรรมให้ทุกคนรู้ได้

เพราะฉะนั้นคำว่าไฟ ภาษาไทย ถ้าเป็นภาษาบาลีก็เรียกว่า เตโชธาตุ ไฟ พอบอกว่าเตโชธาตุหรือไฟ ก็ไหม้แหลกเลย เปลี่ยนแปลงธาตุ อุณหภูมิเท่านี้มันยังไม่สลายก็เพิ่มอุณหภูมิเข้าไปอีกเรื่อยๆสูงขึ้นไปได้อีกเรื่อยๆเป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านองศา ก็หมดจนได้ เห็นไหม

เพราะฉะนั้นสำเร็จด้วยไฟ สำเร็จก็มีพยัญชนะคำว่าบุญเป็นตัวตบท้าย

ฌาน มี คำว่าบุญเป็นตัวคู่

พอไป บุญ จะใช้พยัญชนะว่าฉลาดอีกคู่ก็ไม่ได้ เพราะฌานมีปัญญาเป็นคู่แล้ว ปัญญาอยู่ไหน ฌานอยู่นั่น  เป็นแต่เพียงเอาพยัญชนะไปแทน ฌานคือไหม้สิ่งที่เลวร้าย เป็นศัตรู เป็นไม่ดี สิ่งที่เป็นกิเลสเลวร้ายไหม้ให้หมดเลย คำว่าไหม้คือความรู้ยิ่ง คือปัญญา ที่มีพลังงานเป็นไฟ แต่จะบอกว่าไฟ ต่อๆไปอีกก็น่ากลัว แต่เป็นพลังงานอุณหธาตุที่สลายไฟราคะ ก็เป็นอุณหธาตุที่เป็นของผีของมาร ซาตาน แต่นี่เป็นอุณหธาตุของพรหม เป็นผู้รู้ผู้เจริญ

ใครสร้างพลังงานฌานได้จนเป็นฌานวิสัย คือ เป็นวิสัย ของพระพุทธเจ้าที่เป็นอจินไตย เราเข้าใจวิสัยโลกีย์ ฌานวิสัยโลกีย์ เราก็เข้าใจเราทำได้ไม่มีปัญหาเลย อาตมาทำได้ วิสัยฌานหลับตาทำจนฉ่ำเลย แต่ทุกวันนี้อาตมาไม่ค่อยได้ฝึกก็เลยเรื้อ

เพราะฉะนั้นฌานโลกีย์ของอาตมาจึงไม่ได้อยู่ในอนุสัยเท่าไร เพราะอาตมาไม่ได้เก็บเลี้ยงมัน มันค่อยๆเลือนลางจางไป เลยไม่มีในอนุสัยเท่าไหร่ ทำเดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยเก่งขึ้นมาเท่าเก่า แต่ก่อนทำได้เก่ง ทำฌาน แล้วมีฤทธิ์เดชได้ด้วย มีอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ได้ด้วย แต่เดี๋ยวนี้ไม่เก่ง ยกตัวอย่างง่ายๆ อาตมาเคยบอกเคยเล่า อาตมาว่าฌานของพุทธไม่ต้องไปหลับตาทำ ไม่ต้องไปหาเวลาทำ แต่ว่า ฌานพุทธทำได้ทันทีทันใด เดี๋ยวนี้ก็ทำได้เลย สัมปติ  suddenly เลย ทำฌาน เดี๋ยวนี้เลยก็เกิด ฌาน เดี๋ยวนี้ได้โดยไม่ยากไม่ลำบากซึ่ง ฌาน ทั้ง 4 ไม่ต้องไปรอทำยึกยักอยู่ต้องออกๆเข้าๆ แต่มันถึงปั๊บเลย เร็วกว่าแสงไม่รู้กี่เท่าทันทีเลย

แต่ก่อนนี้อาตมาหนังเหนียวเป็นต้น เหนียวจริงๆไม่ใช่พูดเล่น ลองมาแล้วจนกระทั่ง กรีดกันใช้ใบมีดโกนยิลเลตต์ กรีดไม่เข้า คนที่ไม่หนังเหนียวรับรองเอาใบมีดโกนมากรีดก็เป็นแผลเหวอะ ต่อให้ใบมีดโกนทื่อๆ กดลงไปแรงๆจะเหลือหรือ หรือมีดที่ก่อนเอามาลองต้องโกนขนก่อนนะ ว่าที่เอามีดมาลองนี่คมหรือเปล่า โกนขนร่วงเลย แล้วเอามากรีดก็แค่รอยแดง ทำได้เก่ง แต่ก่อนอาตมามีประสบการณ์ รถโอเปิ้ลแคปปิตันซัดอาตมา อาตมาขี่มอเตอร์ไซค์มา มันก็ชนอาตมาเต็มที่เลย สามล้อข้างทางเขาเล่าว่าตัวพี่ลอยเลย ดีนะพี่ลอยรถมันก็เลยไปพี่ก็เลยตกไปข้างหลัง หากไม่ลอยมันก็ชนอีกเสร็จเลย อาตมาก็มันอัดขาอาตมา ทุกวันนี้ยังมีรอยแผลเป็น ตรงหม้อน้ำมันรถมอเตอร์ไซค์ ขาคนกับเหล็กนะ ก็เจ็บเพื่อนก็มาหามไปโรงพยาบาลตำรวจ ขาบวมเป่งเลย ต้องตัดขากางเกงออก

สมณะเดินดิน…การเป็นพระโพธิสัตว์นี้ต้องมีความรอบรู้ทุกอย่าง ถึงจะช่วยมนุษย์ที่หลากหลายจริตให้เขาเข้าถึงสัจจะได้

พ่อครูว่า…สรุปที่อาตมาพยายามอธิบายคือให้เห็นว่าทุกคนต้องผ่านวิบาก เป็นการพิสูจน์ยืนยัน แต่ก็ไม่ต้องมากอะไรหนักหนาอะไรหรอกอาตมาก็เล็กๆน้อยๆที่อาตมาใช้ก็ว่าลิงลมอมข้าวพอง ก็พอมีประวัตินิดหน่อยให้มาอ้างอิง ความจริงจะเอาหนักหนาก็ได้แต่มันเสียเวลา ดีไม่ดีต้องเสียสละชีวิตตายไปเลยเพื่อยืนยันว่าตายก็ตายได้ แล้วจะตายไปทำไม มันก็เสียเวลาไปอีกตั้งเป็นชาติ เพราะฉะนั้นก็เอาที่พอสมควร สิ่งเหล่านี้มันก็ละเอียดลออซับซ้อน

 

อาตมาอ่านที่อาตมาเขียนไว้แล้ว

 

ที่อาตมาสาธยายอยู่นี้ ก็เพื่อให้เห็นความแตกต่างของ “โลกียะ”กับ“โลกุตระ”ชัด เพราะ“โลกุตระ”นั้นเป็น“สัมโพชฌงค์”

อาตมาจึงต้อง“วิจัย”แยกแยะให้เห็น“ความแตกต่าง”นี้ เพราะ“การวิจัย”ก็ยังมี“ความแตกต่าง”ที่มันมีทั้ง“วิจัย”สารพัดที่ไม่เข้าขั้น“ธรรมะ”เลย ตั้งแต่“การวิจัย”ทั่วไป “วิจัย”อะไรต่างๆ

แม้จะเป็น“ธรรมวิจัย”หรือ“การวิจัย”เข้าขั้น“ธรรมะ”ก็เถอะ ก็ยังมี“ธรรมะ”ของ“โลกียธรรม”กับของ“โลกุตรธรรม”

และในการวิจัย“โลกุตรธรรม”นั้น ผู้วิจัยสามารถ“วิจัย”ได้ถึงขั้นเป็น“ธรรมสัมโพชฌงค์”มั้ย?  ก็ต้องเป็นจริงด้วยนะ!

“ธรรมวิจัย”ที่ถึงขั้น“สัมโพชฌงค์”จึงจะเรียกได้ว่าเป็น “โลกุตรธรรม” เข้าเกณฑ์เป็น“ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”กันแท้

ไม่งงนะว่า “โลกุตระ”และ“สัมโพชฌงค์”นั้นคือ“วิชชา”ที่ตรัสรู้โดยพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะทุกพระองค์ที่อุบัติขึ้นมาในโลก

“สัมโพชฌงค์”คือ “เครื่องแห่งความตรัสรู้”

“สัมโพชฌงค์”จึงไม่ใช่“ความรู้”ที่ใครๆก็จะ“คิดรู้”หรือสร้าง“วิชชา”นี้ขึ้นมาเองได้ เพราะเป็น“ความรู้”ขั้น“โลกุตระ”

คนอื่นคนใดหรือมนุษย์ไหนก็ตามในโลกจะมี“ความรู้”ที่เป็น“โลกุตระ”หรือ“สัมโพชฌงค์”นี้ไม่ได้เองเด็ดขาด  ต้องได้ยินได้ฟังจากพระโอษฐ์พระพุทธเจ้าโดยตรง หรือได้ยินจากจากปาก“สัตตบุรุษ”หรือจากผู้อยู่ในฐานะครูที่“สัมมาทิฏฐิ”มาก่อน

“สัมโพชฌงค์”เป็น“องค์แห่งความตรัสรู้” ซึ่งนับเป็น “โลกุตรธรรม”  ดังนั้น “ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”จึงไม่ใช่“ธรรมวิจัย”ทั่วไปแบบสาธารณะ ไม่ใช่“วิจัย”กันเป็นสามัญดื้นๆพื้นๆ

คำว่า “วิจัย” ทุกวันนี้ได้กลายมาเป็นภาษาที่ใช้กันทั่วไป หลากหลายนัยะ กว้างมาก แต่ก็ยังไม่ผิดไปจากนัยสำคัญของความหมายเดิมหมดสิ้นดอก  ยังคงมีความหมายถึง การค้นคว้า การจำแนก การรวบรวม การสะสม การสอบสวน การตรวจตรา การก่อ การเลือก เพียงแต่ว่ามันแตกกระจายออกไปมีความหมายมากมายพิสดารยิ่งกว่าเดิมเหลือเกินเท่านั้นแหละ

ก็เป็นประโยชน์หลากหลายกว้างขวางยิ่งๆขึ้นไปอีกตามอายุของ“โลกจินตา”ในกาลแค่นั้นเอง การแตกกระจายความหมายมากมายยิ่งขึ้นของคำว่า“วิจัย”เองมันไม่เกิดการทำลายตัวมันเองหรอก  นอกจาก“การวิจัย”นั้น“ถูกต้องจริงแท้”ก็ทำให้“สิ่งที่ถูกวิจัย”นั้นมันเสียหาย ถูกทำลายไปเท่านั้นเอง

เพราะความหมายของคำว่า“วิจัย”นี้ ยังไงๆมันก็มีความหมายแท้ๆว่า ตีแตกแยกแยะออกไปเพื่อเกิดประโยชน์ยิ่งๆ  

นัยสำคัญที่จะชี้คือ คำว่า“วิจัย”นั้นมีนัยที่แตกต่างกันกับคำว่า “ธรรมวิจัย” และคำว่า “ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์”

ยิ่งกับคำว่า “ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์” ก็ยิ่งไม่เหมือนกันกับคำว่า “วิจัย”อย่างมีนัยลึกซึ้งที่จะต้องทำความเข้าใจกันดีๆ

ซึ่ง“การทำวิจัย”แม้ธรรมของพระพุทธเจ้า ของพุทธศาสนาเขาก็“วิจัย”กันออกเยอะแยะ แต่คน“วิจัย”ยังไม่มี“ภูมิ” เข้าขั้น“สัมโพชฌงค์”เพราะยังไม่มี“อัญญธาตุ”” หรือยังไม่สัมมาทิฏฐิขั้นเป็น“ปัญญา”  ก็“วิจัย”ไม่เข้าขั้น“โลกุตระ”ดอก

 

ธรรมวิจัยให้ถึงการลดกิเลสในจิต ถึงอาการ ลิงค นิมิต คือการทำฌาน ฌานของพุทธคือการสร้างพลังงานเผากิเลส ตั้งแต่กามภพ เหลือรูปภพ อรูปภพ ก็ดับต่ออีกให้หมด รูปาวจร อรูปาวจร ให้หมดชีวิตินทรีย์ของอรูป ก็ดับภพของอรูปาวจร หมดการจรแล้ว มีแต่อากาศคือความว่าง กิเลสมันไม่เดินอีกแล้ว มีแต่อากาศคือความว่าง คือ อากาสานัญจายตนะ อย่างนี้เป็นต้น อาตมากำลังแยกอากาสานัญจายตนะกับวิญญานัญจายตนะ

นัญจายตนะคือรู้อันที่ไม่มี นัญจายตน ตัว น คือไม่ กับอัญจ คืออัญญะที่สว่าง

อัญญาธาตุรู้โลกุตระเป็นอัญจะคือสว่าง จ ฉ ช ฌ ญ คือธาตุสว่างทั้งนั้นเลย รู้แจ้งเห็นจริงรู้หมด จ ฉ ฌ ช ญ คือธาตุรู้ธาตุสว่าง

เพราะฉะนั้นขณะที่มีอากาศก็มีอย่างที่รู้ๆขณะที่มีวิญญาณที่แยกอากาศคือรูปวิญญาณคือนาม วิญญาณก็คือวิญญาณอย่างรู้และสะอาดบริสุทธิ์หมดจดกิเลสไม่มีอากิญจัญญายตนะ อากาศก็เป็นอากาศที่ไม่มีอะไรเปื้อนใสสะอาดบริสุทธิ์หมดเลย วิญญาณก็ใสสะอาดบริสุทธิ์เป็นวิญญาณเกลี้ยงเกลาไม่มีเศษธุลีละอองมัวหมองด้วยกิเลสอาสวะอนุสัยไม่มี ก็ตรวจแล้วตรวจอีกอากิญจัญญายตนะนิดหนึ่งน้อยหนึ่ง ก็ไม่มี ก็จบด้วย 3 อย่างนี้

อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ จบหมดเกลี้ยง ปฏิบัติวิญญาณฐีติ 7 อย่างสมบูรณ์แบบ คุณหมดเลยสัตว์ทั้งหลายแหล่ไม่เหลือ ถูกดับหมด สัตโอปปาติกะ ไม่มีความเป็นสัตว์อีกแล้ว จะเรียกว่าเทวดาก็เป็นเทวดาชั้นจบ จะเรียกว่าพระพรหมก็เป็นพระพรหมที่สุดสะอาดบริสุทธิ์ จะเรียกพระพรหมหรือเทวดาก็ได้ก็เป็นเทวดาที่สุดยอดเทวดา ก็คือสภาพสอง ทั้งสภาวะจริงกับพยัญชนะทั้งคู่ เทวะทุกคู่ สมบูรณ์แบบทุกคู่รู้จบรู้จริงรู้เป็นสุดยอดหมดเลย อาตมาพยายามขยายความ

วิญญาณฐีติหรือการเรียนรู้ อธิบายเลยจากข้อ 4 แล้วมาอีก 3 ตัวท้ายจนจบแล้วนะ

เพราะฉะนั้นถ้าผู้ที่สัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิเท่านั้น ในคำว่าต่างกันของที่ให้ศึกษากายกับสัญญานี้ กายกับสัญญามันมีคำ 2 คำ

1. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน  สัญญาต่างกัน  เช่น พวกมนุษย์  พวกเทพบางเหล่า  พวกสัตว์วินิปาติกะบางเหล่า 

2. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน   เช่น  เหล่าเทพจำพวกพรหม  ผู้เกิดในภูมิปฐมฌาน เป็นต้น .

3. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน  เช่นพวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง) .

4. สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน  มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค) .

คนที่เข้าใจมิจฉาตื้นๆ คืออะไร มนุษย์คือร่างกายดินน้ำไฟลมปรุงแต่งกันอยู่ ก็ไม่ใช่ทั้งสัตว์นรกและเทวดา บอกว่านรกและเทวดาคือจิต ส่วนมนุษย์คือกายคือร่าง คอหยักๆสักแต่ว่าแขนขาสองขา ก็คือมนุษย์เขาก็ว่าดินน้ำไฟลมโด่เด่คือมนุษย์ นรกกับเทวดาก็คือบอกว่าเป็นจิต คนที่เห็นว่า กายต่างกันสัญญาต่างกัน เขาก็ไม่มีสิทธิ์เห็นตรงกันกับเราว่ามนุษย์นี้มันจะไปแยกถ้าจิตออกไปไม่ได้ แล้วความเป็นจริงหน้าจะสวย หน้าจะหล่ออย่างไร แต่ใจเป็นสัตว์นรก หรือใจเป็นเทวดา ใจเป็นพระพรหม อันนั้นจะเป็นตัวชี้บ่งความจริง ใบหน้านั้นเดี๋ยวนี้ถ้าไปเกาหลีจะเอาหน้าแบบไหนก็ได้ ใช่ไหม สบม ทมด ปกต หห

เพราะฉะนั้นคุณก็จะเห็นมนุษย์ เทวดา สัตว์นรก ต่างกัน สัญญาต่างกัน กายต่างกัน

สมณะเดินดิน สรุปจบ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

640804_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5 วันพุธที่ 4 สิงหาคม  2564 ณ บวรราชธานีอโศก ชมวิดีโอได้ที่นี่ ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่น...