วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2564

640630_พุทธศาสนาตามภูมิ - อานาปานสติ 16 ขั้นตอน

 รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - อานาปานสติ 16 ขั้นตอน 
วันพุธที่ 30 มิถุนายน  2564

ณ บวรราชธานีอโศก











ดูวิดีโอได้ที่นี่
ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่นี่


สมณะฟ้าไท…วันนี้วันพุธที่ 30  มิถุนายน 2564 แรม 6 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก ตอนนี้ที่กรุงเทพฯมีการจำกัดพื้นที่ในจุดที่มีความเสี่ยงจากโรค covid คนก็เดือดร้อน เรื่องการกินการอยู่ เพราะคนไม่รู้จักลดละกิเลส ไม่ได้พบเจอสัตบุรุษ แต่พวกเราโชคดีที่ได้มาพบเจอพ่อครู พาให้พวกเราปฏิบัติอยู่ในระบบสาธารณโภคีจึงไม่เดือดร้อนเหมือนกับภายนอกเขา เป็นชุมชนมหัศจรรย์

พ่อครูว่า...

SMS วันที่ 28 มิ.ย. 2564

 

ศีล 5 พาไทยให้เป็นมหาอำนาจได้

_Took Aswin (ตุ๊ก อัศวิน) : ประชากรในประเทศไทยส่วนใหญ่เป็นชาวพุทธตามทะเบียน..ถ้าเขาเหล่านั่นเป็นพุทธบริษัท..คือ..เป็นพุทธโดยธรรม มีศีล ๕ ประเทศไทยจะเป็นมหาอำนาจและมีความสุขที่สุดในโลก..เจ้าค่ะ

พ่อครูว่า... คำพูดที่คุณตุ๊ก อัศวินพูดเป็นเรื่องจริง ถ้าคนมีศีล 5 ในประเทศอย่างทั่วถึงอย่างมากพอ ไม่ต้องเอาอะไรมากหรอกถ้าหากคนครึ่งหนึ่งของประเทศ มีศีล 5 แล้วไม่ใช่ว่าถือศีลเฉยๆ แต่เป็นผู้ที่มีศีลที่มีคุณภาพถึงขั้นบรรลุธรรมะตามศีลนั้นๆแล้วอย่างน้อยโสดาบันขึ้นไป เป็นอรหันต์ขึ้นไป ในศีล 5

ถ้าคน 50 ของเปอร์เซ็นต์ของประเทศมีศีล 5 รับรองจะเป็นมหาอำนาจ และไม่ใช่มหาอำนาจอย่างที่ชาวโลกียะเข้าใจ ซึ่งเขาเข้าใจว่าเป็นมหาอำนาจแบบยิ่งใหญ่เป็นเผด็จการใหญ่ ซึ่งเดี๋ยวนี้เขารู้แล้วว่าใช้อำนาจคำสั่งอำนาจบาตรใหญ่ไม่ดี แต่ถ้าหากจิตใจไม่ได้ล้างกิเลสจริงๆ เขาไม่รู้จักอัตตามานะ ไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้มีทฤษฎีเรียน เขาไม่เข้าใจบทบาทของจิตจริงๆที่มันมีกิเลส ตัวอัตตามานะ ที่เป็นเจ้าอำนาจใหญ่ เขาจะไม่สามารถที่จะแข็งขืนกิเลสอำนาจกิเลสได้หรอก เพราะฉะนั้นก็เป็นไปไม่ได้

ขณะนี้โลกกำลังยืนยันให้เห็นได้ว่า ประเทศที่ไม่เข้าใจโลกุตระธรรม นึกว่าตัวเองเป็นมหาอำนาจบาตรใหญ่ คำว่า บาตร ไม่ใช่คำว่า บาทนะ แต่เป็นนัยแฝงว่ากดข่ม เหยียบผู้อื่นแต่เขาไม่พูดมันหยาบก็เลยใช้ บาตร มีบาตรใบใหญ่ๆ เอาไว้ใส่เงินเยอะๆ เป็นอำนาจลาภยศสรรเสริญโลกียสุขก็เป็นโลกีย์ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นผู้ที่บรรลุธรรมของพุทธเป็นโลกุตระไม่ใช่โลกียะจึงเป็นเรื่องคนละโลกคนละอย่างกัน

เขายังไม่รู้โลกุตระที่แข็งแรงหรือเป็นหลักแหล่งแล้วว่ามีอยู่ในโลกมีอยู่ในประเทศไทยยุคนี้ขณะนี้ เพราะโลกุตรธรรมได้หมดไปจากโลกแล้ว มันเงียบมันสูญมันถูกให้เสื่อมไป ซึ่งยังไม่สิ้นยุคพุทธศาสนาโลกุตระธรรมจะยังมีแต่เชื้ออาศัยมันยังมีน้อย

พอกระตุ้นแตะต้องก็ตื่นฟื้นขึ้นมา ซึ่ง 2,500 กว่าปีผ่านมาแล้วศาสนาพุทธไม่มีโลกุตรธรรมที่เด่นชัดที่เอามาพูดได้ อาตมาต้องขออภัยที่ต้องพูดว่าตัวเองเกิดมาในยุคนี้มาทำงานศาสนา ตั้งแต่ พ.ศ. 2513 ก็ออกบวช จริงๆแล้วทำงานศาสนาตั้งแต่เป็นฆราวาสเขียนหนังสือเกี่ยวกับพุทธศาสนาเกี่ยวกับปฏิบัติธรรม ซึ่งมันมีเชื้อเดิมมา จนกระทั่ง เอ๊ะ! เราจะอยู่ดำเนินชีวิตเป็นฆราวาสอย่างนี้ไม่ใช่แล้ว รู้ตัวแล้วจึงออกมาทำงานนี้ตั้งแต่ พ.ศ. 2513

อาตมาเริ่มทำงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 อาตมาเรียนจบปี 2500 ก็ออกมาทำงานโทรทัศน์อยู่ 12 ปี อยู่ในวงการมายาวงการบันเทิง ออกมาก็มาเข้าบริษัทไทยโทรทัศน์ โดยไม่ได้ไปบรรจุที่ไหนอื่นเลย อาตมาก็ออกอากาศเป็นพิธีกรตั้งแต่เป็นนักเรียนยังเรียนไม่จบ ทำรายการเด็ก ทำรายการเยาวชน มาตั้งแต่ยังเรียนอยู่ เพราะฉะนั้นเมื่อเรียนจบแล้วก็ไม่ต้องสมัครงานให้ยาก บอกทางบริษัทไทยโทรทัศน์ ผู้อำนวยการก็บอกว่าจะทำงานเขาก็บอกให้เขียนใบสมัครมาสิ..บรรจุเลย เพราะเขาเชื่อมือแล้ว ทำงานต่อเนื่องอยู่แล้วด้วย มันเป็นไปตามธรรมไม่ได้ยากเย็นอะไร ก็ทำงานครบ 12 ปีในปี 2513

อาตมายื่นใบลาออกหลายทีแต่เขาก็ยับยั้งไว้ไม่ให้ออกจนสุดท้ายอาตมาก็บอกคุณกำจัด กีพาณิชย์ เป็นผู้จัดการโทรทัศน์ตอนนั้น บอกว่าอย่างไรอาตมาก็จะไปทำหน้าที่นี้ เขาก็พอรู้เพราะก่อนจะออกมา อาตมาปฏิบัติธรรมตั้งแต่ตอนทำงาน จนกระทั่งช่วงผ่องถ่าย รายการงานต่างๆให้คนอื่นไป ตัวเองตอนนั้นก็ผอม เพื่อนฝูงคนอื่นเขาก็รู้ว่าปฏิบัติธรรมจริงผู้บังคับบัญชาก็รู้ทั้งนั้นเขาก็ห้ามไม่ได้ สุดท้ายอาตมาก็ลาออกมา ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ไม่เอาไม่พูดมากเดี๋ยวเขาหาว่าคนแก่ชอบเล่าความหลัง

ที่อาตมาพูดเพราะต้องการฟื้นความจริงขึ้นมา ทำให้เป็นปาฏิหาริย์ของธรรมะ ฟื้นขึ้นมาก็ได้ตายไปก็ได้ เพื่อพิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้าด้วยและทำประโยชน์อันนี้ด้วยให้ได้มากที่สุด ให้ถ้วนเต็มมากที่สุดไปเรื่อยๆ จึงจำเป็นต้องทำ เพราะมันจะเป็นเรื่องที่จะต้องสืบทอดอาตมามีเรื่องที่จะบรรยาย เขียนก็ยังเขียนไปเรื่อยๆอยู่

นี่ก็หนังสือเปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 ส่วนเล่ม 3 ยังไม่ออกมา

ส่วนรวมคนจะมีธรรมะได้อย่างไร เล่มต่อไปตอนนี้เขียนได้ 800 กว่าหน้า

ยังมีหนังสือเล่มอื่นที่จะออกอีกเช่นหนังสือลำธารชีวิต ที่ออกไปแล้วมีตะลุยไฟตะไลเพลิง

จริงๆแล้วทุกวันนี้คนไม่ค่อยจะจับหนังสือ แต่ก็ไปอ่านกระปิดกระปอยอยู่ในเครื่องมือ ไม่ค่อยอยากอ่านยาวๆ แต่ก็มียาวๆอยู่เยอะ หากขยันค้นคว้า ซึ่งอาตมาเห็นว่าเป็นสิ่งดีสิ่งจำเป็นและกำลังทันสมัย อาตมาว่าทันสมัยที่สุดเลยมันเป็นแฟชั่นใหม่ที่คนยังไม่ค่อยรู้ดีกันเท่าไหร่ยังไม่ตื่นตัว

 

ทางเลือกอาหารของชาวอโศก

_จากลูก ธุลีดิน : ๑.ขอกราบเรียนถามพ่อครูเกี่ยวกับเรื่องอาหารทางเลือกของชาวอโศก  เนื่องจากเรามีทั้งสูตรเย็น(หมอเขียว) สูตรร้อน(หมอขิง)  สูตรจืด (หมอแม็คโครฯ)  สูตรเค็ม(หมอไม้ร่ม)  แต่ละสูตรก็มีความเชื่อมั่นกันว่า ของเราเท่านั้นจริง สุดยอด สูตรอื่นเป็นของว่างเปล่า

พ่อครูว่า...ต้องไปอ่านในจูฬวิยูหสูตร ถ้าต่างคนต่างยึดแล้วนี่ มันจะแย้งของฉันนี่แหละจริง ของฉันนี่ดีที่สุด ทั้งหมดมันเป็นสมมติสัจจะ แต่ปรมัตถสัจจะมันจะมีหนึ่งเดียว มีหนึ่งเดียวจะไม่แย้งกันเลย ถ้าไม่เป็นปรมัตถสัจจะที่เป็นอริยสัจ 4  หรือนิพพาน ผู้ที่มีนิพพานเป็นอรหันต์อริยสัจ 4 หนึ่งเดียวเท่านั้นไม่มี 2 นอกนั้น 2 ทั้งนั้น แม้แต่พระอรหันต์เองความคิดที่ไม่ใช่เรื่องของอริยสัจ 4 ก็แย้งกันได้ พระอรหันต์แย้งกันได้ในเรื่องโลกียะ สมมุติสัจจะ ซึ่งพระพุทธเจ้าตัดสินด้วยนานาสังวาส ต่างคนก็ต่างยึดถือพิสูจน์กันไปอะไรเป็นผลดี คนเขาก็ฟังทั้งสองข้าง ถ้าเห็นดีเห็นงามด้านไหนก็เอาด้านนั้น เป็นอิสรเสรีภาพสูงสุดเลย พระพุทธเจ้าก็สุดยอด ใครจะเป็นหมออะไรก็เลือกเอาเอง มีทั้งสูตรร้อนสูตรเย็นสูตรจืดสูตรเค็ม ไม่มีสูตรเปรี้ยวหวานมันขมสูตรเผ็ด

แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าสูตรไหนผิดสูตรไหนถูก

พ่อครูว่า...มันก็ถูกของเขาทุกสูตร มันจะเป็นหนึ่งเดียวกันเหมือนอาริยะเหมือนนิพพานได้อย่างไร นอกจากนิพพานแล้วถูกทุกคน เขาก็ถูกของเขา ส่วนใครจะเหมาะอะไรก็เอาสิ เรื่องจริงธาตุขันธ์ของแต่ละคนก็เหมาะของแต่ละคน มันเหมาะกับใครอันนั้นก็ถูก คนนี้เหมาะกับจืด คนนี้เหมาะกับเค็ม คนนี้เหมาะกับร้อน บางคนคนนี้เหมาะกับเผ็ด เอาสิ แต่รสจัดๆจ้านๆใดๆก็แล้วแต่มันยังถือเป็นโลกีย์อยู่ เพราะฉะนั้นรสจืดไปเบาบาง ลหุตา นั่นแหละจะเป็น รสที่เจริญ ถ้ามันมีรสจัดจ้านมันจะมีข้อเทียบ มากหรือน้อย หนักหรือเบา จัดหรืออ่อน อะไรอย่างนี้

_เช่น  คนที่กินซาคาฮารี ก็จะไปมองว่า พวกเราที่ยังไปทำเต้าเจี้ยวซีอิ๊วอยู่ ยังถือว่าเป็นมิจฉาอาชีวะ เพราะไปทำของหมักของดองของเน่าของเหม็น มาทำลายสุขภาพผู้อื่น  และมีความเห็นอย่างปักมั่นว่า  ถ้าต้องเลือกระหว่าง  ของหมักของดองของเหม็นของเน่า  และ เนื้อสัตว์ เราควรจะกินเนื้อสัตว์ดีกว่า  ความเห็นเช่นนี้จะถือว่าเป็นการติดอยู่ในถ้ำ หยั่งลงในที่หลงหรือไม่

พ่อครูว่า...ใช่ ถ้ายึดอย่างนี้หยั่งลงในที่หลง ไม่ว่าที่ไหนๆ ไม่ขออธิบายต่อ ยึดอันใดก็ไปอยู่ในถ้ำอันนั้น

ประเด็นของเน่ากับเนื้อสัตว์

ระหว่าง 2 อันนี้ เนื้อสัตว์กับของเหม็นของหมัก

ของเหม็นของหมักหรือจะเรียกว่าของเน่าก็ตาม มันจำเป็น กว่ากินเนื้อสัตว์ไม่เน่า เป็นเนื้อสัตว์สดหรือต้มสุกก็ตาม เพราะในความเน่า ในความหมัก มันมีวิตามิน อย่างน้อยวิตามินบี 12 อยู่ในนั้น ที่จำเป็นมากเกี่ยวกับสมองโดยตรง เพราะฉะนั้น

1. ถ้ากินพืชพันธุ์ธัญญาหารหมักเน่าหรือถั่วเน่า อันนี้ก็ไม่เกี่ยวกับวิบากกรรม แต่ที่คุณไปกินเนื้อสัตว์ หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย คุณจะมีวิบากกรรมกับสัตว์ไม่มีทางเลี่ยง แต่กินของหมักจะว่าของเหม็นของเน่าก็ตามใจ มันไม่มีวิบากพวกนี้ แล้วมันได้บี 12 แน่นอน ที่เป็นของจำเป็นของสมอง อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้นอาตมาให้ความเห็น ก็ว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์ จะเป็นเนื้อสัตว์สดเนื้อสัตว์หมักดองอะไรก็ตามแต่ เนื้อสัตว์ทั้งหลาย เพราะมันเป็นเรื่องวิบากที่แท้จริง ซึ่งเป็นเรื่องยาวนานมากนะวิบาก นี่สำหรับอาตมาก็อย่างนั้น

 

_เพราะในคุหัตฐกสูตรระบุว่า“ภิกษุทั้งหลาย ถ้าความกำหนัด(ราคะ) ความเพลิดเพลิน(นันทิ) ความทะยานอยาก(ตัณหา) มีอยู่ในกวฬิงการาหาร(อาหารคือคำข้าว) วิญญาณก็ตั้งอยู่ งอกงามในกวฬิงการาหารนั้นได้

วิญญาณ ตั้งอยู่ งอกงามได้ในที่ใด การก้าวลงแห่งนามรูปก็มีได้ในที่นั้น

ความก้าวลงแห่งนามรูปมีอยู่ในที่ใด ความเจริญแห่งสังขารก็มีได้ในที่นั้น

ความเจริญแห่งสังขารมีอยู่ในที่ใด ความเกิดในภพใหม่ก็มีได้ในที่นั้น

ความเกิดในภพใหม่มีอยู่ในที่ใด ชาติ ชรา มรณะ ต่อไปก็มีได้ในที่นั้น

พ่อครูว่า...ตัดกิเลสสุดท้ายก็ตัดไม่ให้เกิดภพชาติที่เป็นเทวะคู่สุดท้าย ภพคือแดนเกิด เป็นตัวที่ไม่รู้เป็นตัวอาศัยเป็นตัวรูปให้เกิด กับชาติเป็นตัวนามเป็นคู่สุดท้ายเปิด เพราะฉะนั้นดับเหตุให้เกิดชาติก็จบ ภพก็ไม่มี อุปาทานก็ไม่มี ตัณหาก็ไม่มี เวทนาก็ไม่มี ผัสสะก็ไม่มี อายตนะก็ไม่มี นามรูปก็ไม่มี วิญญาณก็ไม่มี สังขารก็ไม่มี แต่อวิชชาก็ไม่มี กลายเป็นวิชชาเต็มรูปไปเลย

ชาติ ชรา มรณะ ต่อไป มีอยู่ในที่ใด เราก็กล่าวว่า ที่นั้นมีความเศร้าโศก มีความหม่นหมอง มีความคับแค้นใจ”

รวมความว่า นรชน ... เมื่อดำรงตนอยู่ ย่อมเป็นอย่างนี้

 

     หรือเป็นเพราะว่าเรามีอาหารหลายๆสูตรให้เลือกมากเกินไป  จนลืมสูตรของพระพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ว่าให้บริโภคอาหารก็เพียงเพื่อให้กายขันธ์นี้ดำรงอยู่ได้  ไม่ใช่บริโภคเพื่อเล่น  เพื่อมัวเมา หรือเพื่อประดับตกแต่งร่างกาย?

พ่อครูว่า... อย่างอาตมานี่ ฉันอาหารเพื่อดำรงขันธ์ แต่ผู้ที่มีความคิดเห็นว่าจะให้อาหารสะอาดบริสุทธิ์ที่สุดเลย ซึ่งมันจะกลายเป็นภาวะที่ไม่แข็งแรง ภาวะที่จะดีต้องมี 2 ต้องมีภูมิคุ้มกัน ต้องมีอะไรที่เป็นผู้ช่วย เรื่อง 2 นี้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ที่สุดเลย ถ้าหากขาดเป็นหนึ่งเดียวมันก็สูญหมดถ้า เพราะฉะนั้นต้องมีพ่อมาพอดี

 

การขายตรงเป็นอบายมุข     

๒. มีชาวอโศกบางคนกำลังพยายามเข้ามาชักชวนหาสมาชิกไปเป็นแชร์ลูกโซ่  ซึ่งเสียค่าสมาชิกเพียงแค่ 1,000 บาท แต่จะมีโอกาสได้เงินเป็นล้าน  เป็นโครงการที่จะเข้ามาช่วยเหลือชาวรากหญ้าให้ลืมตาอ้าปากกันขึ้นมาได้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ  จะใช้รูปแบบความเป็นชาวอโศกที่ชาวบ้านให้ความเชื่อถือ   ไปโฆษณาหาสมาชิกมาเป็นเหยื่อของระบบ  “การเงินอัจฉริยะ” (MMS)ซึ่งเป็นระบบอินเตอร์ที่เชื่อมโยงกันหลายประเทศ พ่อครูเห็นว่า  ญาติธรรมของเราที่กำลังไปเป็นเหยื่อก็ดี  หรือเป็นผู้ที่ไปแสวงหาเหยื่อ มาให้กับระบบสร้างความโลภนี้ก็ดี   จะเป็นมิจฉาอาชีวะข้อยอมมอบตนในทางที่ผิดหรือไม่ครับ ?

พ่อครูว่า...ในชุมชนชาวอโศกเวียงมาทางข้างอนาคามีแล้ว สกิทาคามีเขาก็เบาบางลงมาตามลำดับ เรื่องเงินทองเรื่องโลกียลาภยศสรรเสริญโลกียสุข เบาลงมาแล้ว อนาคามีมันกึ่งหนึ่งแล้ว ไม่หนักหน้าไปทางเงินทองข้าวของลาภยศสรรเสริญ

คนที่อยู่ในชุมชนเรา ถ้าใช้เงินมากอย่างหนักมาก ใช้เงินบ้าง ก็มีอยู่บ้างในชุมชนเราทำให้อาตมาหนักใจ ก็มีอยู่บ้างก็วิบากกรรมวิบากมัน มันก็เป็นวิบากของเขาเขาก็ยังติดยึดของเขาอยู่หาเหตุผลให้ตัวเองเพื่อให้ได้เงินก้อนโตๆมากๆ คือกิเลสมันทำงาน

คือเราต้องตั้งใจที่จะลดละหน่ายคลาย เบาบางมักน้อยสันโดษ ขึ้นไปเรื่อยๆมันถึงจะเข้าเรื่อง ไม่เช่นนั้นชาตินี้ก็หนักหน้าไปเรื่อย ยังมีวิบากที่วิ่งตามเหมือนหมาไล่เนื้อเข้ามาสมทบอีก ชาติหน้าคุณเกิดมาจะได้พบกันอีกไหม หมาไล่เนื้อมันจะไล่ทันไหม ถ้าไล่ทันคุณก็ไม่ได้พบกับกลุ่มหมู่ เสียเวลาทุกข์ทรมานไปอีกนานเลยนะ เพราะฉะนั้นจะต้องให้เป็นไปตามลำดับให้ได้สัดส่วน

มาอยู่ในหมู่กลุ่มนี้เข้าขีดของอนาคามีอนาคาริกชน บางคนพวกเราอยู่ในนี้ทำงานไม่รับรายได้เลย แต่มันยังอยากได้เขาก็พากเพียรลดละ เขาก็ไม่ก่อวิบากเพิ่ม มันก็จะได้ความลดละหน่ายคลายได้คุณธรรมเพิ่มเติมขึ้น แต่ถ้าไม่พากเพียรเลย ปล่อยให้มันเพิ่มขึ้นมันก็ยิ่งหนาๆๆ ก็ขอเตือน    

แชร์ลูกโซ่ อย่าไปเล่นเลย มันหลอกล่อเรา พวกประกันชีวิตก็ไม่ต้องทำเลย โลกมันก็อย่างนี้แหละ

เป็นมิจฉาอาชีวะแน่นอน ไปทางเสื่อมทางตกต่ำเป็นอบายมุขด้วย ขอบอกชัดๆตรงๆ

สู่แดนธรรม... MMS หมายถึง Money มหาเสื่อม มันเป็นภาษาของผมเองครับ

 

อานาปานสติ 16 ขั้นตอน

พ่อครูว่า... อานาปานสติ เป็นเรื่องของเอาลมหายใจเข้าออกเป็นที่ตั้ง เป็นเรื่องสิ่งที่ยังไม่ครบ ธาตุทั้ง 4 มี ดินน้ำไฟลม ลมได้ชื่อว่า เป็นสิ่งหนึ่งที่ยังไม่ทิ้งรูปที่เป็น มหาภูตรูป แต่โลกไม่ได้มีแต่ลม มันมีดินมีน้ำมีไฟและมีสัตว์ด้วย คุณหลับตา ที่นี้วิเคราะห์วิจัย

สำคัญอยู่ที่การหลับตากับตื่นลืมตา ประเด็นที่อาตมาพูดนี้ เพราะอาตมาอยากให้พวกผู้ที่หลับตาซึ่งมีเยอะหนาแน่นกว่าชาวอโศกในเมืองไทยมีชาวพุทธนี้ ยังเชื่อมั่นในการนั่งหลับตา ซึ่งอาตมาว่ามันไม่ใช่หลับตามันเป็นโมฆะมันออกนอกรีตศาสนาพุทธ

เหตุผลเพราะว่าพระไตรปิฎกฉบับนี้เป็นฉบับของพระมหากัสสปะ ซึ่งพระมหากัสสปะเป็นสายศรัทธา สัทธานุสารีแท้ๆ 100% เป็นโคตรเป็นตระกูลศรัทธา ศรัทธาอย่างหนักๆเลย ตามประวัติตามตำนานแล้วชีวิตจมอยู่ในป่า จนพระพุทธเจ้าต้องยอมอนุโลมให้มี 1 ราย คือเอาพระกัสสปะเป็นตัวอย่างหนึ่งเดียวเป็นเอตทัคคะทางผู้อยู่ป่า ถึงอย่างนั้น ถ้าเกินกว่ากัสสปะก็ออกนอกรีตแล้ว ท่านใกล้จะตกขอบมิตกขอบแหล่เพราะฉะนั้นจึงยากมากเลย

คนที่ได้ชื่อว่ามหานำหน้า ในพระอิติสาวกของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ที่มีน้ำหนักไปในทางที่เอื้อ แต่ถ้าผู้ที่เป็นพุทธแท้ จะไม่มีคำว่า มหานำหน้า ถ้ามีคำว่า มหานี้

อย่างสารีบุตร ไม่มีคำว่า มหานำหน้า อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งพวกนี้เป็นเรื่องลึกซึ้งแม้แต่พยัญชนะก็ต้องเป็นสิ่งที่ลงตัวกันพระพุทธเจ้าจะต้องมีพระนามว่าสิทธัตถะแม่จะต้องชื่อว่าสิริมหามายา ชาตินี้อาตมาต้องเกิดมาชื่อรักนามสกุลมงคล บุคคลคือสิ่งที่จะนำพาไปสู่นิพพาน อุตมะหรืออุตระ คืออุดม มันเลี่ยงไม่ได้ต้องชื่อนี้

เพราะฉะนั้นสิ่งที่มันต้องลงตัวแล้วทุกอย่างที่อาตมายืนยัน อย่างเช่นพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เป็นพระโพธิสัตว์ในยุคนี้ อาตมาเป็นโพธิสัตว์ในยุคนี้ พระเจ้าอยู่หัวต้องมีพระนามว่าภูมิพล อาตมาต้องมีชื่อว่าโพธิรักษ์ หรือชื่อรักชื่อมงคล ซึ่งเป็นนามธรรม ทางด้านในหลวงต้องเป็นรูปธรรม อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งเป็นเรื่องที่มันลงตัวทุกอย่าง ก็ค่อยๆอธิบายไป

 

ในอานาปานสติสูตรนี่ เป็นสูตรที่คนหลงเอาแต่นั่งหลับตา แล้วก็ยกอ้าง เอานัยยะ 16 อย่างมาแปะไว้ แต่ที่จริง 16 อย่างนั้นลืมตาทำทั้งหมด

 

อานาปานสติทั้ง 16 ขั้นนั้นคือ

 

1. เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาวหรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว

2. เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้นหรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น

พ่อครูว่า... สองข้อนี้ให้รู้ว่ามีนัยยะต่างกันนะต้องใช้สองอย่างแล้วเลือกเอาอย่างหนึ่ง ไปตั้งแต่ต้นจนเป็นอรหันต์ คู่สุดท้ายคือ สมาหิโต กับวิมุติ

อันใดเป็นอวิมุติกับวิมุติ อันใดเป็นสมาหิตะกับอสมาหิตะ   วิมุตกับสมาธิก็เป็นอีกคู่นึง

ถามเรื่องคู่กับพวกคุณ สมาหิตะกับวิมุติ ตัวจบคู่สุดท้าย จิตตั้งมั่นกับจิตหลุดพ้น ตัวไหนที่เป็นตัวมี กับตัวไหนที่เป็นตัวไม่มี

...สมาหิตะ กับ วิมุติ คุณจะตอบว่า สมาหิตะมีหรือไม่มี?.. ญาติโยมตอบว่า...มี วิมุติมีหรือไม่มี?...ญาติโยมตอบว่า...ไม่มี

แต่พ่อครูว่า วิมุติคือตัวมี สมาหิตะคือตัวไม่มี

คนที่หลุดพ้นจากโลกจากอัตตาจากอะไรก็แล้วแต่คุณต้องหลุดพ้นจากอะไร คุณต้องหลุดพ้นจากอะไร ที่ต้องมีคู่ที่คุณติดเป็นคู่ แต่จิตตั้งมั่นเต็ม มัน 1 หรือ 0 ใช่ไหม

1 ก็คือ 0 ส่วน 0 ก็คือ 1 ซึ่งไม่ต้องถามหรอกว่าคุณจะตายที่  0 หรือตายที่ 1 สุดท้ายมันก็ต้อง 0 ใช่ไหม อย่างนี้เป็นต้น

 

อานาปานสติ ต่อ

3. สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจออก ว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจเข้า (สัพพกายปฏิสังเวที สิกขติ)

พ่อครูว่า... ต้องรู้แจ้งกาย กายต้องมี 2 เสมอ ภายในกับภายนอก ผู้ที่ได้ไปนั่งหลับตาไม่มีภายนอก ส่วนผู้ที่เข้าใจว่ากายคือวัตถุภายนอกนั้นก็ปิดประตูบรรลุธรรม ถ้าไม่มีกายแล้ว 0 ไม่มี 1 ไม่มีกายคือฐานพักของจิต

คือจิตทำให้เป็นพีชะได้ พีชะคือ 1 และก็จะเสื่อมไปหา 0 ไม่มีเวทนา ไม่เป็นวิญญาณ พีชะมีแต่สัญญากับสังขาร พีชะก็ไม่เรียกว่าเป็นนามแต่มันเป็นชีวะ

นัยยะของ อุตุนิยาม พีชะ จิต นี้ไม่ใช่อธิบายได้ง่ายนะ ต้องมีสภาวะธรรมรองรับจริง ถ้าไม่สามารถมีพื้นฐานแยกกายแยกจิตได้ไม่มีทางเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์คือผู้ที่ไม่มีกาย แต่สิริมหามายาอรหันต์ที่ยังไม่ตาย โพธิสัตว์ที่ยังไม่ตาย ก็ต้องมีกายมีร่างอาศัย มีร่างกายอาศัย มีสรีระร่างกายอาศัย แต่แยกไม่ได้ กายต้องมีจิตมีรูปธรรม เป็นสภาพที่พูดไปแล้ววนไปวนมา ก็น่าเห็นใจที่คนไม่มีภูมิธรรมจะตามรู้ยาก

สัพพกายปฏิสังเวที จะต้องรู้จัก กาย หลับตาไม่มีกายไม่มีปฏิสังเวที

 

4. สำเหนียกอยู่ว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า(ปัสสัมภยัง กายสังขารัง สิกขติ)

พ่อครูว่า... ปัสสัมภยังคือการระงับกาย แต่คุณหลับตาก็ว่าระงับกาย พาซื่อเขาสอนกันสายหลับตา กายคือภายนอก ตัดรับรู้ภายนอกก็เหลือแต่ภายใน เห็นไหมว่า พยัญชนะก็ไม่ครบแล้ว

หากไปทำอานาปานสติ เข้าใจว่า กาย หมายถึงเพียงแต่ภายนอกเท่านั้นเอาแต่จิตอย่างเดียวจบเลย คนนี้ไม่มีทางบรรลุอรหันต์

คำว่า สักกายทิฏฐิ จึงเป็นคำต้นของผู้ที่จะเป็นอาริยะบุคคลของพุทธ ต้องชัดเจน กาย นี่อย่างสมบูรณ์ ชัดเจน  กว่าจะเดินทางไปต่อจากพ้นสักกายทิฏฐิ พ้นจริงๆ พ้นอย่างไม่มี วิจิกิจฉา ต้องพ้นไม่มีอะไรลังเลสงสัย แล้วมีหลักการ ศีลพรต พ้นสีลัพพตปรามาส

อาตมาก็อธิบาย สีลัพพตปรามาส กับ สีลัพพตุปาทานต่างกัน

สีลัพพตุปาทาน ยึดถือตามกันมายังไม่สัมมาทิฐิ หรือต่อให้ทำยัญพิธีมีสัมมาทิฏฐิแล้วแต่ยัง เหยาะๆแหยะๆปรามาส ไม่เอาจริง ลูบคลำ คุณรู้จักโจรแต่ไม่จัดการกับโจรเสียทีเล่นหัวอยู่กับโจร คุณรู้จักหมาแต่ก็เล่นหัวๆอยู่กับหมาหมาเลียปากเท่านั้นเอง เล่นกับโจรโจรก็เล่นอยู่กับคุณเท่านั้นเอง ปัสสัมภยัง กายสังขารัง ต้องรู้จักกายสังขารที่ปรุงแต่งกันอยู่มีในภายนอกภายใน

5. สำเหนียกอยู่ว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ หายใจออกว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้ปีติ หายใจเข้า (ปีติปฏิสังเวที สิกขติ)

พ่อครูว่า... ลดกิเลสภายนอกคือกาย ขณะคุณมีลมหายใจเอากิเลสเฉพาะแต่ลมหายใจแล้วคุณจะมีกิเลสอะไรกันนักกันหนากับลมหายใจ ต่อให้คุณเอากิเลสลมหายใจคุณลดได้ แล้วตาหูสัมผัสลิ้น จมูกอีกล่ะ ดินน้ำไฟลมอีกล่ะ มันมีอีกตั้งเยอะแยะ แล้วคุณบอกว่าคุณปฏิบัติแล้วคุณได้เป็นพระอรหันต์ อรหันต์ก็ได้แค่นิดเดียว ในทางลม

ในทางลมอาตมาก็ว่าจะปฏิบัติหลุดพ้น เช่นหนึ่งมีกลิ่นของดอกไม้กลิ่นอะไรก็ตามลอยมาตามลม เช่น กลิ่นตดเป็นต้น ลอยไปในอากาศ คุณก็ไม่ชอบกลิ่นตด คนนี้นั่งสมาธิร่วมกันคนนี้ตดมากลิ่นน่าดูเลย ก็เกิดกวนสมาธิกัน พูดให้มันสนุกหน่อย

หากคุณไม่เข้าใจกายอย่างสมบูรณ์บริบูรณ์ คุณจะไปปฏิบัติเริ่มต้นสติปัฏฐาน 4 กายในกาย ซึ่งมีกายภายนอกเชื่อมต่ออยู่กับกายภายใน ไม่ได้ขาดกัน แต่ให้พิจารณา กายใน เข้ามาหากายใน จากกายนอกมาหากายใน ไม่ได้ขาดกัน จึงทำกิเลสจากกาย กิเลสไม่ได้อยู่นอกกิเลสมันอยู่ใน คุณตัดกิเลสภายนอกแล้วก็ระงับกิเลสกายได้แล้ว ก็เลื่อนมาหาเวทนา

แต่หากกิเลสกายคุณยังทำไม่ได้คุณเลื่อนมาหาเวทนามันก็ผิดลำดับ หรือจะเอาแต่จิตเลยเรื่องของกาย เวทนา ไม่รู้เรื่อง เอาแต่จิต ก็เจริญเถอะพ่อ(คำประชด) ไม่มีทางเจริญได้หรอก

อันดับที่ 4 ระงับกายสังขารได้ก็จะมีปีติ รู้แจ้งปีติ เราลดกิเลสภายนอกกิเลสกายได้แล้ว ปีติ อันนี้ก็เกี่ยวกับภายนอก ไม่ใช่ได้ผลทางจิตใจเป็นสมถะแล้วปีติ มันก็ใช่พวกนั่งหลับตาเป็นปีติแบบสมถะทั้งนั้น แต่อันนี้เป็นปีติที่แบบวิปัสสนาปิติที่มีการเห็น ปัสสะ ปัสสนาไม่ใช่สมถะ เห็นไหม มีนัยยะที่ต่างกัน

เมื่อมีปีติก็ลดปีติได้ จึงจะเข้าหาสุขเป็นฌานที่ 3 เริ่มมีฌานที่ 3

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

 

พ่อครูว่า... ทั้ง 16 ข้อนี้พวกนั่งหลับตามีแต่พยัญชนะไม่ได้มีเกิดสภาวะขึ้นเลย

สมณะฟ้าไท... พ่อครูบอกว่ากิเลสที่ลมหายใจจะมีเท่าไหร่เชียว

พ่อครูว่า... ระงับกายได้ก็เกิดปีติ คำว่า ปฏิสังเวทีคือรู้ เห็นปีติแล้วก็ต้องลดปีติ

ปีติมี 5 อย่าง หากจะเอาแต่อุพเพงคา (พ่อครูไอตัดออกด้วย)

 

1.   ขุททกาปีติ (ปีติเล็กน้อย) เป็นหน่วยๆ เป็นก้อน แท่ง

     2. ขณิกาปีติ (ปีติชั่วขณะ) เป็นเวลา เป็นกาละ

     3. โอกกันติกาปีติ (ปีติเป็นพักๆ)

     4. อุพเพงคาปีติ (ปีติแรงกล้า โลดลอย)

     5. ผรณาปีติ (ปีติซาบซ่าน) (จาก คัมภีร์วิสุทธิมรรค)

 

พ่อครูว่า... ก็เรียนรู้ปีติ ลดปีติ ถึงจะเป็นวูปสโมสุโข มีสภาวะ 2 เป็นรูปกับนามสั่งสมลง ธรรมดามันก็หยั่งลงเป็นเรื่องโลกียะในจิตของเรา เรารู้แล้วก็เลือกให้สั่งสมเป็นโลกุตระในชีวิตเรา มากเป็น อุพเพงคาปีติ ไม่ได้ไม่ไหวมันมากจัดจ้าน อย่างพวกนักฟุตบอลเตะลูกเข้าโกล์ได้สักวันหนึ่งมันจะช็อคตายคาสนาม อาตมาไม่ได้แช่งเขา แต่สักวันมันจะมีตัวอย่าง เพราะว่าปลุกเร้าเร่งรัดเอาชนะคะคานกัน ให้ราคากันมากมายเป็นเรื่องการพนันด้วย มันซับซ้อนเยอะแยะพวกนี้ พวกการพนันพวกอบายมุข

อาตมายังจำได้เลย ที่วิทยาลัยการพละ อาตมาก็ไปว่าพวกกีฬาเป็นอบายมุข ตอนนั้นมีปิยะพงษ์  ผิวอ่อน ฟังด้วย ฟังแล้วก็หน้าเขียวใส่เลย อาตมาก็เทศน์ไปตามจริง แต่ก่อนอาตมาก็เป็นนักกีฬาเป็นนักฟุตบอลก็ไม่ได้เรื่อง เป็นนักวิ่งก็ไม่ได้เรื่องเท่าไหร่

 

ปีติ ยังเป็นพลังงานที่หยาบที่แรง ก็ต้องลดลงมาให้มันเป็นสุข เป็นวูปสโมสุข ซึ่งขอยืมภาษาคำว่า สุข มาเรียกเท่านั้น มันก็ยังเป็นอาการของอุปกิเลสคือความสุข ก็ต้องลดลงมาให้เบาบางลง เป็นสุขสงบ หรือวูปสโมสุข หรืออาจจะใช้ภาษาว่าปรมังสุขัง อาตมาแปลเป็นไทยว่ายิ่งกว่าสุข ถ้าแปลว่าสุขอย่างยิ่งมันก็จะเป็นความสุขแรง ไปกันใหญ่ ภาษามันจะบอกสภาวะชัดเจน

 

6. สำเหนียกอยู่ว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจออกว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้สุข หายใจเข้า (สุขปฏิสังเวที สิกขติ)

7. สำเหนียกอยู่ว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขารหายใจออก ว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิตสังขาร หายใจเข้า(จิตตสังขารปฏิสังเวที สิกขติ)

พ่อครูว่า...ตอนนี้เข้าถึงจิต ระงับได้หมดเข้าถึงสุขเป็นฐาน เป็นสุขจากอุปสโมสุข เป็นฌานที่ 3 เข้าไปหาฌานที่ 4 ไม่มีสุขแต่เป็นอุเบกขา หมดสุขแล้ว ฌานที่ 4 เป็นเอกัคคตา ได้ฌาน 4 เป็นฐาน อันนั้นมาจากกิเลสนอกเป็นกาย

เข้าไปหาทางจิต หลังจากได้ทำกิเลสกายหมดแล้วก็ทำกิเลสที่เหลือในจิต ตั้งแต่อบายมุข มาเป็นสกิทาคามีเข้ามาหาอนาคามีเป็นรูปเข้ามาสู่จิต ก็ระงับกิเลสในจิต กามหมดแล้วมาระงับรูป จะเป็นรูปทางกามและรูปทางปฏิฆะ ซึ่งไม่แสดงออกภายนอกแล้วมีความละอาย มีหิริโอตตัปปะเพียงพอ เกรงกลัวไม่แสดงออก ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าอายไม่เอาแล้ว เกรงกลัวไม่เอา เพราะมันเป็นเรื่องหยาบต่ำไม่รับไม่ทำ มันจะมีคุณลักษณะ คุณสมบัติของมันจริงๆ ที่ทำให้เราไม่ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ

 

8. สำเหนียกอยู่ว่าเราจักระงับจิตสังขาร หายใจออก ว่าเราจักระงับจิตสังขาร หายใจเข้า (ปัสสังภยัง จิตตสังขาร สิกขติ)

พ่อครูว่า...ในขณะที่เข้าไปถึงจิตก็ไม่ทิ้งกาย ตาหูจมูกลิ้นกายภายนอกก็ยังทำงานอยู่ปกติ แต่ว่ากิเลสภายนอกนั้นมันอยู่เหนือแล้ว มีวสวัตตี ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจเหนือโลก ข้างนอกคือโลก ข้างในคืออัตตา

ข้างนอกคือโลกร่วมกับโลกเขาก็ลดกิเลสลงได้ ถึงขั้นกำลังเหลือกิเลสภายใน กิเลสทางภายนอกนั้นหมด กิเลสภายนอกไม่ต้องทำ เพราะว่าทำได้แล้ว อยู่เหนือมันแล้วไม่ได้หนีไม่ได้หลบ อยู่เหนือสบายๆ  สบายมากสบายน้อยก็แล้วแต่บางคนอาจจะต้องเคร่งคุมอยู่บ้าง บางคนไม่ต้องเคร่งขรึมแล้วสบายแล้ว จะกระทบสัมผัสภายนอกแรงเท่าไหร่ก็ไม่เป็นไรที่เผลอไม่รู้ตัวก็ไม่เป็นไร บางคนทีเผลอยังขึ้นมาหน่อยนึง หรือว่ามันแรงมากๆก็กระดิกนิดนึงอะไรอย่างนี้ ก็ยังมีภายในใจอยู่บ้างคุณก็รู้ทั้งภายนอกและภายใน รู้ทางจิตภายนอกที่รับกระทบสัมผัสภายนอกได้แล้วอยู่เหนือแล้ว เป็นอาริยะเป็นอรหันต์ เป็นพลังงานที่สูงจนเหลือแต่ภายใน ระงับกิเลสที่เป็นจิตสังขารภายใน ก็เป็น ปัสสังภยัง จิตตสังขารัง

ทำให้กิเลสภายในรูปราคะอรูปราคะ หมดไปอีกได้ อรูปราคะได้ก็รู้แจ้งอีกทีหนึ่ง เหลือรูปราคะ อรูปราคะ มานะก็ลดได้ เหลืออุทธัจจะ กุกกุจจะ มันเหลือน้อย จนหมดไป เหลือแต่วิชชา ส่วนอวิชชาก็มาเป็นวิชชา คุณยังต้องอาศัยจิตอยู่ อาศัยอนุสัยอยู่ ไม่มีอาสวะแล้ว แต่คุณยังมีอนุสัย คือ สยะน้อยๆ สยังน้อยๆ อนุ คุณต้องอาศัย

ใช้พยัญชนะบอกสภาวะว่า อนุ คือน้อย คุณต้องอาศัยอนุสยะ คุณต้องทำจิตนี้ให้เป็นที่อาศัยไม่ใช่จิตใจที่แข็งๆทื่อๆ ไม่รับแขกเลย ก็ทำให้มันเป็น อภิปโมทยังจิตตัง

9. สำเหนียกอยู่ว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต หายใจออกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้จิต หายใจเข้า(จิตตปฏิสังเวที สิกขติ)

10. สำเหนียกอยู่ว่า เราจักทำจิตให้ร่าเริง หายใจออก ว่า เราจักทำจิตให้ร่าเริง (ปราโมทย์) หายใจเข้า(อภิปฺปโมทยัง จิตตัง สิกขติ)

พ่อครูว่า... จิตใจร่าเริงเบิกบานรับแขกได้ ร้องเพลงอาตมาก็ทำได้ แต่สังขารมันก็เรื้อคนได้ฟังก็บอกว่าพักผ่อนดีกว่าอย่าร้องเลย ให้คณะตุ๊กติ้วทำดีกว่า

ทำให้จิตร่าเริง จะย้อนกลับอีกที ให้จิตสงบแล้วเบิกบานร่าเริง

พุทธถึงเป็นผู้ที่เบิกบานร่าเริง สว่างสะอาดสงบ เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบานร่าเริง อภิปโมทยังจิตตัง

 

11. สำเหนียกอยู่ว่า เราจักตั้งจิตมั่น หายใจออกว่าเราจักตั้งจิตมั่น หายใจเข้า(สมาทหัง จิตตัง สิกขติ)

พ่อครูว่า... สมาทหัง ก็แปลว่าจิตตั้งมั่น จิตทำให้ได้คุณสมบัติอย่างนี้แหละแบบที่มาถึงขั้นที่ 10 ให้มันตั้งมั่น ๆ เห็นไหมว่าคุณจะสะสมจิตตั้งมั่นต้องเป็นจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ถึงขั้น อาสวะหมดแล้ว อาศัยอนุสัยเท่านั้น แล้วก็ให้จิตเบิกบานร่าเริงทำให้แข็งแรงตั้งมั่นเป็นเนื้อเป็นแก่น สมาทหัง ทหัง ทหาร

12. สำเหนียกอยู่ว่า เราจักเปลื้องจิต หายใจออกว่า เราจักเปลื้องจิต หายใจเข้า (วิโมจยัง จิตตัง สิกขติ)

พ่อครูว่า... ไม่ใช่จะรับเข้ามาแต่ปล่อยเสมอๆ ถ้าหยุดเลย มันหายไป ภาษาใช้คำว่าเปลื้องปล่อย หรือใช้ว่า ปล่อยวางหรือปล่อยจิต

สู่แดนธรรม... สงสัยว่าเปลื้องจิต สภาวะคือรู้ควรการงานใช่ไหมครับ?

พ่อครูว่า... มีลักขณรูปของมันคือ มันไปในทางเอาออก เนกขัมมะ มันเป็นจิตที่เป็นสภาพเอาออกไม่ใช่เอาเข้า คำว่าออก คำว่าเข้า ของพยัญชนะที่ใช้ในศาสนาพุทธ ไม่ใช่เข้าไปนั่งหลับตาคือเข้าฌานเข้าสมาธิ ออกสมาธิคือลืมตาออกมาสู่โลกข้างนอก ซึ่งอย่างนั้นมันไม่ใช่ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธไม่ต้องไปนั่งหลับตาเข้าฌานเข้าสมาธิ หรือหลับตาไปเอารูปเป็นตัวชี้บ่งยืนยันว่านี่คือเข้าสมาธินี้ต้องหลับตา มันก็อยู่ข้างใน มันไม่ใช่อย่างนั้น

สู่แดนธรรม... ผมสงสัยเพราะเป็นคำสิริมหามายา คำไทยแปลว่าเปลื้องเอาออกเราเอาออกด้วยการมีกัมมัญญาได้ไหมครับ ?

พ่อครูว่า... อันนี้จิตสำเร็จแล้ว สั่งสมจิตสมาทหัง ยังไม่ถึงสมาหิตังเท่านั้น เป็นจิตที่จะสะสมตั้งมั่น อธิบายเป็นภาษาได้จริงๆแล้วไม่ได้ยึดมั่นถือมั่นนะแต่สั่งส้มให้ตกผลึกแข็งแรงตั้งมั่นไปเรื่อยๆ ลักษณะที่ตั้งมั่นก็จะต้องมีคู่ที่ว่าไม่ใช่การยึดมั่นถือมั่นนะ แต่มั่นแล้วปล่อย มั่นแล้วเปลื้องจิตออกให้หลุดพ้น เป็นลักษณะจิตที่ให้อาศัยแต่ปล่อย ภาษาบาลีว่า วิโมจจยัง อาตมาจึงต้องใช้ภาษาไทยขยายความยืดยาด แต่บาลีแค่ วิโมจยังจิตตัง

13. สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง(อนิจจานุปัสสี สิกขติ) หายใจออก ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความไม่เที่ยง หายใจเข้า

14. สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัด (วิราคานุปัสสี สิกขติ) หายใจออกว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความคลายกำหนัด หายใจเข้า

15. สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส (นิโรธานุปัสสีสิกขติ) หายใจออกว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความดับกิเลส หายใจเข้า

16. สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส

(ปฏินิสสัคคานุปัสสี สิกขติ) หายใจออกว่าเราจักเป็นผู้ตามพิจารณาความสละคืนกิเลส หายใจเข้า

พ่อครูว่า... 12 ข้อที่ผ่านมาพวกนั่งหลับตาอธิบายไม่ได้หรอก แต่ตีกินเอา 4 ข้อสุดท้ายไปทำเท่ บอกว่าตามเห็นความไม่เที่ยง ตามเห็นความจางคลาย ตามเห็นความดับ ตามเห็นความสลัดคืน เท่เสียไม่มี นั่งหลับตา พวกนี้อาตมาขออภัย วจีสังขารว่าหยาบไปหน่อย พวกหลอกแดก นี่แหละพวกนั่งหลับตา เป็นอย่างนั้นจริงๆ ดูแล้วน่าสมเพชเวทนาน่าสงสาร เมื่อไหร่จะตื่นขึ้นมาฝึกฝนทำสัมมาทิฏฐิให้สมบูรณ์แบบเถอะ ไม่เช่นนั้นแล้วพวกคุณก็จะติดอยู่อย่างนั้น

อนุปัสสี 4 (ตามเห็นอะไรในขณะปฏิบัติสติปัฏฐาน+อานาฯ)

1. อนิจจานุปัสสี (ตามเห็นความไม่เที่ยงของกิเลสตัณหา)

2. วิราคานุปัสสี (ตามเห็นความจางคลายของกิเลส) 

3. นิโรธานุปัสสี (ตามเห็นความดับของสัตว์กิเลสตัณหา)

4. ปฏินิสสัคคานุปัสสี (เห็นการย้อนทวนกลับไปสลัดคืน)

(พตปฎ. เล่ม 14  ข้อ 288)

มาขยายความ 4 ตัวนี้คุณจะเห็น

ความไม่เที่ยงนั้นเราพูดด้วยตรรกะว่าทุกอย่างก็ไม่เที่ยง ไม่ต้องไปยึดดมั่นถือมั่นอะไรก็เท่ซะไม่มี ก็ใช่ ความไม่มีอะไรเที่ยงไม่มีอะไรยึดอยู่ ไม่มีอะไรเทียบกับกาลเวลา คุณว่า วินาทีมันอยู่กับที่ไหม การเคลื่อนไปกับกาละ เรียกด้วยศัพท์ตัวหนึ่งว่า วินาที ให้ละเอียดกว่าวินาทีด้วย อาตมาไม่ได้จำว่ามันเรียกอะไร กาละไม่เคยหยุดไม่เคยพัก โลกไม่เคยหยุด ไม่เคยสะดุด พระอาทิตย์ก็ไม่เคยสะดุดไม่เคยหยุด ถ้าพระอาทิตย์สะดุดหรือหยุดรับรองโลกนี้ คว่ำคะมำ ออกนอกเส้นทางโคจร พลังงานจะปั่นป่วนไปทั้งจักรวาล ทั้ง Galaxy nebula สะเทือน เอาแต่แค่พระอาทิตย์ มันเกิดจุดเคลื่อนนิดนึงไม่ได้เลย กาละจึงเคลื่อนอยู่เสมอพระอาทิตย์ต้องเคลื่อนอยู่เสมอ โลกต้องหมุนอยู่เสมอ

สู่แดนธรรม... มีคนถามว่าเราจะตามหาปัจจุบันได้อย่างไร

พ่อครูว่า... ยิ่งกว่าปลายเข็มที่เล็กที่สุด ใช้พยัญชนะรูปธรรม ก็ไม่ต้องถึงเอาขนาดนั้น คุณก็จี้ลงไปแล้วก็ถอนให้รู้ว่านี่คือปัจจุบัน การบรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าจึงอยู่ที่ปัจจุบันชาติ ทิฏฐกาละหรือทิฏฐธรรม ปัจจุบันนี้เดี๋ยวนี้ขณะนี้สั้นที่สุดเร็วที่สุด เป็นปัจจุบันที่สุดจริงที่สุด การหลับตาไม่ลืมตาออกมานี้ไม่เป็นความจริงมีแต่สัญญามีแต่การกำหนดรู้ในใจ มันต้องออกมานอกด้วยในด้วยจึงจะเป็นความจริงของ 2 ภายนอกภายในเป็นเทวะ เป็น 1 ไม่ได้ ในความรู้รอบต้องมี 2 เป็นอย่างน้อย ในความรู้จริงต้องเป็น 0 หรือ 1 ความรู้รอบต้อง 2 อย่างน้อย แล้วตัวผู้รู้เป็นสามเส้า ประธานรู้ เป็น 2 ทำ 0 กับ 1 ได้ คุณเป็นประธานก็ต้องเป็น 3

ในลักษณะของสิ่งที่เป็นวัฏสงสารเป็นสังขารเป็นสิ่งที่เป็นธาตุรู้แล้ว ถ้าอย่างในนิวเคลียสมันมี 3 คือมี E M C  ถ้าชีวะก็ต้องมี 3 เป็นอย่างน้อยคือ I S H

I คือ ฉัน (ตัวประธาน)

S (She) คือ พลังงานลบ

H (He) คือ พลังงานบวก

ISH คือตัวตน สามเส้าตัวนี้ เติมเข้าไปยึด self ขึ้นมาปั๊บ เป็นการเห็นแก่ตัวเลย

พลังงานนิวเคลียร์มันก็มี 3 แต่พลังงานมันอยู่มันก็จับตัวของมัน มันระเบิดเองได้เหมือนกันเหมือนอย่างภูเขาไฟ หรือเนบิวลาหรือ Big Bang มันเป็นธรรมชาติ แต่ถ้าไม่มีใครทำอะไรมันมันก็จะใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตามเหตุปัจจัย มันยังไม่ระเบิดง่ายๆ จนกว่ามันสุดที่สุดทางแล้วมันใหญ่ไม่ได้อีก หรืออัตราภายในมันมากกว่าข้างนอก ข้างนอกมันสู้ไม่ได้ก็ระเบิด ไอ้นั่นก็เป็นธรรมชาติของ Big bang พลังงานในอวกาศทั้งหมด Big bang มันแตกตัวของมันเอง เดี๋ยวมันจะออกไป star wars ออกไปอวกาศเสียหมด

สมณะฟ้าไท... สรุปจบ


วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2564

640628_พุทธศาสนาตามภูมิ - ระบอบการปกครองของมนุษย์ที่สุดประเสริฐ

 รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ระบอบการปกครองของมนุษย์ที่สุดประเสริฐ 
วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน  2564

ณ บวรราชธานีอโศก 










ชมวิดีโอเทปได้ที่นี่
ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่นี่


พ่อครูว่า...วันนี้วันจันทร์ที่ 28  มิถุนายน 2564 แรม 4 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก วันคืนก็ยืนยาวไปอายุเราก็ยาวไปเรื่อยๆ มาพร้อมกับหนังสือเปิดยุคบุญนิยม อาตมาอ่านจบแล้วนะ ใครไม่อ่านก็ อาตมาอ่านทบทวนดูเขียนเองอ่านทบทวนดูก็รู้สึกว่ามีอะไรที่ได้ขายความจริงมากมาย ผู้ที่ได้ใส่ใจศาสนาพุทธอ่านแล้วจะได้รู้อะไรอีกหลายอย่างในหนังสือเล่มนี้ 600 กว่าหน้า ก็ขอโฆษณาอยากจะให้ได้พบสิ่งที่ควรจะได้พบกัน ,

ขออ่านโคลงสี่สุภาพ จากนัยปกหนังสือพิมพ์เราคิดอะไร เล่ม 319

 

ชาติ-ศาสน์-กษัตริย์ปัจจุบัน                                   

      (๑) ชาติศาสน์กษัตริย์ไซร้              ในไทย    

ปัจจุบันนั้นไฉน                                “ฉาก”แท้                           

มี“สัจจะ”อะไร                                  ทรงอยู่ 

คุณโทษชนะแพ้                                วิเคราะห์บ้างบารนี

      (๒) หนึ่งมี“กษัตริย์”เลิศล้ำ              ธรรมคุณ             

ประเสริฐเกิดเกินกรุณ                          เกียรติก้อง

พระจริยวัตรชัดกว่าสุน-                        ทรีสุด พรรณนา           

ไทยทั่วเทศแซ่ซ้อง                             เทิดไท้บารมี     

                (๓) นี่คือ“กษัตริย์”หนึ่งแล้ว             เลอคุณ           

“ชาติ”เล่าก็ตุนทุน                              ทบถ้วน

เป็นอธิปไตย“บุญ”                                      แบบพุทธ           

เพราะสัมมาทิฏฐิล้วน                           สัมผัสต้องมี“กาย”

      (๔) บรรยาย“กาย”ค่อยกระเตื้อง    “ศาสน์”ธรรม

ว่า“รูปและนาม”สัม-                                     ประสิทธิ์พร้อม

ปฏิบัติชัด“กาย”ดำ-                                     รวจ“จิต”นั้นแล

จึงจักไป่อ้อมค้อม                              จับเป้าพุทธธรรม์

                (๕) สำคัญสมาธิต้อง                    เรียน“กาย”                

แต่พุทธยุคนี้หลาย                             เลอะล้วน

เห็นผิดว่า“กาย”หมาย                         แค่ร่าง  

วิโมกข์แปดถึงไม่ถ้วน                          ดั่งถ้อยศาสดา

      (๖) “สัมมาสมาธิ”แท้                   ธรรมะสอง

“กาย”ย่อมมี“ใจ”ครอง                         “สัมผัส”พร้อม

นอก,ในจึ่งจะสนอง                                      สังขารครบ สามแฮ

พุทธถูกเดียรถีย์ย้อม                           จึ่งย้อนกลับมิจฉา

      (๗) ศึกษาพุทธมากเพี้ยน               ผิดมา 

กว่าปัจจุบันจักพา                              พุทธกระเตื้อง

ไทยมีกษัตริย์สาน                              สืบอย่าง สำคัญเลย

เจ็ดสิบปีพระเปลื้อง                            ปลดฟื้นคืนธรรม

 

                           “สไมย์ จำปาแพง” ๓ ก.พ. ๒๕๖๐

      [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ ๓๑๙ ประจำเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๐]

 

คนคลาสสิกของโลกคือชาวอโศก

พ่อครูว่า... พวกเราไม่สงสัยเรื่องความเป็นคนจนเลย จนแล้วเราก็อยู่กันดีสุขสำราญเบิกบานใจด้วย มีเหตุปัจจัยของโลกที่เข้ามากวน เช่นเดี๋ยวนี้ covid มากวน พวกเราก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจกับ covid เศรษฐกิจเขาย่ำแย่เราก็ไม่ได้เดือดเนื้อร้อนใจอะไร ไปถึงขั้นการเมืองเขาเดือดร้อน เราก็อยู่ไม่ได้ไปทำอะไรให้เป็นตัวถ่วงประเทศชาติ แต่เป็นตัวถ่วงดุลด้วย ไม่ได้ทำให้ประเทศชาติต้องหนักอกหนักใจ ผู้บริหารต้องมาวุ่นวายกับชาวอโศกไม่มี มีแต่จะช่วยประเทศชาติได้อย่างไรก็ช่วยไป เพราะว่าประเทศไทยมีพระพุทธศาสนา มีกษัตริย์ทุกพระองค์เป็นพุทธมามกะได้สืบสานมาอย่างสำคัญ

ในหลวง รัชกาลที่ 9 ได้ทรงงานมา 70 ปี  ในหลวงรัชกาลที่ 10 ก็ได้ต่อยอด ฟื้นโลกุตรธรรมในประเทศไทยได้มาก อาตมาก็ไม่เก่งในการสื่อให้รู้โลกุตรธรรมเป็นรูปร่างได้ แต่ชาวอโศกไม่ได้แค่สื่อ แต่เอาชีวิตมาทุ่มเทให้โลกุตรธรรม มีชีวิตจิตใจทั้งร่างกายและจิตใจเป็นโลกุตรธรรมเต็มรูป แล้วก็ได้อาศัยโลกุตรธรรมนี้อยู่อย่างสุขสำราญเบิกบานใจ มาเป็นคนเจริญมีวรรณะ 9 มาเป็นคนเลี้ยงง่ายบำรุงง่าย กล้าจน อัปปิจฉะ มักน้อย ไม่ได้ชอบอะไรหลากหลายมากมายเยอะแยะมันหนัก มีใจก็พอ มีน้อยๆก็พอ ไม่แส่หาดิ้นรนแบบโลกๆ

ไม่ดิ้นรน ไม่แส่หา ฟังเป็นภาษาไม่ดี แต่เขาจะฟังว่าเป็นดีว่า เป็นคนอยู่เฉยๆไม่ทำงานไม่พัฒนาไม่เจริญสิ ที่ไหนได้ฟังต่อไป

แม้จะมีความพอเป็นคนขัดเกลากายวาจาใจ เป็นคนมีหลักเกณฑ์ในการปฏิบัติ มีศีล สมาธิ ปัญญา มีศีลหรือมีธูตะ มีหลักเกณฑ์ปฏิบัติที่เจริญ สูงส่ง จนคนเขาหาว่าเคร่งสุดโต่งได้ มีหลักปฏิบัติจนได้มรรคผล จนคนเขาหาว่าชาวอโศกเป็นคนสุดโต่ง เคร่งเกินไป แล้วพวกคุณเคร่งเครียดหรือเปล่า ก็ไม่ได้เคร่งเครียดอะไร มาเป็นคนจนกินมื้อเดียวไม่ต้องสะสม แล้วมีอาการกายวาจาใจน่าเลื่อมใสอย่างนี้ กายกรรมก็น่าเลื่อมใส วจีกรรมก็น่าเลื่อมใส เพราะเป็นอยู่ด้วยกายกรรมวจีกรรมมโนกรรมที่ผู้ที่มีปัญญาจะเห็นว่า โอ้โฮ..คนอย่างนี้ในโลกหน้าเลื่อมใส แต่คนตาถั่ว คนโง่คนไม่รู้ความประเสริฐของมนุษย์ก็จะเห็นว่าพวกเราเป็นพวก รกประเทศไม่มีคุณค่า เขาจะมองกลับกันเป็นธรรมดาของสัจธรรม

มีอาการน่าเลื่อมใสเพราะเป็นคนไม่สะสม อปจยะ ข้อที่ 8 ของวรรณะ 9 ไม่สะสมทรัพย์ศฤงคารบ้านช่องเรือนชาน แม้แต่เพชรนิลจินดาก็ไม่สะสม มีแต่สร้าง วิริยารัมภะ เป็นคนปรารภความเพียรตลอดเวลา ทำงานขยันหมั่นเพียรถึงเวลาพักก็พักถึงเวลาเพียรก็เพียร

วรรณะ 9 เป็นเครื่องชี้บอก ผู้ที่มีวรรณะ 9 เป็นคนคลาสสิค คนมองไม่ออกว่าคนโลกุตระคือคนคลาสสิก classic อย่างไรชาวอโศกนี่แหละเป็นมนุษย์คลาสสิค ผู้มีภูมิปัญญาแท้จึงจะมองออกว่าผู้เป็นคนคลาสสิคของโลกคือชาวอโศก เป็นคนมีคลาสเป็นคนมีวรรณะ ไม่ใช่ชั้นวรรณะแบบอินเดียเขานะ อันนั้นมันเป็นการกดขี่แบ่งชนชั้น แต่อันนี้ไม่ใช่กดขี่แต่เป็นวรรณะ ความเจริญของมนุษยชาติเป็นขีดเป็นขั้น เป็นความเจริญจริงๆตามสัจธรรม

พูดไปแล้วคนก็ว่ามันอวดตัวอวดตน คุยโม้ว่าตนเองดี ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรเพราะว่าคนดีจริงๆแล้วจะไม่ให้พูดว่าคนดีจริงๆนี้เป็นคนดี ก็เป็นคนโง่ คนบ้า คนเมา เราไม่ใช่คนโง่คนบ้าคนเมาจะได้ไปพูดผิด เราก็พูดความถูกตรงความจริงตรงๆไม่ได้กะมิดกระเมี้ยน ไม่ได้ขวยอายมังกุ ไม่ได้มีจิตสะดุดอะไร พูดความจริงตามความเป็นจริงรายงานความจริง บอกกันแบบซื่อๆ คนที่มีกิเลสเขาก็จะมองไม่ตรง เขาฟังพวกเราไม่เป็นความตรง เราพูดความตรงเขาก็ฟังเป็นความคด เพราะเขาเป็นคนคดมองตรงไม่ออก น่าสงสาร อาตมาว่าอาตมาเกิดมาในชาตินี้ พูดแต่ความตรง พูดแต่ความจริง พูดแต่สิ่งที่เป็นสัจจะ คนที่เขาไม่ตรงฟังแล้วก็จะรู้สึกว่าเบี้ยวบิด มองไปอย่างนั้น เพราะเขารู้ไม่ได้ เขารู้ความถูกต้องความดีงามความประเสริฐสูงสุดอะไรไม่ได้ มันเป็นความไม่ฉลาดของเขาเองจึงพาไปอย่างนั้น

 

มาที่กวีอีกบท

 

ระบอบการปกครองของมนุษย์ที่สุดประเสริฐ

          ระบอบการปกครอง”ของมนุษย์          

         

      (๑) การปกครองมนุษย์นั้น              แสนยาก         

เพราะมนุษย์หลายจิตหลาก           กิเลสล้น

 แต่ละชาติต่างต้องพาก-                       เพียรสุด กำลังเฮย

ทั้งพูดทำคิดค้น                                เพื่อได้ทางเจริญ

 

พ่อครูว่า... ชาวอโศกมีเศรษฐกิจสาธารณโภคีนี้สุดยอด พวก คอมมิวนิสต์ อย่างคาร์ล มาร์ก เอาทฤษฎีคอมมิวนิสต์มาประกาศจนคนอื่นเขารับได้ เอาไปทำที่ประเทศ แต่เดี๋ยวนี้ก็แปลงไปแล้ว ตั้งแต่รัสเซียแปลง จนกระทั่งโดนจีนแปลง ซึ่งเขาต้องการอะไร อาตมาเคยพูดไปแล้ว เขาต้องการให้คนในประเทศเป็นคนเสียภาษีให้กับประเทศมากที่สุด เท่าที่จะมากได้ ประชาธิปไตยก็พยายามออกกฎหมายมาบังคับให้คนเสียภาษีให้ได้มากที่สุด

สังคมคอมมิวนิสต์ก็เหมือนกัน ออกกฎหมายบังคับให้คนเสียภาษีมากที่สุด มากขึ้นไปอีก พยายามทำ แม้แต่เขาบอกว่าประชาธิปไตยก็เหมือนกัน ก็ออกกฎหมายมาบังคับให้คนเสียภาษีให้ได้มากที่สุด แต่คนมันก็ต่อต้านมาก คอมมิวนิสต์พยายามประกาศให้เห็นชัดว่า เสียภาษีให้ประเทศมากๆมันดีนะ แต่เขาประกาศอย่างไรคนก็เข้าใจยาก ก็ต้องใช้การบังคับ ก็บังคับกันมากกว่าประเทศประชาธิปไตย

ประเทศที่ภาษีสูงมาก อย่างเช่นอเมริกา เขาใช้กฎหมายบังคับ แต่ไม่ใช้วิธีแบบคอมมิวนิสต์ แต่ละประเทศก็ทำตามแบบที่ทำได้ จนกระทั่งแบบเกาหลีเหนือเป็นคอมมิวนิสต์ 100% หรือคอมมิวนิสต์ของรัสเซีย จนมาเป็นประเทศจีน แล้วเขาก็บอกว่าเป็นประชาธิปไตย เขาก็ต้องยืนยันตามแบบสหรัฐ ซึ่งมันสุดโต่งไปจนกระทั่งไม่มีกษัตริย์ ซึ่งประชาธิปไตยต้นแบบนั้นคือประเทศอังกฤษ มีพระเจ้าแผ่นดินเดี๋ยวนี้ก็ยังมีพระเจ้าแผ่นดิน

เปิดฉากประชาธิปไตยอังกฤษเป็นเจ้าตำรับเปิดฉาก เดี๋ยวนี้ก็เป็นเจ้าตำรับอยู่ แต่ออกไปเป็นแบบอเมริกาแล้ว แปลงไปเป็นประชาธิปไตยขาเดียวไม่มีพระเจ้าแผ่นดิน จนกระทั่งกลายเป็นลัทธิแปลงของประชาธิปไตย เป็นประชาธิปไตยที่อาตมาพูดแล้วคนก็เข้าใจได้ยาก มันเป็นประชาธิปไตยไม่เต็มเต็งไม่สมแบบไม่เป็นธรรมชาติ มันไม่มีวิญญาณ ไม่มีการสืบสายของวิญญาณ

เหมือนเด็กๆเล่น เอ้ามาเลือก แล้ววิธีเลือกตั้ง เมื่อหมดผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดินหรือประธานาธิบดีคนนี้ไป อยากได้คนใหม่ก็ไปสุ่มเอา ก็คล้ายๆกับวิธีสุ่มของทิเบต ซึ่งมีทะไลลามะปกครอง แต่เขาก็สุ่มหนักไปทางวิญญาณ แต่ของทิเบตกับของอเมริกา อเมริกาเป็นแบบวัตถุ 100 เปอร์เซ็นต์ ทิเบตเป็นแบบนามธรรม 100% การเลือกผู้ปกครองประเทศ 2 แบบซึ่งเป็นพวกสุดโต่งไม่สมดุล 2 สภาพ

เพราะอาตมาว่า เทวะหรือแปลว่า 2 เกิดมาเป็นคนต้องมีดินน้ำไฟลมวัตถุปรุงแต่ง แล้วมีจิตวิญญาณเป็นตัวประธานควบคุม คุณแยกดินน้ำไฟลม ธาตุวัตถุกับจิตวิญญาณที่ร่วมกันเป็นชีวะไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสรู้จนกระทั่ง ดินน้ำไฟลมร่วมกันแล้วและมีพลังงานที่เป็นชีวะในระดับพีชะ ท่านก็ตรัสรู้แล้วว่ามันไม่มีความละเอียดลออเพียงพอ ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ไม่มีบาปไม่มีบุญ แต่พอมาเป็นจิตนิยามแล้วเกิดเป็นคนมีจิตนิยาม คุณก็ปฏิเสธตัวเองไม่ได้ คุณก็ต้องเป็นผู้ที่บริหารจิตของคุณเอง ทำตัวเองให้เป็นจิตแบบพีชะ ไม่สุขไม่ทุกข์ แต่อย่างไรจิตวิญญาณของคุณก็มีพลังงานเต็มจิตวิญญาณ ทำให้เป็น พีชะได้ พลังงานที่เหลือคุณก็เอามาใช้ แต่คุณอาศัยความเป็นพืชความเป็น พีชนิยามสบาย ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข ไม่มีบาปไม่มีบุญแล้ว เพราะกิเลสหมดแล้ว เป็นคนที่กิเลสหมดถาวรแล้ว ก็มีจิตที่บริสุทธิ์สะอาดไม่มีอคติ ไม่มีรักไม่มีชังใคร เป็นคนยิ่งกว่าพระเจ้า เพราะพระเจ้าจริงๆยังไม่ปรากฏตัว แล้วพระเจ้าจริงก็มีตัวตน แต่นี่ไม่มีตัวตน คนที่เป็นโลกุตระธรรมตั้งแต่พระอรหันต์เป็นต้นไปไม่มีตัวตน แต่มีกายกรรม วจีกรรมครบพร้อม คล่องแคล่วด้วย กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา คล่องแคล่วว่องไวกายก็คล่องแคล่ว เพราะมีจิตเป็นประธาน พระอรหันต์ไม่ได้เป็นคนเซื่องซึมช้าๆ แต่เป็นคนรวดเร็วว่องไวทันเวลาทันยุคทันสมัย ยุคนี้เป็นยุคไวไฟ

 

      (๒) ไม่เกินกว่ามนุษย์รู้                  ศึกษา  

ทุกประเทศล้วนเสาะหา                        ทิศก้าว 

ตามภูมิแห่งเฉกา                               ที่ฉลาด สุดแล                       

ใครไป่ปรารถนาน้าว                           ชาติให้เลวเลย    


พ่อครูว่า... ไม่มีคนสติดีที่ไหนปรารถนาให้ประเทศชาติเลวลงเลย มีแต่คนบ้าบอคนโง่คนสติไม่ดี อย่างที่ออกมาประท้วงกันตอนนี้ ขอสรุปว่าเมืองไทยเป็นเมืองที่มีภูมิธรรมรู้ดีที่สุดและเป็นเมืองที่มีโลกุตรธรรมด้วยอย่าว่าแต่แค่โลกีย์ มีความรู้รอบในเรื่องความเป็นมนุษย์ความเป็นสังคมสูงสุด พูดแล้วเหมือนหลงตัวเอง หลงประเทศไทย หลงคนไทย หลงศาสนาพุทธ แต่เป็นเรื่องจริง ใครจะว่าอย่างไรก็ขอพูดเรื่องจริงความจริงก็แล้วกัน

 

      (๓) แต่เคยสะดุดบ้าง                   มีไหม

ว่า“ระบอบ”ดีสุดใด                                      นั่นแท้  

มี“ทิฏฐิวิเศษ”ไหน                             สร้างโลกุตร์

ตรา“กฎธรรมนูญ”แล้                          เลิศพร้อมเพ็ญพูน

 

พ่อครูว่า... กฎหมายของประเทศเอาศีล 5 นี่แหละเป็นธรรมนูญ ใครผิดศีล 5 ก็มีบทลงโทษ มันจะเป็นยังไงแต่ก็คงจะยาก คนในเมืองนี้ต้องไม่ฆ่าสัตว์นะ อาชีพประมงหายไปเลย จะมีอย่างดีก็อาชีพปศุสัตว์ แล้วไม่ใช่เลี้ยงไว้ฆ่าจะเลี้ยงเอาไว้ใช้งานเลี้ยงเอาไว้ทำประโยชน์ก็จะมีแค่นั้น ไม่มีการเลี้ยงเพื่อฆ่า เลี้ยงเอาไว้ใช้งาน เสร็จแล้วจะมีสัตว์เจริญเยอะ

เอาล่ะคุณจะเป็นทุนนิยมขายสัตว์ออกต่างประเทศก็มีแต่สัตว์ชั้นดีเลี้ยงดีๆออกไปเท่านั้น ปศุสัตว์ของไทยก็จะเจริญยอดเยี่ยม ประเทศนี้ไม่ฆ่าสัตว์ แต่ขายให้คุณเอาไปใช้งาน ส่วนคุณจะไปฆ่า เราห้ามไม่ได้ เพราะฉะนั้นสัตว์ที่เราจะขาย จะเป็นสัตว์ที่ดี คุณต้องซื้อต้องขายในราคาสูงเพราะเป็นสัตว์ของดี มันจะซ้อนปศุสัตว์เจริญเรื่องการเลี้ยงสัตว์จะเจริญเพราะไม่ฆ่า


    (๔) “ธรรมนูญ”พุทธพิสุทธิ์แท้            รู้เถิด

สามหมวด“ศีล”สุดประเสริฐ          ยิ่งล้ำ

“จุลศีล”หมวดหนึ่งเกิด                         อาริย- ชนเอย

“มัชฌิมศีล”สองย้ำ                                      ขยายซ้ำละเอียดเสริม      

      (๕) เติม“มหาศีล”เข้าครบ              หมวดสาม

ข้อกำหนดห้ามปราม                           วิเศษนี้

หากใครปฏิบัติตาม                            พุทธสุด สะอาดแฮ

ไร้“ดิรัจฉานวิชา”ชี้                                      ศาสน์แผ้ววิสุทธิ์ธรรม      

      (๖) กำหนดได้ระบอบนี้                 ดีวิศิษฏ์

หลักพุทธแสนสุจริต                                     ประสิทธิ์แท้

ปกครองมนุษย์ชนิด                            “ธรรมาธิ- ปัตย์”เลย

ชัด“อัตตา-โลก”แก้                                      ปรับได้โดย“ธรรม”


     พ่อครูว่า... คนที่มีศีลปฏิบัติได้หมดก็เป็นคนที่สมบูรณ์ ไม่ใช่มีแต่คำสอนชาวโลกไม่มีธรรมะที่จะไปสังวร ธรรมะโลกียะเทวนิยม ไม่รู้จักกิเลสนะ ไม่รู้จักเหตุแห่งทุกข์เหตุแห่งความเลวร้าย มีแต่ปฏิบัติดีควบคุมอย่างหยาบๆได้แค่กายกรรมวจีกรรม ไม่ได้ปฏิบัติที่มโนกรรม กฎหมายออกมาก็ควบคุมกายกับวจี ไม่ได้มีธรรมนูญที่ลึกซึ้งเหมือนกับพุทธเจ้า กฎหมายธรรมนูญของพระพุทธเจ้าเป็นกฎหมายที่ลึกซึ้งถึงจิตไปขัดเกลาจิต (พ่อครูไอตัดออกด้วย)

สู่แดนธรรม... ผมได้ฟังเรื่องคนจนมหัศจรรย์ที่แสนวิเศษ เป็นจริงได้น่าจะเข้าสายตาคนในประเทศ แต่อาจมีฝุ่นธุลีในดวงตาเขาอยู่ต้องรอการหยอดตา มีดวงตาแจ่มชัดจึงค่อยหายตามัว

พ่อครูว่า... เราไม่สงวนลิขสิทธิ์ แต่อย่าเอาไปเป็นลัทธิแก้ อย่าไปแก้ศาสนาพุทธของพระพุทธเจ้าให้ผิดเพี้ยนไป ไม่ว่าจะเป็นลัทธิไหน เขาก็จะบอกว่าอย่าไปแก้บัญญัติเดิมของผู้ที่เป็นต้นบัญญัติ


      (๗) สัมฤทธิ์“อธิปัตย์”ล้วน             พิเศษผล

“ระบอบพุทธ”สัมมาชน                        สำเร็จได้

มี“ศีล”กำกับคน                                ตัดกิเลส

“สมาธิ-ปัญญา”ไซร้                                     ชี้มนุษย์เจริญจริง.                   

                           “สไมย์ จำปาแพง”   ๑๒ ก.ค. ๒๕๖๐

      [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ ๓๒๕ ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐]

 

สุดยอดระบอบการปกครองคือสาธารณโภคี

พ่อครูว่า... สมาธิกับปัญญาเป็นเครื่องชี้วัดความเจริญของมนุษย์ สัจจะเป็นหนึ่งเดียวไม่เป็น 2 ไม่ออกนอกอื่นเลย มีจิตที่เป็นเช่นนั้นแล้วมีปัญญาควบคู่ ไปด้วยกันเป็นเทวะคู่สำคัญคือสมาธิกับปัญญา เป็นสภาวะ 2  1 จิต 2 ปัญญา

จิตเป็นพลังงานของทุกคนปัญญาก็เป็นของมนุษย์ และปัญญาที่เป็นของมนุษย์คนที่เป็นโลกุตระ ปัญญานี้เป็นโลกุตรธรรมปัญญาไม่ใช่โลกียะ ไม่ใช่ความรู้แค่โลกียะ เทวนิยมเท่านั้นพูดไปแล้วก็เหนียมๆเหมือนกันว่าเราจะไปยกตนข่มท่านมากเกินไป คนที่ยังไม่มีทางที่จะบรรลุโลกุตรธรรมมีเยอะ เทวนิยมมีเยอะในโลก

พลโลก 7 พันล้าน จะมีภูมิถึงที่จะมารับโลกุตรธรรมได้ ขนาดในประเทศไทยทุกวันนี้มี 70 ล้าน ยังเป็นโลกุตรธรรมได้ไม่ถึง 7,000 เลย หรือเอาอย่างหลวมๆ 70,000 .. ที่มีโลกุตรธรรม หมายความว่ามีกระแสโสดาบัน สกิทาคามี อนาคา มีอรหันต์ มีเข้ากระแสบ้าง เป็นแสนอย่างหลวมๆ มีกระแสนิดๆนึง

คนที่ฟังธรรมะของโพธิรักษ์ก็คงจะเกินกว่าแสนคนที่ได้ยินได้ฟังมาเพราะทำงานมา 50 กว่าปี ที่ฟังแล้วไม่รู้เรื่องก็ตายไปเยอะแล้วไม่ยอมรับ คนใหม่ๆที่ได้ฟัง แต่ก่อนมีการต้านอย่างแรงเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยมีคนมาต้าน อธิบายไปดูเหมือนจะราบรื่นกว่าแต่ก่อนเยอะ แล้วก็มีหลักฐานมีเครื่องยืนยัน เช่นมีมนุษย์มีคนไทยนี่แหละ มายอมฟังมายอมรู้ แล้วมายอมปฏิบัติตาม ได้ผลมีมรรคผลว่าเป็นคนชนิดนี้ อาตมาก็ยืนยันว่าคนชนิดนี้ คือผู้ที่บรรลุธรรมของศาสนาพุทธ โดยมีอาตมาประกาศตนบอกจริงๆเลยว่า อาตมาเป็นอรหันต์ เป็นโพธิสัตว์ เป็นผู้ที่บรรลุธรรมของพระพุทธเจ้าทั้ง 2 ลักษณะ

ลักษณะอรหันต์เป็นลักษณะของเถรวาท ลักษณะของโพธิสัตว์เป็นลักษณะของมหายาน อาตมาเป็นทั้ง 2 อย่าง ก็พยายามขยายความทั้งสองอย่างให้เข้าใจ เพราะความเป็นเทวความเป็น 2 อาตมาเข้าใจทั้งคู่ทุกอย่าง พูดไปนี้ก็คงจะยังยากที่คนจะเข้าใจว่ามันกินความแค่ไหน อาตมาว่ากินความทุกอย่างทั้งในความรู้และความเป็นมนุษย์จะขยายความเป็นประเทศเป็นสังคมเป็นกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม ก็มีสภาพคู่ทั้งนั้น คือมี 2 ลักษณะที่ต่างกัน และ 2 ลักษณะนี้จะต้องเอามาใช้

กาละไหนจะใช้อันไหนนี่แหละคือความไม่เที่ยง มันต้องมีบวกกับมีลบ กาละไหนใช้บวก กาละไหนจะใช้ลบ ต้องมีสภาพคู่เสมอ

ลบ คือสภาพที่เที่ยง บวกคือสภาพที่เที่ยง

บวกคือ สภาพปุริสลักษณะสภาพเพศชาย

ลบคือสภาพเพศหญิง

ต้องอาศัยกันและกันรังเกียจกันไม่ได้ไปด้วยกันมาด้วยกัน เลือดราชธานี ไม่ใช่เลือดสุพรรณ

500 ปีไปถึงประเทศไทยเกิดโลกุตระในยุคนี้เป็นสุดยอดของระบอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในมหาจักรวาล พูดอย่างนี้เลย ระบอบพุทธศาสนาที่เป็นโลกุตระ เขาแสวงหากันทั้งโลก แสวงหาระบบที่ดีที่สุด เพราะฉะนั้นระบอบที่ค้นพบได้อย่างเก่งก็เป็นคอมมิวนิสต์ อย่างเก่งก็เป็นประชาธิปไตยแบบสหรัฐ

สู่แดนธรรม... ถ้าตั้งระบอบที่ดีที่สุดชื่อว่าเป็นระบอบสาธารณโภคีได้ไหมครับ

พ่อครูว่า... ได้..จะเป็นระบอบสาธารณโภคีก็ได้ระบอบพุทธก็ได้ เขาก็จะบอกว่ามันทำได้หรือสาธารณโภคี เขาอาจจะพอฟังออกเข้าใจได้ว่าทุกอย่างเป็นของส่วนกลางหมดมันเหนือชั้นกว่าคอมมิวนิสต์นะ คอมมิวนิสต์พยายามหาทางบังคับให้คนเอามาไว้ส่วนกลางมากๆ แต่ประชาธิปไตยนั้นให้อิสระไม่บังคับเหมือนคอมมิวนิสต์ คอมมิวนิสต์บังคับมาก แต่ประชาธิปไตยเป็นอิสระแต่ก็ให้เอาเข้ากองกลางเป็นภาษี อิสรเสรีภาพ คุณได้มากคุณก็เอาเข้ามาช่วยคนอื่นให้มากหน่อย มีกฎหมายแต่ก็เป็นกฎหมายไม่ได้รีดนาทาเร้นหนักหนาสาหัส แต่อเมริกานี้หนักหนาสาหัสนะปากว่าตาขยิบจริง แต่มันเก่งที่เลี่ยงภาษี ชาวอเมริกันเลี่ยงภาษีเก่งที่สุดยอดซับซ้อนเลย เพราะฉะนั้นคนรวยก็มีมูลนิธิทั้งนั้น เป็นที่พักเงินของเขา แล้วเขาก็อาศัยซ้อนใช้เชิงชั้น ถ้าคนเข้าใจแล้วก็รู้ เมืองไทยก็เหมือนกันก็มีการสร้างมูลนิธิ มาซ้อนๆอยู่ วิธีเชิงกลมายาเขาสุดยอดเลยที่แย่จริงๆ

ทีนี้ ผู้ที่มีความไม่มีตัวตนไม่ได้เห็นแก่ตัว จึงไม่ต้องหนักหนาสาหัสเรื่องมูลนิธิ จะมีมูลนิธิก็อาศัยจริงๆ ไม่ใช่แฝงเพื่อฝากเงิน มูลนิธิก็ไม่ได้สะสมเงิน มูลนิธิชาวอโศกไม่ได้สะสมเงินไม่ได้ไปเดือดร้อนกระทบกระเทือนประเทศชาติ ประเทศที่มีลัทธิมูลนิธิ เป็นประเทศที่มันเป็นระบบวิธีการของทุนนิยมนั่นแหละ แต่ทุนนิยมเขาบอกว่าเป็นเรื่องของส่วนรวมนะมูลนิธิ ซึ่งมันไม่จริงหรอก มันก็ไปพักไว้ แล้วก็บริหาร มันมีนิดนึงตรงที่ว่า ถ้าทรัพย์สมบัติของมูลนิธิแล้วตามกฎหมายจะเอาออกมาแบ่งเป็นส่วนตัวกันไม่ได้ แต่สุดท้ายมันก็มีวิธีการทำได้กันอยู่ซับซ้อน นี่คือความไม่จริง

ทีนี้เอาจริงที่ใจคน ใจคนที่บริสุทธิ์ไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีตัวตน ไม่ต้องมีความปรารถนาที่จะมีทรัพย์สินของตัวเองแล้ว คุณลองตรวจใจตัวเองแต่ละคน ถ้าเราไม่ต้องการจะมีทรัพย์สินส่วนตัวเลย มีเท่าไหร่เอาเข้าส่วนกลางหมดแล้วมีชีวิตอยู่กับส่วนกลางนี่แหละ ก็จะเป็นคนที่ใช้น้อย ส่วนตัวนี้น้อยจริงๆไม่เป็นภาระไม่ได้มีจิตอยากจะบำเรอตัวเองอะไร

แม้แต่ที่สุดบริขาร หรือปัจจัยชีวิต ข้าวผ้ายาบ้านก็มีส่วนกลางให้อาศัยได้แล้ว บริขารก็มีส่วนตัวบ้างเท่าที่เราถนัดของเรา ก็ไม่เท่าไหร่หรอก ถ้าจริงๆแล้วไม่เท่าไหร่มันมีจุดพอ มีจุดไม่ต้องมากกว่านี้ มากกว่านี้ก็เอาเข้าส่วนกลางแบ่งคนอื่นใช้ไป มันเป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด

ถ้าเข้าใจความจริงแล้วมาแก้ไขประเด็นเศรษฐกิจ มาแก้ไขที่จิตมนุษย์ให้มนุษย์ลดความเห็นแก่ได้ลดความหลงโแม้ลก ลดความบำเรอตนเองลง รู้จักแก่นสารสาระของชีวิตว่ามีอะไรเป็นแก่นสารสาระ ก็ใช้แต่พอสมควรมันก็ไม่มาก สร้างสิ่งที่อาศัย ให้คนอื่นอาศัยใช้พอสมควร ถ้ามันเฟ้อเกินฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยหรูหราเกินเราก็ไม่ต้องไปสร้างหรอก คนมันบ้าสร้างกันอยู่แล้วหลอกกัน ซื้อของฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยหรูหราแพงๆ หลอกกันไป กระเป๋าถือใบเท่านี้ 4 ล้าน ก็ให้เขาซื้อกันไป โง่จนไม่รู้จะโง่ถึงขนาดไหนแล้ว ให้เขาหลอกเอาเงิน 3-4 ล้านแค่กระเป๋าถือ มันโง่ขนาดไหนคน แต่เขามีเงิน โลกมันก็หลอก คนนี้ซื้อได้อย่างบ้าถึงๆจริงๆเลย แล้วก็หลอกยกย่องกันว่าสุดยอด ก็คนรวยมันมีเงินใช่ไหมมันมีทางได้มามันไม่ต้องหวงแหนก็ซื้อมาอวดกัน ว่าฉันบ้าสุดยอดยกย่องกัน เห็นไหมคนบ้าชมเชยกันอยู่ในโลก ไม่รู้ตัวเองว่าบ้า ทั้งบ้าทั้งโง่ผสมกันอยู่ตรงนั้น สุดยอดถูกหลอก อย่างแฟชั่นของโลกเขานี่ ผู้หญิงนี่แหละสุดโง่ ไม่รู้จะพูดอย่างไรเพราะว่าผู้หญิงนี้ต้องฉลาดน้อยกว่าผู้ชาย แต่ดิ้นมากกว่าผู้ชาย มีคิดฟุ้งซ่านเยอะมากกว่าผู้ชาย ผู้ชายก็มีข้อสรุป ผู้หญิงจะมีข้อสรุปนั้นหายากรวบรวมลงยาก ถ้าคนได้ข้อสรุปเก่งจริงๆก็จะเป็นผู้ที่จบด้วยข้อสรุป

 

อาตมาเอาเรื่องระบอบการปกครองเรื่องการเมืองมาพูด เขาก็บอกว่าทำไมไม่พูดทำไม ซึ่งธรรมะเป็นเรื่องที่เขาคิดว่าเป็นเรื่องไม่ต้องยุ่งกับโลก อยู่ป่าเขาถ้ำไปกินดินกินหิน อยู่กับพวกไส้เดือนกิ้งกือนั้น คือมันพูดไปแล้ว แหม น่าสงสารความคิดของคนที่ไม่ออก คิดไม่ออก มันไม่มีปัญญาที่จะรู้ได้

 

SMS วันที่ 25-27 มิ.ย. 2564

 

วรรณะ 9 กับสาราณียธรรม 6 เป็นธรรมะคู่ที่สำคัญ

_สติพล จนพัฒนา : **คำว่า"ตั้งมั่น"เอาที่จิตหรือที่กายครับ..เพราะบางคนเขาบอกว่าตั้งมั่นๆๆแต่พอนานกาลเปลี่ยนเขาก็ไม่ตั้งมั่น..หรือจะวัดการตั้งมั่นตอนตายแล้วครับ?.

พ่อครูว่า... ก็ถึงตายแล้วเป็นการวัดด้วย แม้แต่ยังไม่ถึงตายเขาก็มีการตั้งมั่น จนตายเขาก็ตั้งมั่นอย่างที่เคยยึดถือตั้งมั่นอย่างนั้น จะบอกว่ายึดถือหรือไม่ยึดถือก็มันเป็นไปได้แล้วเรียบร้อยแล้วนั่นแหละคือความตั้งมั่น เอาที่ไหน ใจเป็นประธานเอาที่กายหรือที่จิต แต่กายกับจิตไม่ได้แยกกัน ต้องอธิบายเสริมขยายความซ้ำ

เอาที่จิตเป็นประธานแต่จิตกับกายไม่ได้แยกกัน

จิตเป็นประธานกายก็เป็นจิต เพราะฉะนั้นความรู้ความจริงที่จิตมีมันก็ทำให้ กาย เป็นความรู้เป็นความจริงที่ตรงกันกับที่จิตมี เป็นโลกุตระเป็นต้น เป็นคนวรรณะ 9 สุดท้ายรวมกันเกิดเป็นสังคมสาราณียธรรม 6 ก็จริงที่สุด พิสูจน์สุดยอดได้ว่าสังคมใดก็แล้วแต่ที่อยู่กันอย่างมีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เศรษฐกิจเป็นสาธารณโภคี ลาภที่ได้มาโดยธรรม เอามากินใช้ร่วมกันใช้สอยร่วมกัน

คอมมิวนิสต์สู้ไม่ได้ สาธารณโภคีนี้เป็นลัทธิอิสรเสรีภาพที่สุด ประชาธิปไตยอย่างอิสรเสรีภาพไม่เท่าไหร่ สุดยอดคอมมิวนิสต์คอมมิวนิสต์ไม่ต้องพูดถึงเลยถูกบังคับยิ่งกว่าประชาธิปไตย ยิ่งเป็นสาธารณโภคี ระบอบสุดยอด เอาเศรษฐศาสตร์เศรษฐกิจมาเป็นเครื่องวัดสุดยอด เศรษฐกิจเป็นคนจนและเป็นคนยอดขยันสร้างสรรและแจกจ่ายเจือจานขายถูก ให้ส่วนนอกไป ส่วนในเราก็ไม่สะสมด้วยพอกินพอใช้แล้วก็มั่นใจในความขยันหมั่นเพียรและความสามารถของเรา

ก็จะทำกินทำใช้ด้วยความขยันด้วยความสามารถ พลังงานหรือแรงงานที่ใช้ที่ทำก็ทำสิ่งที่ไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยไม่เปลืองแรงงานเปลืองเวลา เปลืองความรู้ความสามารถทิ้งเปล่า ไม่เอา! เอามาทำสิ่งที่เป็นสาระแก่นสารอาศัยกินอาศัยใช้กันจริงๆ ถึงไม่สูญเสียไม่ทำลายไม่ผ่านพลาดไม่ขาดหกตกหล่น มันเป็นความสมบูรณ์สมดุลที่สูงสุดจริงๆเลย ความรู้ของพระพุทธเจ้าที่ประมวลมา

มนุษย์รู้ทฤษฎีรู้แบบปฏิบัติการประพฤติ ประพฤติกายและจิตครบสุดยอดจบเลย อย่างชาวอโศกเป็นมนุษย์กลุ่มที่เรียกว่าจบคือ อรหันต์ แปลว่าความสุดยอดที่ไม่ลึกลับ หรือว่าความลึกลับที่รู้หมดแล้วสุดยอดแล้ว รู้ความลับทุกอย่างแล้ว อันตะกับอรหะ

อรหะ แปลว่าไม่ลึกลับ, รหะแปลว่าลึกลับ, อรหันต์แปลว่าไม่ลึกลับสุดเลย(อันตะ)

สังคมชาวอโศกคือสังคมชาวอรหันต์ สังคมที่ไม่ลึกลับในเรื่องความเป็นคน เราเป็นคนควรจะมีชีวิตอย่างไร วรรณะ 9

คุณมาที่นี่มามีชีวิตวรรณะ 9 รวมกันแล้วเป็นสาราณียธรรม 6 สุดยอดแล้ววรรณะ 9 กับสาราณียธรรม 6 เป็นธรรมะคู่เทวะ วรรณะ 9 คือตัวใครตัวมันมีคุณสมบัติ 9 ชนิดนี้ เป็นคน:

เลี้ยงง่าย (สุภระ)  บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ)  มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ)  ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ)  ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ) เพ่งทำลายกิเลส   มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์)  มีอาการน่าเลื่อมใส (ปาสาทิกะ)  ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ)  ตรงข้าม อวรรณะ9   ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) 

มีอาการกายวาจาใจน่าเลื่อมใสอย่างมีสัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 ไม่สร้างสรรสิ่งที่ไม่ควร มีแรงงานสมรรถนะความสามารถความขยันสร้างสิ่งที่เป็นเศรษฐกิจสูงสุด ไม่เอาไปสูญเสียเปลืองเปล่า ที่ไม่เข้ากับยุคสมัย แล้วยุคสมัยมันเลื่อนเปลี่ยนไปตลอดเวลา 2500 กว่าปีในยุคพระพุทธเจ้ากับในยุคนี้มันต่างกันไหม ต่างกันไกลลิบลับ

แม้ประเทศไทย ไม่ต้องเอามาก เอาแค่ จาก พ. ศ. 2549 กับก่อนพ. ศ. 2549 ที่มีทักษิณจัดการประเทศไทย เหมือนกันไหม ในยุคทักษิณกับในยุคประยุทธ์ มีคนโกงโดยเฉพาะในรัฐบาลมากกว่ากันใหม่ ในยุคทักษิณมากกว่าในยุคนายกประยุทธ์มากกว่ากันมากเลย ในยุคทักษิณโกงก็จับไม่ได้เพราะหัวหน้ามันพาโกงเลยจับไม่ได้ แต่ในยุคประยุทธ์ หัวหน้าไม่พาโกง แต่แน่นอนลูกน้องจะมีแฝงขี้โกงบ้างก็เป็นธรรมชาติ แต่ถ้าเจอก็จับนะ แต่ทางนั้นไม่ใช่ เขาเลี่ยงไปเลี่ยงมาลูบหน้าปะจมูกเขาไม่ทำ คนมันต่างกันคนละโลก ไกลกันลิบเลย อย่างทักษิณกับประยุทธ์

แล้วคนก็โง่ไปหลงทักษิณอยู่ได้ จนป่านนี้เขาจะฟื้นเขาจะตื่นสักที หน้าตาก็หล่อกว่ากันเยอะ โหงวเฮ้งก็ต่างกัน ก็พูดตามความเป็นจริงไม่ได้แกล้งพูดแกล้งว่าอะไรหรอก

 

_งามใบตอง นิลมณี : รัฐบาลมีรถขายสินค้าราคาถูกให้ถึงมือประชาชนรู้สึกชื่นชมมากๆค่ะ นายกฯลุงตู่เป็นผู้นำที่ดีที่สุดในยุคนี้ขอเชียร์ท่านประยุทธเต็มที่ค่ะ

พ่อครูว่า... เป็นกิจการช่วยเหลือประชาชนในยุคนี้ ยกตัวอย่างนายกทักษิณแจกเงินเหมือนกันแต่แจกในพรรคพวกตัวเอง ประยุทธ์แจกเงินประชาชนยิ่งกว่ายุคทักษิณ แต่ไม่แจกพรรคพวก พวกปากหอยปากปูมันดันว่า ก็เขาทำเพื่อประชาชนไม่ได้ทำเพื่อพรรคพวกเหมือนทักษิณอย่างนี้ก็โง่ ไม่สามารถจะรู้ความจริงอันนี้ได้ เขาทำดีแล้ว

สมมุติว่าเมืองไทยนี้เจริญมีกองคงคลัง มีเงินส่วนกลางเยอะมาก ก็พยายามออกมาแจกสะพัดให้แก่ประชาชน มีกลยุทธ์วิธีการออกกฎหมายให้แจกไปถึงมือคนที่ควร เช่นคนจน

คนจนที่ไม่อยากจนนะ 1 คนที่ไม่มีความสามารถไม่มีหรอกคนนั้นอยากมีความสามารถ คนขี้เกียจมันก็ไม่อยากขี้เกียจหรอก แต่ที่นี้มันเป็น คนมันต้องเป็น ตามนิสัยใจคอของเขาคนก็เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นการเป็นอยู่ก็ต้องช่วยดูแลกัน บริหารกันโดยที่ว่า คนนี้ก็ควรจะต้องได้รับการช่วยเหลือให้มีชีวิตอยู่อย่างไม่ทุเรศทุรังการเกินไป ดูทรมานเกินไปนะ ต้องอาศัยสิ่งที่ควรอาศัยสมบัติวัตถุต่างๆต้องอาศัย มันก็คลายใจ จิตใจก็เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมากขึ้นอย่างนี้เป็นต้น

เพราะฉะนั้นในเรื่องของวิธีการ รัฐบาลยุคนี้มีรถขายสินค้าราคาถูกนี้ก็เป็นวิธีการของรัฐบาลในยุคนี้ ถึงมือประชาชน

คนมีปัญญาก็เชียร์นายกตู่ คนที่ไม่มีปัญญาก็มาค้านมาไล่ ประยุทธ์ออกไป ยังโง่ถึงขีดจริงๆ

_บุญเย็น เจนวีรวัฒน์ : ในอนาคตไม่ทราบว่า ชาวอโศก จะมีการจัดตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่อีกครั้งบ้างไหม? หลังจากที่พรรคเพื่อฟ้าดินก็ปล่อยให้ยุบพรรคไปแล้ว

_จาก สัมมาบัณฑิต : ตอนนี้ กลุ่ม สภาสัมมาธิปไตย ก็หาสมาชิกเข้ามาเพิ่มเติมมากขึ้น  เพื่อสร้างเหตุปัจจัยองค์ประกอบ ให้พร้อมในการจะไปจดตั้งเป็นพรรคการเมืองครับ

พ่อครูว่า... เรื่องการเมืองเป็นธรรมดาของมนุษยชาติ คนไม่รู้ก็พูดไปว่าธรรมะมายุ่งอะไรกับการเมือง คำพูดประโยคนี้เป็นประโยคของคนขี้โกงที่จะเอาธรรมะออกจากการเมืองเพื่อที่จะได้ทำการปู้ยี่ปู้ยำการเมืองให้เละเทะ การเมืองไม่มีธรรมะมันก็เละเทะ การเมืองต้องมีธรรมะเข้าไปสถาปนาลงไปในการเมืองให้แข็งแรง ยิ่งเป็นการเมืองระดับโลกุตระ เป็นการเมืองที่ไม่มีตัวตน เป็นการเมืองที่เสียสละเต็มที่ เป็นการเมืองที่รู้จักรับใช้ประชาชนจริงๆ เป็นการเมืองที่มี พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก)

เป็นอายะ 3 เป็นการเมืองที่สร้างประโยชน์ให้แก่ประชาชน พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) ความสุขนี้เป็นวูปสโมสุข เป็นความสุขไม่ใช่บำเรอกิเลส แต่เป็นสุขอย่างปรมังสุขัง เป็นความสุขสงบสบาย

โลกานุกัมปายะ รับใช้ประชาชนรับใช้โลก คนที่มีอายะ 3 พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก ช่วยโลก) เป็นระบอบสูงสุดของมนุษยชาติแล้วที่เข้าใจสารัตถะ ไม่ใช่แค่พยัญชนะตรงๆว่าเป็นประชาธิปไตย แต่นี่แหละคือเป็นสุดยอดประชาธิปไตย เพราะเป็นประชาธิปไตยที่รับใช้มนุษยชาติ รับใช้โลก ช่วยเหลือโลกให้เกิดความสุขสงบ

ชาวอโศกเป็นผู้ที่มีความสุขสงบ สงบอย่างไรเพราะว่าไม่ก่อความดิ้นรนเดือดร้อน ไม่เกิดการวุ่นวาย เป็นคนมีคุณธรรม 7 ประการ

พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ จิตวิญญาณมีคุณสมบัติ 7 ประการนี้ ระลึกถึงกัน ไม่ใช่เป็นคนอยู่โดดเดี่ยวไม่นึกคิดถึงใครไม่ใช่ แต่เป็นคนที่มีน้ำใจเป็นคนระลึกถึงกัน ใครที่ตกทุกข์ได้ยาก ใครที่ควรได้รับการเกื้อกูลช่วยเหลือ ก็ระลึกถึงกัน

อย่างพระพุทธเจ้าเช้าขึ้นมาท่านก็ระลึกถึงว่าควรจะไปโปรดใคร มีสาราณียธรรม เป็นคนไม่เลือกชั้นวรรณะไม่เลือกบุคคล ระลึกถึงใครที่ควรจะไปช่วยก็ไปช่วย ไม่ใช่ช่วยแต่ญาติช่วยแต่พวก เช่นพวกไม่เลือกไม่ต้องไปช่วยมัน อันนี้มีตัวอย่างเขามีอยู่จริงในประเทศไทย ทักษิณนี่แหละเป็นตัวอย่างที่แย่ แสดงความไม่ดี มิลักขะอย่างสำคัญ เป็นพวกเถื่อนจริงๆ เห็นแก่ตัวจัดจ้านแสดงอะไรเถื่อนเถื่อน  แล้วคนก็หลงว่าเป็นความเจริญเป็นความคิดอันเจริญอย่างทักษิณ เจริญชิบหายนะสิ

สู่แดนธรรม... ชาวอโศกในอนาคตจะตั้งพรรคการเมืองหรือไม่

พ่อครูว่า... ไม่ต้องพูดต่อหรอกมันจะจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ อาตมาเคยพูดนำมาแล้ว ในอนาคตมันจะมี แต่จะเมื่อไหร่ไม่รู้ปีไหนไม่รู้ เพราะเชื้อของโลกุตรธรรม เชื้อของมนุษย์มันเกิดแล้ว DNA ของโลกุตระมันเกิดในประเทศไทยแล้ว คนไทยก็จะรู้จักสิ่งดีอันนี้ มันก็จะพัฒนางอกงามไพบูลย์ขึ้นไปเรื่อยๆ ก็จะเกิดระบบ ระบบอย่างโน้นที่เขาจะใช้ มีพรรคการเมืองมันก็จะเรียบร้อยเป็นพรรคการเมืองที่ดี เป็นการเมืองที่ดีเป็นตัวอย่างให้แก่โลก ว่าคณะหรือพรรคที่ดี ได้รับการยอมรับและก็มีพรรคคนโง่คนที่ก็อยากจะแข่งดีแข่งเด่นบ้างเล็กๆน้อยๆ แต่พรรคที่เป็นหลักๆที่ดี คนในประเทศก็รู้ดีเลือกเมื่อไหร่ก็ได้เป็นที่หนึ่ง แล้วก็จะบอกว่า เป็นพรรคที่ทำไมเป็นที่หนึ่งก็เพราะมันดีจริงๆ ประชาชนก็รู้จักประชาธิปไตยจริงๆก็เลือกเอาสิ่งที่ดีจริงๆมาตลอดเวลา

ส่วนพวกที่โง่งมงายรู้สึกว่าอันนั้นมันยังไม่ดี เช่นตอนนี้รัฐบาลไทยพลเอกประยุทธ์ดีพร้อมแล้วแต่พวกตาบอดตาถั่วก็ประท้วงอยู่อย่างนี้ เป็นเรื่องธรรมดา เห็นได้ชัดอยู่แล้วว่าเมืองไทยนี่ชัดเจนมันเป็นอย่างนั้นตลอดเวลา

 

ทีนี้ มีข้อความส่งมาสุดท้าย กราบถวายภาษาพยัญชนะ

 

_ภาษาพยัญชนะที่สภาวะยังทำไม่ถึงก่อนค่ะ ฝึกหัดเป็นเจ้าบทเจ้ากลอนกับเขาบ้างค่ะ

 

      มรรคผลได้เป็นคนวรรณะ 9  รวมกันเข้าเอกีภาวะ

สาราณียะในสาธารณโภคี   และมีนิพพาน ค่ะ

คิดต่อจากฟังเทศน์พ่อท่านค่ะ        เทวะอีกคู่น่ะค่ะ

มุทุกับอุตุ มุทุเกิดโพธิสัตว์            อุตุดับพระอรหันต์  ได้ไหม?
          พ่อครูว่า... ได้ พวกเราชัดเจนเข้าใจได้

จบ


640804_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5 วันพุธที่ 4 สิงหาคม  2564 ณ บวรราชธานีอโศก ชมวิดีโอได้ที่นี่ ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่น...