วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2564

640802_รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 3

 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 3
วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม  2564

ณ บวรราชธานีอโศก











ชมวิดีโอได้ที่นี่
ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่นี่


พ่อครูว่า...วันนี้เป็นวันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก

อ่านบทกวีนัยปก เราคิดอะไร ตั้งแต่ มีพ.ศ. 2551 อ่านทวนแล้วก็รู้สึกว่ายิ่งใหญ่ลึกซึ้งมาก แต่เด็กๆที่มาฟังจะฟังไหวไหม มันซับซ้อนหลายชั้นลึกซึ้ง แต่เอา sms ก่อน

 

มุมมองของพ่อครูต่อการบริหารประเทศของนายกฯประยุทธ์

_Kit (กฤษณ์) Jsk : "ฝากถึงพ่อครูน่ะครับ ผมเคยเป็นนักเรียนของท่านมาก่อน ท่านลองดูโดยรวมน่ะครับ ว่าประเทศชาติตอนนี้เป็นยังไง เลิกมโนเถอะครับ ."

พ่อครูว่า... คุณคนนี้ก็มองกันคนละอย่างกับอาตมา ขณะนี้มีคนไล่พลเอกประยุทธ์ให้ออกจากตำแหน่งนายกหยุดบริหารได้แล้ว ก็เป็นธรรมดาธรรมชาติ ต้องมีคนเห็น 2 สภาพ สภาพหนึ่งเป็นความจริงที่มีหนึ่งเดียว กลับอีกสภาพหนึ่งคนเห็นแตกต่าง มันเป็นธรรมดาธรรมชาติมาแต่ไหน คนที่เห็นแตกต่างเขาก็จะแย้งกันไปแย้งกันมา โดยเฉพาะแย้งอยู่กับสัจจะมีหนึ่งเดียวนี่แหละ

เพราะสัจจะมีหนึ่งเดียว ผู้ที่เห็นแย้งกับสัจจะ อย่างไรอย่างไรก็เป็น อสัจจะ

คนที่ไม่แน่จริงว่าบรรลุเป็นสัจจะหนึ่งเดียวด้วยกัน ก็จะเถียงกับเขาอยู่นั่นแหละ เถียงกันไปเถียงกันมา แต่คนที่รู้แล้วว่าสัจจะมีหนึ่งเดียว ก็รู้แล้วว่าคนนั้นเขาเห็นแย้ง ก็จะอธิบายให้เขาฟังสักพอสมควรแล้วก็จะไม่เถียงต่อ ก็รู้แล้วว่าเขาเห็นแย้ง ผู้ที่มีสัจจะเป็นหนึ่งเดียวนี้จะเป็นสัจจะที่หนึ่งเดียวจริงๆคือผู้บรรลุอรหันต์แล้วเป็นต้น ผู้นี้จะไม่ประหลาด จะไม่เปลี่ยนแปลง จะไม่คลอนแคลน ไม่ลังเลสงสัยอะไรอีกเลย นอกจากผู้นี้ยังไม่พ้นวิจิกิจฉา ยังไม่พ้นสุดยอดของอนุสัยสุดท้าย ยังมีตัวลังเล ยังไม่สมบูรณ์จริงๆเต็มที่ ก็ต้องหวั่นไหว จะจริงหรือไม่จริง หรือว่าเขาแย้งถูก มันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ

เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นสัจจะมีหนึ่งเดียวไม่เป็น 2  เอกังหิสัจจัง น ทุติยมถิ จะไม่เป็น 2เด็ดขาดเลย มันจึงไม่แปลกที่คนจะเห็นแย้ง แล้วเราก็จะเห็นใจเขาเพราะเขายังไม่จบ ถ้าคุณจบเป็นอรหัตผลอย่างสมบูรณ์แบบและจริงๆ คุณจะไม่แย้ง

ผู้ที่สามารถรู้ความจริงก็จะรู้ความจริงตั้งแต่จุดเล็กที่สุด เป็นสุญญาณู จนกระทั่งขยายเป็น eternity ก็จะรู้ว่า 0 = ล้าน โดยที่เข้าใจว่ามุมเหลี่ยมมันแตกต่างกันตรงไหน

ยกตัวอย่างว่า คนมองว่าพลเอกประยุทธ์ บริหารไม่เข้าตาเขา เพราะเขามีความรู้อย่างเขา แค่เขา อาตมาก็เป็นคนๆหนึ่งในยุคสมัยนี้ที่พลเอกประยุทธ์บริหาร ก็เห็นมาตลอดตั้งแต่เริ่มจนกระทั่งถึงตอนนี้ 7 ปีแล้ว ก็เห็นมาชัดเจน แล้วอาตมาก็เห็นนายกฯอื่นๆมา ตั้งแต่จอมพล ป. อาตมาเกิด 2477 ก็เห็นอยู่ก็พอจะเทียบเคียงว่าความสามารถความรู้รอบของนักบริหาร ผ่านนายกมา 29 คน บริหารมา

 

เพราะฉะนั้นความรู้ของอาตมา กับความรู้ของคนอื่นอย่างเช่นคุณกฤษณ์ ที่กำลังพูดถึงนี้ที่เขียนมาก็ขอบคุณ ดี ท้วงมาด้วยความเป็นใจก็ดีแล้ว อาตมามีสิทธิ์อธิบายตามภูมิอาตมา

อาตมาประมวลแล้วว่านายกคนนี้บริหารได้ดี โดยเฉพาะมีเรื่อง covid อาตมาก็เห็นมุมของโควิดนี้เหมือนกัน และองค์ประกอบการบริหารก็ไม่ใช่เรื่องโควิดอย่างเดียว แม้แต่เรื่องมีพวกมาประท้วง งั้นก็เป็นธรรมชาติของประชาธิปไตยก็มีการค้านแย้ง

แต่การแย้งอย่างนั้นรุนแรงประท้วงกันจนกระทั่งเกิดการฆ่ากันตายอย่างต่างประเทศหรือไม่ แล้วมันเหมือนกันไหมกับประเทศอื่น เดี๋ยวนี้ประเทศอื่นก็ยังมีซัดกันอยู่ คุณดูรายละเอียดกับประเทศอื่น แล้วขึ้นอยู่กับองค์ประกอบความคิดของมนุษย์ด้วย ซึ่งความคิดของคนสมัยนี้ก็แตกต่างจากสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปไกล หรือแม้จะเริ่มมีคอมมิวนิสต์มีประชาธิปไตยขึ้นมาก็ต่างกันไกลตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ตอนนี้มีสิทธิมนุษยชนเต็มที่เขาก็ออกฤทธิ์เต็มที่ เขาก็รับมือคุณอย่างงามที่สุด

อันความกรุณาปราณีจะมีใครบังคับก็หาไม่หลั่งมาเองเหมือนฝนอันชื่นใจจากฟากฟ้าสุราลัยสู่แดนดิน

เป็นอย่างนั้นจริงๆเลย งามจริงๆ ประชาธิปไตย ไทย ใครสามารถเข้าใจความหมายลึกซึ้งที่อาตมาพูดถึงพฤตินัย การต่อสู้ระหว่างธรรมะกับอธรรมหรือว่าระหว่างอนาธิปไตยกับ ประชาธิปไตย

จะเอาทางปริมาณก็ตามหรือทางคุณภาพก็ตาม นายกประยุทธ์ก็ยังเหนือชั้นอยู่ทั้ง 2 นัยยะ เอามวลปริมาณบุคคลที่ออกมาตอนนี้ก็ยังเป็นกลุ่มน้อย คุณธรรมองค์รวมของสัจธรรมองค์รวมทั้งหมด พลเอกประยุทธ์ก็ยังยืนหยัดอยู่ในมุมที่ถูกต้อง

สู่แดนธรรม... พ่อท่านให้มองกว้างๆ มองให้ครบองค์ประกอบ มองแบบปัญญาปาสาโธ มองอย่างกรรมการ หรือผู้ชม อย่างเป็นกลาง

พ่อครูว่า... มองอย่างเป็นกลางไม่มีอคติ ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอกความเห็นของคุณกฤษ ซึ่งไม่ใช่มีคนเดียว ความคิดแบบนี้ก็มีเยอะแยะ แม้แต่ชาวอโศกเอง แม้แต่ศิษย์เก่าก็ยังมีเยอะแยะ มันเป็นธรรมชาติของความเห็นที่ต่างมันไม่ได้แปลกอะไร

แต่อาตมาก็มองออกด้วยความจริงใจเท่าที่ภูมิอาตมามีว่ายังดี พลเอกประยุทธ์นี้ยังทำได้เหมาะสมลงตัว อย่างเหนือชั้นกว่าทั้งคุณภาพและปริมาณ

สู่แดนธรรม... หากไม่ไหวพ่อท่านก็คงจะพาเราออกไป

พ่อครูว่า... ที่เราออกไป ไม่ได้ไปแสดงความยิ่งใหญ่ แต่มันถึงขีดว่าจะต้องไปแสดงความจริง แล้วความจริงที่อาตมาต้องการก็คือไม่ได้เน้นเรื่องใหญ่โตอะไร แต่จะออกไปแสดงความจริงต่างๆ ไปไขความ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมาให้มากๆหมดๆ

หากอาตมาจะต้องออกก็เพื่อไปยืนยันความจริง เราจะเอาความจริงไขออกมาให้คนอื่นได้รู้ทั้งประชากรที่เขาแย้งจริงหรือประชากรชาวโลก ซึ่งเขาก็ต้องเอาความจริงออกมาแสดงออก

เขาจะได้รู้ว่าสัจจะเป็นอย่างนี้ ความเป็นประชาธิปไตยจริงๆ ที่เป็นเรื่องถูกต้องของโลกุตระ ต้องใช้คำว่าโลกุตระเพราะว่าคำว่าโลกุตระเก็บละเอียดทุกเม็ด บวกลบคูณหารได้คำตอบเป็นผลลัพธ์อย่างนี้ ซึ่งมันไม่ใช่ความรู้ที่ง่ายๆที่จะบอกว่าประชาธิปไตยอันไม่ยึดมั่นถือมั่น
          ไม่ว่าจะเป็นการยึดมั่นถือมั่นในตำราทฤษฎีและไม่ยึดมั่นถือมั่นในความไม่เที่ยงเป็นความเที่ยง เหมือนว่าจะยึดมั่นถือมั่นความไม่เที่ยงใดๆ ขณะนี้วินาทีนี้มันก็เดินไปเรื่อยๆใช่ไหม กาละไม่เคยหยุดเดิน เห็นความยิ่งใหญ่ของความไม่เที่ยงขนาดไหน อาตมาจึงเห็นใจคนที่มองไม่ทะลุรายละเอียดพวกนี้เพราะเขายังยึดถือความเที่ยงของเขาที่เขาเก็บรายละเอียดยังไม่หมด แล้วเขาก็ยืนยันว่าอย่างนี้เป็นอย่างนี้ ส่วนอาตมาว่าอาตมาเห็นความละเอียดละออของสัจธรรม ซึ่งอาตมาไม่เก่งพอจะหยิบเอาความรู้ที่มันเป็นนามธรรม ที่เป็นอรูปมาเป็นสมมุติธรรม รูปธรรมที่จะสื่อให้ฟัง

แต่ขอยืนยันว่า บอกไว้ก่อนเลยว่าถ้าถึงคราวจริง อาตมายังจะนำทัพออกไปอีกเหมือนกัน รอดูถ้าถึงขีดเขตที่สมควรจริงๆ นอกจาก อาตมาได้ความลึกซึ้ง ได้ความลับที่ไขออกมาว่า ที่จริงพลเอกประยุทธ์นี้ซ่อนพรางความผิดพลาด ซ่อนบังความไม่ดีไม่งามไว้จริงๆ มีปริมาณมากพอ  ซึ่งไปตรวจแล้วพลเอกประยุทธ์ข้อบกพร่องนั้นไม่มี จะมีข้อความบกพร่องส่วนตัวที่จะกลบเกลื่อนความไม่สมบูรณ์ที่พลเอกประยุทธ์ทำงานอยู่อย่างเห็นใจเลยอย่างเข้าใจเลย ซึ่งเขาบอกว่ายังล้มล้างไม่ได้ ยังอีกไกลด้วย ซึ่งไม่ใช่ไม่มีความบกพร่อง แต่ความบกพร่องนั้นน้อยมาก เป็นสิ่งที่เหมาะสมกับ กาละ ปัจจุบันชาตินี้ ขณะนี้ status quo ขณะนี้

ซึ่งอาตมาก็มองอย่างภูมิปัญญาของอาตมานะ เพราะอาตมาเอง ขออภัยที่ต้องพูดอีกนิดนึง ไม่ใช่อาตมาไม่เคยบริหารประเทศ ในชาติที่ผ่านๆมา ชาติก่อนๆ อาตมาเคยเป็นพระเจ้าแผ่นดินมาแล้ว เคยบริหารอย่างพลเอกประยุทธ์มาแล้ว ขออภัยที่พูดในสิ่งที่ไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยันให้พวกคุณ แต่มันก็มีเหมือนกันแต่ยังไม่อยากพูดยืนยันชื่อคนในประวัติศาสตร์เราทำอะไรไว้มากมาย แต่คนที่ทำตามอยู่ก็พอรู้พอเข้าใจ

เพราะมันมีร่องรอยของความเหมือน ของความซ้ำ เอามาใช้ได้ซึ่งมันมีอยู่ ติดตามดีๆและพิจารณาดีๆเถอะ แม้แต่ในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยนี้ก็ทบทวนให้ดีเถอะ

สรุปแล้วมันยังไม่จบเรื่องกรรมกับกาละ กรรมที่พลเอกประยุทธ์ประพฤติอยู่ กับกาละจะต่อเนื่องไป ก็ยังสรุปไม่ได้ว่า จะเป็นอย่างไร

สู่แดนธรรม...ส่วนที่บกพร่องพ่อท่านก็เห็นอยู่

พ่อครูว่า... แต่ไม่สามารถเอาลบล้างสิ่งดีสิ่งที่ถูกต้องประเสริฐยังล้มล้างไม่ได้เลย ยังไม่คู่คี่ด้วย ยังไม่สมส่วน

สองคนยลตามช่อง ก็ยังไม่มีใครตัดสิน สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหาร มันก็ต้องใช้คำพังเพยนี้ ตอนนี้สงครามยังไม่จบอย่าเพิ่งนับศพทหารว่าใครจะมากจะน้อยกว่ากัน

 

 

ตายเสียดีกว่าต้องละเมิดในศีล

_หมู ปาณา : วันเสาร์ที่ 31 ก.ค.64 ได้ฟังคำเทศน์ของทางเดินดิน บอกว่าให้แจ้งผลมาบ้าง เลยปฏิบัติตามค่ะ

ทานมังสวิรัติได้ 11 ปีแล้ว แต่ทำตามลำดับ จึงเลิกทานไข่แค่ 7 ปี ขอถามคำถามค่ะ

1.เราต้องยอมเสียชีวิตเพื่อรักษาศีล แต่มีคนเคยบอกว่าถ้าเราไม่สบายก็ทานได้ ขนาดพระอรหันต์ป่วยยังทานเพื่อรักษาชีวิตได้เลย จริงหรือเปล่าคะ

พ่อครูว่า...ก็จริง แต่อย่าพาซื่อ เราต้องรักษาชีวิตเพื่อศึกษา เพื่อทำงานต่อ แต่ผู้ที่รู้ดีว่าถ้าจะละเมิดศีลนั้นขอตายดีกว่า ผู้นั้นเข้าใจเรื่องตายเรื่องเกิดที่แล้ว ก็ไม่มีปัญหา แต่หากคุณยังเข้าใจเรื่องตายเรื่องเกิดยังไม่ดี แน่นอนคุณต้องเอาชีวิตไว้ก่อน คุณยังไม่ยอมตายหรอกใช่ไหม คุณต้องกินเนื้อสัตว์ลงไป หรือกินไข่ก็แล้วแต่ แต่ถ้าเผื่อว่าผู้ที่ชัดเจนอยู่แล้วไม่ต้องไปกินถึงขนาดนั้นให้ตายก็ตาย แต่ถ้าคุณกินเสร็จแล้วเกิดมาอีกก็ไม่ได้ดีกว่าเก่า คุณกินเนื้อสัตว์แล้วมันก็ต้องตายสักวัน แล้วเกิดมาก็มีอกุศลเพิ่ม มันจะไปดีกว่าเก่าได้อย่างไร คุณกินเนื้อสัตว์ต่อไป ยิ่งเกิดมาก็จะยิ่งแย่ลง พูดชัดเจนอย่างนี้แล้วจะไปกินทำไม ตายซะดีกว่า เกิดมาอีกชาติใหม่ก็เจริญขึ้น เกิดชาติต่อๆไปก็จะเจริญขึ้น

2.เป็นจิตอาสาสขจ.สันติ ยังไม่ได้อยู่วัด จึงยังเห็นไข่เจียวไข่ดาว แล้วเช็คดูว่ายังติดรูปอยู่ ขอถามค่ะว่าสภาวะอยู่ที่ฌานไหนแล้วคะ

สู่แดนธรรม... อยู่ชานบ้าน
         
พ่อครูว่า... ฌานคือพลังงานไฟล้างกิเลส คุณถามมาเรื่องไข่เจียวไข่ดาว คุณก็ต้องวัดอาการของคุณว่าติดมากติดน้อยขนาดไหน ถ้าคุณติดมากก็ตอบของคุณเอง ว่า ยังไม่มีฌาน จะไปสลายความติดแน่นเลย ก็พอจะบอกตัวเองได้บ้าง มันจะรู้ว่าตัวเองติดหนัก ติดแรง ติดอย่างว่างเว้นไม่ได้ หรือติดมันก็ไม่แรงว่างเว้นได้ คุณก็จะรู้ตัวเอง อาตมาว่านะ พอรู้น่ะค่อยๆไป ดีแล้วหัดอ่านความจริง คุณจะดูอาการมากน้อยหนักเบาอะไรเองได้จริงๆ

 

หมากพลูไม่น่าติดได้เท่าไข่ดาวไข่เจียว

_3.รู้เห็นจิตตัวนี้อยู่นานแล้ว วันนึงก็นึกว่าเราได้แต่เห็นยังไม่ฆ่าสักที ให้เหตุผลว่าเดี๋ยวไม่หมดถ้าไม่รีบทำ แต่ก็ยังอยู่ฆ่าไม่ตาย พยายามหาเหตุผลว่าเพราะอะไร จนวันนี้เพิ่งรู้ว่าเราติดปิติที่เราได้รู้ว่าเราเห็นจิตที่ติดรูป จึงแก้แบบที่ท่านสมณะท่านสิกขมาตุสอนว่ารูปก่อนหน้ามันเป็นยังไง นึกได้ว่าตอนเป็นฟองไม่เห็นรู้สึกเลย ก็คิดว่าน่าจะดีขึ้น ขอถามว่าเรื่องติดปิติเป็นแบบนี้ใช่ไหมคะ

กราบขอบพระคุณพ่อครู ท่านสมณะ และท่านสิกขมาตุที่ให้ความเมตตาตลอดค่ะ

พ่อครูว่า...มันมีส่วนของปิติ แต่ไม่ใช่แกนแท้ แกนแท้คือติดรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสติดกามคุณ 5 ของไข่ดาวไข่เจียวนั่นแหละ มันไม่ใช่อย่างอื่นหรอก มันก็เป็นการติดกามคุณ 5 ของรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ของไข่ดาวไข่เจียวคุณนั่นแหละ เพราะฉะนั้นรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสคือกามคุณ 5 จึงเป็นเรื่องสำคัญมาก เป็นอาการติดยึดอันนึง ใน 3 เรื่อง 1. เรื่องสัตว์ 2. เรื่องของเรื่องวัตถุที่คุณติดยึด 3. เรื่องรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส เป็นกามคุณ 5

นี่แหละคุณจะต้องรู้จริงๆเลยว่ารูปก็ดี เสียงก็ดี รสก็ดี กลิ่นก็ดี มันติด ถ้าหากคุณไม่รู้การติดแล้วคุณก็ออกไม่ได้ มืดบอดเหมือนอย่างสายมหาบัวที่ยังติดมากติดพลู ไม่รู้กามรุณ 5 เต็มรูปอย่างนั้น ทั้งที่หมากพลูไม่น่าติดเท่าไข่ดาวไข่เจียวของคุณ ซึ่งหมากพลูมันร้ายแรงสกปรกเลอะเทอะ ไม่ได้เป็นเรื่องชี้ชวนใจอะไรเหมือนไข่ดาวไข่เจียวด้วยซ้ำไป สำหรับหมากพลู แรงก็แรง ฉุน รสชาติมันเรื่องตรงกันข้ามกับ romantism มันซับซ้อน

ถ้าคนติดลักษณะหอมหวาน มันก็ต่างกับขื่นขม แต่ไปติดขื่นขมที่ไม่น่าติด หากติดหวานก็ดูค่อยยังชั่ว แต่นี่ติดขื่นขมก็เป็นซาดิสซึ่ม เป็นการเจ็บปวด เป็นการทุกข์ทรมานและรักทุกข์ ติดทุกข์ เสพติดทุกข์ ถ้าหากเสพติดในความสุขก็ยังพอเข้าใจ แต่นี่ไปเสพติดความทุกข์มันจะนานขนาดไหนนี่ ถ้าจะพ้น ความสุขนั้นควรจะเลิกก่อน สุขก็ยังพอทำเนา ใครก็รู้กันทั่วเป็นสามัญ แต่นี่ดันไปติดความทุกข์ เป็นความทุกข์เป็นความสุขกลับหน้าตัวเองอีก

สู่แดนธรรม... หากความทุกข์ไม่ถึงก็ไม่ใช่อีก

พ่อครูว่า... เช่นวันนี้ทำไมยาฉุนไม่ฉุนเลย ซึ่งมันสลับไปซับซ้อนความชอบกับความไม่ชอบ มันสลับไปสลับมาไม่รู้กี่ชั้น ถึงยากที่จะเข้าใจถึงยากที่จะถอดถอนออกมาได้ เพราะฉะนั้นคนที่ยังติดแค่หมากพลูนั้นไม่รู้ว่ามันเป็นของอสุภะ

 

คนติดหมากทำให้โลกวุ่นวายได้

_กราบนมัสการค่ะ มีคนบอกหนูว่าโลกยุ่งวุ่นวายเพราะคน (คนแปลว่าทำให้ยุ่ง) หนูเลยสงสัยว่าในเมื่อมีคนแล้วโลกยุ่งวุ่นวาย แล้วทำไมต้องมีคนคะ ?

พ่อครูว่า... เราต้องอ่านที่ตัวเราเอง เราก็เป็นคนๆหนึ่ง เราก็เป็นตัวทำให้ยุ่งทำให้วุ่นอยู่ในโลก ก็อ่านความจริงที่มันยุ่งและวุ่นคืออะไร แล้วดูว่าเรานี่แหละไปทำความยุ่งความวุ่นหรือไม่ ก็เลิกให้ได้ รู้ความจริงว่าเราทำให้วุ่นทำให้ยุ่งอย่างไร เมื่อเลิกความยุ่งความวุ่นนี้ได้คุณก็จะได้คำตอบเองว่าคือเราเองทั้งนั้นแท้ๆ เราก็เป็นคน แล้วมีอาการตัวยุ่งตัววุ่นนั่นแหละ ซึ่งมันบอกตัวอย่างตายตัวไม่ได้ มันมีตั้งแต่เล็กจนถึงอยาบที่สุด แล้วเราก็ติดยึดและทำเรื่องนั้นอยู่ โดยที่เราเองทำเรื่องนั้นขึ้นมา แล้วเราเองทำเรื่องนั้นขึ้นมา เราก็ไม่รู้ว่าเราทำความยุ่งทำความวุ่น

ขอยกตัวอย่าง เช่น มหาบัวกินหมากนี่แหละทำให้ตัวเองยุ่งตัวเองวุ่น แล้วก็หลอกคนอื่นว่าหมากพลูที่กินไม่ใช่สิ่งเสพติด หลอกเขา ว่ามันไม่ใช่สิ่งเสพติดไม่ใช่กามคุณ 5 หลอกลูกศิษย์ลูกหา หลอกคนที่ไปหลงนับถือบูชา มันก็เลยเติมความวุ่นความยุ่ง เพราะมันไม่ใช่สัจจะ มันเป็นอสัจจะ มันเป็นเรื่องผิด ก็เลยทำความยุ่งเพราะเอาความผิดมายืนยันว่าถูกแล้วคนก็หลงเคารพนับถือว่าท่านต้องถูก เพราะท่านเป็นอรหันต์ เรื่องนั้นท่านว่าไม่ใช่ก็เชื่อท่าน ที่จริงแล้วไม่ควรจะให้ยุ่งให้วุ่นเลยควรจะเลิกรา

เพราะฉะนั้นคนที่เป็นตัวอย่างและยืนหยัดยืนยัน จนกระทั่งทำให้คนอื่นเขายอมรับนับถือเชื่อถือ แล้วก็ยังยืนยัน มันก็เท่ากับเป็นนักมายากล นักมายากลที่หลอกคนอื่นจนเชื่อสนิทว่าคนนี้ทำได้จริง แต่เป็นมายา จนคนอื่นเชื่อว่าเขาทำได้จริง โลกก็กลับตาลปัตรไปเชื่อความผิดว่าเป็นความถูก แล้วโลกที่สรุปลงมาเหลือคุณยังยึดมั่นถือมั่นความผิดว่าเป็นความถูก แล้วเมื่อไหร่มันจะได้ถูกสักที เมื่อไหร่มันจะเดินทางไปในสิ่งที่ถูก

จึงสรุปลงไปที่จุด 2 จุดคือถูกกับผิดแล้ว มันยาก เพราะการจะเดินทางสู่จุดที่ถูกแท้จริง คือสัจจะมีหนึ่งเดียว

 

อาริยบุคคล 9 เป็นเช่นนี้

_จากผู้ใหญ่สันติอโศก...ได้อ่านหนังสือเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2 ในหน้า 124 บรรทัดสุดท้ายของข้อ 134 เจอคำว่าโลกุตระ 9 และ อาริยบุคคล 9 เขาสงสัยว่า ปกติอาริยบุคคลมี 8 เขาถามว่าอาริยบุคคลที่เพิ่มเข้ามาคนที่ 9 นี้คือใคร? ครับ

พ่อครูว่า... ก็คนที่มีนิพพาน คนที่เป็น โสดาปัตติมรรค, โสดาปัตติผล, สกิทาคามีมรรค, สกิทาคามีผล, อนาคามีมรรค, อนาคามีผล, อรหัตมรรค, อรหัตผล รวมเป็น 8 ก็มีอาริยบุคคล 8 กับนิพพานอีก 1

อาริยบุคคลคือบุคคล นิพพานคือสภาวธรรม รวมกันแล้วก็มีอาริยบุคคล 8 รวมกับสภาวธรรมที่ชื่อว่านิพพาน ก็เป็นตัวจบของอาริยบุคคล อาริยบุคคลต้องทำนิพพานให้เที่ยงแท้อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ) นี่เป็นเครื่องสำทับสัจจะความเป็นนิพพานของพระอรหันต์อย่างแท้จริง

สรุปแล้ว อาริยบุคคล 8 กับ นิพพาน 1 เป็น 9 แล้วอาริยบุคคล 9 นี้มีโลกุตระรรม 1-8

คือ โสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามีมรรค สกิทาคามีผล อนาคามีมรรค อนาคามีผล อรหัตมรรค อรหัตผล รวมเป็น 8 นิพพานก็นับเป็นโลกุตรธรรมอีก 1

สู่แดนธรรม... ถ้าหากนิพพานไม่มีในบุคคลแล้วใครจะพิสูจน์นิพพาน

พ่อครูว่า... ไม่มีอะไรอย่างอื่นพิสูจน์นิพพานได้นอกจากคน เมื่อนิพพานนี้ดับได้สูญได้ ทำให้ไม่เกิดอีกได้อย่างแท้จริงคือนิพพาน

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

พ่อครูว่า... สภาวะกับพยัญชนะต้องอาศัยกัน อาตมาต้องอาศัยพยัญชนะสื่อสารให้คุณได้ปฏิบัติให้มีสภาวะ จะรู้ว่าอาการของสภาวะเป็นอย่างไร ด้วยตนเอง พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าให้รู้สิ่งอย่างนี้มันมีอาการ มันมีเครื่องหมาย ภาษาบาลีหรือบัญญัติบอกว่า อาการกับนิมิต เครื่องหมายคือนิมิต อาการคือความเคลื่อนไหวกิริยาของมัน ไม่เป็นนามธรรมก็มีอาการมีกิริยามีความเคลื่อนไหวของมัน แล้วความเคลื่อนไหวนี้ก็อย่างหนึ่ง นิมิตก็อย่างหนึ่ง ความเคลื่อนไหวเป็น Dynamic นิมิตเป็น Static

จะมีพลังงาน 2 สภาพคือบวกกับลบหรือ Dynamic กับ Static เรียนรู้พยัญชนะสำคัญคือคำว่า เทว อะไรๆก็เรียนรู้ 2 นี้จบเลย แล้วรู้ว่า 2 นี้แยกทุกอย่างได้หมดจริงๆจนจบ จะเทียบเคียงเมื่อ 2 จะสลับไปสลับมาก็ชัดเจนทุกเหลี่ยมมุม

 

_ยายติ๋ว จากสัตหีบ : โทรมาขอบคุณพ่อครู สมณะ  สิกขมาตุ และชาวอโศกทุกคน  ที่ทำให้ยายได้ชีวิตใหม่  เมื่อได้อ่านหนังสือ ดูทีวี  ของชาวอโศก มาเป็นเวลา 10 ปี แม้จะทิ้งครอบครัว มาวัดไม่ได้  แต่ยาย ติดตามตลอดเลย  พาลูก และครอบครัวกินมังสวิรัติทั้งบ้าน  ตอนนี้อายุ 75  ติดตามดูบุญนิยมทีวีตลอดค่ะ  คุณยายขอฝากความถึงพ่อครูให้ยายด้วยนะคะ ยายซาบซึ้งในความเป็นคนอโศก   ขออนุโมทนาอยู่ทางบ้าน ชีวิตนี้ไม่คิดว่ายายจะได้เจอธรรมะแบบนี้   ยายคิดว่าตัวเองโชคดีที่สุด  (ยายร้องไห้ เป็นพักๆ)

พ่อครูว่า...นี่แหละมันก็คือการซาบซึ้งดีใจ Fมันก็ทำให้ร้องไห้น้ำตาไหล น้ำตาแห่งความปิติ ยินดี

SMS วันที่ 1 ส.ค. 2564

 

อิตใช้สัญญากำหนดรู้ตั้งแต่ต้นจนจบ

_ฝากบุญเกื้อ รมยาสัย : น้อมกราบนมัสการ บูชาพ่อครู ท่านสมณะ ท่านสิกขมาตุด้วยความเคารพยิ่งค่ะ ลูกขอรายงานผลให้พ่อทราบค่ะว่า หลังจากที่ลูกได้รับฟังที่พ่อตอบคอมเมนท์ของลูกในวันที่ 21 พ.ค พ่อตอบว่า ก็เลิกให้ได้ซะทีสิ(สักกาย กายกลิทีลูกติดข้องอยู่ในถ้ำ)จากวันนั้นทำให้ลูกมีความตั้งใจอันแน่วแน่ว่าจะทำให้ได้เพื่อบูชาพ่อครูในวันที่ 5 มิย.อายุพ่อเข้า 88 ปี พอตั้งจิตไว้อย่างนี้เหมือนปาฎิหาริย์อาการจิตของลูกมันว่างเบาโล่งโปร่งสบาย เหมือนกิเลสตัวนั้นมันหลุดหายวิ่งหนีเข้าป่าไปเลย ลูกก็ตรวจสอบกระทบสัมผัสกับมันกามภพก็ไม่เกิดอยากเสพพอตรวจสอบรูปภพโดยการใช้สัญญากำหนดปั้นปรุง ก็ไม่เห็นมีอาการอยากเสพ ตรวจไปถึงอรูปภพก็ไม่เห็นมันวับ ๆ แว้ป ๆ พริ้วแผ่วมาให้เห็นจนถึงวันนี้ ลูกก็เห็นอาการปิติสุขแต่มาจนถึง ณ ตอนนี้ลูกก็ไม่สุขไม่ทุกข์กับกิเลสตัวนี้อีกแล้วค่ะ และลูกก็จะทำตัวอื่น ๆ ต่อไปค่ะลูกขอน้อมกราบขอบพระคุณพ่อครูด้วยความเคารพบูชาสุดเศียรเกล้า และขอบน้อมกราบขอบพระคุณผู้นำคอมเม้นท์ให้พ่อได้อ่านมันเป็นพลังยิ่งใหญ่ให้ลูกทำได้ค่ะ

พ่อครูว่า... ที่ว่า การใช้สัญญากำหนดปั้นปรุง แต่สัญญาคือเครื่องกำหนดรู้ แล้วคุณกำหนดรู้หรือกำหนดปั้นปรุง ถ้าหากกำหนดปั้นปรุงไม่ใช่สัญญา ถ้าหากปั้นปรุงมันคือสังขาร คุณปั้นปรุงแต่งขึ้นมามันคือสังขาร แต่ถ้าหากคุณใช้สัญญากำหนดรู้สังขารก็ได้ แต่นี่คุณใช้สัญญากำหนดปั้นปรุง คุณกำหนดผิดแล้ว

สู่แดนธรรม... เขาอาจเทียบว่ากามภพเขาผ่าน แต่ไปตรวจสอบรูปภพ เขากำหนดว่าเอาสัญญามาปรุง

พ่อครูว่า... สัญญาไม่ใช่การปรุงแต่ง ที่บอกว่าเอาสัญญามาปรุง มันก็ถูกภาษาไทย ปั้นปรุงเป็นภาษาไทย สัญญา เป็นบาลี แต่บาลีสัญญาไม่ได้แปลว่าปั้นปรุงมันก็ผิดสิ

ควรบอกว่า เอาสัญญาไปกำหนดรู้การปั้นปรุง

ซึ่งรูปภพหรืออรูปภพไม่ใช่การปรุง การปรุงคือการสังขาร ส่วนการกำหนดรู้คือสัญญา มันไขว้กันอยู่ เป็นสิริมหามายา

คุณไปกำหนดรู้ โดยไปเข้าใจผิดว่าสังขารคือสัญญา ซึ่งตัวสัญญามันไม่ใช่ตัวปรุงแต่ง ที่คุณปรุงแต่งแล้วหลงในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส คุณก็ต้องไปกำหนดรู้รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่คุณสังขารคุณปรุงแต่ง แล้วคุณก็ต้องมีการรับรสในการปรุงแต่งอย่างนั้น

ที่สำคัญมากที่สุดคือตัวเวทนา ต้องมากำหนดว่ามันมีรสแท้หรือรสเทียม(รสเก๊)

ก็พอเข้าใจว่าคุณฝากบุญเกื้อ กำลังศึกษาได้ละเอียดลงไปพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นสัญญาหรือสังขารลงไปหาสภาวะเรื่อยๆ แต่มันยังละเอียดลอออยู่

คำว่าไม่อยากเสพของคุณเป็นคำตัดสิน ที่คุณเข้าใจคำว่าไม่อยากเสพ อยากคือตัณหา มีตัวละครอีกอันคือตัณหา คุณต้องแยกให้ชัดว่า ความไม่อยากเสพในสิ่งที่ปรุงแต่งขึ้นมาแล้ว

ไม่อยากเสพ ตัวสัญญาเป็นตัวสุดท้ายในการทำงานกำหนดรู้ทุกอย่าง ตอนนี้คุณ กำหนดตัวสังขารปรุงแต่ง คุณเข้าใจตัณหากับสังขารให้ได้ก่อน สังขารคือคุณปรุงแต่งขึ้นมา ส่วนสัญญาต้องฝึกให้มันรู้สังขาร คุณว่าคุณไม่อยากในสังขารนี้ สังขารอันเป็นไข่เจียวหรือไข่ดาวของคุณ คุณว่าคุณไม่อยาก จริงหรือ คุณไม่มีตัวอยาก

เมื่อคุณเสพสัมผัสเกิดรสชาติ อันนั้นเป็นเวทนา เป็นรสชาติที่จริงคือรสชาติคาวๆอย่างไข่ดาวไข่เจียวเป็นรสแท้ แต่มันมีรสเทียมประกอบว่า ดีนะ อร่อยนะ ชอบนะ นี่พูดถึงคุณติดอยู่ แล้วคุณก็บอกว่าไม่มีอร่อยนะ

คุณทำได้ขนาดหนึ่งแล้วทำให้ละเอียดต่อไปนะ อาตมาตีความตามภาษาที่คุณให้มา แต่สภาวะของคุณต้องให้ตรงและชัดอย่าให้สับสน ในพยัญชนะที่บอกว่าตัณหาก็ดี เวทนาก็ดีสังขารก็ดี สัญญาก็ดี กำหนดให้แม่น

ตัณหาคือความอยาก เวทนาก็คือรส โดยเฉพาะรสแท้ รสเทียม เวทนาจะมี 2 สังขารก็ปรุงแต่งกันเป็นรูปไข่เจียวไข่ดาว ก็เหลือแต่เวทนา คุณต้องใช้สัญญากำหนดรู้ในเวทนา เจาะลงไปให้มั่นให้แม่น แล้วจริงๆคุณกำหนดรู้ว่า ขณะนี้อาการของรสมันมี 2 คุณบอกว่าไม่มีแล้วไม่มีคือเวทนาเก๊ จริงหรือเปล่า เหลือแต่เวทนาแท้ ไข่ดาวมันก็มีรสอย่างนี้ ส่วนรสชาติที่มีความชื่นชอบชื่นชมอร่อยนี่คือลักษณะของคุณติดอยู่ มันมีไหม คุณต้องอ่านอันนี้ให้ละเอียด ถ้ายังมีมาก ยังมีกลาง หรือยังมีน้อย นี่คุณใช้คำว่าไม่มีแม้แต่ อรูปเลยนะ

อาตมาก็ตั้งใจอธิบายรูป 28 นาม 5 ในรูป 28 โดยเฉพาะอุปาทายรูป 24 คุณก็จะชัดเจนขึ้นว่าอยู่ในสภาวะใด โดยเฉพาะ อุปาทายรูป 24 นี้ยังยากอยู่

 

คุณประโยชน์ของสมุนไพรไทย

_ตรงเตือน นาวาบุญนิยม : เป็นความโชคดีของคนไทย ที่มีสมุนไพรช่วยลดความรุนแรงของโรคโควิด 19 มีแสงแดด ที่ทำให้ปรับความสมดุลของร่างกายให้แข็งแรง แม้เจ็บป่วยมาก็แก้ไขได้ทันก่อนเชื้อลงปอด กราบขอบพระคุณท่านผู้รู้ทางสมุนไพรไทยค่ะ

พ่อครูว่า...นี่ก็เห็นคุณค่าประโยชน์ของสมุนไพรไทย อาตมายังเชื่ออยู่ว่าเมืองไทยเป็นโซนที่มีพืชพันธุ์ธัญญาหารอันยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้นจะเป็นอาหารหรือยาก็ดี เกิดจากสมุนไพรจะยิ่งใหญ่ต่อไปในอนาคต ได้พูดและย้ำไปแล้วและขอย้ำอีกว่าพัฒนากันต่อไป ให้คุณภาพดีขึ้นเรื่อยๆ สมุนไพรไทยพืชพันธุ์ธัญญาหารไทยให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เราจะได้ช่วยโลกด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร

สารสกัดทางเคมีทั้งหลาย มันสกัดจากทั้งวัตถุดินน้ำไฟลมและพืชพันธุ์ธัญญาหาร แม้แต่สัตว์ก็เอาไปสกัด จากสัตว์ก็ไปเป็นพืช จากพืชก็ไปเป็นสสาร ไปเป็นวัตถุอีกที เพราะฉะนั้นจะต้องใช้วัตถุและพืช ในระดับพืช เป็นหน่วยของสารสกัดระดับนึง เอาไปใช้เป็นพืช ยังไม่ถึงขั้นสกัดลงไปให้แข็งแน่นเป็นดินน้ำไฟลม พืชยังไม่ใช่ดินน้ำไฟลม แต่ต้องใช้ 2 อย่างเสมอ ดินน้ำ ถ้ามีแต่น้ำไม่มีพลังงานชีวะอะไรเลย มันก็จะเปลี่ยนแปลงจากดินเป็นน้ำ และอีกคู่เป็นไฟกับลม หรืออากาศเป็นแก๊ส ไฟเป็นพลังงานเหมือนอากาศ ลมก็เป็นพลังงานเหมือนอากาศ ส่วนน้ำกับดินนี้ เป็นพลังงานที่จับตัวกันเป็นวัตถุเป็นสสาร ดินกับน้ำ ส่วนไฟกับลม เป็นพลังงานที่ไม่จับตัวกันเด่นชัดเหมือนกับดินและน้ำ

ทุกอย่างสรุปลงที่ 2 ทั้งนั้นแล้วสลับไปสลับมา

 

_สว่างแสงบุญ บุญสุข : โคคลานน่าจะเป็นโพธิ์คลาน เพราะใบคล้ายใบโพธิ์ แล้วเป็นเถาเลื้อย เสียงทีเรียกโคคลานอาจเพี้ยนเสียงไปก็ได้นะ เป็นความคิดของดิฉันเองน่ะค่ะ

 

_Judy Kungval (จูดี้ คุงวาล) : this clip is so interesting, so valuable. I really appreciated , from LA fc. There are so much valuable information about Thai Herbs which I had never known before. OMG, so amazing. Banana leaves, really? I have so many banana trees in my backyard in Los Angeles. thank you sooooo much. from Los Angeles

ขอแปลว่า...

ดิฉันชื่นชมจากลอสแองเจลิส รายการเมื่อวานนี้ มีคุณค่าน่าสนใจมาก มีการนำเสนอสรรพคุณของสมุนไพรไทยซึ่งไม่เคยได้รู้มาก่อนเลย โอมายก็อด สุดยอดเลย โดยเฉพาะใบตอง ที่หลังบ้านดิฉันก็มีต้นกล้วยหลายต้น ..ขอบคุณมากๆๆๆๆๆค่ะ

พ่อครูว่า...

 

โคลง ความสุขที่ยิ่งใหญ่และยั่งยืน(ปีใหม่ มกราคม 2551)

 

ขอ..ให้พิศพินาศหล้า                โลมสมัย

ความสุข..โลกีย์ไฟ                            ยุคนี้

ที่ยิ่งใหญ่.. คือ ภัย                            โลกียสุข

และยั่งยืน..อยู่                      ทุกข์ให้ทนเห็น

 

จง..เป็นคนอย่าไร้                   บุญใจ

มี..แต่ชีวิตไป                        ไป่รู้

แต่..ชาติกษัตริย์ไย                            บ่ตระหนัก ใดฤา

มวลมนุษย์ชาติ..ทู้                           ทู่ซี้สุขหลง

 

ความสุข..พงศ์หนึ่งนั้น              โลกียรส

ที่..ปุถุชนติดหมด                              ทั่วถ้วน

ยิ่งใหญ่..จะละลด                              ยากสุด สุดเฮย

และยั่งยืน..หลอกล้วน               จึ่งต้องศึกษา

 

คือ..หาทางจรณะสร้าง               ภูมิธรรม

โลกุตรสุข..สำ                       เร็จรู้

ปรมังสุขัง..นำ                       มนุษย์สู่ สันติแล

ยิ่งใหญ่ยั่งยืน..ผู้                    สุขได้ยืนยัน

 

สไมย์ จำปาแพง  มกราคม 2551

 

ปรมังสุขังนำสันติมาสู่โลก

พ่อครูว่า...ปรมังสุขัง ที่จริงคือสุขที่หมดสุขหมดทุกข์ คือขออาศัยพยัญชนะสุข แทนคำว่า ไม่สุขไม่ทุกข์ ผู้มีสภาวะจะไม่งง แต่ผู้ไม่มีสภาวะจะงง ถ้าคุณจะมีภาวะที่คุณอาศัย ว่าง สุข

สุ คือดี ข คือว่าง หรืออากาศ ดุจท้องฟ้าเวิ้งว้าง นี่แหละดี มันอุเบกขาไม่มีสุขไม่มีทุกข์แล้ว เกินกว่าสุขกว่าทุกข์ไปอีก

อุเบกขาคือ เป็นสภาวะ ความสะอาดปราศจากกิเลส ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา เป็นธาตุ 5 อัน สะอาดบริสุทธิ์จากกิเลส จิตที่ว่างจากกิเลสนี่แหละ จิตเหมือนอากาศเหมือนท้องฟ้า สุข นี่แหละสุดยอด

ใครรู้ ปรมังสุขัง จะทำสันติได้ ใครมีสภาวะนี้ จะนำมนุษย์ในโลกสู่สันติ 

สุขอย่างปรมังสุขัง ไม่มีสุขไม่มีทุกข์เป็นอุเบกขานี่แหละ เป็นสุขอย่างสูญ หรือจะใช้คำว่า สุญญตสุข สุญสุข ก็ได้ สุขอย่างมันสูญๆนี่แหละยิ่งใหญ่ยั่งยืน

ความหมายของคำว่า ไม่สุขไม่ทุกข์ หรือจิตปราศจากอาการสุขอาการทุกข์แล้ว เป็นสภาวะนิพพาน เป็นสภาวะที่ผู้ปฏิบัติเข้าถึง อาการนี้ในจิต จะสัมผัสแตะต้องอะไรอยู่ในโลกไม่ว่าจะเป็น ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข คุณก็ไม่มีอารมณ์สุขทุกข์เลย หมด ลาภยศสรรเสริญเป็นโลกีย์ ใครยังมีความสุขใน ลาภ สุขเพราะยศ สุขเพราะสรรเสริญ ยาก

ลาภ ยศ สรรเสริญ บางคนก็ไม่สุขไม่ทุกข์กับ ลาภเท่าไหร่แล้ว ลาภคือวัตถุต่างๆ ทรัพย์สินเงินทอง ข้าวของ วัตถุต่างๆ ก็ไม่ค่อยจะเป็นสุขเป็นทุกข์ ไม่ค่อยนำพาแล้ว อยู่เหนือมันแล้วสบายๆ แต่ ยศตำแหน่ง หยาบ กลาง ละเอียด

ลาภ ยศ คือของหยาบ พอมาเป็นยศตำแหน่ง ยศคือรูป ส่วนตำแหน่งคือหน้าที่ ที่ต้องผูกมัดกับหน้าที่นั้นเรียกว่า ยศกับตำแหน่ง คุณก็ยังติดในยศกับตำแหน่ง ไม่กล้าปลดยศตำแหน่งของตน แล้วก็ไม่อยากทำหน้าที่นี้เท่าไหร่

คนที่มียศตำแหน่งใดตามสมมติโลก คุณต้องรับหน้าที่ตามยศตำแหน่งนั้น คนในประเทศไทย ปราชญ์เอกในประเทศไทย ยังไม่ยอมทิ้งยศทิ้งตำแหน่ง แต่ก็ทำทีว่า ไม่ได้ติดในยศตำแหน่ง บอกแล้วว่า คุณมีหน้าที่ต้องทำตามหน้าที่ยศตำแหน่งนั้น จะเอาแต่ความรู้ เอาแต่เรื่องของธรรมะ แต่คนนี้ยังมีสรรเสริญ ยังไม่รู้ตัวในสรรเสริญ หนัก สรรเสริญ ลึกซึ้งกว่ายศตำแหน่ง ไม่รู้จักสรรเสริญ​ ก็เลยไม่ยอมออกจากยศตำแหน่ง ก็ยังอยู่ในฐานรองรับ เป็นยศเป็นตำแหน่ง แล้วก็ได้รับคำสรรเสริญจากยศตำแหน่งด้วย จากสิ่งที่ตัวเองแสดงออกให้คนอื่นเขายอมรับ ให้คนอื่นเขาได้รับประโยชน์ด้วย ก็ได้รับคำสรรเสริญนั้น เป็นสุข เป็นสุขเพราะยศ ตำแหน่งสรรเสริญ ยังไม่หยุดยังไม่กล้าทิ้งยังไม่กล้าออก นี่คือสภาพซ้อนที่แยกยากมาก

เพราะฉะนั้นเจ้าตัวเองถ้าไม่มีความรู้ที่ชัดเจนจนกระทั่งต้องทิ้ง คนจะมาให้ ก็ไม่ได้เข้าไปรับเหมือนพระพุทธเจ้าบอก ออกมาจากยศตำแหน่งเป็นกษัตริย์ ไม่เอา ลาภ ยศ สรรเสริญ ท่านก็อธิบาย ใครจะว่าเราใครจะตำหนิเราก็ไม่มีปัญหาแต่ผู้ที่ติดในสรรเสริญ จะรับตำหนิทนทานได้แค่ไหน ไม่ได้ลอง เหมือนอาตมายืนยันพิสูจน์เรื่องนี้

อาตมานี่โดนหนักหนาสาหัสกับตำหนิ ขออภัยไม่ได้ยกตนข่มท่าน อาตมาก็เข้าใจในเรื่องการตำหนิ ก็ไม่ได้เป็นปัญหาหากถูกตำหนิ เขาชมก็รู้ เขาตำหนิก็รู้ แต่ผู้ที่ยังไม่กล้าออกมาจากยศตำแหน่ง เขาตำหนิอย่างหนักอย่างไรเมื่อออกจากตำแหน่งก็ไม่ได้ลองให้คนทั่วไปเห็นชัดเจนเลย มันก็เลยคาราคาซัง หรือมันก็บอกไม่ได้ ยืนยันความจริง พิสูจน์ความจริงนั้นไม่ได้อย่างนี้ เป็นสิ่งที่มีพิสูจน์ยืนยันในบุคคลในประเทศไทยขณะนี้ก็มีอยู่

จบ

 

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

640804_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5 วันพุธที่ 4 สิงหาคม  2564 ณ บวรราชธานีอโศก ชมวิดีโอได้ที่นี่ ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่น...