วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2564

640428_พุทธศาสนาตามภูมิ - ตำหนิให้เขาดื่มได้คือหน้าที่ของผู้ทำงานศาสนา

 รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ
วันพุธที่ 28 เมษายน 2564

ณ บวรราชธานีอโศก

ชมวิดีโอเทป
ฟังเทปบันทึกเสียง


          สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้ วันพุธที่ 28 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้สถานการณ์โควิดก็คืบคลานใกล้ชาวอโศกมาเรื่อยๆ มีลูกค้าที่ตลาดบุญนิยมสันติอโศกแจ้งว่า ได้ไปที่ตลาดพวกเราหลายวัน หลายร้าน แล้วต่อมาพบว่าตนติดโควิด จึงแจ้งที่ร้านเรามา

พ่อครูว่า…ตอนนี้ก็ปิดร้าน ปลูกอยู่ปลูกกินอยู่สวนน้อยๆหลังตึกดีกว่า

สมณะฟ้าไทว่า...ตอนนี้เขาก็ให้อำนาจนายกฯตู่ได้ตัดสินใจเต็มที่เลย คนในประเทศไทยก็ออกมาช่วยเหลือกันอย่างมาก

พ่อครูว่า…เป็นสาราณียธรรม 6 พุทธพจน์ 7 ของประเทศไทยที่สุดยอดเลย

สมณะฟ้าไท...ประเทศไทยมีคนมีน้ำใจไม่ใช่น้อยที่จะช่วยกัน

พ่อครูว่า…SMS วันที่ 23-24 เม.ย. 2564

_ประเสริฐ จริยา : กราบนมัสการครับพ่อ ตอนนี้แม่มีอาการทางสมองกำลังรักษา แม่เห็นพ่อครู บอกว่า ถ้าหายจะกลับมาอยู่วัดอีก ตอนนี้แม่รับรู้ได้และดูอยู่ ระหว่างการรักษาแม่ไม่ยอมกินเนื้อสัตว์แม่บอกมันเหม็นแล้ว ขอขอบพระคุณป้าหมีที่ดูแลแม่ผมเป็นอย่างดีแม่บอกว่าถ้าหายอาการทางสมองแล้วเจอกันแน่นอนครับที่สันติอโศกแต่อีกนานเท่าไรไม่รู้

_วีระวัฒน์ บุญสุข : ผมไม่เคยศรัทธาพระรูปใหนง่าย...แต่มาพบพ่อท่านช่วง"พันธมิตร"ได้ฟังท่านสอนทุกวันบอกตรงๆหลายเรื่องถึงกับ"บรรลุ"ตอนนี้มีโอกาสก้อจะฟังตลอดครับ

_วันชัย สหมโนธรรม : ชีวิตจะดีหรือไม่ดี..อยู่ที่เราสั่งสมเหตุปัจจัย..จงสั่งสมเหตุปัจจัยที่ดีและนำพาตนเองไปสู่ความพ้นทุกข์.ท่านสมณะเดินดิน ติกขวีโร กล่าว

_Hun Saelim ฮุน แซ่ลิ้ม : ไปว้ดทำบุญเกือบทุกวันพระ แต่ก็ไม่เคยคิดเรื่องจะงดทานเนื้อสัตว์ อย่างดีก็แค่ทานมังสวิรัติที่ทางวัดที่ไปจะมีไว้ให้ผู้อยากทาน แต่เมื่อมาได้รับฟังพ่อครูเทศน์เรื่องการงดทานเนื้อสัตว์ต่างๆ ได้เลยทันที

_Pornthip Thaiiad (พรทิพย์ ไทยหยาด) : กราบนมัสการท่านสมณะและท่านสิกขมาตุทุกรูปค่ะ ชอบฟังท่านย่อยธรรมะมากค่ะ เข้าใจง่ายดีค่ะ

_ชายพงไพร บุนิตระกูลพุทธ : ท่านนายกไฟเขียวให้ผู้ว่าประกาศเคอร์ฟิวได้แล้วครับท่าน

_สมนึก ไลลักษ์ : กราบนมัสการค่ะ ท่าน เกิดมาดวงดีที่สุด ที่เจอ พ่อครู กินเจมาตลอดไม่เคยตก เพราะมีธรรมะ และฟังเทศน์มาตลอดค่ะ

 

_จากป้าย่านาง(บัวสายธรรม) : มีข้อความจะถามพ่อครูถึงการปฏิบัติของตัวเองว่าเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ คำว่า"กาย"ของพ่อครู ถ้าป้าจะนำไปเปรียบเทียบด้วยแนวทางวิทยาศาสตร์กับเซลล์เล็กๆที่ไม่สามารถมองเห็นแต่มีจริงในร่างกายมนุษย์ในรูปของอวัยวะทั้งภายในและภายนอกของมนุษย์จะได้ไหมคะ? ในเซลล์เล็กๆนี้จะถูกสั่งการด้วยจิตวิญญาณที่มีสัมมาหรือมิจฉาขึ้นอยู่กับการเลือกตามปัจจัยที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ ณ เวลานั้นๆ ซึ่งในเซลล์จะถูกสั่งการด้วยจิตวิญญาณของการตกผลึกจากการเลือกอีกขั้นตอนหนึ่งที่ประกอบด้วยองค์ครบทั้งตัวสัญญา วิบากดีชั่ว เจตนา output ออกมาเป็นการคิด พูด ทำในแต่ละผัสสะที่มากระทบในเวลานั้นๆ กลไกที่มาของสิ่งที่เกิดขึ้นอาจจะอธิบายสั้นไปหน่อยต้องขอกราบอภัยพ่อครูด้วยค่ะ ป้าขอกราบพ่อครูช่วยชี้แนะผู้ที่ติดตามธรรมะพ่อครูมาไม่ต่ำกว่า 15 ปีด้วยนะเจ้าคะ กราบพ่อครูด้วยความเคารพและศรัทธาค่ะ

พ่อครูว่า…ก็ได้ก็เปรียบเทียบกันไปตามความเข้าใจอาจจะไม่ตรงกันทีเดียวก็ค่อยๆศึกษามันก็จะตรงไปเอง

 

_ชานนท์ นนท์ : พ่อท่าน มีแนวทางชัดเจน แต่ไม่ถูกจริต กับใครก็เป็นเรื่องคนนั้น ...นี่เป็นสิ่งดีงาม ผมชอบดูคลิป เห็นสถานที่ เห็นต้นไม้ เห็นผู้คน นอบน้อม สมถะ เคารพกัน

ส่วนใครบ้างไม่เคยโดน ติฉินนินทามีคนรักก็มีคนเกลียด สังขาร ย่อมร่วงโรย ไปตามกาลเวลา เท่าเทียมกันหมดดูแล้ว ก็นำสิ่งดีๆมา ปรับปรุง แก้ไข ตัวเอง ...ยุคสมัยนี้ดีจะตาย เลือกเสพอะไรก็ได้ เสพสิ่งใดก็ใด้สิ่งนั้น...ถ้าผมไม่มีศาสนา ไม่ยึดถือ นับถืออะไร? แต่ปฎิบัติตน ไห้มีศีล อยู่กับธรรมชาติ เรียนรู้ความตาย เรียนรู้ใจตัวเอง ...แค่นี้ ก็เป็นสิทธิของเรา ...เงียบง่ายๆ ดูคลิป ควรใด้ประโยชน์ ว่า เขากำลังทำอะไร สอนอะไร?

 

_Rujikorn Horthaisong (รุจิกร หอไทสง) : สภาพอย่างงี้ไม่น่าบอกคนอื่นว่าโง่นะ เป็นพระเเต่ความคิดต่ำ คนเเบบนี้อย่าเป็นพระเลยความคิดคือไม่น่าเเม้เเต่เกิดเป็นคนด้วยซ้ำ รู้ดีไปหมด หารู้ไม่ชีวิตตัวเองจะเป็นยังไงรู้ดี ตั้งเเต่มาพูดเรื่องเพศที่สามละ ผมบนหัวไม่มี เเล้วยังจะไม่มีสมองอีก เป็นภาษาอะไรเกิดมาพูดเเต่ละอย่าง คนอย่างนี้นะเกิดมารกโลก ไม่ละทางโลกมาใช้ความเป็นพระจะว่าใครก็ได้ เเก่กะโหลกกะลา หัดทำตัวให้เป็นประโยชน์ด้วยนะ ตอนนี้สภาพเป็นไงอ่ะติดโควิดยัง ติดเเล้วไม่ต้องฉีดวัคซีนนะ ถ้าทำตัววิเศษขนาดนั้น ให้มันกินสมองไปเลยค่ะ

พ่อครูว่า…แล้วจะเอาอย่างไรผู้ชายหรือผู้หญิงกันแน่ (โยมว่ากระเทยแน่นอน ถ้าพูดจิกๆอย่างนี้เป็นที่หวังได้ว่า) ก็ฟังผู้ที่รับฟังความเห็นต่างกัน ไม่มีปัญหาอะไร อาตมาก็รับฟัง ก็พอมีสมองรับรู้คุณได้ว่า คุณกระทบสัมผัสแล้วรู้สึกอย่างไรคุณก็เป็นความเห็นที่ต่างกับอาตมาคนละขั้วเท่านั้นเอง มันก็เป็นธรรมดาคุณก็ต้องเห็นอย่างที่คุณเห็น ไปกระทบจุดคุณก็มีปฏิกิริยาก็ขอบคุณที่สนใจศึกษา

 

อาตมาเกิดมาชาตินี้ตั้งแต่อายุ 36 ปี ออกมาทำงานทางนี้ก็ไม่ได้สงสัยอะไร ทำงานทางธรรมะ ทางศาสนา จนกระทั่งป่านนี้ ก็ยังมีกำลังใจหรือมีความยินดีเต็มๆ มีฉันทะเต็มที่จะทำงานนี้ไปอีกตามสังขารร่างกายมันจะให้อำนวยให้ทำได้แค่ไหนก็ทำกันเต็มที่ จนกว่าจะไม่มีกำลัง พอ 5 มิถุนายน ก็จะเต็ม 87 ปีขึ้น 88 ปี

 

สู่แดนธรรม...มีปัญหาจากชาวบ้านราชฯ ถามมา

 

อายตนะคือสะพานยืดรูปนามที่ผัสสะเป็นเวทนา

_จากชาวบ้านราชฯ...ถามว่า คำว่า อายตนะ ที่แปลว่า สะพานเชื่อมต่อระหว่างปสาทรูปกับโคจรรูป คำเดียวกันนี้ต่างกับอายตนที่แปลว่า ตนที่ประกอบไปด้วยประโยชน์อย่างไรคะ

พ่อครูว่า…อาตมาแยกศัพท์โดยอัตโนมัติของอาตมา พวกบาลีเขาคันหัวใจที่อาตมาแยกคำอย่างนี้

สฬายตนะหรือฉฬายตนะคือ สะพาน 6 สะพาน คือ สะพาน

อายะ แปลว่าประโยชน์ แปลว่า ส่วนที่ได้ แปลว่ากำไร ภาษาไทยมาจากภาษาบาลีเยอะเลย ถ้าเข้าใจ ตน อาตมาก็แจก ตัว ต กับ ตัว น

ต คือตัวตั้ง น คือตัวไม่

อ ที่จริงแปลว่า ไม่ น ก็แปลว่า ไม่ จนมี อตต ก็คือ อัตตา

ตน แปลว่า สิ่งที่จิตนิยามหรือจิตวิญญาณของแต่ละสัตว์หรือคน ที่มีปัญญาศึกษากันรู้เรื่อง คนอเวไนยสัตว์ก็พูดกันไม่รู้เรื่อง คนเวไนยสัตว์พอฟังกันรู้เรื่อง เมื่อมีตนะ แล้วก็สามารถรู้จักสิ่งที่เกี่ยวข้อง 2 2 2 สัมพันธ์ทีละ 2 เทวะ มันก็จะเกิดปฏิกิริยาเรียกว่าสังขาร ทำงานร่วมกันมีอะไรขึ้นมาให้รู้ นี่แหละจึงเรียกว่า สภาวะ หรือ ตัวที่เชื่อมต่อเป็นอันนั้น เป็นอายตนะ เป็นสะพานเชื่อม

อ่านสภาวะตรงนี้ สะพานเชื่อม เมื่อผัสสะมีอายตนะ สะพานเชื่อม นามรูป กระทบสัมผัสกัน มันก็เป็นเวทนา อายตนะ มาแตะกัน ร่วม ก็จะเกิดเวทนา อีกอันหนึ่งมาผลักกันก็จะเกิดเป็นเวทนา ผู้ที่สามารถรู้เวทนาได้ อ่านอาการ ลิงค นิมิต ตามอุเทส ตามคำที่อาตมาขยายความ รู้อาการของมัน เวทนาเป็นอย่างนี้ จิตอาการของเราเป็นอย่างนี้ แล้วก็จับอาการนั้นได้ก็หมายใจให้รู้เองของเราเรียกว่านิมิต กำหนดเอง นี่แหละคือสัญญากำหนดหมายรู้นิมิต เราก็รู้ของเรา อาการอย่างนี้คือเวทนา

ผู้รู้จักเวทนา อ่านเวทนาเป็น และแยกเวทนาได้ สามารถแยกได้ป็น 2-2-2 คือเทวะ ธรรมะพระพุทธเจ้าศึกษาได้จากเทวธัมมา แล้วหัวใจก็คือ ศึกษาที่เวทนา ที่อาตมาบอกแล้วตัวแท้ปฏบัติโครงสร้างคือ อาริยสัจ 4 แต่หัวใจที่ปฏิบัติ คือ เวทนา  สามารถจัดการเวทนา 2 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  ล.10 ข.60

ที่แยกเวทนาเก๊ เวทนาหลอก กับเวทนาจริง สัมผัสแล้วมีความรู้สึกรู้สิ่งที่สัมผัสตามความเป็นจริง  รู้ความเป็นจริงตามความเป็นจริง ผู้นี้ก็ไม่มีอะไรที่แฝงแปลกๆมาปนเปก็รู้ความจริงตามความเป็นจริงถูกต้อง คนเราก็ต้องมี รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีขันธ์ 5 เป็นธรรมดาธรรมชาติ เราก็อาศัยขันธ์ 5 ในชีวิตไปแล้วก็ศึกษาในขันธ์ 5 ศึกษากิเลสที่จะเข้ามาใน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กำจัดกิเลสหมดก็จบ ก็จะรู้จัก หน้าที่ของเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ  หน้าที่ของจิตที่แบ่งกันทำหน้าที่ต่างๆ

คุณก็จะรู้ว่า จิตวิญญาณเป็นเช่นนี้เอง มันเป็นอย่างไรมันเกิดมาด้วยอวิชชา เกิดมาเราไม่รู้ พอมาศึกษาเราจึงรู้ว่าแท้จริง มันคือสังขารที่ปรุงแต่งขึ้นมามีธาตุ 2 ธาตุ มีนามเป็นหลัก มีจิตวิญญาณเป็นหลัก แล้วกับสิ่งที่เราไปร่วมสัมพันธ์เกิดการปรุงแต่งมา เราก็รู้สิ่งที่ถูกรู้เรียกว่ารูป  สิ่งที่รู้ก็เรียกว่าปัญญา หรือสัญญาที่เป็นอภิสัญญา (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

ถ้ามันมีกิเลส ก็ศึกษาให้ได้ว่ามันมีกิเลส แล้วแยกกิเลสออกมาให้ได้ แล้วก็รู้ให้จริงว่า กิเลสนี่มันไม่มีตัวจริง ในขณะเราเป็นคนมีจิตวิญญาณ เมื่อมีตัวไม่จริงมาแทรกมาแฝงเรียกกิเลสหรือตัณหา แล้วเราจะมีปัญญารู้ว่า ปัดโธ่เอ๋ย เอ็งมา เป็นตัวปลอมมาแทรกอยู่ในเราเอ็งไม่ใช่เรา  เราไม่ใช่เอ็ง เอ็งไม่ใช่ตัวจริง ท่านเรียกว่า อาคันตุเกหรืออาคันตุกะ แขกจรเข้ามาแอบ ปลอมมาเป็นเราสนิท เมื่อเราอวิชชาก็โง่ แล้วมาบงการยึดอำนาจเสร็จ เป็นจิตใจเราเลย พระพุทธเจ้าท่านบอกเรารู้แล้ว เอ็งมาสร้างบ้านสร้างเรือนในจิตของข้า จับได้แล้วหักเรือนยอดทิ้งหมดเลย เกิดไม่ได้แล้ว เพราะพระพุทธเจ้าท่าน รู้ มันมันสร้างบ้านเรือนเป็นเคหะในจิตเราก็ทำให้มันหมดมันหายไป มันมาสร้างบ้านสร้างเรือน แต่ที่จริงมันไม่มีตัวตนจริงหรอก มันอนัตตา แล้วมีอำนาจพรางลวงคนด้วยอวิชชา เทวนิยมไม่รู้จักตัวปลอม วิญญาณเก๊ที่ว่า ก็เลยหลงสุข เวทนามันหลอก สุขทุกข์ก็เทวะนี่แหละ

ก็มันยึดเป็นตน แล้วหลงสิ่งเก๊ว่าเป็นประโยชน์ เป็นกำไรที่ได้ที่จริง มันไม่มีตัวตน ไปยึดว่าเป็นตน ที่จริงมันเป็นกิเลส

อายตนะก็อธิบายขยายความไปเยอะแล้ว

สิ่งที่มาปรุงแต่ง วิญญาณต้องมีนามรูปมาปรุงแต่งกัน มาปะทะสัมพันธ์กัน มันก็จะเกิดมีตัวกลางเรียกว่าอายตนะ ท่านก็ยืดตัวกลางนี้ออก ยืดสะพานแล้วหยิบมาอธิบาย ว่าเมื่อผัสสะก็เกิดอายตนะ ตัวกลางที่ยืดออกมาคือ เวทนา มันเป็นหตุปัจจัยแก่กันและกันทั้งนั้น

 

โลกุตระดับอวิชชาในปฏิจจสมุปบาท

เวทนาที่มันเกิด ผู้อวิชชาก็ไม่รู้เวทนาจริง เวทนาปลอม เป็นอย่างไร เวทนาปลอมก็หลอกครอบงำเราเรื่อย คือมีตัณหาเป็นเจ้าเรือน ควบคุมเลย แล้วคุณก็อยู่กับอายตนะที่เป็นเวทนาตัวปลอมด้วยอวิชชา คือนายใหญ่ อวิชชาคือตัวมารใหญ่ ซาตานใหญ่ คุณต้องดับอวิชชาเปลี่ยนเป็นความรู้ วิชชา ซึ่งเป็นของศาสนาพุทธเท่านั้น แต่อวิชชาเป็นของผู้ไม่รู้ทั้งหมด

พระพุทธเจ้ามาค้นพบวิชชา เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าค้นพบตีแตกแยกแยะได้เป็นปฏิจจสมุปบาท ชาติ คือความเกิด ตัวนี้แหละคือมันเกิดอวิชชา แล้วมันก็มาเป็นสังขารเป็นวิญญาณ ไปแยกนามรูปก็แยกไม่ออก มีแต่ศาสนาพุทธเรียนแยกนามรูป มี 2 ตัว สัมผัสกันแล้วก็เกิดอายตนะ ที่เป็นตัวกลางของนามรูป อายตนะตัวกลางคือเวทนา ก็มาศึกษาตัวเวทนา เวทนาคืออายตนะที่เกิดจากผัสสะของนามรูป

เอาสภาวะจริงๆมาอธิบายให้ฟังชัดๆ เมื่อศึกษารู้ตัวการใหญ่ที่มันควบคุม ที่มันอวิชชา แล้วไปปรุงแต่งกันใหญ่ จนกระทั่งไปหลงเวทนามันมีสอง คือสุขกับทุกข์ เป็นมารใหญ่ ซาตานใหญ่ เป็นตัวปลอมไม่มีความจริงเลย แล้วมันแยกกันไม่ออกก็ควบคุมเวทนา คนก็โง่ไปกับเวทนา อยู่กับสุขทุกข์จริงๆๆๆเลย แต่เขาไม่เรียนทุกข์ เขาก็ไปหลงจะเอาแต่สุข แต่วิธีดับเหตุแห่งทุกข์เขาไม่ได้เรียนเลย มีพระพุทธเจ้าค้นพบว่า สุขกับทุกข์แยกกันไม่ออกเหมือนกระดาษแผ่นเดียวกัน มันตอแหล เอาสุขมาโชว์แต่ที่จริงมันทุกข์ ก็ดับทุกข์ ฆ่าทุกข์ จับเหตุแห่งทุกข์คือตัณหา คืออุปาทาน

ตัณหา อุปาทาน คือกิเลส กิเลสตัวนอนนิ่งคืออุปาทาน ตัวเคลื่อนไหวคือ ตัณหา จัดการดับได้ก็ดับภาพชาติที่โง่ ดับอวิชขาได้ก็มีแต่สังขารความจริงตามความเป็นจริงในโลก ตั้งแต่สังขารอุตุ ดินน้ำไฟลม จนเป็นชีวะ พืช ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ จนเกิดจิตนิยามมีทั้งเวทนาและวิญญาณ มีกรรมวิบากด้วย พีชนิยามหรือพืชไม่มีกรรมไม่มีวิบาก เพราะมันไม่ยึดติด ไม่จับตัวเป็นอัตตา แต่จิตนิยามเป็นอัตตาแล้ว ก็เป็นกรรม เป็นวิบาก

ตัวกรรม ตัววิบาก นี่แหละ คือตัววิชชา กรรมคือวิชชา กรรมคืออวิชชา แต่เขาแยกไม่ออก กรรมคืออะไร?.. กรรมคือ การกระทำนั่นแหละ แปลกันมาแต่ไหนแต่ไร การกระทำของอะไร?.. การกระทำของวิญญาณ หรือธาตุ 2 ตัว เป็นต้น แล้วก็เป็น 3 เป็น 4 เป็น 5  ปรุงแต่งกันเป็นเหตุปัจจัยยืดยาวมากมาย

เมื่อมาเรียนรู้ตัวไม่ดีตัวซาตาน ถ้าจะเป็นจิตวิญญาณก็ฆ่าตัวไม่ดี ตัวซาตานนี้ให้หมด เหลือแต่จิตวิญญาณที่ดี จะอยู่ต่อไปก็เป็นเวไนยสัตว์ขั้นอรหันต์ จะมีจิตอยู่ก็อยู่ไปสิ เพราะรู้ความจริงหมดแล้วว่า สิ่งที่ปรุงแต่งกันอยู่นี้คือนามรูป คือธาตุสอง ถ้าแยกได้ก็เป็นอุตุ ดินน้ำไฟลมไป ถ้าแยกเป็นพีชะ ก็ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสุขทุกข์ ไม่มีสภาพสอง ก็เอาสภาพดีนี้ไว้ใช้ แล้วสามารถทำให้เป็น 0 ได้ก็จบ อาตมาก็อธิบายพวกนี้จนกระทั่งใช้สังขยาเลข 0 บ้าง 1 บ้าง 2 บ้างอธิบายแยกแยะให้ฟังโดยใช้ภาษานี้ เป็นสื่ออธิบายสภาวะจนกระทั่งอธิบายทะลุจบจนไม่รู้กี่เที่ยว ที่อาตมาอธิบายอย่างนี้ได้เพราะอาตมาทำได้ อาตมาเป็นจริง  บรรลุธรรมพวกนี้ ที่อาตมาพูดอย่างนี้อย่างสบายใจเพราะอาตมาประกาศไปหมดแล้วว่าอาตมาเป็นอรหันต์ อาตมารู้แจ้งอาตมารู้จบอาตมาเป็นพระโพธิสัตว์มาศึกษาให้เป็นพระพุทธเจ้า รู้จบตั้งแต่เป็นอรหันต์แล้ว เป็นพระโพธิสัตว์ระดับ 1 2 3 4 ถึง 7 ศึกษาไปอีกเป็นระดับ 8 เป็นระดับ 9 จนถึงขั้นพระพุทธเจ้า เพื่อที่จะรู้ในความเป็นจิตนิยามเป็นมนุษย์ชาติ   เป็นมนุษย์ชาติที่สูงที่สุดคือพระพุทธเจ้า สูงสุดจนกระทั่งรู้ว่าจิตวิญญาณนี่ไม่ใช่ของพระเจ้า ไม่ใช่ของใคร ของเราเอง ตายแล้วก็สลายไป พระเจ้าก็นั่งเด้อ เฮ้ย! ตายแล้วไปไหน?..ทำไมไม่มาหาข้าล่ะ พระเจ้าก็เด้อไป เพราะเราจับได้แล้วว่า มันไม่ใช่ของพระเจ้า มันเป็นของเราเอง อย่ามาหลอก พระเจ้าไม่มีจริง พระเจ้าคืออวิชา คือยังไม่รู้ตัวเอง พระเจ้าคือสภาวะที่ไม่รู้ตัวเอง

ความรู้ที่อาตมาพูดนี้มันก็ซับซ้อน มันเป็นความรู้ที่เรียกว่าโลกุตระ ที่ต่างจากความวนที่อยู่ในโลกียะ ที่เป็นเทวนิยมที่ไม่มีความรู้ที่เป็นปัญญาหรือเป็นความรู้อีกอันนึงต่างหาก ที่มันรู้แจ้งเห็นจริงความเป็นโลกียเต็ม จนกระทั่งสามารถสลายโลกียะออกไป กระจายออกไปจนไม่เหลือ จนดับสัตว์โลกที่อยู่ในโลกียนั้นรู้จักสัตว์โลกที่อยู่ในโลกีย์นั้นว่ามันมีอวิชชาอย่างไร มันหมดอวิชาแล้ว รู้หมดเลย อ่อ..มันมารวมกันอยู่อย่างนี้เอง มันปรุงแต่งกันอยู่อย่างนี้เอง ถ้าเราเลิกปรุงแต่งมัน มันก็แยกตัวไป นี่พูดด้วยภาษาง่ายๆ แต่รู้สภาวะอย่างนี้ยาก รู้แล้วก็เข้ามาทำได้ อย่างอาตมาพูดแล้วก็ทำได้ ที่พูดนี้เหมือนอวดตัวอวดตนน่าหมั่นไส้ แต่ไม่ใช่ ก็ทำได้อย่างไรก็มาพูดอย่างนี้ให้ฟัง

อาตมาไม่มีกิเลสแล้ว พูดตามสัจจะ เหมือนพระพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้นก็บอกว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าท่านไม่ได้อวดตน พระพุทธเจ้าถ้าจะว่าอวดท่านอวดยิ่งกว่าอาตมา แต่ท่านว่าท่านไม่อวด เหมือนกับอาตมา จริงใจเอาความจริงมาขยายความมาประกาศ

สู่แดนธรรม...นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

สมณะฟ้าไท…ในหนังสือคนพาลกับบัณฑิต ค้นมาจากพระไตรปิฎกโดยนวพุทธ

พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าท่านใช้ภาษาบาลี ท่านก็ว่าของท่านไปเรื่อยๆ เราก็ต้องเอาบาลีมาขยายความเป็นไทยขยายไปอีกหลายชั้น ก็ยากหน่อย พอมายุคนี้ ผู้รู้อื่นก็เพี้ยนไปเรื่อยๆ

จากอาจารย์สู่ลูกศิษย์

เถระวาทะคือ วาทะของผู้ที่เกิดร่วมในยุคของพระพุทธเจ้า อาตมาเป็นเถระ เอาวาทะมาพูด อาตมาคือเจ้าแห่งวาทะจริง ท่านที่ว่าเป็นเถรวาท ท่านยืนยันไม่ได้หรอก แต่อาตมาอยู่เหนือความรู้ของคนทั่วไป มันเป็นเรื่องยาก อจินไตย เป็นเรื่องกรรมวิบากที่อาตมาสร้างกรรมวิบากมาจนชาตินี้ก็บอกความจริงว่า อาตมามีความรู้เก่ามาของอาตมา หากว่าอาตมาไม่ใช่ตัวจริง ทำงานมาห้าสิบปี ภาษาที่สองก็ต้องมิจฉาทิฏฐิ คนก็ต้องมาอ้างอิงว่าผิด แต่นี่ทำให้เกิดหมู่กลุ่มสาธารณโภคีได้ มันเป็นไปไม่ได้ง่ายๆนะ คุณวิเศษระดับอุตตริมนุสสธรรม ที่จะมาเป็นคนจน ไม่ใช่คนจนอย่าโง่งมงาย แต่เป็นคนจนที่สบาย อุดมสมบูรณ์ พึ่งพาตนเองได้ เป็นคนจนที่ไม่สะสม เป็นคนจนที่เป็นยอดนักเศรษฐกิจ เพราะว่าเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นสูงสุดแล้ว ที่ถึงขั้นสาธารณโภคีแล้ว เป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นสูงสุดแล้ว

 

 

เศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ไม่มีอะไรเท่าสาธารณโภคี

ขอพูดตรงนี้เลยว่า ไม่มีเศรษฐศาสตร์ทฤษฎีไหนยิ่งใหญ่เท่าทฤษฎีของพระพุทธเจ้าที่เป็นสาธารณโภคีนี้หรอก ไม่มี เศรษฐศาสตร์บทไหนทฤษฎีไหนของนักเศรษฐศาสตร์ของโลกที่เป็นเทวนิยมทั้งนั้น แต่ของพระพุทธเจ้า อเทวนิยม

หักกลับเลย เพราะว่าเทวนิยมต้องเอาให้ไปรวยรวยรวยแต่ว่า อาตมาเทวนิจะให้ไปจนเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้น 1 นี่มันอธิบาย ที่อาตมาอธิบายได้ เพราะมีพวกคุณยืนยันว่าปฏิบัติได้จริงจนเป็นสังคมเป็นหมู่บ้าน กระจายอยู่ในประเทศไทยจนบัดนี้สาธารณโภคีหมู่บ้านเล็กหมู่บ้านใหญ่ก็เป็นสังคมที่ดำเนินเศรษฐศาสตร์มีบทบาทเศรษฐกิจ สาธารณโภคีพิสูจน์มาแล้ว 40-50 ปี ยังไม่พอหรอกเขายังเข้าใจได้ยาก เขายังไม่ยอมเชื่อว่า 50 ปียังไม่พอ ต้องพิสูจน์สัก 100 ปีกูถึงจะเชื่อ เอ็งก็เกิดมาตามรู้ให้ได้นะ ทำไมรู้ช้าอย่างนี้

ถ้าคนเขารู้ได้เร็วเพราะคนเขาแสวงหา คอมมิวนิสต์ ก็แสวงหา เอาทรัพย์สินมารวมกับส่วนกลางแล้วมีคนซื่อสัตย์เป็นผู้บริหารที่ดี แจกจ่ายให้ทั่วถึงซึ่งคนเขาก็รู้กันว่าดี อาตมาก็เป็นนักเศรษฐศาสตร์ แค่สมัครเป็นนักศึกษาแต่ไม่ได้เรียน อาตมามีความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ทั้งที่ไม่ต้องไปเรียนแล้วก็มีความรู้เศรษฐศาสตร์ถึงขั้นสาธารณโภคี นักศึกษาเศรษฐศาสตร์ที่จบปริญญาตรี โท เอก อธิบายอย่างอาตมาไม่ได้หรอก เพราะอาตมาเป็นนักเศรษฐศาสตร์ตัวจริง เป็นนักเศรษฐศาสตร์แบบพระพุทธเจ้า

อธิบายแล้วพวกผู้ที่เป็นเวไนยสัตว์สอนได้เรียนได้ ก็เอาไปพิสูจน์จนเป็นผลสำเร็จจริงอยู่ร่วมกันอย่างนี้เป็นสังคมสาราณียธรรม 6 มีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม มีลาภที่ได้ก็เอามารวมกันเป็นสาธารณโภคี อยู่อย่างนี้ตามสาราณียธรรม 6

มีลาภโดยธรรมก็ไม่ได้ยึดเป็นของตน ดำเนินอยู่ด้วยทิฏฐิสามัญญตา ศีลสามัญญตา

โสดาเสมอโสดา ศีล 5 เสมอศีล 5 ศีล 8 ก็เสมอศีล 8 ศีล 10 เสมอศีล 10 ในยุคนี้ก็ยังพิสูจน์ความจริงของพระพุทธเจ้าได้ มีผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เข้าใจความเป็นโลก โลกนี้คืออย่างไร โลกหน้าคืออย่างไร ตั้งแต่เป็นลูกโลกของวัตถุภายนอก จนกระทั่งเป็นโลกภายในตน กามโลก หรือรูปภพ อรูปภพ แล้วเข้าใจโลก เรียรู้จนเหลือโลก โลกกาม โลกรูป โลกอรูป ก็จบสามโลก เป็นผู้อยู่จบทั้งสามโลกแล้ว เป็นสุดยอดความรู้ของพระพุทธเจ้าแล้ว ก็เป็นคนเป็นพระอรหันต์ รู้จัก 3 โลกแล้วก็ทำอย่างไม่เป็นทาสของโลก แล้วก็ไม่ไปจัดการอะไร โลกมันก็ต้องเกิดเป็นสามัญ สำหรับผู้ที่ไม่รู้ก็ต้องเกิดอยู่ตลอดกาล เราก็ช่วยเขาให้มารู้อย่างที่เรารู้ เรามาอยู่ในโลก เพื่อที่จะไม่เป็นผู้เป็นโทษเลย มีแต่เป็นคุณ ช่วยเหลือเกื้อกูลคนอื่นไป แล้วก็มาสอนเขา ให้รู้จักโลก รู้จักตัวตน โลกกับอัตตา

แล้วรู้ อธิปไตยของโลก  อธิปไตยของอัตตา รู้จักอธิปไตยของโลกจึงรู้จักอธิปไตยของประชาชน มันก็เป็นภาษาใช้แทนกันได้ เป็นไวพจน์ โลกาธิปไตยหรือประชาธิปไตยก็ใช้แทนกันได้ อธิปไตยคือพลังคืออำนาจมีสิ่งที่ในตัวเอง เรียกว่าเป็นพลังหรือว่าอำนาจ ที่รู้จักโลก แล้วก็อยู่กับโลกโดยไม่เป็นทาสของโลกเลย เช่น ท่านแจกว่าโลกนี้คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ  สุข เราก็อยู่เหนือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มีพลังอยู่เหนือหรือเป็นใหญ่ อธิปไตย ลาภก็มีโดยธรรมเรียกว่า ลาภธัมมิกา อาตมาก็มีลาภโดยธรรม ยศก็มียศโดยธรรม แต่ไม่ต้องติดยึด แต่ไม่ต้องเอาลาภมาเป็นตน ยศของอาตมาคือพ่อครู ตอนนี้จะให้เรียกพ่อเฒ่า แต่เขาก็ไม่ค่อยอยากให้เรียก เฒ่า ก็ใกล้กับขี้เถ้า คือใกล้ตายเผาเป็นขี้เถ้า ยังมี เท่า อีก

เฒ่า กับ เถ้า มันก็ เท่ากัน นั่นแหละ ท.ทหาร ยังขี้เถ้าเดินได้อยู่ ก็คือผู้เฒ่าผู้แก่อยู่ ยังไม่ตายก็ยังมีชีวิตอยู่ อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว แต่อาตมายื้ออยู่ ไม่ยอมให้ถึงตายง่ายๆ มันยอมจำนน มันเฒ่าก็เฒ่าวะ แต่ยังไม่ยอมให้เป็นขี้เถ้า พยายามจะยื้อให้เรา เอ็งเป็นเฒ่าแล้วนะ เอ็งเฒ่าแล้วเอ็งก็เท่ากับกับขี้เถ้าล่ะว้า

ก็ไม่เป็นไร เพราะฉะนั้นถ้าเรายื้อได้อยู่ว่า เอ็งจะบอกว่าเรา เฒ่า แล้วดึงเราไปเป็น เถ้า เอ็งว่าเท่ากัน เราบอกว่ายังไม่เฒ่า

 

พลังสังคหะที่ยิ่งกว่าสังคหะ

สู่แดนธรรม...สังคหะโลกีย์แล้วเหนือกว่าโลกีย์ นิมนต์พ่อครูอธิบายให้ครับ

พ่อครูว่า...พลังสังคหะที่ยิ่งกว่าสังคหะ

1. ทาน   ให้ธรรมะเป็นทาน  ชนะการให้ทานทั้งหลาย   .

2. เปยยวัชชะ. การอบรมสั่งสอนบ่อยๆ ให้แก่คนซึ่งใจต้องการ  แก่ผู้เงี่ยโสตลงสดับ นี้เลิศกว่าการพูดถ้อยคำอันไพเราะ .

3. อัตถจริยา  การชักชวนให้คนมีศรัทธาสัมปทา  มีศีลสัมปทา  มีจาคะสัมปทา  มีปัญญาสัมปทา  นี้ประพฤติเป็นประโยชน์กว่า

4. สมานัตตตา ความสมานอัตตาซึ่งกันและกัน (ปรองดอง คือ อัญญมัญญัง)  โสดาบันเสมอโสดาบัน,  สกิทาฯเสมอสกิทา,  อนาคามีเสมออนาคามี,  อรหันต์เสมออรหันต์  (ล.23  ข.209)

ทานก็คือให้ ให้ เปยยวัชชะ ก็คือ คำตำหนิที่ควรดื่ม เปยยะ แปลว่าของควรดื่ม วัชชะแปลว่าคำตำหนิ คำตำหนิที่ควรดื่ม ส่วนอัตถจริยา แปลว่าความประพฤติ เนื้อหาสาระหรือสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นเนื้อแท้แก่นแท้ของการประพฤติ

สมานะ กับ อัตต ส่วนคำว่า ตา เป็นปัจจัยทำให้เป็นคำนาม คือสมานอัตตา ทำให้เกิดเสมอสมานกัน กับอัตตาต่างๆในโลก

ผู้ที่จะเรียนรู้ ทาน คือการให้ผู้อื่น การเกื้อกูลผู้อื่น การช่วยเหลือผู้อื่นก็คือสังคหะนั่นเอง

การเป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นนั่นคือสังคหะนั่นเอง เพราะฉะนั้นคุณเกิดมาถ้าชีวิตจบมีพฤติกรรม ที่เรียกว่าทานก็คือเป็นผู้ที่ อัตถจริยา เป็นการประพฤติที่มีแก่นสารสาระอัตถะ มีประโยชน์ เป็นผู้ที่มีวิธีปฏิบัติ มีการปฏิบัติที่ได้ผล เกิดเป็น สีลสัมปทา ศรัทธาสัมปทา ปัญญาสัมปทา มีการประพฤติได้ มีจริยาที่เข้าเนื้อหาสาระ แล้วก็อยู่อย่างที่คนอื่นเขามีอัตตากันก็พยายามให้คนอยู่ร่วมกันอย่างดีปรองดองกัน สมานกัน มันพยายามจะมีตัวตน มันมีตัวตนมันก็พยายามจะทำให้ตัวตนเป็นใหญ่เป็นเลิศ เป็นผู้ได้เปรียบ ตัวตนข่มคนอื่นได้ นั่นเป็นกิเลสอัตตา ธรรมดาธรรมดา อัตตาโลกีย์ ก็มาช่วยยกันก็มีหน้าที่มาสมานอัตตา

ผู้ที่สามารถบรรลุทานบรรลุสำเร็จแล้ว ก็จะมาสอนผู้อื่น มาตำหนิผู้อื่น วัชชะ ตำหนิให้คนอื่นเขาดื่มคำตำหนิให้ได้ ท่านขยาย เปยยวัชชะ เป็นปิยวาจา อรรถกถาจารย์รุ่นหลังๆ ขยายความว่าเป็นภาษาพูด คำตำหนิเขา ให้เขาดื่มคำตำหนิได้นั่นแหละ มันเป็นคำพูดหรือเป็นวาจาที่น่ารัก ปิยวาจา เขาก็เลยแปล เปยยวัชชะว่าปิยวาจา ก็ไม่ผิด

คนที่สามารถตำหนิให้เขาดื่มคำตำหนินี้ได้ ตำหนิให้เขายอมรับได้ นี่แหละคือหน้าที่ของผู้ที่จะมาทำงานศาสนา งานศาสนานั้นเกิดมาเพื่อตำหนิคน ให้รู้ตัวว่ามันผิด มันมิจฉา มันอวิชชา

ส่วนสิ่งที่ถูกดีแล้วสัมมาแล้วไม่ต้องไปพูดถึงมากมาย ไม่ต้องไปยกย่องว่าเป็นคนดี มีแต่สรรเสริญ พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าสรรเสริญเป็นคำต่ำ ไม่พอจะทำให้ละหน่ายคลายอะไรได้ อาตมาไม่นิยมคำสรรเสริญที่จะพูดบ้างก็เป็นโอกาสที่ควรสรรเสริญ ส่วนตำหนินี้เป็นเรื่องตำหนิแล้วตำหนิอีก เหมือนช่างปั้นหม้อที่ปั้นหม้อเมื่อยังเปียกอยู่

สู่แดนธรรม…นิมนต์พ่อท่านอ่านรายละเอียดของเปยยวัชชะ และอธิบายครับ

พ่อครูว่า...จะมาพูดแต่คำตำหนิเขาเขาก็ไม่ชอบใจ ผู้ที่ฉลาดผู้ที่มีไหวพริบก็บอกว่าคนนี้ช่างดีจังเลยพูดแต่คำที่เป็นปิยวาจา ผู้ที่พูดแต่คำที่น่ารักสรรเสริญนั้นเป็นคนไม่น่ารัก ผู้ที่มีคำตำหนิอย่างบริสุทธิ์จริงใจ มีความรู้ในการตำหนิ มีเจตนาที่เป็นกุศล มีเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขา เป็นคำตำหนิด้วยเมตตา อาตมาเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่พูดไปแล้วคนก็ไม่เข้าใจที่อาตมาพูดความจริงตรงนี้

สู่แดนธรรม...มีคนส่งข้อความว่า

พ่อครูว่า...ที่จริงทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป

เทวนิยมไม่เข้าใจฌานวิสัยที่เป็นโลกุตระ  แต่ฌานของพระพุทธเจ้าไม่ใช่จะรู้กันง่ายเลย ตัวจบของพลังงานฌานจะจบเมื่อเผากิเลสเสร็จก็เป็นบุญ เป็นตัวประหารตัวจริงตัวเพชฌฆาตตัวจริงส่วนตัวที่เป็นผู้พิพากษา อัยการ ตำรวจอะไรต่างๆก็คือฌาน

ฌานคือพลังงานอุณหธาตุคือไฟ แต่เขาไปแปลฌานว่าเพ่ง ซึ่งมันเป็นภาษาที่บอกวิธีสะกดจิตให้หยุดนิ่งเท่านั้น

ฌาน ไม่ใช่เป็นไฟที่เผาแล้วจึงจะเย็น แต่ว่าตัวฌานนี้ไม่เย็น บุญก็ไม่เย็น มีแต่ร้อนเพราะมันต้องสลายไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะให้หายไปเลย  มันต้องมีพลังงานเหนือ พลังของฌาน พลังบุญ ต้องมีพลังงานที่เหนือพลังของราคะ โทสะ โมหะ ถ้าไม่เหนือเป็นอุตระแล้วมันจะไปสลายพลังงานราคะ โทสะ โมหะได้อย่างไร มันจะต้องเหนือชั้น เหนือชั้นด้วยปัญญา

พระพุทธเจ้าไว้ว่า ฌานต้องมีปัญญา ปัญญาต้องมีฌาน

อาตมาเอาจากพระไตรปิฎก ปัญญาคือการรู้ความเกิดความดับของขันธ์ 5 ศึกษาให้ดี ธรรมะของพระพุทธเจ้าลึกซึ้ง เรียนให้จบแล้วจะมาพูดได้อย่างอาตมา อาตมาเรียนจบแล้ว อาตมามีสภาวะจริงที่จบแล้ว ก็เอามาพูดด้วยภาษาที่คนที่ฟังจะเข้าใจได้ พระพุทธเจ้าเรียกว่าภาษาถิ่น อาตมาไม่ใช้บาลีเป็นหลัก แต่ใช้ภาษาไทยเป็นหลัก

นัตถิ  ฌานัง  อปัญญัสสะ     ปัญญา  นัตถิ  อฌายโต

ยัมหิ  ฌานัญจะ  ปัญญา       เว  นิพพานสันติเก

ฌานย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีปัญญา   ปัญญาย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่มีฌาน

ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด  ผู้นั้นแล อยู่ในที่ใกล้นิพพาน

(พตปฎ. เล่ม 25   ข้อ 35)

ปัญญาไม่ใช่ความรู้โลกีย์ ความรู้โลกีย์พาไปนิพพานไม่ได้

ผู้ที่ยังไม่มีปัญญาไม่ใช่คนมีฌาน คนมีเฉโก มีฌานโลกีย์เดียรถีย์ ที่ออกป่านั่งหลับตา แต่พระพุทธเจ้ามาประกาศของท่านไม่ต้องหลับตาปฏิบัติ แต่ลืมตาปฏิบัติ มีฌานลืมตา มีปัญญากำกับ ไม่ใช่เฉกากำกับ ตอนนี้เอาหลักฐานจรณะ 15 วิชชา 8 อธิบาย

สรุปแล้ว พุทธคุณของพระพุทธเจ้าแท้คือ วิชชาจรณสัมปันโน

วิชชาจรณะ คือ พุทธคุณแท้ๆ หรือเนื้อแท้ของแก่นพุทธศาสนา

อัมพัฏฐะคือ ลูกศิษย์พราหมณ์ เรียนจรณะ 15 วิชชา 8 แต่มันเพี้ยนไป

สมณะฟ้าไท..สรุปจบ

 

 

 

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

640804_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5 วันพุธที่ 4 สิงหาคม  2564 ณ บวรราชธานีอโศก ชมวิดีโอได้ที่นี่ ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่น...