วันพุธที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2564

640804_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5
วันพุธที่ 4 สิงหาคม  2564

ณ บวรราชธานีอโศก

















สมณะฟ้าไท... วันนี้เป็นวันพุธที่ 4 สิงหาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก สถานการณ์โควิดตอนนี้ระบาดไปทั่ว คนต้องหันมาพึ่งพาตนเอง ไทยเราก็ใช้สมุนไพรต้มกิน ก็หายกันได้มากมาย ตามที่มีรายงานในอินเตอร์เน็ต ราชธานีอโศกเรามีสมุนไพรมากมาย เช่น ตะไคร้ ข่า ขิง กระชาย ฟ้าทะลายโจร

พ่อครูว่า... SMS วันที่ 2-3 ส.ค. 2564

_Mam Swiss (แหม่ม สวิส) : วันนี้ดูจากรายการตุ้มตะลุ่มตุ้มม้ง พ่อครูดูเหมือนมีความสดชื่นแจ่มใสเป็นพิเศษ สาธุ🙏 น้อมกราบนมัสการค่ะ

 

_Gd : กราบนมัสการครับ Fa เงินทองเป็นของมายา..แล้วเมื่อไหร่คนจะมองเห็นพืชพันธัญญาหารเป็นของจริง

พ่อครูว่า...ผู้มุ่งมั่นศึกษาธรรมะจริงๆ ก็จะได้ เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้านั้นฉีกหน้าโลกียะจริง เรียนรู้ไส้สัมมาทิฏฐิ คุณจะเห็นเรื่องมายา เงินทองก็เป็นมายา จนกระทั่งละเอียดไปถึงที่สุด ก็จะเห็นว่า ทุกอย่างมันเป็นมายาหลอกเราทั้งนั้น ถ้าเรายึดมั่นถือมั่นในอะไร

แต่ถ้าเราสามารถรู้จักกาละเทศะสถานะ แล้วใช้อาศัยสิ่งสมมุตินี่แหละ รู้แจ้งจริงไม่ได้ถูกสิ่งสมมุติหรอก เราก็อาศัยสิ่งสมมุตินั้นในแต่ละปัจจุบันได้ นี่คือตัวสำคัญ บทสรุปของผู้มีชีวิตที่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นในอะไร และรู้ว่าอะไรต้องอาศัยกันไป

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ยุคสมัยที่ยากแก่การบริหารบ้านเมือง

_สถานีวิทยุ เสียงธรรมร่วมใจ : บ้านเมืองในยุคนี้ "ตำรวจ-อัยการ-ศาล" ใช้เมตตาธรรม-เสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ นำหน้ากฎหมายบ้านเมืองกับม๊อบผู้ชุมนุม เป็นความสวยงามมาก เจ้าหน้าที่ต้องอดทนสูงมากครับ

พ่อครูว่า...คนที่มีดวงตาก็มองออก อ่านเห็นเป็นความจริงตามที่สะท้อนมา จริงอาตมาก็เห็นอย่างนั้น ทุกวันนี้ ผู้ที่อยู่ในฐานะทำงานกับมวลประชาชน ทำงานอย่างหนักหนาสาหัส ทั้งภัยโควิด ทั้งภัยบ้านเมือง เรื่องกระแสต่างๆ ไม่ว่ากระแสเศรษฐกิจ สังคม กระแสสัจจะที่ไม่เป็นสัจจะมันรวนเรไป ก็พยายาม มันไม่เที่ยง ต้องอาศัยความรู้ความสามารถบริหารอภิบาลปกครองกันให้ดี

ซึ่งก็เป็นภาวะที่หนัก เป็นความเสื่อมจัด ความเสื่อมจัดคืออะไร คือผู้ที่เคยครองอำนาจว่าเป็นผู้นำโลก เช่น อเมริกาเป็นต้น กำลังจะเสื่อมหนัก ที่จริงได้เสื่อมหนักลงไปแล้ว แต่เขาก็พยายามที่จะประคองตนเอง รักษาสถานะตนเองด้วยความรู้เท่าที่เขามี

นัยยะสำคัญของ 1.เรื่องมนุษยชาติหรือสังคมมันต้องมีสภาพ 2 ที่ภาษาบาลีว่า เทวฺ อยู่อย่างนั้นตลอดกาลนี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก เป็นความรู้ที่สุดยอดมาก ผู้ที่รู้ใน เทวฺ เข้าใจ เทวฺ แล้วสามารถอยู่กับ เทวฺ มีปฏิภาณปัญญาหรือว่าต้องเลือกอันใดอันหนึ่ง เปรียบเทียบกันได้ว่าอันหนึ่งต้องเด่น อีกอันหนึ่งต้องเป็นรองไม่เด่น หรืออันนึงดีอีกอันหนึ่งต้องไม่ดี อย่างนี้เป็นต้น

และรู้ว่าสองนี้ก็ไม่ได้อยู่ยั่งยืนถาวรมันเป็นเพียงสังขารธรรมตามเหตุปัจจัย และรู้ว่าเหตุของจิตวิญญาณที่เป็นประธาน สามารถปล่อยวาง สามารถสร้างพลังงานที่เป็นตัวเชื่อมตัวรักษา ทำให้มันเจือจางทำให้มันปล่อยวางหมดฤทธิ์ความดูดดึง แยกธาตุ ไม่รวมตัวกันอีกสลายตัวกันต่างคนต่างไป คือเป็นผู้รู้ชัดเจนในเรื่องของชีวถึงขั้นระดับจิตนิยาม ซึ่งเป็นธรรมนิยาม 5 แล้วก็รู้จักการทำ ธรรมนิยาม ให้มาพักอยู่ที่ พีชนิยาม หรือแยกพีชนิยาม ไปเป็นอุตุนิยามสลายไปหมดเลย เพราะฉะนั้นจึงยืนอยู่ระหว่างกรรมกับธรรมะ ธรรมะคือการทรงไว้ กรรมคือการกระทำ

ก็อยู่กับการกระทำที่จะให้ทรงไว้ในสถานะใด สภาวะใดเท่าใด จัดการได้หมดเลย จะให้อยู่ในสภาวะจิตนิยามที่ยอดเยี่ยมก็ได้ เป็นผู้ที่สามารถยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ สามารถทำให้เป็นพืชก็ได้ สามารถทำให้เป็นอุตุได้ ที่สุดสามารถทำให้ปรินิพพานเป็นปริโยสาน จบ แม้แต่ในปัจจุบันนี้ก็ทำตัวจบที่เราจะไม่เกี่ยวข้องเลย เอ็งก็อยู่ของเอ็ง พวกชาวนรกพวกอบาย เป็นต้น เอ็งก็อยู่ของเอ็ง..เราไม่เกี่ยว แม้มันจะมากระแทกกระทบกระเทือนก็เหมือนกับเราไม่มีตัวตน มันก็ทำอะไรเราไม่ได้

พวกนี้ภาษาที่จะอธิบายมันยาก แต่ก็พยายามใช้ภาษาอธิบาย ฟังดูแล้วจะพบความจบอันนี้ ซึ่งอาตมาจริงใจ ไม่ได้เดาไม่ได้คาดคะเน ไม่ได้เก็งความจริง แต่ว่าอาตมาบรรลุธรรม รู้ความจริง มีความสัตย์จริง สภาวะที่พูดไปทั้งหมดนั้น มีสภาวะจริง จะใช้ภาษามาแทนมันไม่รู้เท่ากันได้  ตัวเองทำเอง ถึงเอง บรรลุจุดนั้นเอง จะรู้เองด้วยตนเองอย่างชัดเจนเองเลย ไม่ต้องไปเชื่อใคร ไม่ต้องไปเห็นตามใครแล้ว เพราะเห็นเองเป็นเองได้สูงสุด จบ

ยุคนี้ เห็นสภาวะที่เกิดบทบาทอยู่อย่างนี้ ที่สถานีวิทยุเสียงธรรมร่วมใจสื่อแสดงออกมา

อาตมาใช้ อิสรเสรีภาพ ภราดรภาพ สันติภาพ สมรรถภาพ บูรณภาพ สุญตภาพ สุนทรียภาพ 7 สภาพนี้ อาตมาตั้งชื่อว่า บรมภาวะสุดประเสริฐ สังคมชาวอโศกเรามีได้จริง

 

_วัดป่าสวนธรรมร่วมใจ ยโสธร : กราบนมัสการท่านพ่อครูที่เคารพอย่างสูงครับ

📌 มีคนเขียนจดหมายถึงลุงตู่ครับ.. ➡️ เราเกิดปีเดียวกัน เคยเป็นเด็กมาเหมือนๆ กัน คุณพ่อของคุณเป็นทหาร คุณพ่อฉันก็เป็นทหาร คุณเป็นผู้ชาย จึงเดินตามรอยเท้าพ่อของคุณไปสู่โรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งเข้า ยากมาก ไม่ว่าจะเป็นวันโน้นหรือวันนี้เพราะเขาต้องคัดคนเก่ง สุดยอดแกร่งเข้าเรียน ถ้าเข้าสวนกุหลาบวิทยาลัย หรือเตรียมอุดมศึกษาไม่ได้ ก็ยังมีโรงเรียนอื่นในระดับเดียวกันให้เลือกมากมาย แต่ไม่ใช่เตรียมทหาร ที่ๆ ฝึกให้ลูกผู้ชายเก่ง แกร่ง รักชาติ และจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์

พ่อครูว่า...ทหารต้องมีสภาพเช่นนี้ แต่ละประเทศก็ต้องมี แต่ใครจะมีความรู้ลึกซึ้งในคุณธรรมทั้งหลายอย่างที่ว่านี้ได้

เส้นทางของเรา ต่างรับราชการ ทำหน้าที่ต่อบ้านเมืองตามบทบาทของแต่ละคน

ถึงวันนี้ ฉันแก่และเกษียณอายุแล้ว ตื่นเช้ามา ได้สวดมนต์ ใส่บาตร กินข้าว ดูโทรทัศน์ พอสายๆ ก็ "งีบ" ตื่นขึ้นมา ก็เดินชมนกชมไม้ เช่นเดียวกับคนวัยเกษียณอื่นๆ แต่คุณสิ ยังมีความรับผิดชอบยิ่งใหญ่ต่อชาติบ้านเมือง เต็มอยู่บนบ่า ท่ามกลางพายุร้ายของโรคระบาด ที่ทำให้ผู้คนล้มตาย เศรษฐกิจพังพินาศไปทั่วโลก ไม่ต่างอะไรกับยุคสงคราม ในอดีตยามนี้ คนไทยเราเคยสามัคคี ร่วมมือกันฟันฝ่าอุปสรรค ทิ้งความขัดแย้ง วางปัญหาส่วนตัวไว้ก่อน และร่วมมือกัน เพื่อปัดเป่าปัญหาของชาติ

➡️ แต่วันนี้ หลายคนกลับชี้มือไปที่คุณ หยิบยกปัญหาของตัวเองขึ้นมา และเรียกร้องทุกสิ่งทุกอย่างจากคุณ โดยไม่คิดจะร่วมมือรับผิดชอบซึ่งยังไม่รวมถึงการก่นด่าอย่างไร้สติ ใช้คำหยาบสุดหยาบเพื่อทิ่มแทง บั่นทอนกำลังใจคุณ คนในวัยฉัน คงไม่มีอะไรที่จะมอบให้คุณ มากไปกว่าความนับถือในหัวใจที่แข็งแกร่งของคุณ และเชื่ออย่างยิ่งว่าคุณนั้น มี "เกียรติศักดิ์ทหารเสือ" ที่จะไม่ละทิ้งประเทศชาติ เพียงเพราะลมปาก เหล่าสวะปฏิกูล ที่พยายามเหยียบย่ำความรู้สึกของคุณ  เพราะคุณเป็นปราการด่านสุดท้าย ที่ยืนหยัดเพื่อคนไทย…

พ่อครูว่า...ใครมีหัวใจอย่างนี้บ้าง...ยกมือหมด นี่เพราะเรามีดวงตามองเห็นความจริง โดยไม่ใช่มีแว่นตาสีมาใส่ แต่เรามีความซื่อตรงดวงตามองเห็นความจริงอย่างไม่มีคติ อาตมาว่าอาตมาก็ใช้ภูมิปัญญาเท่าที่อาตมามี แล้วพูดไปตลอดเวลา ไม่ได้มาปะเหลาะอะไร พูดด้วยความจริงใจ อาตมาจำไม่ได้เลยว่าอาตมากับพลเอกประยุทธ์เคยเจอหน้ากันหรือเปล่า เผชิญกันตัวต่อตัว ดูเหมือนจะไม่เคยผ่านกันเลย ไม่เคยเผชิญหน้ากันเลย ต่างคนต่างทำงาน จะรู้จักกันก็คงจะผ่านสื่อสารสนเทศต่างๆ พลเอกประยุทธ์จะรู้จักอาตมาหรือไม่อาตมาไม่รู้ แต่อาตมารู้จักพลเอกประยุทธ์แน่นอน เป็นผู้นำประเทศทำงานอย่างหนัก อาตมาก็ทำงานตามประสาอาตมาตามหน้าที่อาตมา

อาตมาก็ให้กำลังใจจริงๆ แล้วก็ไม่ได้พูดเล่นลิ้นไม่ได้พูดปะเหลาะอะไรเลย แต่ไหนแต่ไรมา เพราะอาตมานับถือจริงๆว่า เป็นผู้บริหาร เป็นนายกรัฐมนตรีในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในโลก เป็นได้อย่างยอดเยี่ยม ในนายกประเทศไทย 29 คนผ่านมา อาตมาถือว่าให้เหรียญทองได้สำหรับพลเอกประยุทธ์ ต้องพูดเข้าสมัยโอลิมปิก นี่ไม่ใช่พูดเล่นแต่พูดจริง ก็ยังดูสุขภาพร่างกายแข็งแรง รักษาสุขภาพให้ดีๆนะ

 

_Warangpon Datchawat (วรางค์ภร เดชวัฒน์) : ตบะธรรม เป็นการกำหนดกรอบเพื่อพากเพียรลดละสักกายทิฐิ โดยควบคู่ไปกับอปัณณกปฏิปทา 3 ทำให้พ้นทุกข์ไปตามลำดับ โลกุตระธรรมที่เห็นชัดมีเฉพาะชาวอโศกนะคะ แม้จะเหนื่อยกายแต่ใจไม่ทุกข์คะ

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ทำจิตเศร้าลึกๆให้หายเศร้าหมอง

_ใช่เลย : กราบนมัสการค่ะ ทำไมจิตลึกๆของเรามันเศร้าหมองค่ะ

พ่อครูว่า...คุณจะเศร้าหมองหรือคุณจะแจ่มใส คุณเองเป็นคนยังจิตให้เป็นไปในอำนาจ หรือคุณทำจิตของคุณเอง อาการของความเศร้าหมองเป็นอย่างไร อาการของความเบิกบานแจ่มใสมันเป็นอย่างไร ซึ่งอันนี้เป็นเพียงแต่ใช้สมถะ ใช้ตบะ ใช้พลังงานเจโตสมถะ แบบเจโต เปลี่ยนแปลงเอา ก็ได้ ยังไม่ถึงขั้นวิปัสสนา ไม่ถึงขั้นเป็นปัญญาที่มีพลังงานอำนาจพิเศษ พลังงานความเฉลียวฉลาดธาตุรู้ พอมันรู้เท่านั้นมันก็เปลี่ยนแปลงไปเองเลย อันนี้ก็ไม่มีภาษาจะอธิบายคำนี้ มันเป็นปัญญาเป็นพลังงานที่สุดวิเศษ เป็นคุณวิเศษที่ยิ่งใหญ่

การละกิเลสอาสวะอนุสัยได้ด้วยปัญญาอันยิ่ง คำของพระพุทธเจ้าจบสุดท้ายอันนี้ มันเป็นจริงที่สุดยอด อาตมากำลังเขียนเรื่องปัญญา 8 อยู่ เขียนอย่างละเอียด ก็เห็นใจคนจะอ่านเหมือนกัน เขียนไปสักระดับหนึ่งก็คงจะพอแล้วเพราะมันใช้งานได้แล้ว ในยุคสมัยนี้ไม่ต้องใช้ความละเอียดละออขนาดเกินไป เอาความเฉลียวฉลาดแค่นี้ก็ไปรอดแล้ว ใกล้กลียุค คนมันเสื่อมไปเยอะแล้ว ไม่ต้องใช้คุณวิเศษชั้นเลิศยอดอะไรเท่าไหร่ ก็ใช้ได้แล้ว ก็ค่อยๆเป็นไปอาตมาก็พูดตามความจริงไปเรื่อยๆ ฟังตามไปเถอะ

คุณก็แค่คิดที่มันอยู่ลึกๆแล้วเศร้าหมองก็ทำให้มันตื่นขึ้นมา ให้มันเป็นจิตที่เบิกบานแจ่มใสขึ้นมา ให้มันเป็นจิตที่มีพลัง ใช้ปัญญาไม่ได้ก็ใช้แรงก่อน ก็ลองดู

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน พ่อครูพยายามยังขันธ์ให้ยืนยาวเพื่อศาสนา

_หมอกิจก้อง (จากดอยรายฯ) : ผมอ่านหนังสือ เปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ของพ่อท่าน สุดยอดจริงๆครับ พ่อท่านเขียนง่ายๆ หลากหลายเรื่อง ตีแผ่ แยกความหลงผิด กับ ความแท้ ทำความจริงให้กระจ่างใส เหมือนสารส้ม แค่ แกว่งๆน้ำที่ขุ่นก็ใสใช้ประโยชน์ได้ เช่น..หน้า 243 - 244 อ่านแค่แผ่นเดียว ก็เข้าใจได้ทะลุ " ศาสนาที่มีพระเจ้า " จบข่าวเลยครับท่าน น่าอัศจรรย์มาก

   ผมไปเจอคลิปที่มีลูกศิษย์หลวงตา มหาบัว ออกมาตอบโต้พ่อท่าน น่าสงสารครับ  ฟังแล้วก็กราบพ่อท่าน  สมณะ และ  สิกขมาตุ ได้สนิทใจสบายใจมากขึ้นไปอีก

  กราบนมัสการครับ 

พ่อครูว่า... ก็ขออภัย ที่จะพูดต่อไปนี้ไม่ใช่ซ้ำเติม แต่อยากทำให้ชัดเจนกระจ่างเพิ่มขึ้นอีก ขอย้ำอย่างจริงใจที่สุดเลยไม่ได้ข่มเบ่ง ไม่ได้ไปกดไม่ได้ดูถูกดูแคลนอะไร แต่สงสารจริงๆเลย ผู้ที่หลับตาปฏิบัติ ในสายหลับตา อย่างเช่นสายหลวงตามหาบัวสายอาจารย์มั่นหรือแม้แต่สายธัมมชโยก็ตาม มันจะมีนัยยะสำคัญต่างกัน สายธัมมชโยเป็นอาภัสรา แต่สายหลวงตาบัว อ.มั่นเป็นสายสุภกิณหะ มันคนละอย่าง

ศึกษาให้ดีๆแล้วจะเข้าใจ อาตมาเอาสิ่งเหล่านี้มาขยายความสาธยายแจกแจงให้เห็นความต่าง ลิงคะ ต่างในนัยสำคัญของมัน ให้รู้สัจธรรมพวกนี้ ไม่ใช่ไปข่มธัมมชโยไม่ได้ไปข่มมหาบัว อาตมาไม่จำเป็นต้องไปข่มใคร คนข่มอาตมาด้วยซ้ำ อาตมายอมให้คนข่ม เขาข่มก็ข่มไป อาตมาไม่มีจิตที่อยากจะไปข่มใครเลย อาตมาเองชาตินี้แสดงลักษณะเป็นผู้แพ้ อาตมาชาตินี้เกิดมาปางนี้ ยืนอยู่ในฐานะเป็นผู้แพ้มาตลอด ไม่เคยคิดจะไปเป็นผู้ชนะ มีคนยุอาตมา เพลงผู้แพ้ดังนะ แต่งแล้วทำไมไม่แต่งเพลงผู้ชนะ อาตมาก็ว่าไม่เคยเห็นจะสนใจความชนะจะไปชนะอะไรเลย เป็นแต่เพียงอาตมาทำความจริงให้กระจ่างให้คนได้รับ ใครรับได้ก็คือของเขา ทำให้ได้เท่านั้นแหละ จะทำได้มากเท่าไหร่ก็พยายามอุตสาหะเต็มที่ไม่ได้แข่งใคร จะทำได้เหนือกว่าเด่นกว่าใครก็ไม่เคยคิดจะไปแข่งเด่นแช่งดีอะไรเลยกับใคร ไม่ใช่พูดเอาดีเข้าตัว แต่มันเป็นความจริงใจเห็นจริงอย่างนั้น ก็ขอให้ทุกๆคนศึกษาให้ดีเถอะ

อาตมาทุกวันนี้เขาบอกตรงๆ อาตมาพยายาม ยังขันธ์ ให้มันต่อไปได้ เพราะมันเมื่อยจริงๆ อาตมาเองต่ออายุใครมาได้ 1 นักษัตร จาก 72 มาเป็น 84 ถ้าไปถึง 96 ก็เป็น 2 นักษัตร ก็อยากจะพิสูจน์พลังอิทธิบาท สัมประสิทธิ์ของธรรมะพระพุทธเจ้า อาตมาไม่ได้ใช้อย่างอื่น ไม่ได้ใช้ยาอย่างที่จินซีฮ่องเต้คิดค้น หรือยาอายุวัฒนะของใครหรอก แต่ใช้สูตรของพระพุทธเจ้านี่แหละ ไม่ว่าจะเป็น 8 อ. หรือ  E=C(MC2 + A) 

อาตมาทำด้วยความจริงใจพยายามอยู่ทั้งรูปและนาม ทั้งรูปธรรมและนามธรรม ตอนนี้น้ำหนักก็ลดลงไปอีกเหลือ 46 แล้ว ก็พยายามให้มันเป็นไป ทุกคนก็ช่วยกันเต็มที่ อาตมาก็ไม่เท่าไหร่ คนอื่นจะช่วยก็อนุโลมสนองต่อเขาบ้าง บางอย่างก็ไม่ต้อง ก็พยายามอยู่

 

สื่อธรรมะพ่อครู ตอน ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

พ่อครูว่า... มาเข้าสู่อัมพัฏฐสูตร

เล่าเรื่อง ความเป็นนักบวชกับความเป็นฆราวาสที่เขายึดมั่นถือมั่นกัน แต่มันเป็นสิริมหามายา อย่างเช่น อัมพัฏฐมานพเป็นพราหมณ์มหาศาล ในยุคนั้นใช้ศัพท์คำว่า พราหมณ์มหาศาล ในยุคนี้ในเมืองไทยก็ใช้คำว่า พระมหาศาล มีในนัยยะความอันเดียวกัน แต่ พราหมณ์มหาศาลในยุคพระพุทธเจ้านั้น แย่กว่าพระมหาศาลในยุคนี้อยู่ แย่กว่ามุมหนึ่ง แต่พระมหาศาลก็แย่อีกมุมหนึ่ง คนละมิติที่แย่กว่ากัน

เช่น พระมหาศาล ทุกวันนี้มีเดรัจฉานวิชชาเยอะมาก ในยุคพระพุทธเจ้าเดรัจฉานวิชชาไม่มากขนาดนั้น ไสยศาสตร์ก็ไม่มากขนาดนั้น ในวงการของธรรมะนะ แต่ทุกวันนี้ศาสนาพุทธในเมืองไทยเต็มไปหมดทั้งไสยศาสตร์และเดรัจฉาน เห็นแล้วสุดสงสารน่าสงสารน่าเวทนาจริงๆก็ไม่รู้จะทำอย่างไร อาตมาก็ยังไม่ได้ถอดใจก็พยายามช่วยให้เกิดความรู้ให้เกิดความเข้าใจ ด้วยสื่อสารสนเทศอธิบายสาธยายกันนี่ อาตมาไม่มีทางหยุด ไม่มีประตูอื่นเลยที่จะไปช่วยได้ ก็ช่วยกันแสดงความจริงเอาหลักฐานความจริงอ้างอิงยืนยันตามพระไตรปิฎกที่เราเชื่อถือร่วมกัน ก็เอามายืนยันกันไป

จนกระทั่งจุดสำคัญที่พระพุทธเจ้าบอกว่าตระกูลคุณก็แพ้ ไล่กันตามตระกูล DNA   อัมพัฏฐะก็แพ้ เมื่อมาชี้ทางคุณธรรมแท้ อัมพัฏฐะก็ไม่ได้มีจรณะสมบัติ วิชชาสมบัติ

 

จุลศีล คือศีลหลักที่จะเอาตัวความหมายแต่ละข้อมาปฏิบัติ พระพุทธเจ้าประมวลไว้แล้ว 26 อย่าง เอามาปฏิบัติแล้วจะครบ ทั้งในลักษณะของ 1.จิตนิยาม 2. พีชนิยาม 3. อุตุนิยาม  มาเรียนรู้และเอาปฏิบัติกรรม แล้วให้ทรงไว้ซึ่งธรรมะ ให้เกิดสภาพที่เป็นที่ได้ที่บรรลุ อาศัยไปเรื่อยๆ อาศัยธรรมะที่บรรลุได้แล้วก็อาศัยได้ โดยการกระทำ โดยกรรม โดยธรรมะ เป็นคู่สำคัญคือกรรมกับธรรมะ

ที่ทำให้เกิดเป็นจิตนิยาม แล้วเราจะต้องเรียนรู้ธาตุ ในความเป็นสัตว์ จิตธาตุทั้งหลายแหล่ แยกแยะแล้วจัดการ อะไรที่เป็นจิตธาตุที่เป็นอกุศลจิต ก็กำจัด อะไรที่เป็นกุศลจิตก็รักษา ส่งเสริมให้ยั่งยืนเป็นฐานอาศัยเป็นธาตุ พลังงานจิตที่อาศัย จะอาศัยในระดับ พีชนิยามก็ได้ อุตุนิยามก็อาศัย แต่อาศัยอุตุไม่ใช่อาศัยอย่างชีวะ แต่อาศัยส่วนที่จะปรุงแต่งอยู่ในองค์ 3 คือ อุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม 

อุตุนิยาม เป็นพลังงานหรือสสาร หรือในอุตุเป็นธาตุสองที่แยกพลังงานบวกลบได้แล้วอาศัยใช้ในชีวิตของเรา จนกว่าเราจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน

อาศัย จุลศีล แต่ละข้อ ไปก็จะบรรลุธรรมไปตามลำดับ ที่เป็น จรณะ 15 วิชชา 8 ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้กับอัมพัฏฐมานพ ว่า เนื้อแท้ของศาสนาคือวิชชาจะระณะสัมปันโน

วิชชาจรณะ คือพุทธคุณ แก่นสารสาระของศาสนาคือ วิชชาจรณะ

ในพุทธคุณ 9 ก็มีจรณะ วิชชาเป็นแก่นสารของสัจธรรม นอกนั้นเป็นเครื่องอลังการที่ชมเชยพระพุทธเจ้าทั้งนั้น พุทธคุณ​ 9 

1.   อรหํ เป็นพระอรหันต์

2.   สมฺมาสมฺพุทโธ ตรัสรู้เองโดยชอบ

3.   วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ

4.   สุคโต เสด็จไปดีแล้ว

5.   โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก

6.   อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ มีความรู้เหนือ และเป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ไม่มีใครยิ่งกว่า

7.   สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

8.   พุทฺโธ เป็นผู้ตื่นและเบิกบานแล้ว

9.   ภควา ติ เป็นความจบในความเจริญ

พ่อครูว่า...จุลศีล หลายคนปฏิบัติไม่ต้องถึง 26 ข้อก็บรรลุธรรมได้ แค่ 3 ข้อก็บรรลุธรรมได้แล้ว ถ้าขยายความไปในแต่ละข้อ

ส่วนมัชฌิมศีล เป็นศีลที่ขยายจากจุลศีล เช่น ไม่พรากพืชคาม ภูตคาม

ภูตคามคือ พลังงานที่อยู่กับดินน้ำไฟลม

มัชฌิมศีล

๑. ภิกษุเว้นขาดจากการพรากพืชคามและภูตคาม เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการพรากพืชคามและภูตคาม เห็นปานนี้คือพืชเกิดแต่เหง้า พืชเกิดแต่ลำต้น พืชเกิดแต่ผล พืชเกิดแต่ยอด พืชเกิดแต่เมล็ด เป็นที่ครบห้าแม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

พ่อครูว่า... รับประทานอาหารที่เขาให้ด้วยศรัทธาบริสุทธิ์แล้ว พูดภาษาง่ายๆก็คือให้อาหารกินแล้ว ยังประกอบการ พรากพืชคาม ภูตคาม เห็นปานนี้ ด้วยการพรากพืชเพื่อบำเรอตน กับพรากพืชเพื่อเผื่อมวลชนคนอื่นไม่ใช่เพื่อตัวเอง อันนี้เป็นนัยยะสำคัญ ไม่ใช่แก้ตัวให้ตัวเอง แต่ควรจะถือเป็นวินัยสำคัญ ไม่จำเป็นไม่สมควรก็อย่าไปพรากพืช ถ้าจำเป็นเห็นว่ามันสมควรที่ต้องพราก ก็พราก โดยมีนัยสำคัญที่อธิบายซ้อนไปแล้ว

๒. ภิกษุเว้นขาดจากการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้ เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังประกอบการบริโภคของที่ทำการสะสมไว้ปานนี้คือ สะสมข้าว สะสมน้ำ สะสมผ้า สะสมยาน สะสมที่นอน สะสมเครื่องประเทืองผิวสะสมของหอม สะสมอามิส แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

๓. ภิกษุเว้นขาดจากการดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังขวนขวายดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล เห็นปานนี้ คือ การฟ้อน การขับร้อง การประโคมมหรสพ มีการรำเป็นต้น การเล่านิยาย การเล่นปรบมือ การเล่นปลุกผี การเล่นตีกลอง ฉากภาพบ้านเมืองที่สวยงาม การเล่นของคนจัณฑาลการเล่นไม้สูง การเล่นหน้าศพ ชนช้าง ชนม้า ชนกระบือ ชนโค ชนแพะ ชนแกะ ชนไก่รบนกกระทา รำกระบี่กระบอง มวยชก มวยปล้ำ การรบ การตรวจพล การจัดกระบวนทัพกองทัพ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

พ่อครูว่า... ที่จริงมวยชกมวยปล้ำ อาตมาชกพันชิ่งบอล บางทีมีภาพหลุด อาตมาไม่ได้ชกเพื่อจะไปขึ้นเวทีชกกับใครนะ แต่ทำเพื่อออกกำลังกาย การจะมีเจตนาอย่างไรก็ต้องมีนัยสำคัญที่เจตนา ไม่ใช่จะเอาชนะคะคานตีรันฟันแทงกับใคร ไม่ได้ไปแข่งขันโอลิมปิก ไม่มี แต่ทำเพื่อออกกำลังกาย เป็นต้น อาตมาพยายามยังขันธ์ก็หาวิธีเสริมช่วยมันไป พูดนี้ไม่ใช่แก้ตัวให้ตัวเอง แต่พูดให้เข้าใจในสัจธรรมที่ละเอียดลออ คนที่ไม่รู้ พาซื่อ บางทีก็เอามาตีมาแย้ง แต่อาตมารู้นัยละเอียดพวกนี้

ส่วนในศีล ก็คือห้ามทำหน้าที่อย่างฆราวาส แต่อาตมาเดินดูพวกเรา ไม่ได้ไปตรวจทัพ แต่เดินดูความเจริญความเป็นไปของพวกเรา มันมีความซ้อนในรายละเอียด การกระทำเช่นเดียวกันแต่มันมีเจตนารมณ์ต่างกัน พวกนี้มันจะต้องศึกษาให้ดีๆ

มหาศีลอีก 7 ข้อ เป็นรายละเอียด อ่านบางข้อ (1,6,7)

มหาศีล

๑. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้าทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรมด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้านดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองูเป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์ แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

พ่อครูว่า... ดูในทีวีมีช่องที่ออกเดรัจฉานวิชชาเยอะแยะ มีอยู่ช่องหนึ่งเป็นฤาษีเณรหรืออย่างไร

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

สมณะฟ้าไท...

พ่อครูว่า... การใช้รำ แกลบ หรืออื่นๆ ทำให้เกิดควัน สื่อสารต่อพระเจ้า หรือวิญญาณ มันเป็นลักษณะของเทวนิยม

หยิบมาเป็นตัวอย่างเท่านั้น ในยุคนี้ยิ่งปรุงแต่งเยอะกว่าในยุคพระพุทธเจ้าเยอะ มันน่าสงสารศาสนาพุทธ

๖. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือให้ฤกษ์อาวาหมงคล ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน ดูฤกษ์หย่าร้าง ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์ ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็งร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียง เป็นหมอทรงกระจก เป็นหมอทรงหญิงสาวเป็นหมอทรงเจ้าบวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญแม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

พ่อครูว่า... การเข้าทรงนี้เป็นเรื่องหรอกที่จริงไม่มีอะไรมาเข้าส่งหรอก ที่จริงตัวเองสะกดจิตตัวเองแล้วใช้สัญญาทำงานในขณะที่ตัวเองไม่มีสติ ให้สัญญาทำงานเป็นสัญชาตญาณดิบทำงานเต็มที่ เพราะฉะนั้นบางคนมีอำนาจฤทธิ์เดชหลายๆอย่าง มีความรู้ลึก เป็นทิพย์อะไรหลายอย่าง จึงแสดงออกได้ในขณะที่เข้าส่ง อาตมาก็เล่นมานะเข้าทรงอยู่ 8 ปี เป็นเรื่องมีฤทธิ์มีเดชอะไรก็เป็นเพียงชั่วคราว มันก็บรรเทาอะไรได้บ้าง แต่มันไม่ใช่เรื่องที่เป็นวิทยาศาสตร์ ที่ทำได้แล้วก็ถาวรนิรันดรอย่างนี้เป็นต้น ไอ้นั่นเป็นเรื่องมายา ลำลองชั่วคราวเปลี่ยนไปมันไม่เที่ยงไม่ได้เรื่อง

๗. ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่สมณพราหมณ์ผู้เจริญบางจำพวกฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชาเห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทยให้กลับเป็นชาย ทำชายให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตาทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง.

 

พ่อครูว่า... หากฆราวาสไม่ทำเดรัจฉานวิชชานี้ก็เป็นการส่งเสริมจะทำ แต่ว่าภิกษุนี้ ต้องเรียนรู้ปฏิบัติตามนี้ แต่เขาก็ละเมิดหมดเพราะไม่ได้เรียน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

ผู้ที่มีความรู้ทางหมอพยาบาลเมื่อมาบวช บางทีถึงกาละจำเป็น ปัจจุบันทันด่วนที่ต้องอาศัยเบื้องต้นในขณะจำเป็นต้องทำ ก็มาว่า ว่าผิดศีล คือไม่รู้กาละเทศะ ไม่รู้อะไรผิดถูก ถ้าจะขี้ตู่กันก็หาเรื่องได้ แต่เขาไม่ได้ทำเป็นอาชีพ อย่างเป็นคุณหมอมาบวชแล้วก็ไม่ได้ทำอาชีพเป็นหมอ แต่แน่นอนก็ทำอะไรได้อยู่ในนักบวช ถ้าเป็นฆราวาสยังไม่ได้ถือมหาศีล ไปว่าเขาไม่ได้ แต่ก็ควรจะมีศีลของพระพุทธเจ้า ฆราวาสก็ควรศึกษา อย่าไปส่งเสริมให้มีก็แล้วกันมันเป็นเดรัจฉานวิชชา เป็นความรู้ทางเดรัจฉาน มันน่ายกย่องอะไรกันนักหนา มันมีผลดีเหมือนกัน แต่ไม่ต้องทำหรอก เรามีทางอื่นเลือก เลี่ยงได้

ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้ ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะศีลสังวรนั้น เปรียบเหมือนกษัตริย์ผู้ได้มุรธาภิเษกกำจัดราชศัตรูได้แล้วย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆ เพราะราชศัตรูนั้น ดูกรอัมพัฏฐะ ภิกษุก็ฉันนั้นสมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้แล้ว ย่อมไม่ประสบภัยแต่ไหนๆเพราะศีลสังวรนั้น ภิกษุสมบูรณ์ด้วยอริยศีลขันธ์นี้ ย่อมได้เสวยสุขอันปราศจากโทษในภายในดูกรอัมพัฏฐะ ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล ภิกษุชื่อว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยศีล

จบมหาศีล.

พ่อครูว่า... สมัย พระพุทธเจ้า เป็น พราหมณ์ ไปเป็นกษัตริย์ไม่ได้ แต่เป็นกษัตริย์สามารถไปเป็นพราหมณ์ได้ เช่น ราชวงค์ต่างๆของจีน ราชวงศ์ฉิน ราชวงศ์เจ้า ข้อสำคัญคือเมื่อเหมาะสมจะเป็นกษัตริย์กอบกู้ประเทศได้จริงๆ แล้วก็สร้างวงศ์กษัตริย์ ก็จะสืบทอดมาด้วยดีมา อาจจะมีการบกพร่องบ้าง แต่โดยค่าเฉลี่ยแล้วในวงศ์กษัตริย์นั้น มีดี 90% 80% 70% ก็ดีแล้ว จะเอา 100% หมดมันมีที่ไหนในโลก เพราะฉะนั้นกษัตริย์บางองค์ก็ต่ำกว่า 50% ในวงนั้น ก็ต้องมีบ้าง ได้ขนาดนี้ก็ดีแล้วนี่

แล้วกษัตริย์แต่ละองค์ท่านก็พัฒนาตัวเองขึ้นไป ถ้าหากท่านพัฒนาตัวเองขึ้นไปก็ใช้ได้แล้วนี่ ถ้าท่านไม่รู้สึกพระองค์เลย ปล่อยให้เสื่อมลงไปอีก ก็ค่อยว่ากันหน่อย แต่ท่านก็มีพระสำนึกแล้ว ทรงพัฒนาขึ้นจากที่เคยผิดพลาดก็แก้ไขปรับปรุงทำให้เจริญ ก็เป็นกษัตริย์ที่น่านับถือบูชาเคารพแล้ว

คือ ลักษณะพวกนี้เขาไม่เข้าใจ อย่างที่ออกมาประท้วงจะล้มล้างสถาบันกษัตริย์ เขาบอกว่าจะไม่ได้ล้มแต่ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ให้เป็นเหมือนสัญลักษณ์เท่านั้น แล้วเขาก็จะได้มีอำนาจเต็มเลยในฆราวาส ออกกฎหมายเลยอย่างนี้เป็นต้น นี่เป็นความต้องการของเขา ซึ่งจะจบด็อกเตอร์ จบวิชารัฐศาสตร์มาจากต่างประเทศ ซึ่งเป็นประชาธิปไตยขาเดียว ไม่เข้าใจรายละเอียดถึงความเป็นกษัตริย์ ว่า ประชาธิปไตยต้องมี 2 ขา ต้องมีจิตวิญญาณ คือสถาบันกษัตริย์ กับประชาชน อะไรอย่างนี้เป็นต้น

รายละเอียดพวกนี้อาตมาไม่ได้เสแสร้งแกล้งพูด อาตมา ขอพูดเถอะ ผ่านการเป็นกษัตริย์มาก็ไม่รู้กี่ปางแล้ว ยุคใกล้ พระพุทธเจ้า ก็เป็นมาแล้ว ไม่ได้ห่างเท่าไหร่ ก็ทำมาจนในประเทศไทยก็ทำมา แล้วประเทศไทยนี่แหละมีรากฐานของประชาธิปไตยของศาสนาพุทธ รากฐานของประชาธิปไตยที่เป็นโลกุตระ เหนือชั้นกว่าประเทศใดๆอีก เยอะ ขออภัยแม้แต่ประเทศอังกฤษ เพราะอังกฤษก็ไม่ได้เป็นศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลัก ยังเป็นศาสนาเทวนิยมเป็นหลักในอังกฤษ เพราะฉะนั้นจะมาเหมือนศาสนา อเทวนิยมหรือพุทธไม่ได้หรอก เป็นกษัตริย์ก็จะมีความรู้โลกุตระต่างกันกับโลกียะ นี้เป็นนัยยะสำคัญที่อาตมาพูดทิ้งไว้

นักเศรษฐศาสตร์ควรศึกษาให้ดี อาตมาพูดหลายครั้งแล้วว่า คนยังเข้าใจประชาธิปไตยอันเป็นโลกุตระที่เป็นของพระพุทธเจ้ามา ตั้งแต่ท่านอยู่ในท่ามกลางสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทั่วโลก เป็นสังคมทาสด้วยในยุคของท่าน ท่านก็นำของท่านมา มีธรรมนูญของท่าน นำพาของท่านทำได้อยู่ในฐานะพวกเป็นนักบวชทั้งนั้น ในฆราวาสยังทำไม่ได้ ที่เป็นข้อจำกัดที่อาตมาอธิบายไว้แล้ว ก็อาจจะเข้าใจได้ยากสำหรับผู้ที่มีความรู้ไม่รอบ แต่มันคนละบริบทกันคนละกาละ เทศะ ฐานะ

เรื่องการเมืองรัฐศาสตร์ก็ดี เรื่องของธรรมะแท้ๆก็ดี อาตมาก็ยังอยากจะนำพา ให้สังคมมนุษยชาติ ได้มีความรู้แบบโลกุตระของพระพุทธเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์หรือ ศาสตร์ย่อยๆอีก แม้แต่นิติศาสตร์ ศาสตร์ทางกสิกรรมหรือว่าศาสตร์ทางเภสัชศาสตร์ อาตมาไม่ไปยุ่งเท่าไหร่หรอก ปล่อยให้เป็นเรื่องของฆราวาสเต็มที่ ซึ่งมีนัยรายละเอียดซับซ้อนอยู่ในนั้น ในพฤติกรรมมนุษย์

มนุษย์ควรทำหน้าที่ ก็ควรต้องทำหน้าที่ของตนอย่างเหมาะสมที่สุด ในขณะนี้ชาตินี้ปางนี้ อาตมาพยายามทำให้สังคมปลูกฝังโลกุตรธรรมขึ้นมาอีก เพราะมันได้เสื่อมไปเหมือนกลองอานกะในอาณิสูตร พระพุทธเจ้าได้พยากรณ์ไว้ตั้งแต่พระองค์ทรงพระชนม์ชีพ อาตมาก็ยืนยันใน อัมพัฏฐสูตร พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ความเสื่อมจะเกิดขึ้น

ความเสื่อมที่ว่า รากฐานความเสื่อม 4 ประการที่เกิดขึ้น วันนี้ยังไม่ถึง ฝากไว้ก่อนเถอะโอฬาร

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

640804_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5 วันพุธที่ 4 สิงหาคม  2564 ณ บวรราชธานีอโศก ชมวิดีโอได้ที่นี่ ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่น...