วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2564

640425_วิถีอาริยธรรม - ปฏิบัติศีล ให้ถึงอรหัตตผลโดยลำดับ

รายการ วิถีอาริยธรรม
วันอาทิตย์ที่ 25 เมษยน 2564
ณ บวรราชธานีอโศก

ชมการบันทึกวิดีโอเทป
ฟังเทปบันทึกเสียง


ปฏิบัติศีลให้อ่านจิตล้างกิเลสจึงลดวิบาก

พ่อครูว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก ขึ้น 14 ค่ำ เดือน 6 ปีฉลู อาตมาเกิดแรม 8 ค่ำ เดือน 7 ปีจอ ถ้าเป็นวันจันทร์ก็วันจันทร์เดือนเจ็ดปีจอ แต่นี่เกิดวันอังคาร

เราก็มาเรียนต่อ จะเรียนต่อ วันนี้อาตมาก็จะย้อนกลับไปเริ่มต้น และทวนละเอียด กำชับกำชาอะไรให้ชัดเจนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

การศึกษามันก็หมุนไปมาอย่างนี้เข้าๆออกๆอย่างนี้ เพราะว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องที่เคลื่อนที่ สิ่งที่ได้ก็คือสิ่งที่ตกผลึกลงไป สิ่งที่ได้คือสิ่งที่ได้ผลและตกผลึกควบแน่นกันลงไปเป็นแกน เพราะฉะนั้นทุกๆวินาทีมันก็มีแต่สิ่งที่เป็นกรรม เป็นการกระทำ เป็นการงานเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา ได้ผลแล้วก็ค่อยๆหล่นร่วงลงไป สะสมลงเป็นกองอัตตา หรือเป็นกอง มมัง  แล้วตต หรือ มม คือ อัตตา หรือ จิต(มม) ก็จะเป็นอย่างนี้

เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันเริ่มเกิดขึ้นหลักเกณฑ์ของพระพุทธเจ้าที่จะจัดการให้มันเป็นสัดเป็นส่วน เป็นทรัพย์ เป็นสินที่จะสะสมที่จะเกิดเป็นตนใหม่ เป็นจิตใหม่ เรายอมรับแล้วมาเป็นจิตนิยามเกิดมาเป็นสัตว์โลกมันมีสภาพ 2 แยก 2 หมดมันเป็นธรรมชาติแยกไม่ได้ แยกสภาพ 2 ไปไม่ได้สังขารธรรมเพราะมันเป็นสังขารเป็นสิ่งปรุงแต่งตามหลักปฏิจจสมุปบาท

หลักเกณฑ์แต่ละคนที่ไม่ศึกษาศีล ไม่เอาศีลมาเป็นตัวหลักเดิมแล้วสั่งสมมาเป็นลำดับ คนนี้ก็เลิกเลย ไม่มีทางจะบรรลุอรหันต์ สายหลับตาไม่เอาศีลไม่เอาจรณะ 15 โดยเฉพาะไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 พวกนี้ก็โมฆะตลอดกาล จะเป็นแกนของเทวนิยม เป็นแกนของพวกศรัทธาเจโต อยู่อย่างนั้นตลอดกาลนานจะไม่ขึ้นมาเป็นปัญญา จะไม่ขึ้นมามีความรู้ใหม่ ไม่ออกนอกกรอบ วงวนของโลกียะ จะอยู่ในโลกียะตลอดกาลนิรันดร

ก็พูดย้ำซ้ำ เตือนสติ ให้เอาไปพิจารณาคิด ให้เอาไปวิจัยให้ดีๆพวกที่นั่งหลับตา มันไม่ใช่เพิ่งเป็น มันมีมาประจำโลก มันมีอยู่ในประจำโลก เพราะฉะนั้นผู้ใดอยู่ประจำโลกก็ประจำไป คุณสมัครใจจะอยู่เป็นเทวนิยม จะอยู่ประจำโลก จะเป็นสายอัตตาก็ว่าไป การเจริญก็เจริญได้เจริญสายอัตตาได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งของเทวนิยม สร้างศาสนาอเทวนิยมศาสนาโลกีย์เสร็จแล้วก็วน ตัวเองนั่นแหละไม่มีหายไม่มีศูนย์เที่ยงแท้ก็วนลงต่ำ มีนรก มีสวรรค์ไปตามเรื่องตามราว แล้วแต่ว่าตัวเองจะเข้าใจในวิบาก เข้าใจในกรรม แล้วระมัดระวังกรรมของตัวเองจริงๆ อย่าซับซ้อนให้ตัวเอง ซับซ้อนในตัวเองโง่ คือไปหลอกคนอื่นตัวเองไม่ดีแต่หลอกให้คนอื่นเห็นว่าดี บังพรางไม่ให้คนอื่นเห็น มันก็เป็นกรรมทั้งนั้นแล้วเป็นกรรมที่มีราคาแพงด้วยหลอกคนอื่น โดยที่ตัวเองก็รู้ว่าหลอก ทำผิด โกหกโดยที่รู้ว่าตัวเองทำผิดพระพุทธเจ้าตรัสว่าคนนี้ไม่มีความชั่วใดๆที่เขาทำไม่ได้ เลวร้ายถึงขนาดนั้น

เพราะฉะนั้นเราต้องมาเรียนรู้ศีล ศีล อาตมาแยกแยะวิจัยให้ฟังว่า หลักใหญ่มี 3 ข้อ ศีล 3 เส้า เกี่ยวกับสัตว์ เกี่ยวกับของ เกี่ยวกับตา หู จมูก ลิ้น กาย

เกี่ยวกับสัตว์เป็นจิตนิยาม เกี่ยวกับของอุตุนิยาม และก็เกี่ยวกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ รูปนามวิญญาณ ที่คุณจะจัดการ จะอยู่อย่างไรกับสัตว์  จะอยู่อย่างไรกับของ ของนี่เป็นสิ่งที่ไม่มีวิญญาณ ไม่มีเวทนา ดิน น้ำ ไฟ ลมก็ไม่มีวิญญาณไม่มีเวทนา พืชพันธุ์ธัญญาหารมันก็ไม่มีวิญญาณไม่มีเวทนา หรืออีกคำหนึ่งคือ มันไม่มีกาย อุตุ กับพีชะคือมันไม่มีกาย จิตนี่มีกาย

กายกับจิตแยกกันไม่ได้ แยกกันเมื่อไหร่ มิจฉาทิฏฐิหรืออวิชชาไปเลย หรือไม่ก็เป็นพระอรหันต์ไปเลยถ้าแยกกันได้ คุณแยกได้แยกสำเร็จก็เป็นพระอรหันต์ คุณแยกให้เป็นแยกไม่ได้แต่มันแยกคุณก็โง่ เพราะมันแยกไม่ได้อยากได้คุณจะต้องอยู่เหนือมัน ต้องชัดเจนว่าส่วนที่คุณแยกมาให้มันเป็นเครื่องอาศัย กับคุณผู้ที่เป็นคนควบคุมเครื่องอาศัย คุณต้องเป็นนายสิ่งเหล่านี้ และควบคุมสิ่งเหล่านี้

พระอรหันต์อาศัยชีวะและสิ่งที่ไม่ใช่ชีวะคืออุตุกับพีชะ อาศัยสิ่งสองอย่างนี้อยู่ ต้องอาศัยกัน ไม่อาศัยกันไม่ได้ ดินน้ำไฟลมพืชเป็นบุญคุณต่อชีวิตเรามาก ส่วนสัตว์นี้ เป็นบุญคุณมากถ้าท่านเป็นอรหันต์โพธิสัตว์ขึ้นไป แต่ถ้าไม่ใช่อรหันต์หรือโพธิสัตว์ เป็นบุญคุณน้อยหรือไม่มีบุญคุณเลย นอกจากไม่มีบุญคุณแล้วมีโทษด้วย โทษมากด้วย โทษ ยิ่งกว่าดิน น้ำ ไฟ ลมหรือพืช เพราะพืช ดิน น้ำ ไฟ ลม มันไม่ทำโทษไม่มีโทษอะไรกับใคร สัตว์นี่แหละร้ายและสัตว์ที่ร้ายที่สุดก็คือสัตว์คน หนักหนาสาหัส เพราะฉะนั้นต้องเรียนรู้ ต้องมีศีลเกี่ยวกับสัตว์เกี่ยวกับพืชกับผัก เกี่ยวกับดิน น้ำ ไฟ ลม เกี่ยวกับตา หู จมูก ลิ้น กาย ของเราที่จะต้องดูแลต้องควบคุมต้องจัดการ

ถ้าคุณไม่รู้เท่าทันตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจและเป็นนักรบ นักรบที่ต้องระวังเลย ประตูตา หูจมูก ลิ้น กาย คุณต้องเป็นนักรบระวังตัว เฮ้ย ศัตรูจะเข้าประตูมาแล้วนะ ศัตรูมันมามีกระบวนการจะมาทำลายกำแพงเราเข้ามาแล้วนะอะไรต่างๆ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

สัตว์ที่โง่สัตว์ที่อวิชชามันจะไปรู้อะไร สัตว์ที่มันอวิชชามันมีทั้งสัตว์กินแหลก กินพืชกินสัตว์ด้วยกันกินเนื้อ สัตว์ที่ไม่รู้เรื่อง กินดะ กินสัตว์กินพืชกินดินด้วย  สัตว์บางอย่างกินแต่เนื้อไม่กินพืชกินดิน สัตว์บางอย่างกินแต่พืชไม่กินเนื้อไม่กินดิน สัตว์บางอย่างกินแต่ดิน แต่คนนี้รู้ว่าเราอย่าไปกิน หรือไปผูกพันสิ่งที่มันจะเป็นวิบากกัน สัตว์มันเป็นวิบาก คนมันเป็นวิบากไปกินเนื้อคน คนติดกินเนื้อคนนี้ยุ่งจริงๆ เดี๋ยวนี้ยังมีนะคนที่ติดเนื้อคน

เพราะฉะนั้นต้องมาเรียนรู้หลักเกณฑ์ที่ค่อยๆล้างจิตตัวเองที่มันโง่ แล้วมันก็ไปติดอะไรต่ออะไร เริ่มตั้งแต่เกี่ยวข้องกับสัตว์   เพราะสัตว์มันมีวิบากต่อกันนานนับชาติไม่ถ้วน แล้วแรงร้ายมากด้วย ป้องกันการแรงร้ายมากก็ต้องเริ่มให้ตัวเองมีพลัง มีความรู้ มีกำลัง มีรังสี มีคุณค่ามีคุณงามความดี มีกุศลวิบาก ให้ตัวเองเจริญๆๆจนกระทั่ง มีกำแพงไร้สภาพ มีพลังงานที่จะป้องกันตัวเรา จนกระทั่งสัตว์พวกนั้นเข้ามาอยู่ในรัศมีของจิต รัศมีของพลังบารมีของเรา เข้ามาไม่ได้ เข้ามาใกล้ไม่ได้ ซึ่งก็เคยอธิบายไปมากแล้ว

เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อว่าไม่มาเรียนศีลศีลในไปทีละข้อๆ  และปฏิบัติให้เกิดสิ่งที่จริง เกิดผลที่เป็นมรรคผลของตน เป็นผลวิบากของตน สั่งสมลงเป็นตนที่มีคุณวิเศษ มีคุณธรรม มีคุณสมบัติ อย่างสมบูรณ์บริบูรณ์เป็นโลกุตรธรรม คุณก็ไม่ได้ คุณรู้แล้ว คุณมาทำ คุณก็ได้ ขยันทำพากเพียรก็ได้มากๆๆ ได้เร็ว เป็นธรรมดาธรรมชาติ

เพราะฉะนั้นผู้ที่ไม่รู้เลยนี่ก็เป็นจริง เขาก็ไม่รู้แล้วเราก็ต้องพยายามให้เขารู้ คำว่า รังเกียจ คำว่า ชัง คำว่า ไม่ญาติดี โดยเฉพาะกับสัตว์ใดๆเราเลิกเลย เราญาติดีได้ แต่ไอ้ที่เราจะต้องจัดขั้นตอน สัตว์เดรัจฉาน สัตว์พาล เรายังไม่ญาติดีหรอก สัตว์ที่เลิกพาลแล้วพอสอนได้ก็เอาหรืออยู่ในเกณฑ์ที่เป็นเวไนยสัตว์สอนโลกุตรธรรมได้ เรายิ่งต้องทำงานกับเขาแต่ตอนนี้ทางที่เป็นพาลชน เราก็ต้องปล่อยทิ้งให้เขาอยู่ตามวิบาก

1. เราไม่ไปเกี่ยวข้องตอแยกับเขา ก็ไม่มีผลให้เขามายุ่งกับเรา จะมายุ่งเกี่ยวข้องตอแยเกี่ยวข้องขึ้นมา มันจะมีผลต่อกัน ทุกวันนี้อาตมาเมตตา สงสารผู้แสวงหา ใฝ่หา พากเพียรที่มิจฉาทิ ใฝ่หาแสวงหามีบารมี แต่ไปยึดผิด อาตมาก็ต้องตอแยหรือเอาภาระกับคนพวกนี้ ดื้อด้านดึงดันยึดมั่นถือมั่นในความเป็นจริงในยุคนี้มันก็ยาก ถ้าไม่ยากอาตมาก็ไม่มีสิทธิ์เก่ง อาตมาจะต้องเป็นแชมป์ รองแชมป์ก็ต้องมีฝีมือหนักฝีมือเยี่ยม ถ้ารองแชมป์ขี้กะโล้โท้ เอามือจับหัวไว้ชกลมอยู่อย่างนั้นเราก็ชนะแล้ว จะไปได้เรื่องอะไรเหมือนเด็กๆ ชกมาแขนก็ไม่ถึงเรา แค่นี้ก็อยู่แล้ว ใช่ไหม มันจะไปได้เรื่องอะไร มันต้องเป็นคู่ชกที่ไล่เลี่ยกัน ถึงจะเป็นแชมป์ชั้น 1

แต่เราไปเรียกร้องไม่ได้หรอก ทุกอย่างก็ต้องตามเหมาะสม ตัวเราก็จะมีคู่ชกเหมาะสมกับตัวเรา นอกจากเราจะโง่เลือกผิด ไปเลือกคู่ชกผิดๆแล้วเสียเวลา ไม่ได้เรื่องราว เลือกคู่ชกที่พอเหมาะพอดี

อาตมานับ มหาบัวก็ดีเป็นคู่ชกนี่ ให้เกียรตินะ ไม่งั้นไม่มีใครกล้าบอก อาตมาบอกให้นี้ก็เป็นกุศลอย่างมาก แต่ก็ตายไปแล้ว ก็ได้แต่แค่ตีงูให้กากินให้ลูกศิษย์ลูกหาที่หลงผิดยึดถือผิดๆให้ได้รู้ ที่อาตมาพูดถึงมหาบัว ทำไมไม่พูดถึงอาจารย์มั่น อาจารย์เสาร์ที่เป็นอาจารย์ของมหาบัวอีก 2 ชั้น ก็อันเดียวกัน แกนเดียวกัน ถูกตีก็ถูกตีไปด้วยกัน เหมือนกับใครมาตีลูกฉันก็เท่ากับตีแม่ ดีไม่ดีแม่เจ็บกว่าลูกอีก เจ็บใจนะ มันก็เป็นธรรมดา

แล้วงานพวกนี้ งานที่ทำที่พูดถึงศีลเรามารบราฆ่าฟันกัน เป็นธรรมาธรรมะสงครามก็เป็นสงครามของคนชั้นสูง เป็นของเวไนยสัตว์ เป็นการรบของเทพ เทวดา พระพรหม การรบของคนชั้นสูง ส่วนการรบขี้หมูขี้หมานั่น  ที่เขาแย่งกากเศษ แย่งลาภยศสรรเสริญ     แย่งอำนาจอบายมุขกันอยู่ เราต้องไปอะไรกับเขา มันเป็นคนละเรื่องที่เราจะต้องไปยุ่งเกี่ยวกับเขาแล้ว

ถ้าเผื่อว่าผู้ปฏิบัติธรรมไม่มีศีลเป็นตัวตั้ง ไม่มีศีลเป็นตัวหลักในการปฏิบัติให้ก้าวหน้าไม่มี อธิจิต อธิปัญญา อธิมุติ มีความเจริญของจิต ของปัญญา ของมุตะ หรือโมกโข ที่จะเจริญไปสู่จุดสูงสุด   ถ้าคุณไม่มีสิ่งเหล่านี้คุณก็โมฆะ วนเวียนอยู่ในกรอบต่ำขั้นไหนก็ต่ำขั้นนั้น เพราะฉะนั้นขาดศีลไม่ได้

พระพุทธเจ้าตราจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ซึ่งทุกวันนี้มันบ่งบอก ยืนยันความเป็นอยู่เป็นจริงชัดๆว่าศาสนาพุทธไม่รู้เรื่องของจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แม้ศีล 5 ศีล 8 ศีล10 ก็รู้โดยปริยาย รู้กว้างๆ รู้เฉยๆ เขาก็ถือว่าเขามีวินัย 227 ว่าศีลนั้นเป็นของชั้นต่ำเขาว่าอย่างนั้น ภิกษุต้องมีวินัย 227 ศีล 227 ซึ่งเข้าใจเนื้อหาของวินัยกับศีลก็ยังเข้าใจแยกแยะไม่ได้ ยังปนเปกันอยู่เลย ยึดถือเป็นอันเดียวกัน แยกไม่ออกว่า วินัยกับศีลต่างกันอย่างไร

วินัย เป็นหลักที่มีโทษ ส่วนศีล นี้ เป็นของผู้ดี ไม่เกี่ยวกับโทษกับภัย เป็นเรื่องอิสรเสรีภาพ แต่วินัยนี้อยู่ในกรอบของนักโทษ หรือผู้เป็นทาส วินัยคือ ยังอยู่ในวงวนของโลกีย์ วงวนของความเป็นทาส ส่วนศีลนั้นเป็นโลกของคนอิสรเสรีภาพ เป็นคนศึกษาให้เกิดประโยชน์ที่ตน ศึกษาไม่ถูกไม่ได้ก็ประโยชน์น้อยหรือไม่มีประโยชน์ ดีไม่ดีมีโทษ ก็อิสรเสรีภาพสูงสุด ศีลนั้น

ศีล ตั้งแต่ข้อ 1 2 3 เป็นศีลหลัก 4 5 6 7 เป็นเรื่องของ วจี ละการพูดเท็จ ละการส่อเสียด ละคำหยาบ ละคำเพ้อเจ้อ ส่วนศีลข้อ 8 9 10 ก็เป็นเรื่องรายละเอียดเพิ่มเติม

ข้อ 8 เกี่ยวกับพืช เว้นขาดการพรากพืชจากกาม

ข้อ 9 เกี่ยวกับการโภชนามัตตัญญุตา ฉันหนเดียว ไม่ฉันราตรี ไม่ฉันเกินกำหนด

ส่วนข้อ 10 ก็ไปใหญ่เลย ไม่เอาแล้วเรื่องฟ้อนรำ

ข้อ 11 ก็ไม่เอาเครื่องประดับตกแต่ง ไปใหญ่เลย ที่จริงตื้นขึ้น ผู้ที่รู้แล้วอย่างชาวอโศกศีลข้อที่ 11 ตกแต่งประดับทัดส่งร่างกาย ด้วยดอกไม้ของหอมเครื่องประทินผิว ก็ไม่แล้ว แต่เราตกแต่ง ไม่ใช่เพื่อตัวเองหรอก แต่เพื่อชาวบ้าน ก็แต่งไปอย่างนั้นแหละมีอะไรก็เอามากองไว้

เพราะว่าคนที่เขาเรียกว่าศิลปะคือพวกที่เละเทะ ก็เอามากองเลอะเทอะเละเทะไป ศิลปินของเราก็จัดไปแต่ละวันจะได้ครั้งเดียวนะ ครั้งที่ 2 ไม่ได้แล้วไม่อยู่ในหลักอะไรระเบียบอะไรหรอก พรุ่งนี้ได้ของใหม่ก็เอามากองใหม่ เท่านั้นแหละ มีบวกกับลบ มีกองกับกระจายเท่านั้นแหละไม่มีอะไรหรอกศิลปะ เขาเรียนกัน

 

เพราะฉะนั้นคำว่าศิลปะ ศิลปินแห่งชาติยังบอกว่าศิลปะมีโลกุตระด้วยเหรอ อาตมาได้ยินกับหูเลยนะเขามาดูงานที่เราจัด เราก็บอกว่าศิลปะโลกุตระ เราแสดงงานเขียนที่สันติอโศก เขาก็วิจารณ์ เขาก็ไปอ่านที่เขียนว่าศิลปะคือโลกุตระ เขาก็บอกว่าศิลปะเป็นโลกุตระด้วยหรือ เขาเป็นศิลปินแห่งชาติ เคยบอกชื่อออกไปด้วย ก็ผ่านไปไม่ต้องพูด   พูดถึงเรื่องเนื้อหาเอาไว้ศึกษาเท่านั้น ว่าคนเรายังเข้าใจไม่ได้ มันก็เป็นอย่างนั้น

คำว่า ศิลปะเป็นมงคลอันอุดม แปลว่าโลกุตระ มงคลคือนำพาไปสู่ที่สูงที่สุด มงคล กับอุตระ ไปสู่นิพพานสูงสุด ถ้าอิเหละเขะขะ ก็ทำให้ประหลาดไว้คนอื่นเขาตาไม่ถึง ให้แปลกพิสดาร เข้ากับอุปาทานเขาบ้าง แต่มีใหม่บ้างเท่านั้นแหละ อาตมาถึงว่าชาตินี้ทำไมอาตมาต้องไปเรียนศิลปะ ก็เพื่อรู้ความจริงของเขาทำไมต้องไปเล่นไสยศาสตร์ ก็เพราะรู้ความจริงของเขา ทำไมไปนั่งหลับตาก็เพื่อรู้ความจริงของเขา ไม่ใช่ว่า เราพูดโดยไม่รู้ความจริงของเขาเราพูดเลยรู้ ต้องไปวาดเขียน ต้องไปแต่งเพลง ต้องไปปั้นอะไรอย่างนั้นอยู่ ก็เพื่อที่จะรู้เขาทำกันเก่งที่สุดก็แค่นั้นอย่างนั้น ได้แล้วก็ไปอวดโชว์กัน ดีไม่ดีไปตั้งราคาแพงกันอวดใหญ่โต งานของเราเช่นนี้ราคาตั้งหลายร้อยล้านยิ่งใหญ่ หลายพันล้านยิ่งใหญ่ ก็เป็น โลกีย์ ไปอย่างนั้น ซึ่งมันก็กลายเป็นหนี้ซับซ้อน

บางทีเศษกระดาษแค่นี้ขายตั้งเป็น 10 ล้านแล้วเอาไปทำอะไร ดีไม่ดีเช็ดก้นยังไม่เกลี้ยงเลย เฮ้อ ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเท่าไหร่ จิตมนุษย์ที่เป็นอุปาทานสร้างภพชาติอะไรมายึดถือ แล้วก็หลอกกันไปคนก็อยู่กับสิ่งที่ยึดถือและหลอก เต็มไปหมด

 

ศีลข้อ 1 กับภาวะวิกฤติโควิด 19 ที่บ้านราชฯ

ผู้หลุดพ้นแล้วก็จะมีสาระสัจจะที่ว่า ชีวิตเราจะทำอะไรที่เป็นสาระ ตามหลักเกณฑ์ที่เราเกี่ยวข้อง

1. อยู่กับสัตว์คนก่อน ที่อยู่ในฐานะที่ควรจะต้องยุ่งเกี่ยวกัน มีพันธกิจต่อกัน ก็ต้องรู้ว่า คนระดับนี้พวกนี้มีพันธกิจต่อกัน พวกที่ตัดไปว่าพวกนี้ทำอะไรก็ไม่มาเกี่ยวข้องกับเราหรอก เพราะมันนอกเขตเทศบาลก็ปล่อยเขาไป เราก็อยู่แต่ที่ทำแล้วมีผลเกี่ยวข้องกระทบถึงเรา เหมือนกับ covid ตอนนี้มันสอนเรา เป็นรูปธรรม อรูปธรรมหรือขั้นนามธรรม อรูปธรรมเลย จิตอย่าตก การ์ดอย่าตกนี่แค่รูปธรรมภายนอก จิตอย่าตก ต้องระมัดระวังแววไว และปรับตัวให้ดีในทุกขณะ ตอนนี้มันรุกอยู่เยอะ โควิด ต้องระมัดระวังจริงๆต้องอย่าประมาทคนข้างนอกนะ คนข้างในเราไม่มีปัญหามากเพราะพวกเราสะอาดไม่มีเชื้อเลย ก็ไม่มีปัญหา

แต่ถ้ารับเชื้อมาคนนึง ให้รีบรู้ รีบจัดการอย่าว่าโหด อย่าว่าใจร้าย ต้องรีบจัดการเอาออกห่างให้ทันทีเลย ต้องตัดรอบเลย ไม่งั้นมามันไม่รู้เรื่องเลย covid มันมีหน้าที่ลุกลามอย่างเดียว มันไม่รู้เรื่องอะไรหรอก  เพราะฉะนั้นเราจะต้องฉลาดเหนือมัน ไม่อย่างนั้นเราตาย

สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้  และตอนนี้เป็นความรู้…. ถ้าจะว่าไปแล้วเป็นความรู้ระดับโลกเลย คนที่รู้และคนที่เข้าใจอย่างจริง รู้จักวิธีป้องกัน รู้จักวิธีรักษา วิธีไม่ให้เกิดเลย covid ปลอดภัยจริงๆได้ สุดยอด ทุกวันนี้ สิ่งนี้เป็นการทดสอบ เจ้า covid เป็นการทดสอบ

Covid (Corona virus disease) ตัวเล็กดิ้นรนแล้วก็กินอย่างเดียว พวกนี้กินแหลก เพื่อให้ตัวเองมันดิ้นอยู่ได้ เพื่อให้ตัวมันอยู่ได้ เพราะฉะนั้นพวกที่ไม่รู้เรื่องนี้ เราจะไปโทษมันก็ไม่ได้ ก็มันต้องทำหน้าที่มันต้องเอาตัวรอด ถ้ามันรอดก็เจริญพัฒนาขึ้นมา โควิด ตัวใดตัวหนึ่งมันเจริญขึ้นมาเป็นสัตว์ เป็นเดรัจฉาน เป็นมนุษย์ หนักเข้ามันกลายเป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่ง หรือเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งก็ได้ เราประมาทไม่ได้ ไปดูถูกดูแคลนมันไม่ได้ ตอนนี้เขาก็ศึกษามันไป

พวกเรานี้ถ้าป้องกันมาได้สำเร็จ เรื่องยุ่งยากมันก็น้อย เราก็อยู่ในกรอบของเราจนกว่ามันจะเปิดประตูเมืองเราได้ เพราะตอนนี้เราก็จะมีอยู่ว่าคนผ่านไปผ่านมา จึงต้องป้องกันใส่แมส เราไม่รู้ได้ว่าคนผ่านไปผ่านมาบ้าง เราก็ไม่ได้ตัดขาดทีเดียว คนมาซื้อปุ๋ยคนมาเอาของที่ใส่กระท่อมปันสุขไว้ ของเราก็มีไม่มากเอาไปใส่แป๊บเดียวก็หมด เราก็ขยันน้อยยังไม่ได้ตั้งกองทัพ เก็บพืชพันธุ์ธัญญาหาร สำหรับเอาไปแจกจ่ายเขาบ้างเขาเดือดร้อนกัน แล้วคนขี้โลภก็มาคอยเมื่อไหร่มาก็เอา หน้าเก่าอีกแล้ว พวกที่รู้แกวไง เดี๋ยวก็หอบไป ดีไม่ดีเอาไปขายได้ด้วย อย่าว่าแต่เอาไปกินเลยเอาไปขายอีก นี่มันก็ขี้โลภ ไปห้ามเขาก็ไม่ได้ เราเปิดประตูเขาก็ทำแต่เขาไม่ผิด แต่มันน่าเกลียด ความขี้โลภเขาก็ไม่รู้ตัวเขาก็ทำอย่างนั้น จะบอกว่าน่าเกลียดก็น่าเกลียด จะบอกน่าสงสารก็น่าสงสารไม่รู้จะช่วยอย่างไร เป็นลักษณะอย่างนั้นจริง

พูดแล้วก็น่าสงสารอย่างเดียว เห็นเขายังวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏของเขาที่เป็น ไม่งอกเงยไม่เจริญขึ้นเลย มีแต่จมกับจมลงไป ช่วยไม่ได้ก็ต้องไม่ต้องพูดถึงเขา ที่จะพอช่วยได้ก็พูดถึงเขามากหน่อย พวกเราก็มาเร่งรัดพัฒนาเรียนรู้ พวกเราก็ดีใส่ใจเรียนกัน ตั้งใจศึกษาลึกซึ้งกันไปเรื่อยๆ ข้อสำคัญก็ต้องรู้จักกรอบ อันนี้พูดหลายทีแล้ว

รู้จักกรอบฐานะของตน ว่าเรามีอะไรที่จะจัดการ กิเลสที่เราจะจัดการ ที่มันมีอยู่มันเล่นงานเราบ่อยตัวนั้นแหละ 1. มันเล่นงานอยู่บ่อย, 2. มันเล่นงานอยู่หนัก หนักสู้มันไม่ค่อยได้ ตัวนี้หนักแล้วก็ควร พิจารณามัน เพื่อนเขาไม่มีแล้ว เราเป็นอยู่คนเดียวได้อย่างไร น่าอายขายขี้หน้า หมู่เพื่อนเราก็ออกได้จนหมดแล้ว เรามีอยู่คนเดียวทำไมเราเซ่อโง่ เพื่อนฝูงเขาเห็นหมดแล้วเขาเลิกได้หมดแล้ว มีเราอยู่นี่หลงเป็นแกะดำหลุดในฝูง เขาขาวอยู่แล้วเราดำอยู่ตัวเดียว ว้า ก็ต้องรู้ตัวแล้วรีบจัดการ ยิ่งใครเขาบอก เราก็ต้องฟังต้องรู้ตัวให้ทัน

 

ศีลทำให้เกิดหิโรตัปปังคือละอายเกรงกลัวอย่างแรงกล้า

สิ่งที่เป็นโลกุตระธรรมที่เราทำกันอยู่นี้ เริ่มตั้งแต่สัตว์ แล้วก็ไปด้วยกัน จะเอาแต่สัตว์อย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะมันต้องเกี่ยวข้องกับชีวิต ต้องอุตุและพืชด้วย และทิ้งไม่ได้ ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ อย่างที่พูดแล้ว สามเส้านี้ แล้วจะต้องปฏิบัติเปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต้องรับรู้เป็นปัจจุบันนี้ไปด้วยตลอดเวลา

ไปหลับหูหลับตาบอกแล้ว ตีทิ้งไปเลย มันเป็นวิญญาณสัมภเวสี ไม่ใช่วิญญาณฐีติ ไม่ใช่มีวิญญาณมีที่ตั้ง ตั้งอยู่ทางตากระทบรูปนี้คือวิญญาณ หูกระทบเสียงอยู่ในปัจจุบัน คือปัจจุบันชาติทิฏฐธรรม หรือทิฏฐิกาล กาละปัจจุบันนี้ ตาก็ลืมตาสิ่งสัมผัสก็มีอยู่ทนโท่ รูปนามก็มีอยู่ครบ อันนี้เป็นความจริงของจริง หลับตามันหมดไม่มีของจริงไม่มีความจริง มีแต่สัญญากำหนดรู้ขบคิดอยู่ในจินตนาการ มันไม่มีองค์ประกอบสมบูรณ์แบบ ดิน น้ำ ไฟ ลม สัตว์ บุคคลต่างๆ แล้วก็ประชุมกันอยู่ครบมันไม่ใช่ เพราะหลับตาปฏิบัติไม่มีวันที่จะบรรลุ

คุณลืมตาออกมาเริ่มตั้งแต่ตา หู จมูก ลิ้น กาย คุณไม่เอาเรื่องก็ช้าอีกแหละ คุณล้างแต่เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับตา ส่วนหูคุณก็ไม่ล้างเขรอะขระๆปล่อยให้กิเลสหนาขึ้นทางเสียง ปล่อยให้กิเลสหนาทางกลิ่น ปล่อยให้กิเลสหนาทางรสทางลิ้น ปล่อยให้กิเลสหนาทางกายสัมผัสก็ไปอีก คุณก็ล้างอันนี้เสร็จต้องมาล้างอันนี้ เดี๋ยวก็ขึ้นมาใหม่เพราะเราไม่ฉลาด มันดับไม่สิ้นสุดหรอก นอกจากคุณจะฉลาดจริงๆเป็นโลกุตระ คุณดับอันโน้นตายจริงมันหมดเชื้อจริงคุณก็ดับมาเรื่อยๆได้ แต่ถ้าเราไม่เก่งจริงๆก็ทำทีละอย่างๆ เราไม่เก่งจริงๆ แต่คนมันจะเก่งกว่านั้นอยู่มันพอทำได้ 4-5 ทวารนี่ทำได้ ทำได้พอๆกันพร้อมๆกัน ทำได้ ถ้ามีปัญญานิรันดรกุล ถ้าขาดปัญญา คุณก็ไปไหนไม่ออก

ศีล จะต้องปฏิบัติตามหลักอปัณณกธรรม 3 ถ้าไม่มีหลัก อปัณณกธรรม 3 อย่างนี้ไม่ใช่ศาสนาพุทธ คำว่าอปัณณกะ แปลว่า แท้จริง ปัณก แปลว่า ผิด คำสองคำนี้สับสนกันมากเลย

อปัณณกะ แปลว่า ของพระพุทธเจ้าแท้จริง อปัณณก คือ 3 ข้อนี้จริง ปัณณกะคือไม่มี 3 ข้อนี้ก็ผิด

พยัญชนะ 2 คำนี้เป็นสภาวะเป็นสิริมหามายาสลับกันไปสลับกันมา เขาสลับไม่ถูกมันก็จะผิด มันสลับกันไปกันมาไม่เที่ยงยึดมั่นถือมั่นอะไรไม่ได้เป็นสิริมหามายา แต่ผู้ที่กำหนดถูกตรงกันแล้ว พวกเราจะกำหนดตรงกันหมด แล้วเราจะไปกำหนดกับคนอื่นรู้ว่าเขากำหนดไม่ตรง เขาไปทางไหนเราก็ไปทางนั้นกับเขาได้ เขากำหนดอันไหนว่าผิดว่าถูกเราก็รู้ความจริงตามเขาได้

ฉะนั้นในการปฏิบัติหลักจรณะ 15 นี้ เข้าใจการปฏิบัติธรรมตามหลักจรณะ 15 ไม่ได้ ไม่เป็นสัมมาทิฏฐิและปฏิบัติไม่ตรงตามนี้ ไม่มีทางบรรลุธรรม เช่นศีลไม่เอาเลยก็เลิกเลย เอาศีลแล้วแต่เป็นสีลัพพตุปาทาน เอาแต่ศีลตามจารีตประเพณี ไม่มีอปัณณกธรรม 3 ไม่รู้เรื่อง

ถ้ามีศีลแล้ว มีอปัณณกธรรม 3 แล้ว มีการสังวรสำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กระทบสัมผัสแล้วต้องรู้ตัวเองกับความจริง

รู้ตัวเองกับความจริงอย่างไร ตัวเองยึดอะไรอยู่ ติดอะไรอยู่ เป็นอย่างไรอยู่กับความจริงที่เรากระทบสัมผัสด้วยตา หู จมูก ลิ้น กายแล้ว อ้าว... มันขัดแย้ง มันผิด ข้อสำคัญตรงนี้ แต่ก่อนเราหลงยึดว่ามันถูกๆๆๆ แต่มันผิด ความจริงใจก็จะละอาย ทำไมเรามันโง่ ทำไมโง่มานาน ทำไมไม่รู้ ทำไมเพิ่งรู้ กูเอ๊ยๆ โธ่ นี่แปลคำว่าละอายคำเดียวไปใหญ่เลย มันละอายตัวเอง ยิ่งคนออกมายืนยันว่าอย่างนี้ถูกต้อง ก็ด่าเขาเสียนี่  หาว่าจะมาทำลายสิ่งที่ตนเองยึด

อาตมาพูดอย่างนี้หมายถึงใครคนหนึ่งมาว่าอาตมา ถ้าเขาเกิดหิริ เพราะมาตู่อาตมาผิด เมื่อนั้นเขาตื่นเลย ตื่นตามจริงนะตามความเป็นจริง เขาจะละอายอย่างหนัก

จะมาขยายความไม่ง่ายเลยปัญญาข้อที่ 1 เมื่อได้ฟังจากสัตบุรุษจากพระโอษฐ์ หรือจากผู้อยู่ในฐานะครูแล้วก็ละอายอย่าง ติพพัง ละอายอย่างแรงกล้า ตอนแรกๆ อาตมาว่ามันอย่างไร ตอนหลังๆค่อยเข้าใจได้ เอามาอธิบายจะดีขึ้นอีกเยอะ ละอาย นี่ภาษาพยัญชนะว่า หิริ เกรงกลัวพยัญชนะบอกว่าโอตัปปะ

ในบาลีใช้ว่า หิโรตัปปัง หรือติพพัง  หิริกับโอตตัปปะ แต่เอาคำปัจจัยของหางกับอุปสรรคของหัวมาเรียกสภาวะอย่างอื่น ก็เกิดจากเหตุกับปัจจัย กลับไปกลับมา

เพราะฉะนั้นติพพัง แรงกล้า ละอายอย่างแรงกล้า อย่างที่อาตมาขยายความแล้ว มันจริงใจจริงจังรู้จริงๆ ว่า กูเอ๋ย นึกว่าจะฉลาด แต่โง่ไม่เสร็จ เพิ่งตื่น เสร็จ จากความโง่แล้วตื่นขึ้นมาค่อยยังชั่วแต่มันก็ยังมีชั่วอยู่อีกเยอะ ก็ต้องพยายามฟื้นตื่นขึ้นมาให้รู้ว่า อ้อ อย่างนี้จริงๆ มันถูกอย่างนี้ เข้าใจชัดแล้วก็เปลี่ยนเลย เปลี่ยนทิศตัวเองที่ไปหลงงมงายอยู่นานๆๆๆๆๆ... และหนักด้วย ก็ตื่นขึ้นมา

คำว่าโอตตัปปะ เกรงกลัวต่อสิ่งที่เราได้รู้ว่าตัวเองผิดพลาดไปแล้ว ยึดถือผิดนับถือผิด ได้อาศัยผิด เสพติดอย่างผิดๆอีก นี่แหละ รู้ตัวแล้วคราวนี้ ละอายเป็นลักษณะของจิตที่มันยังไม่แรง พอเกรงกลัว ก็แรงขึ้น แรงจัดหนัก ไม่เอาแล้ว ละอายก็เหนียมๆ ต่อหน้าก็ละอาย ลับหลังก็เอาอยู่ แต่เกรงกลัวนี้ ต่อหน้าและลับหลังไม่เอาเลย มันชัดเจนจริงๆว่าเราหนอ มันจริงที่สุดไปเห็นความจริงว่า อื้อหือ เราโง่มานาน ไปติดยึดไปเสพเอามาเป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นโทษเอามาเป็นประโยชน์ งมงายอยู่ได้ ควรจะเลิก

คำว่า ละอายกับเกรงกลัว 2คำนี้จึงอยู่ด้วยกันสัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ แม้ 2 ตัวนี้ก็เป็นเทวะผู้ยิ่งใหญ่ แค่ ความรู้สึกละอายจนถึงขั้นเกรงกลัวคุณก็เจริญขึ้นแล้ว พอเกรงกลัว ก็จะไม่เอาแล้วเลิกขาด เว้นขาด ปล่อยวาง ไม่เอา ละอายยังต่องแต่งๆ แต่ถ้าเกรงกลัวนี้ชัดแล้ว ภาษาบาลีคือโอตตัปปะ เมื่อรู้สิ่งนี้แล้วเลิกได้มา ก็ถึงจะเข้ามาศรัทธา เข้ามานับถือ เข้ามายอมรับสิ่งที่ถูก หรือ ผู้ที่นำสิ่งที่ถูกมาให้เรา

ที่จริง อาตมาให้ตั้งนานแล้วนะ แต่ป่านนี้เขาจะรับไปหรือไม่ก็ไม่รู้ ที่พูดไปนี้น่าจะเป็นประโยชน์ถ้ายังไม่ตาย ส่วนมหาบัวตายแล้วก็เอาละ แต่ก็ต้องอาศัยท่าน มหาบัวก็ตามที่ท่านประพฤติปฏิบัติท่านทำจริง แล้วลูกศิษย์ลูกหาก็ยังไปงมงายยอมรับนับถืออยู่ มันผิดก็ต้องบอกให้รู้ตัว ไม่ใช่บอกให้เนรคุณอาจารย์นะ อาจารย์ก็เป็นอาจารย์แม้จะสอนผิดก็เป็นคุณค่าบุญคุณ ก็เราโง่เองเราไปติดไปยึด แต่เขาลงทุนลงแรงเขาช่วยเรา มันก็ต้องชัดเจนอย่างนี้เนรคุณไม่ถูกหรอก แม้คนที่สอนเราผิดมาเก่า จะไปเนรคุณท่านไม่ได้ คุณโง่ของคุณเองแล้วจะไปลงโทษคนอื่นได้อย่างไร แต่ท่านลงทุนสอนเราแนะนำเรา แม้ท่านผิดท่านก็จริงใจ เว้นแต่ว่า คนที่สอนเราผิดนั้นรู้ทั้งรู้ว่าตัวเองสอนสิ่งผิด คนนี้แหละ แหม ทีหลังอย่าคบเลย แม้จะเคยเป็นครูบาอาจารย์ก็เข็ด แต่เราไม่ต้องไปทำอะไร  เขาจะไปตามวิบากวิบากเขาทำเขาจะเป็นเองเราไม่ต้องไปซ้ำเติมอะไรเลย คนจะชั่วหนักขนาดไหนก็อย่าไปซ้ำเติม เขาจะเป็นไปตามวิบาก คุณจะเข้าใจกรรมเข้าใจวิบากยิ่งขึ้นชัดขึ้นเลยว่า อ๋อ กรรมวิบากไปจัดการกันเองอย่างนี้ไม่ต้องอาศัยใคร เป็นเรื่องจริงของกรรมวิบาก เราก็ทำหน้าที่ของเราไป

เพราะฉะนั้นถึงขั้นหนึ่งก็ปล่อยคุณไปตามยถากรรม คือไปตามกรรมวิบากของคุณเอง เช่น อาตมาบอกว่าปล่อยสัตว์ทั้งหลายแหล่อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับมันเลย เราเอาตัวรอดให้ได้ก่อนเถิด สัตว์ทั้งหลายเราไม่เกี่ยวข้องก็ดีแล้ว ไม่ต้องไปช่วย ไม่ต้องไปยุ่ง ไม่ต้องไปทำอะไร ของเราก็โอ้โห เขาจะเป็นไปตามวิบากของเขา เคยอธิบายยกตัวอย่างให้ง่ายๆ ก็งูมันจะกินเขียดแล้วดันไปแย่งเขียดจากปาก งูมันกัดเอาตายได้นะ แต่ถ้ามันกัดไม่ได้มันก็จะจองเวรจองกรรมคุณนะ ไปห้ามไม่ให้มันจองเวรจองกรรมไม่ได้

อาตมาอธิบายถึงขั้นว่าขนาดคุณไปเหยียบหัวงู โดยที่ไม่ได้เจตนา มันรู้หรือว่าคุณไม่เจตนาแต่มันตายมันเจ็บแล้วมันจะโกรธคุณไหม เราบอกว่าเราไม่เจตนานะ งูมันจะบอกว่าอภัยให้หรือ มันรู้หรือ ไม่รู้หรอก ใช่ไหม อย่างนี้เป็นต้น อย่าไปยุ่งกับมัน เรื่องสัตว์เดรัจฉานพูดกันไม่รู้เรื่อง

ขนาดมนุษย์ยังต้องแบ่งกันว่า พาลชน อย่าไปเกี่ยวกับเขา เขาเข้ามาใกล้เราก็ห่าง อย่าไปให้เขามาทำชั่ว เขามาทำชั่วกับเรานั่นบาปหนักหนานะ เราอย่าไปให้เขามาใกล้เรา  เราป้องกันอย่างหนึ่งไม่ต้องไปตอบโต้อะไรเขา ไม่ใช่ว่าเรารังเกียจ แต่มันอยู่ในวาระที่จะต้องทำอย่างนี้ ดีที่สุด

เพราะฉะนั้นเรามาศึกษาแต่เฉพาะคน ขณะนี้ ยุคนี้ กาลนี้ เราจะบูรณะโลกุตตรธรรมตอนนี้ เอาแต่แค่คน สัตว์นั้นตัดไปเลย อาตมาถึงว่า อย่าว่าแต่ไปเลี้ยงสัตว์เลย กินเนื้อสัตว์ก็ไม่ต้องกิน ยิ่งไปเลี้ยงสัตว์แล้วจะผูกพันธกิจกับสัตว์ไปอีกตั้งเท่าไหร่ มันไม่ได้ อย่าไปก่อกิจให้เป็นพันธะแบบนั้นขึ้นมาอีก ไปก่อกิจไปทำพันธะขึ้นมาอีกอย่างนั้นมันยุ่ง อย่าไปมีพันธกิจอย่างนั้นกับมัน เลิก ไม่ต้องเกี่ยวข้อง

เพราะฉะนั้นเราก็มาทำแต่เฉพาะ วันนี้ ต่อไปนี้ ขณะนี้เรามีหน้าที่ ตัวเราเองสูงสุดหรือยัง สูงสุดแล้วเป็นอรหันต์ระดับหนึ่ง อรหัตตผล ก็อรหัตตผล โสดาบันก็เป็นขั้นที่ 1 อรหัตตผล สกิทาคามีก็เป็นขั้นที่ 2 อรหัตตผลอนาคามีก็ขั้นที่ 3 อรหัตตผลในอรหันต์เป็นขั้นที่ 4 ถือว่าออกมาจากกรอบของ 3 ได้

เทวนิยมอยู่ในกรอบของ 3 วน ออกมาเป็น 4 คนก็ไปคบหา 5 และ 6 ได้ แต่ว่า 3 นี้ ไม่มีวันเห็น 4 5 6 ได้หรอก ไม่รู้จะอยู่ในนี้นิรันดรหรือเปล่า เพราะเขาไม่รับ เขาก็วนอยู่อย่างนั้น พอเริ่มมี ปรโตฆษะ เริ่มเห็น 4 ตอนแรกนึกว่าโลกนี้มีแต่ 3 พอเห็นก็เริ่มรู้ว่ามี Dimension ที่ 4 ด้วยหรือ 4th Dimension (สู่แดนธรรมว่า...ตอนนี้มี 5G 6G ) ถ้า 7G เมื่อไหร่ก็หยิบต้นหญ้าจากข้างทางมาเป็นดาบได้เลย

เพราะฉะนั้นศีลจะทำให้เกิดจิตเจริญเป็น อธิจิต จิตเจริญคือ ทำจิตให้สูญจากกิเลส หน้าที่ของผู้ศึกษาจึงต้องรู้จักกิเลส รู้จักกลิธาตุ ธาตุที่เป็นตัวกลิ เป็นตัวโทษตัวภัย

เริ่มตั้งแต่ กายกลิภายนอกก่อน กว่าจะมาถึงจิตกลินี้อีกนาน ล้างกายกลิก่อน ที่เกี่ยวข้องกับภายนอก ในแวดวงรัศมีที่ตนเองเกี่ยวข้องสัมผัสด้วยตาหูจมูกลิ้นกาย สัมผัสด้วยสิ่งที่เป็นวัตถุ เป็นพืชเป็นสัตว์ เป็นคน เกี่ยวข้องกันอยู่นี่สัมผัสกันอยู่นี้ อันใดสัมผัสแล้วมันก่อให้เกิดกิเลส ก่อกลิ ก่อให้เกิดโทษ ดูดก็เป็นภัย ผลักก็เป็นภัย ดูดมากเกินเป็นภัยแน่ ผลักมากเกินเป็นภัยแน่

ฉะนั้นเราต้องรู้จักสัดส่วน เอาพอเหมาะ ปโหติ เอาให้พอดีสมสัดส่วนก็อธิบายด้วยภาษาได้แค่นี้เหมาะกับแต่ละคนไม่เท่ากัน และมิติก็คนละต่างมิติ นัยก็คนละนัย ประเด็นก็คนละประเด็นไม่ตรงกันทีเดียวอาจจะคล้ายกันบ้าง ซ้ำกันบ้าง หลายอัน เล็กๆในน้อยละเอียดไปไม่มีใครเหมือนกันหรอก 2 อันไม่มีอะไรเหมือนกันหรอกให้เป็นแฝดขนาดไหน ปรมาณูแฝด ละเอียดยิบที่มันต่างกัน คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะไปรู้รายละเอียดความต่างกันได้ง่าย คุณก็เอาของคุณนั่นแหละเท่าที่คุณจะมีเซ้นส์ หรือมีตัวรู้ที่จะไปกำหนดรู้มีสัญญากำหนดได้ ได้เท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น

เรารู้ความต่างกับความเป็นอันเดียวกัน ที่สรุปจบที่สุดก็คือความต่างกับความเป็นอันเดียวกัน เท่านั้นเองที่เรียนในโลก

 

สัตตาวาส 9 กับวิญญาณฐีติ 7 ต่างกันตรงไหน

กายต่างกัน กำหนดเป็นอย่างเดียวกัน เรียกว่ากายต่างกัน สัญญาอย่างเดียวกัน หรือกายต่างกันสัญญาต่างกัน ตอนนี้เข้าสู่สัตตาวาส 9 วิญญาณฐีติ 7

สัตตาวาส 9 กับวิญญาณฐีติ 7 แตกต่างกันอยู่ 2 อัน สัตตาวาส 9 เพราะมี อสัญญีสัตว์กับ หรือเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ ส่วนวิญญาณฐีติ 7 ไม่มีอสัญญีสัตว์ ไม่มีเนวสัญญานาสัญญายตนสัตว์ เพราะปฏิบัติถูกต้องส่วนที่เป็นสัตว์นั้นปฏิบัติไม่ถูกต้องมันก็เลยมีครบ

คนก็จะไปงงและสงสัยตรงที่ว่า อนุปุพวิหาร 9 ตามลำดับ ในอนุปุพพวิหาร 9  มี เนวสัญญานาสัญญายตนะกับสัญญาเวทยิตนิโรธด้วย มันไม่มีอสัญญีสัตว์

วิญญาณฐีติ 7 นั้นมาถึงอากิญจัญญายตนะ  8 มาถึงเนวสัญานาสัญญา 9 มาถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ

พวกมิจฉาจะมีอสัญญีสัตว์กับ เนวสัญญานาสัญญายตนะ

ส่วนสัมมาทิฏฐิก็จะมี เนวสัญานาสัญญากับสัญญาเวทยิตนิโรธ

เนวสัญญาฯ คือโง่ไม่เสร็จ ใช่ก็ไม่ใช่ไม่ใช่ก็ไม่ใช่ แล้วเมื่อไหร่เอ็งจะใช่ แต่ที่ตัดสินไม่ลงเหมือนชาวอโศกอีกเยอะ เนวสัญญาต่องแต่งตรงนี้

พวกคุณไม่มีอสัญญีสัตว์แล้วแต่ยังมีในเนวสัญญานาสัญญายะตะนะอยู่ มันเลยไม่จบสัญญาเวทยิตนิโรธ

สัญญาเวทยิตนิโรธนั้น คุณต้องทำงานเท่านั้นเอง ส่วน อากิญจัญ​มันไม่ต้องทำงานอีก ปฏิบัติวิญญาณฐิติมาสัมมาทิฏฐิที่ถูกต้อง 1 2 3 4 5 6 7 จบ สัญญานาสัญญายะตะนะก็ไม่มี สัญญาเวทยิตนิโรธก็ไม่ต้อง เพราะว่า อากิญ ก็ไม่มีแล้ว นิโรธก็ไม่มีแล้วนิดนึงน้อยนึง มันก็ไม่มีแล้ว ทบทวนไปมันก็ไม่มี ถูกต้องตามวิญญาณฐิติ 7 คุณก็จบแล้ว เพราะคุณไม่มี อสัญญีสัตว์ที่เป็นตัวโง่ตั้งแต่ต้นเลย พวกที่ไปดับสัญญาอย่าไปคิดอย่าไปนึกจะไปกำหนดรู้อะไรนิ่งพวกนี้เป็นอสัญญีสัตว์

พวกนั่งหลับตาสะกดจิตทำตัวเองให้เป็นอัสนีสัตว์ทั้งนั้นเลย สัญญามาต้องทำงานเต็มทำงานตลอดเวลา ทำงานหนัก แต่ไปดับสัญญาเสียนี่ แล้วคุณจะยังให้เกิดปัญญานั้นอย่าหวัง สัญญาคุณก็ไม่ให้มันทำงาน เพราะสัญญามันเป็นตัวทำงานตั้งแต่ต้นจนจบจะปรินิพพานเป็นปริโยสานต้องใช้สัญญาทำงานตลอด ชีวะ มันต้องใช้สัญญา แม้แต่พืชมันก็ต้องใช้สัญญาเลย พืชมันต้องใช้สัญญากับสังขาร มันไม่มีเวทนาไม่มีวิญญาณเท่านั้น ชีวะมันมีสัญญาทั้งนั้น ความเกิดเป็นความเกิดประจำสัตว์ สัญ กับ ญ

หรือ ส เป็นตัวที่ 7 ของเศษวรรค กับ ญ ตัวที่ 5 ของความฉลาด จ ฉ ช ญ

สัญญา กับกองของปัญญาคือ ญ ถ้า ญญ ชักจะเริ่มสอง ญ ถ้าสอง ญ ผูกกันเขาก็เป็น อัญญา ก็เริ่มเข้าไปรู้อันอื่นอีกเยอะแยะ เป็นกัญญา งัญญา ภาษาไทย งัน นี่นิ่งเลย ฉลองความเงียบ ความตาย ความเลือก ความจบ ความนิ่ง คำว่า งัน แปลเป็นภาษาว่าสนุกสนานแต่ที่จริงเงียบงันแล้ว มันเงียบมันนิ่งมันหยุดเลย งัน

เสร็จแล้วมาปลุกงันที่มันเงียบให้มาดัง ให้สนุกสนานขึ้นมา งานศพเป็นงานเงียบที่ทุกคนเงียบ ทุกคนนิ่งหมด โศกเศร้าซึมหมดเลย เงียบงัน

 

สู่แดนธรรม...เล่าสถานการณ์โควิด ในกทม. ว่า สั่งปิดสถานที่เสี่ยง covid-19 เพิ่มอีก 31 แห่งมีผล 26 เมษายนนี้ อย่างเข้มงวด

พ่อครูว่า…ดอกแค เก็บมาเรียงอยู่ข้างหน้านี้เยอะเลย ตอนนี้มะไฟก็สุก อะไรๆเก็บมากินมาใช้ เหลือเฟือก็เอาไปกองแจกเขาบ้าง เราขายก็ขายได้ยาก อุทยานเปิดอยู่ ขายของแห้ง เราก็พยายามอย่างที่เรียกว่าเราต้องระมัดตัวเราบ้าง จะแจกจ่ายเจือจานก็ไม่ง่ายเหมือนอย่างเดิม ก็อย่างนี้แหละ

สรุปแล้วมันจะเห็นว่า คนเราพึ่งตนเองดีที่สุดเห็นไหม พึ่งตนเองนี้ดีที่สุด อาตมาเคยอธิบายไปถึงขั้นว่า ถ้าเราอยู่คนเดียวไม่มีใครอยู่ด้วยเรามีที่แค่ 100 วาก็สบายแล้ว ไม่ถึงร้อยวาอยู่แค่ 10 วาก็อยู่ได้ จะปลูกอะไรไม่ได้ก็ปลูกผักคอนโด ทำกระถาง เชือกร้อยผูกขึ้นไป 10 ชั้น 20 ชั้น รดน้ำทีเดียวไหลมาหาชั้น 1 ทุ่นอีกเลย แล้วปลูกกระถางรอบหลังคาบ้านห้อยลงมา ห้าสิบกระถาง ห้าสิบอย่าง ปลูกวน แล้วเก็บกินไป แต่ละวันๆ แค่กระถาง ไม่มีที่ดินมันไม่อดตายหรอกไม่จนตายหรอก คุณจะปลูกคาร์โบไฮเดรต พืชที่ให้วิตามินอะไรก็ตามคุณก็มีความรู้ก็ปลูกวนเวียนกินไปไม่ตาย เราไม่ต้องไปจนแต้มถึงขนาดจะต้องไปอยู่คนเดียว มามีหมู่มีกลุ่มอย่างที่เรามี มีสิทธิในพื้นดินบ้างอย่างที่เรามี เราก็ไม่ได้ไปบุกรุกใคร บ้านราชธานีอโศก เป็นหมู่บ้านที่อาภัพที่สุด เพราะทุกแผ่นดินต้องซื้อหมด หมู่บ้านทั้งหลายเขาไม่ได้ซื้อที่ดินนะ ของใครของมัน มีโฉนดของตัวเองทั้งนั้น ที่นี่ไม่มี เป็นของส่วนกลางแล้วช่วยกันดูแล ช่วยกันดูแลทำมาหากิน เกิดตายเผาอยู่ตรงนี้ คุณจะเกิดกี่ชาติก็เกิดมา เชื่อไหมว่าราชธานีอโศกจะอยู่อีกหลายร้อยปี ยิ่งอาตมาปักหลักลงแหล่งหลักลงแรง สร้างแม่น้ำลำธาร ภูเขา เสร็จหมดแล้ว ปลูกต้นหมากรากไม้ อีกนานต้นยางจะต้นโตขึ้น ไม้อายุพันปีจะมาดูที่บ้านราช ต้นมะขามอายุพันปีก็มาดูที่นี่ต้นยางพันปีก็มาดูที่นี่ อะไรต่ออะไรที่เราปลูกลงไป ข้อสำคัญต้นพิลึกพิลั่นจะพังหรือยัง ท่านคมคิดสร้างมา ให้สร้างอีกก็สร้างไม่ได้แก่ตายก่อน ได้เท่านี้เป็นมาสเตอร์พีซ ทำได้อย่างไร คนเราจริงๆสุดยอดเลย

 

จักร 4 และปัญญาวุฒิ 4

สู่แดนธรรม…อยากขอให้พ่อครูอธิบายจักร 4 ครับ

พ่อครูว่า…อาตมาอธิบายอจินไตย 4 ได้แล้วจะไปกลัวอะไร อาตมามีอจินไตย อย่างน้อยฌานวิสัย แม้พุทธวิสัยอาตมาไม่ถึงก็ตาม โลกจินตา อาตมาตัดทิ้งไปเยอะเลย

สู่แดนธรรม...ชาวอโศกได้มาอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม

 

พ่อครูว่า…จักร 4  (ดุจล้อรถนำไปสู่ความเจริญ)

1. ปฏิรูปเทสวาสะ (การอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม) .

2. สัปปุริสูปัสสยะ (การคบหาสัตบุรุษ) .

3. อัตตสัมมาปณิธิ (การตั้งตนไว้ชอบธรรม)

4. ปุพเพกตปุญญตา (ความเป็นผู้มีบุญอันได้กระทำแล้วในปางก่อน ไว้เป็นที่พึ่งอาศัย)

(พตปฎ. เล่ม 21   ข้อ 31)

 

ข้อ 1. มีสถานที่อันพอเหมาะ แล้วมีมนุษย์มีคนที่เป็นสัตบุรุษได้พบสัตบุรุษ มีสถานที่ดีๆ เป็นเสนาสนะ

ข้อ 2. มีสัตบุรุษมีคนที่อยู่ในฐานะครูอยู่ 2 ข้อนี้ครบ มีสถานที่ มีบุคคลเป็นครูบาอาจารย์ที่พึ่งอันเกษมให้เราศึกษาฝึกฝนได้ เรายังไม่เป็นผู้ที่เป็นไก่ตัวพี่ เราก็จะต้องอาศัยไก่ตัวพี่อยู่ ได้แล้วไก่ตัวพี่

ต่อมาข้อ 3. อัตตสัมมาปณิธิ คือ คุณก็ตั้งของคุณ ก็ทำของคุณศึกษาให้ซ้ำมาอบรมให้ชอบ ฟังธรรมะความรู้สร้างสิ่งที่เกิดที่เป็นให้ขึ้นที่ตน อัตตะ ให้มันถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธให้เกิดให้ได้ เมื่อคุณได้แล้วก็จะข้ามชาติไป

และข้อ 4. ปุพเพ ได้แล้ว กตะ ได้อะไร ได้ปุญญะ ได้สิ่งที่คุณสร้างบุญเป็นทำบุญได้ ชำระกิเลสได้เสร็จแล้ว กตะ ปุญญะ

คุณได้เคยทำกิเลสออกมาได้ก่อนแล้ว ปุพเพ มาตั้งแต่ปางบรรพ์ก่อนแล้ว คนที่มีจิตสะอาดที่ได้ทำไว้ตั้งแต่ปางก่อนมาแล้ว ปุพเพกตปุญญตา แปลเอาตามสัจจะสาระ คือคนที่มีจิตสะอาดบริสุทธิ์เสร็จมาแล้วจากชาติก่อนข้ามชาติมาถึงตอนนี้ นั่นคือคนที่เป็น ปุพเพกตปุญญะ เอาคำว่า ตาใส่ก็เป็นคำนาม

คนที่มีคุณลักษณะอย่างนี้ อย่างอาตมาบอกว่าอาตมามี ปุพเพกตปุญญตา เป็นคนที่มีของเก่ามา ก็เอามายืนยันเอามาบอกคนก็หมั่นไส้ คนที่ไม่ศรัทธาไม่เคารพไม่รู้จักเขามีอวิชชามิจฉาทิฏฐิเขาก็ไม่รู้ เขาก็ว่า แต่คนสัมมาทิฏฐิก็จะเข้ามาคบหา ก็เกิดปัญญาวุฒิ 4

1. สัปปุริสสังเสวะ (รู้จักคบบัณฑิต  คบหาสัตบุรุษ)

2. สัทธัมมัสสวนะ (ฟังสัทธรรม) 

3. โยนิโสมนสิการ (กระทำลงในใจโดยแยบคาย) 

4. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม) 

(พตปฎ. เล่ม 21   ข้อ 248) 

 

ที่ได้มาคนนั้นก็เป็นสัตบุรุษ หรือสัปปบุรุษ อย่างอาตมานี้เป็นสัตบุรุษ คุณเข้ามาคบอาตมา สัปปุริสสังเสวะ มาคบให้บริบูรณ์ มาเข้าใกล้ฟังธรรมให้บริบูรณ์ตามอวิชชาสูตร คุณก็จะได้สัทธรรมที่บริบูรณ์ คุณก็จะมีศรัทธาที่บริบูรณ์ ศรัทธาที่บริบูรณ์นั้นแหละคุณถึงจะทำโยนิโสมนสิการที่บริบูรณ์ได้ อย่างในอวิชชา 10

คุณได้ฟังสัทธรรมที่อาตมาสาธยายอธิบายที่ถูกต้องที่ดีแล้วเป็นของพระพุทธเจ้าแท้ สัทธรรม เมื่อคุณได้ฟังสัจธรรมคุณก็เสวนา สวน แปลว่าฟัง คุณก็ฟังฟังจนเข้าใจพิจารณาตาม จนคุณชัดเจนเข้าใจชัดทุกอย่างเอาไปปฏิบัติได้ เอาไปปฏิบัติได้ก็มนสิการเอาไปปฏิบัติ ปฏิบัติจนข้างนอกที่หยาบก็ทำได้ง่ายกว่า ทางกายทางวาจาจนทำได้ถึงใจมนสิการของใจที่เป็นตัวประธานเปลี่ยนแปลงใจที่เป็นมิจฉาทิฏฐิที่มันไปติดยึดก็ล้างกิเลสได้ ใจก็มีอำนาจควบคุมกายวจีอีก อยากถูกต้องถ่องแท้เป็นโยนิโสละเอียดแยบคาย ลงไปถึงที่เกิดลงไปถึงที่จะเปลี่ยนแปลง จุดมูลกา จุดต้นรากของมัน ถอนรากถอนโคนกิเลสให้หมด ปลูกอาริยธาตุลงไปใหม่ คุณก็ทำสำเร็จโยนิโสมนสิการ คุณทำได้ โยนิโสมนสิการได้จริง คุณก็ทำปฏิบัติเข้าไปเป็น ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ ปฏิบัติทำตามฐานะของคุณที่เหมาะที่ควรให้ได้ ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ คุณก็จะเจริญด้วยธรรมะได้สัดส่วนที่คุณปฏิบัติเจริญไปได้เรื่อยๆ ก็เกิดการเจริญปัญญา วุฒิๆ ด้วยปัญญาด้วยความรู้แล้วก็กรรมการกระทำ ตามที่คุณมีปัญญา คุณก็ วุฒิๆๆ เจริญเจริญเจริญ จนถึงที่สูงที่สุดได้ จึงเรียกว่าจักร 4 หรือปัญญาวุฒิ 4

 

สู่แดนธรรม…อัตตสัมมาปณิธิ ใน จักร 4 เป็นธรรมะที่ทำให้เจริญก้าวหน้าแต่ตัวที่ 3 นี้ทำให้ตั้ง มันจะย้อนแย้งกันไหม  บางคนบอกว่าอยู่บ้านก็เป็นการตั้งตนชอบแล้ว

พ่อครูว่า…ไม่ย้อนแย้ง มันเป็นภาวะที่เป็นคู่ ก็ตั้งตนไว้ คุณทำให้มันตั้งลงหยั่งลง ตน ทำตนให้ตั้งลง

ตน เราอ่านด้วยสำเนียงสระไทย ก็คือ ตน แม่กนเลย บาลีจะอ่าน ตะนะ อย่างกะนะ แต่คนไทยเรียก กน

ทำตน จะเรียกตนะหรือ ตต ถ้า ตต เป็นตัวไม่หมด ถ้า ตน นี้เป็นตัวหมดได้ ต คือตั้งตั้ง น คือไม่มี ตต นี่ไปเรื่อยๆๆ ไม่หมด คุณก็จะมีแต่มีแต่มีไม่รู้จักจบ

เพราะฉะนั้นจากคุณจะเรียน ตต คุณโง่กับ ตต เพราะมาเรียนแต่ ตต

ก็มาอยู่กับสิ่งที่เป็นคุณค่า เป็นสิ่งที่ดี คุณก็มาเรียนจนกระทั่งรู้เราไปหลง ตต ตั้งนานก็เลิกเสียที ไม่เอา ก็เป็น ตน จาก ตต มาเป็น ตน

คนอยู่ในฐาน ตน เจริญกว่า ตต ถ้าเป็นอัตตา นี้ ตต ถ้าเป็น ตน หรือยิ่งมีอายตนะ มีประโยชน์ มีรายได้คุณค่า อายะคือ ประโยชน์ เป็นสิ่งที่เจริญ มีสิ่งที่ดีที่ได้ขึ้นมาโดยสัมมาทิฏฐิ โดยสัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ เป็นอายะขึ้นมา เป็นประโยชน์ขึ้นมา คุณก็จะลด ตต มาเป็น ตน จาก ตน ก็เหลือ ต ตัวเดียว จาก ต ตัวเดียวก็เหลือ น ตัวเดียว จาก น ตัวเดียวก็หมดเลยเป็น 0 เหลือแต่ สย

เศษวรรค ตัวที่ 5 คือ ส ตัวครึ่งนึงของ 9 เป็นพลังงานเต็มเอาไว้ครึ่งเดียว เอามาทำงานรู้  4 กับ 4 ตัว 5 นี้เป็นตัวพลังงานของ 4 กับ 4

4 เป็นพลังงานที่ควบคุม 3 ได้ก็ใช้ 4 นี้จัดการ 4 กับ 4 ได้ เป็นผู้มีวสวัตตี มีอำนาจเหนือควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้

เป็นพยัญชนะที่สื่อสภาวะให้ฟัง ไม่ใช่เรื่องที่เดาเอา แต่เป็นเรื่องสภาวะธรรมจริงที่อาตมาพูดอย่างมั่นใจไม่ได้พาให้คุณฟังเรื่องเลอะเทะ เป็นเรื่องสาระศรัทธาที่ละเอียดลึกซึ้งมาก ใครพอเข้าใจก็จะเข้าท่า  มีหวังเป็นอรหันต์ ใครฟังเข้าใจบ้างไม่ได้บ้างก็ก้าวหน้าไป ใครที่ฟังเข้าใจไม่ได้ก็พยายามทำความเข้าใจเอา ส่วนที่เราพออยู่ในฐานที่เราเข้าใจศึกษาไป

ยืนยันกับคุณได้ว่าสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งประเสริฐของพระพุทธเจ้าที่ถูกต้องแล้ว ไม่ออกนอกรีตนอกทาง ไม่ออกนอกเขตแล้ว

 

ศีลทำให้เกิด อธิจิต เกิดปัญญา เป็นสามเส้า แล้วจะเกิดหลุดพ้นจากสิ่งที่เคยติดยึดมาเป็นวิมุติหลุดพ้นไปเรื่อยๆหรือเจริญเป็น มุติ เป็นโมกข์ แปลว่าหลุดพ้น

อาตมาสอนแม้จะไม่ละเอียดเท่าไหร่แต่คุณจะเข้าใจโครงสร้างไปเข้าใจสิ่งอื่นต่ออีกเมื่อถึงรอบของมันคุณจะรู้ คุณยังไม่ถึงก็ไม่รู้ไม่มีปัญหา ไม่ต้องฝึกหัดประเทือง พยายามพากเพียรไป เมื่อถึงขีดก็จะรู้ อาตมาไม่กังวลพวกคุณจะไม่รู้หรอก อาตมาจะสอนไป คนอื่นรู้ตามก็จะช่วยขยายตามอยู่ มันเป็นองค์ประกอบที่สมบูรณ์ มีตัวพี่ตัวน้องตัวรองลงมาช่วยกันอยู่เป็นกลุ่มเลยชม ไม่ต้องกลัวหรอก แต่อย่าช้า อย่าไปปรามาส เหลาะแหละเล่นหัว จับๆคลำๆ ไม่เอาถ่านไม่เอาจริง อย่า เอาจริงๆ พากเพียรเข้าเถอะ แล้วคุณจะได้มาช่วยกัน จะได้มาเป็นไก่ตัวพี่ขึ้นมา แล้วได้ไปช่วยกัน


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

640804_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5 วันพุธที่ 4 สิงหาคม  2564 ณ บวรราชธานีอโศก ชมวิดีโอได้ที่นี่ ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่น...