วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2564

640609_พ่อครูเทศน์ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 ผู้พ้นอสุรกายจึงได้ไปอยู่โลกหน้า

 ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564  ผู้พ้นอสุรกายจึงได้ไปอยู่โลกหน้า
วันพุธที่ 9 มิถุนายน  2564

ณ บวรราชธานีอโศก


ชมการบันทึกวิดีโอเทป
ฟังเสียงจากการบันทึกเทป


ผู้พ้นอสุรกายจึงได้ไปอยู่โลกหน้า(โลกโลกุตระ)

พ่อครูว่า…วันนี้วันพุธที่ 9 มิถุนายน 2560 4 ที่บวรราชธานีอโศก วันอโศกรำลึก รำลึกกันมาถึง 40 ปี ก็เห็นว่าพวกเรานี้ช่างกล้าหาญ มี สุรภาโว สติมันโต อิธพรหมจริยวาโส ครบสมบูรณ์ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส มีภาวะที่แข็งกร้าว แรงกล้า ไม่อ่อนแอ เป็นสุรภาโว เป็น สุรกาย

เป็นสุรกายนะ ไม่ใช่อสุรกายที่เป็นพวกไม่กล้า จะเป็นพวกกล้าหาญชาญชัย กล้าทำงาน กล้าทำความดี กล้าที่จะจัดการกับความชั่ว ไม่กลัวความชั่ว ไม่กลัวความชั่วไม่ใช่ว่าจะไปคบหาความชั่วนั้น จะปราบความชั่วเลย

อสุรกายคือใจที่ไม่กล้า

 

 (๑) อสุรคือจิตแท้          ของคน

ใจไม่กล้าของตน            นั่นแท้

ใจตนต่ำลงจน               เลวชั่ว ใช่เลย

คือจิตคนผู้แพ้               บ่กล้าทำดี

(๒) แม้มีโอกาสให้                   ตนทำ

แต่เพราะกิเลสจำ            พ่ายแพ้

อ่อนแอจึ่งไม่สำ-            เร็จกิจ นั้นนา

ลาภยศสรรเสริญแล้         ฤทธิ์ร้ายทำลายคน

(๓) ปุถุชนทั้งหมดล้วน    คืออสูร

เล็กใหญ่ตามกายกูล        แต่ละผู้

นามและรูปคือมูล           ประชุมเกิด กายแฮ

อสุรกายนั้นรู้-              จักได้ในตน                          

(๔) ทุกคนเรียนอ่านได้    จริงตาม จิตเฮย

องค์ประชุมรูปนาม          เพ่งรู้

เห็นกายเกิดพ่ายกาม       นั่นแหละ อสูรแล          

จิตอ่อนแอไป่สู้             บ่กล้าทำดี

(๕) ทุกคนมีจิตนี้           ในตน

พึงฉลาดทำใจจน            แกร่งกล้า

เอาชนะจิตตนชน           อุปสรรค

โอกาสดีอย่าช้า             จักพ้นจิตอบาย

(๖) อสุรกายจิตแท้                  ตนทำ

จิตถูกกิเลสกำ-             หนดไว้

จิตจึงอ่อนแอสำ-           เร็จเสร็จ มารเลย

ต้องกำจัดกิเลสได้          จึ่งพ้นจิตอบาย                      

(๗) อสุรกายดับสิ้น                 จากจิต

บริสุทธิ์ให้สนิท             จึ่งแท้

เผด็จศึกประเสริฐฤทธิ์      กันเถิด           

จะชนะทุกสิ่งแล้             อย่าแพ้ภัยตัว.   

         

                           สไมย์ จำปาแพง                    

                            ๕ พ.ค. ๒๕๕๘

[นัยปก เราคิดอะไร ฉบับ ๒๙๙ ประจำเดือน มิถุนายน ๒๕๕๘] 

พ่อครูว่า…อสุรกายก็คืออยู่ในจิตเรานี่แหละ ต้องรู้ตัวมันให้จริง ไม่ใช่ว่าอสุรกายคือ เมื่อตายไปแล้วจิตเราก็ไปเกิดเป็นอสุรกายในภพหน้า ชาติหน้า โลกหน้า

คำว่าโลกหน้าก็คือ โลกนี้นี่แหละ ถ้าคนเข้าใจแล้ว รู้เป็นสัมมาทิฏฐิดี

โลกหน้าก็คือ ดินแดนโลกุตระ อยู่กับเราตรงนี้แหละ ไม่ใช่ตายแล้วค่อยไปโลกหน้า คิดแบบนี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เป็นพวกที่ไม่มีทางสำเร็จ ไม่มีทางบรรลุธรรม เข้าใจโลกหน้า ตายแล้วค่อยไปลงนรก ค่อยไปขึ้นสวรรค์ ต้องรู้สวรรค์ ต้องรู้นรกในปัจจุบันนี้ ว่าจิตของเราหรือเวทนา จับอาการความรู้สึกเรียกว่า เวทนาในเวทนา พิจารณากายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต ธรรมในธรรม ในขณะที่มีผัสสะเป็นปัจจัย เป็นปัจจุบันชาติ ทิฏฐธรรม สัมผัสกันหลัดหลัดกันเลยขณะนี้ มันแพ้กาม อ่อนแอสู้มันไม่ได้

กามไม่ได้หมายความแต่เรื่องเพศเรื่องผู้หญิงผู้ชายเท่านั้น กามหมายถึง รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส กามคุณ 5 เขาไม่เรียกกามคุณ 6 เขาเรียกกามคุณ 5 เพราะมี ตาหูจมูกลิ้นกายภายนอกควบคู่กับภายในจิตเรา แล้วก็ร่วมสัมผัสกันแล้วทำงานกันขึ้นมา

เพราะฉะนั้นผู้ที่หลับตา ไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย ปิดทวาร 5 ไปหลับตาปฏิบัติ อาตมาไม่รู้จะพูดซ้ำพูดซากอย่างไร ท่านก็ไม่ฟังที่พวกเราพูดกันหรอก ไม่รับรู้ก็ไปจมหยั่งลงในที่หลง

หยั่งลงในที่หลงเพราะกิเลสมาก กิเลสมากแล้วดันปิดบังเอาไว้แล้วอีก โอ้.. จึงไกลจากวิเวก ห่างไกลจากวิเวก ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ผู้ที่จะปลุกให้ตื่นนี้ สงสารจริงๆ มุ่งมั่นนะเอาชีวิตมาทิ้งทั้งชีวิต ปฏิบัติพากเพียร เสร็จแล้วก็งมจมอยู่อย่างนั้น ศึกษาดีๆอย่างน้อยก็พยายามเปิดพระไตรปิฏกอ่านบ้าง เล่มนั้นเล่มนี้อ่านดีๆ อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่าเราชัดเจนแล้วเข้าใจแล้วไม่มีผิดหรอก อันอื่นๆมาก็ฟังผ่านๆ ไอ้ที่ไปยึดมั่นถือมั่นการหลับตาปฏิบัตินี้ มันเป็นเรื่องน่าสงสารจริงๆ มันเป็นเรื่องซวยสุดๆเลย มันงมงายหมด

พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก เจอแต่ เดียรถีย์ นั่งหลับตากันอยู่เต็มป่า ไม่เหมือนโพธิรักษ์เกิดมาก็มีศาสนาพุทธแล้ว แต่เขาขบถจากศาสนาพุทธ อาตมาก็ตีเขาเท่านั้น เพื่อเอาสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ สัมมาปฏิเวธ เอามาเปิดเผย ตอนพระพุทธเจ้านั้นมีเดือนละทีเต็มไปหมด เพราะว่าท่านก็มุ่งมั่นเอาผู้ปฏิบัติธรรมให้บรรลุธรรมนี่แหละ แต่มันไม่ชัดเจน ไม่รู้ ไม่เข้าใจทางออก ไม่มีอุบายเครื่องออกที่ถูก ท่านก็เอาจรณะ 15 วิชชา 8 นี้มาประกาศ โดยมีศีลเป็นหลัก แล้วก็ต้องปฏิบัติศีล มี อปัณณกปฏิปทา 3 ต้อง สังวรสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยค ไม่ใช่หลับตา ต้องตื่นแบบชาคริยานุโยคะ แล้วปฏิบัติในขณะมีโภชนะ ของกินของใช้นี่แหละตัวสำคัญ สัมผัสเครื่องกินเครื่องใช้ต่างๆที่เกี่ยวข้องกับชีวิตนี่แหละ กิเลสมันเกิด กิเลสกามที่มาก แล้วปิดบังเอาไว้แล้วนี่แหละ ต้องพยายามเรียนรู้ให้จริงให้ออกมา แล้วเราก็จะได้ละลดกิเลสไปตามลำดับ

เมื่อผู้ที่ละลดกิเลสได้ กิเลสกามที่หยาบต่ำ ท่านเรียกว่าอบาย อบายแปลว่า ต่ำ แปลว่าไม่สบาย ไม่เกิดประโยชน์คุณค่า ปายะ แปลว่า คุณค่าประโยชน์ ส่วนได้ส่วนเจริญ มันไม่เกิด อปายะ เพราะฉะนั้นจะต้องให้ สัปปายะ ให้ประกอบไปด้วยการเจริญ ประกอบไปด้วยความสบาย พยัญชนะท่านก็บอกได้แค่นั้น เราก็ต้องมาเรียนรู้วิธีที่ถูกต้องแล้วก็ปฏิบัติให้ถูกต้อง

ข้อสำคัญแล้ว สัมผัสแล้วอ่านจิตให้เป็นมีสติสัมปชัญญะปัญญา อ่านให้ทัน สัมผัสแล้วกำลังเกิดอาการ เวทนา เป็นตัวอาการ อ่านอาการนั้นให้ออก อาการที่ไปปรุงปุ๊บเป็นสุขเลย ปรุงปุ๊บเป็นทุกข์เลย​ เราก็ต้องอ่านให้ออก​ โอ้โห.. เรานี้คล่องแคล่วเร็วไวเหลือเกินในการที่จะเป็นผีเป็นสาง เป็นมาร เป็นมายา เป็นเทวดาหลอก ไอ้สุขทุกข์เป็นเทวดาหลอก มันเป็นมายา ต้องเรียนรู้อาการพวกนี้ให้จริงเลย แล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาทำความเข้าใจให้ได้ว่าสิ่งเหล่านี้ มันเป็นเรื่องเกิดอาศัยการเกิดเท่านั้น ตราบที่เรายังมีตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วก็มีใจที่ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสาน มันก็จะมีผีซ้อนอยู่ในนี้ เป็นจิตของเราทั้งนั้น

เมื่อคุณเกิดมาเป็นสัตว์ เริ่มต้นเป็นสัตว์เซลล์เดียว จนเป็นสัตว์ไม่รู้กี่ล้านเซลล์ เป็นคนเป็นมนุษย์ คุณหนีไม่ได้ คุณได้เกิดมาเป็นสัตว์แล้ว เกิดมาเป็นจิตนิยาม พลังงานของคุณนี้จับตัวเป็นอัตภาพ เป็นจิตนิยามแล้ว คุณหนีไม่ได้ แล้วเมื่อมันเริ่มเกิดมาเป็นสัตว์เซลล์เดียว มันไม่รู้เรื่องอะไร มันเป็นอวิชชา มันก็สะสมกิเลส สะสมรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเพราะมันอวิชชา สัตว์เซลล์เดียว  สัตว์ล้านเซลล์ สัตว์ที่เป็นเดรัจฉาน ขนาดที่เป็นมนุษย์แล้ว ที่ไม่ได้เรียนรู้ ไม่ได้ฟังสัจธรรม ไม่ได้พบสัตบุรุษไม่ได้ฟังสิ่งที่ถูกต้อง มันก็ยังงมงายอยู่อย่างเดิม หนักกว่าเก่าด้วย มาเป็นมนุษย์แล้วปรุงแต่งได้เก่ง คิดปรุงแต่งต่างๆนานาสารพัดเป็นเรื่องหลอกตัวเองหลอกคนอื่น หลอกกัน จนกระทั่งทุกวันนี้มันมีแต่สิ่งหลอกกันจนซับซ้อนไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ มันยากเลยที่จะช่วยให้ฟื้นกลับไป แต่ยากก็ต้องทำ ไม่มีทางเลือก

อาตมาถ้าจะเปลี่ยนชื่อเป็นตระกูลจำ ก็จะต้องชื่อว่า จำนน  มันไม่มีทางไปไหนหรอกคุณจำลองก็ทำหน้าที่คุณจำลองไป  อาตมาก็ทำหน้าที่จำนนไป มันจำนนไม่มีทางเลี่ยงเลยมันต้องทำอย่างเดียว ยากสุด ยากแสนเข็ญก็จำเป็นต้องทำ

 

ออกจากโลกนี้สู่โลกหน้าที่ปัจจุบันชาติ

อาตมาอธิบายโลกนี้โลกหน้าไว้ ต่อ

โลกนี้หรือโลกหน้า พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ในสัมมาทิฏฐิข้อที่ 10 ว่าเป็นผู้ที่แจกโลกนี้โลกหน้า ประกาศโลกนี้โลกหน้าให้ทุกคนเข้าใจแจ่มแจ้ง สัจฉิกัตวา แจกโลกนี้โลกหน้าให้คนเข้าใจ แล้วก็ไปเปลี่ยนแปลงตนเอง โลกนี้โลกหน้าก็อยู่ในขณะนี้ ปัจจุบันชาตินี้แหละ ถ้าไปบอกว่าโลกหน้าตายไปแล้ว คนนี้สัสสตทิฏฐิ เป็นคนไม่รู้จักปัจจุบันชาติ ไม่รู้จักกาละ ไม่รู้จักสิ่งที่ควรจะปฏิบัติ

ในอดีต ปัจจุบัน  อนาคต 3 กาละนี้ กาละที่จริงที่สุดเป็นความจริงคือปัจจุบัน อดีตมันก็ไม่ใช่ อนาคตมันก็ยิ่งไม่ใช่ใหญ่ เพราะยังไม่เป็นโล้เป็นพาย ยังมาไม่ถึงเลย อดีตมันผ่านไปแล้วด้วย ไปแก้ไขอะไรมันไม่ได้ เป็นอย่างไรมันก็เป็นไปอย่างนั้นแล้ว เพราะฉะนั้นมันก็จะไปงมงาย คนที่ไปนั่งหลับตานี้มีแต่อดีตหรือฟุ้งซ่านไปในอนาคต พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในพรหมชาลสูตร มีแต่อดีต 18 กับอนาคต 44 ท่านสรุปทิฏฐิต่างๆที่พึงคิดได้ มีอยู่แค่นี้ แล้วก็หลงใหลหลับตา ศึกษาติดยึดโง่งมงายอยู่อย่างนั้น อาตมาว่าแล้วว่าอีก ตำหนิแล้วตำหนิอีก พูดชัดๆก็คือด่าแล้วด่าอีก ก็ยังเฉย ไม่รู้ไม่ชี้เหมือนม้าตด มันตดแล้วมันก็เฉยๆ ไม่เหนียมไม่อายเลย ตดหน้าตาเฉย พูดอย่างไรก็เฉย เฉยนี้ชื่อพ่ออาตมา ไม่กระดิกอะไรเลย ใครที่มีไหวพริบสามารถฟังรู้เรื่องเข้าใจได้ ก็มา หาทางออกพัฒนาตัวเอง เกิดมาชาตินี้ ต้องรู้ ต้องได้รับ สัมมาทิฏฐิ แล้วเอาไปปฏิบัติสัมมาปฏิบัติ  บรรลุเป็นสัมมาปฏิเวธให้ได้

พวกเรานี้โชคดี มีโชค เป็นผู้ที่ได้มาพบสัทธรรมเป็นธรรมะที่ถูกต้องดีแล้ว เป็นธรรมะที่สัมมาทิฏฐิ ที่มีปราชญ์เอกคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเปิดเผยความจริงอันนี้ให้เรารู้เข้าใจและปฏิบัติตาม คนเกิดมานี้คุณจะไปเรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ ศาสตร์ทางโลกเขาร้อยอย่าง พันอย่าง หมื่นอย่าง แสนอย่าง ศาสตร์ทางโลกเยอะแยะ เดี๋ยวนี้ก็อะไรก็นับเป็นศาสตร์หมดเปิดขนาดไหน มหาลัยต่างๆมีศาสตร์นั้นศาสตร์นี้มาอีกแล้ว แต่ศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ก็คือมาเรียนรู้ตนเอง

ศาสดาของเทวนิยมทั้งหลาย เรียนรู้สารพัดโลก ฉลาด ได้เป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งจนประกาศศาสนาตนเอง ศาสนาใดศาสนาหนึ่งแข่งกันอยู่ในโลก ของข้าก็ดี ก็หาบริวารกันแต่ละศาสนาก็ล้วนแล้วแต่ไม่รู้ตัวเอง รู้สารพัดแต่ไม่รู้ตัวเอง อย่างศาสดาที่เป็นเจ้าของศาสนาใดก็ตามต่างๆ ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม ศาสนาบาไฮ ศาสนาซิกข์ ศาสนาอะไรก็แล้วแต่ที่เกิดที่มี ศาสดาเหล่านั้น เกิดมาแล้วก็ประกาศตัวเองเป็นศาสดาก็สอนผู้อื่น คำสอนนั้นก็ไม่รู้ว่าคำสอนนั้นเป็นของตนเอง คำสอนนั้นคือของพระเจ้าให้มา ตนเองเป็นผู้รับคำสอนของพระเจ้ามา ไม่ใช่คำสอนของตน ขนาดตนเองยังไม่รู้ตนเองว่า จริงๆของตนเอง พระเยซูก็เป็นของท่านเอง พระมะหะหมัดก็ของท่านเอง พระมหาอุราก็ของท่านเอง ของโซโรอัสเตอร์ก็ของท่านเอง

ท่านสั่งสมมาเป็น กัมมัสกตา เป็นกรรมของตน ตนเองรับมรดกกรรมของตนเองเป็นทายาทรับมรดกความรู้ของตนเอง ไม่มีของคนอื่น แต่ของตนเองยังไม่รู้ว่าตนเองสั่งสมมาด้วยกรรมวิบากแต่ละชาติ พระศาสนาเทวนิยมไม่มีกรรมวิบาก ไม่รู้จักกรรมวิบาก ตายชาติเดียวแล้วไปอยู่กับพระเจ้า เลยไม่รู้แล้วว่าต่อไปคืออย่างไร ต้องเวียนตายเวียนเกิดอีกไม่มี ศาสนาเทวนิยมไม่มี rebirth(การเกิดใหม่) ไม่มีการเวียนตายเวียนเกิด ตายชาติเดียวแล้วไปอยู่กับพระเจ้าไปอยู่ที่สวรรค์ ส่วนใครจะทำให้ไม่ดีพระเจ้าไม่ชอบใจสั่งลงนรกก็ตัวใครตัวมัน ถึงมีแต่การอ้อนวอนพระเจ้า ศาสนาอิสลามก็ทำละหมาดวันละ 5 ครั้ง ออนวอนพระเจ้า บังคับเลยนะอิสลามวันหนึ่งต้อง 5 ครั้ง ส่วนคริสต์ก็ไม่บังคับถึงขนาดนั้นแต่ก็อ้อนวอนกัน อ้อนวอนเสมออ้อนวอนส่วนตัว ไม่เป็นกิจจะลักษณะ ไม่เป็นพิธีการ อันนั้นจะต้องมีรูปแบบ มีสถานที่ มีวิธีการก่อนจะอ้อนวอน ก่อนจะทำละหมาดต้องชำระตนให้สะอาด ทำให้ขลัง มันก็ดีไม่ใช่ไม่ดีนะ แต่มันก็ไม่รู้แล้ว เหมือนทิเบต

ทิเบตนั้นหนักกว่าอิสลาม กราบไป นอนกราบ นั่งกราบ กราบกลางถนนรถชนตายก็ไม่กลัว รถก็ต้องคอยระวังเดี๋ยวชนคนกราบเดี๋ยวจะบาป เขาทำดีที่สุดแล้วก็ต้องอนุโมทนากราบไป เต็มไปหมดเลย ซึ่งเป็นชาวพุทธนะ

พวกเรานี้มาเรียนรู้ มีวิธีการตามที่อาตมาเป็นผู้รู้ เข้าใจว่าพระพุทธเจ้าสอนอย่างไร พากันทำอย่างไร มาเรียนรู้ มีโพธิปักขิยธรรม 37 มีตาหูจมูกลิ้นกายใจ แล้วก็มีใจนี่แหละควบคุม จัดการรูปนาม นามคือใจ รูปต่างๆคือ 5 ตาหูจมูกลิ้นกาย พวกนั่งหลับตาไม่มีสัมผัสภายนอกนั้นเลิกเลย จึงจมอยู่ยังน่าสงสารมีอยู่เยอะแยะเลย จึงเห็นว่าเป็นความเสื่อมจากสัจจะพระพุทธเจ้าฟังไม่ออก พอเราเอาสัจจะของพระพุทธเจ้ามาประกาศ ก็จะจัดการเราอีกแน่ะ แต่อาตมาไม่กลัว อาตมาไม่ใช่อสูรกาย ไม่กลัว แต่ไม่ใช่สำนวนคึกฤทธิ์หรอก มันหยาบ

 

ในขบวนคนหยาบ อาตมาไม่เคยเห็นใครจะหยาบเท่าคึกฤทธิ์ อยู่กับคนสนิทเขาจะหยาบตลอด เขาเคยเขียนจดหมายถึงนพพร บุณยฤทธิ์  ที่เป็นบก.สยามรัฐ รายเดือน เขาเขียนจดหมายถึง โอ้โห! ทุกคำหยาบทุกคำ ไปหัดสรรหาอะไรมา แล้วร้อยเรียงให้เข้าใจได้ในเนื้อหา แต่คำหยาบทั้งนั้นเลย ช่างกระไรสรรหามาได้ คงสนุกอารมณ์อย่างไรไม่รู้ ขออภัยที่อาตมาพูดถึงคึกฤทธิ์ แค่พูดให้ฟังน่ะ  แต่เขาไม่ชอบ แต่เขาไม่ชอบหน้าอาตมาเท่าไหร่หรอก อาตมาก็คบหาเพื่อนฝูงนะ ไม่ใช่อะไรหรอก นพพรอยู่บ้านใกล้ๆอาตมา การเคหะฯเขาจัด พ่อของพลเรือเอกบรรณวิทย์ เก่งเรียน คุณประสิทธิ์ เก่งเรียน พ่อของเขาเป็นผู้อำนวยการ ตอนนั้นอยู่ที่การเคหะ จัดสรร นพพรก็ได้หลังนึง   อาตมาก็ได้หลังนึงใกล้กัน เล่นไพ่กันทุกคืน นพพร บุณยฤทธิ์, สุรพล โทณะวณิก, อาจินต์ ปัญจพรรค์, สมภพ  สัมมาพันธ์  นั่งเล่นกัน ทำงานมาบางทีกลับจากทีวีดึกๆ ก็มาเคาะประตูบอกว่าแก้มือแก้มือ ก็ต้องลุกไปนั่งเล่นกัน แต่จิตใจตอนนั้นมันไม่เหนื่อยหน่ายอย่างนี้หรอกเล่นไพ่มันสนุก แก้มือก็รู้สึกสนุก จิตมันยังจมอยู่ในลิงลมอมข้าวพอง มันรู้สึกว่าสนุก แต่ก็เพลีย 7.00 น. 8.00 น. ถึงเช้าไม่ค่อยจะตื่น ตื่นเช้ามาก็ต้องรีบทำงาน เสียงานเสียการเสียกำลัง พอรู้แล้วก็เลิก

 

ปหาราทสูตร อโศกนานาสังวาสกับเถรสมาคม

คนที่เลิกอบาย เลิกกามคุณได้มาเป็นลำดับลำดามาเรื่อยๆ ก็เป็นผู้ที่รู้จักความเป็นลำดับอย่างน่าอัศจรรย์ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ ในปหาราทสูตร ท่านตรัสไว้ 8 ข้อ อัศจรรย์นะ อัศจรรย์ไม่เคยมีมาเลย มหาสมุทรกับพุทธธรรม

1. มหาสมุทรต่ำไปโดยลำดับ ลาดไปโดยลำดับ ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่ลึกชันดิ่งไปทันที

1. พระธรรมวินัยมีการศึกษาไปตามลำดับ มีการบำเพ็ญไปตามลำดับ ไม่ใช่มีการบรรลุอรหัตตผลโดยทันที

2. น้ำในมหาสมุทรมีปกติคงที่ไม่ล้นฝั่ง

2. สาวกทั้งหลายของเรา ย่อมไม่ละเมิด สิกขาบทที่บัญญัติไว้ แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต 

3. มหาสมุทรไม่ร่วมกับซากศพ ย่อมซัดซากศพขึ้นจนถึงบนบกทันที

3. สงฆ์ (ในพระธรรมวินัยนี้)ไม่ร่วมกับผู้ทุศีลและจะขับไล่ให้ไกลจากสงฆ์

4. มหานทีทุกสาย ไหลลงสู่มหาสมุทร แล้ว ย่อมละชื่อและโคตรเดิม รวมเรียกว่ามหาสมุทรทั้งสิ้น

4. คนในวรรณะ 4 เหล่า คือ กษัตริย์ พราหมณ์ แพศย์ ศูทร เมื่อออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตในพระธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ย่อมละชื่อและโคตรเดิม รวมเรียกว่าสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ทั้งสิ้น

5. แม่น้ำสายใดสายหนึ่งในโลกที่ไหลไปรวมลงสู่มหาสมุทร และสายฝนตกลงจากฟากฟ้า ก็ไม่ทำให้มหา สมุทรพร่องหรือเต็มได้

5.ในพระธรรมวินัยนี้ แม้มีภิกษุจำนวนมากปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสส-นิพพาน ก็ไม่ทำให้นิพพานพร่องหรือเต็มได้ 

6. มหาสมุทรมีรสเดียวคือรสเค็ม

6. พระธรรมวินัยนี้มีรสเดียว คือ วิมุตติ-รส (ความหลุดพ้น)

7. มหาสมุทรมีรัตนะมาก มีรัตนะหลายชนิด คือ แก้วมุกดา ฯลฯ

7. พระธรรมวินัยนี้มีรัตนะมาก มีรัตนะหลายชนิด คือ สติปัฏฐาน 4 สัมมัปธาน 4 อิทธิบาท 4 ฯลฯ

8. มหาสมุทรเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ขนาดใหญ่ คือ ปลาติมิ ฯลฯ มีตัวขนาดใหญ่ 100 - 500 โยชน์

8. พระธรรมวินัยเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ใหญ่ คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ และผู้ปฏิบัติเพื่อบรรลุอริยผล 4 

(ปหาราทสูตร เล่ม 23 ข้อ 109)

พ่อครูว่า…ประชุมกันแล้วยกวัดทันที คือ ตอนแรกเมื่อบวช อยู่กับเถรสมาคมได้ 5 ปีก็ขอแยกประกาศนานาสังวาส เราประกาศออกมาเรียบร้อยเสร็จตามพิธีกรรม ตอนแรกก็ยอมรับ ตอนหลังก็ขี้โกง เอาพลังหมู่ใหญ่เป็นอำนาจ ทำปกาศนียกรรม เราเองไม่ทนเปื้อนอยู่กับเขาหรอก อาตมาประพฤติเป็นสัจธรรมมาโดยตรง ก็เลยขอแยกออกมา แต่เขาก็ทำเป็นตีกิน มันทำประกาศนียกรรมเหมือนมันรังเกียจเรา เขาก็กลบเกลื่อนด้วยการหลอกประชาชน บอกประชาชนว่าเขานี่แหละเป็นผู้ขับ อัปเปหิ โพธิรักษ์กับหมู่อโศกออกไปจากหมู่ใหญ่ ทำเป็นเท่ ที่แท้หมู่น้อยนี้ประกาศออกจากหมู่ใหญ่ เพราะเป็นพวกสกปรก ขออภัยที่พูดชัดๆอย่างนี้

เพราะฉะนั้นการที่จะมีสิ่งสกปรกเปรอะเปื้อนอยู่อย่างนี้ ศาสนาพระพุทธเจ้าท่านสะอาดมาก แม่เขาจะนั่งอยู่ท่ามกลางภิกษุสงฆ์จริง กระนั้นเขาก็เชื่อได้ว่าห่างไกลจากสงฆ์แล้วสงฆ์ก็ห่างไกลจากเขา สาวะกะสังโฆของพระพุทธเจ้า ทุกวันนี้อาตมาพูดได้ ถ้าพูดอย่างนี้เมื่อก่อนเขาเอาตาย อาตมาทำงานมา 50 กว่าปี มีหลักฐานยืนยันปฏิบัติได้ตามพระไตรปิฎกอาตมาก็จึงต้องเป็นผู้จำนน ทำสิ่งต่างๆเหล่านี้ไป

ก็เป็นความสำเร็จนะ เป็นความสำเร็จของอาตมาที่ทำงานนี้สำเร็จในชาตินี้ แม้ว่ามันจะได้มวลปริมาณของผู้มาปฏิบัติธรรมได้มาประมาณนี้เท่านี้ มันก็ถูกแล้ว เพราะคนที่ไม่สามารถที่จะเข้ามาได้ มาไม่ได้ มี เขาอยากมา แต่มาไม่ได้ จม พวกจมไม่ลง จนกระทั่งฟื้นไม่ได้ เขาก็มาไม่ได้ ผู้ที่เข้าใจผิดเลย จะมาทำไม อโศกพวกไม่ถูกต้อง พวกอะไรต่ออะไร แล้วก็หลอกชาวบ้านชาวเมือง ต่อให้เขาเข้าใจผิดว่าอโศกนี้เป็นพวกผิดหรือเป็นพวกมาทำลายศาสนา บาปซ้ำบาปซ้อนเห็นมั้ย  ตัวเขาเองบาปโง่ไม่รู้เรื่อง แม้รู้แล้ว ก็ไม่ยอมรับ แล้วโกหกต่อ เพราะฉะนั้น นรกอเวจีเป็นของเขาไปทั้งหมดเลย รู้แล้วว่าเราถูกก็ยังโกหกต่อว่าผิด ผิดๆ เพราะมันได้ประกาศอย่างนั้นไปแล้ว น่าสงสาร

สู่แดนธรรม...ก่อนหน้านี้พ่อครูบอกอาตมาไม่กลัวเพราะไม่มีอสุรกายแล้ว

พ่อครูว่า…ถ้าอาตมากลัวจะมาทำได้ขนาดนี้เหรอ ทำมา 50 ปีแล้วเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าอาตมาไม่ได้กลัวอะไร เป็นความแกล้วกล้าอาจหาญ อาสโภ เป็นสัจจะ เป็นความเป็นจริง มันเป็นความกล้าหาญเพราะเรายืนอยู่ในความถูกต้อง ยืนอยู่ในความจริง  อยู่ในความประเสริฐ ความพิเศษ แล้วเรื่องอะไรเราจะต้องไปอ่อนแอ จะต้องไปอาย จะต้องไปเหนียม มันจะต้องไปกลัว ไม่ ไม่มีพวกก็ไม่กลัว มั่นใจเพราะว่าธรรมะพระพุทธเจ้าที่แท้ เป็นสัจธรรมที่แท้ จะไปกลัวอะไร มั่นใจยิ่งกว่ามั่นใจ

สู่แดนธรรม...ไม่มีผู้หลักผู้ใหญ่ ที่หนุนหลังก็ไม่มี

พ่อครูว่า…ก็อาตมานี่แหละใหญ่เป็นไก่ตัวพี่ เดี๋ยวนี้ก็ยังประกาศว่าตัวเองเป็นไก่ตัวผู้

สู่แดนธรรม...ลูกจะได้เป็นตัวอย่าง

พ่อครูว่า…อย่าไปทำแบบหลงตัว

มันเป็นสิ่งที่เป็นตถตา สิ่งที่เป็นเช่นนี้ ต้องเป็นเช่นนี้ เป็นอื่นไม่ได้ มันเกิดแล้วจริงๆ มันต้องเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เป็นเช่นนี้ต้องเป็นเช่นนี้ จะเป็นอื่นไปไม่ได้ เป็นความจริงเช่นนี้จริงๆตรงๆเป็นสัจจะเลย เป็นตถตา อิวิตถตา อนัญญตถตา อิทัปปัจจยตา ธรรมนิยาม 4  ต้องเป็นจริงเช่นนี้อย่างนี้เป็นอย่างอื่นไม่ได้หรอก

1. ตถตา (ตนเป็นเช่นนั้นๆ ได้อย่างอัตโนมัติแล้ว หรือได้ความว่างเป็นสัจธรรมเช่นนั้นเองในตัวแล้ว)

2. อวิตถตา (ความจริงที่เที่ยงแท้แล้ว-ไม่กลับกลาย)

3. อนัญญถตา (เป็นไปอย่างนั้นแน่จริงชนิดไม่มีสิทธิ์เป็นอื่นอีกแล้วอย่างนิรันดร์)

4. อิทัปปัจจยตา (เพราะเป็นสิ่งนั้นได้จริงแล้ว  จึงสืบต่อเชื้อความจริงในสิ่งนั้นได้.. อย่างมีของแท้จริงเกิดขึ้นสืบทอดให้กันและกันจริง)

 

ปฏิจจสมุปบาทปฏิบัติได้ที่ตรงไหน

หยิบเนื้อหาสาระแท้ของปฏิจจสมุปบาท มาอธิบาย

ขึ้นต้นด้วยอวิชชา ลงตัวสุดท้ายของปฏิจจสมุปบาท  ตัวปลายคือชาติ

หากไม่พ้นอวิชชา ไม่รู้จักชาติ ไม่รู้การดับชาติ ไม่ให้มีชาติได้ คุณไม่จบ อรหันต์จะต้องหมดอวิชชา แล้วก็จะต้องดับชาติได้จริงๆ ดับแม้ปัจจุบันนี้ คุณก็ดับชาติในปัจจุบันนี้ได้เช่น

ดับชาติที่เป็นจิตนิยามโง่ๆที่เป็นอวิชชา เหลือแต่จิตที่เป็นวิชชา ดับได้เดี๋ยวนี้ เช่นมันไปโง่กับเวทนา เวทนามี 2 ถ้าได้ศึกษา 2 ไปทีละคู่ เรียกว่า เทวะ แปลว่า 2 แปลว่าคู่ เลือกไอ้ที่มันถูกไอ้ที่มันดีไอ้ที่มันต้องอาศัย ให้ที่อย่าอาศัยดับหรือ 1 เหลือเอกัคคตา 1..1..1เสมอ  คุณยังไม่ปรินิพพานยังไม่ปริโยสานคุณต้องมีเครื่องอาศัย อาศัยชีวะ อาศัยธาตุรู้ อาศัยวิญญาณ

เพราะฉะนั้น พ้นอวิชชาศึกษาความจริง ศึกษาสังขารวิญญาณ วิญญาณสังขารปรุงแต่งกันจับตัวกันเป็นวิญญาณ วิญญาณคือนามรูป ไม่รู้นามรูปแยกแยะวิญญาณไม่ได้ แยกทีละคู่ทีละ 2 ไม่ได้ เพราะฉะนั้นจึงต้องจำนนต่อ, 2 คุณไม่รู้ คุณก็ได้แต่ 1 1 1 1.. อย่างอวิชชา 1 อย่างอวิชชา 1 อย่างไม่รู้ความจริง เราก็ไปงมงายอยู่กับความไม่จริง มันก็เลยไม่สามารถที่จะไปรู้รายละเอียดของความจริงทั้งหมดเลย

เมื่อนามรูปไม่มีอายตนะ ไม่มีผัสสะ ไม่มีเวทนา ไม่มีตัณหา ที่เป็นตัวการใหญ่ที่เป็นซาตาน เป็นมาร เทวนิยมไม่รู้จักซาตานไม่ศึกษาซาตานไปหลงพระเจ้า หลงเทวแดนสวรรค์ ไม่รู้จักแดนนรก นรกกับสวรรค์เป็นมายาเป็นคู่หูเป็นเทวดาแยกไม่ออก แล้วคุณก็หลงเสพ นึกว่ามันมีแต่หนึ่งคือมีแต่สุข ที่แท้มันมีทุกข์อยู่คู่ตลอดเวลาเลย สุขก็คือทุกข์ ทุกข์ก็คือสุข ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น  ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป ไม่รู้จัก ปรุงจนกระทั่งมันทุกอย่างทุกข์แรง ทุกข์จัดจ้านขนาดไหน ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจ มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่แหละเป็นตัวตน แล้วหลงว่าเป็นสุข ก็จึงยิ่งอยาบใหญ่ ยิ่งอยาบใหญ่ยิ่งโง่ใหญ่ ยิ่งหลงสุข ทุกข์ที่ปรุงแต่งจัดจ้าน แล้วก็หลงว่าสุข

ทุกข์ที่ปรุงแต่งจัดจ้านแล้วคุณก็หลงว่าเป็นสุข เหมือนคนที่ชอบรสจัด ไม่ว่าจะเป็นรสทางหูทางลิ้น ทั้งรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส ชอบรสจัดขึ้นเรื่อยๆตลอดเวลา นั่นแหละคือคนที่อวิชชา ที่แปลเป็นไทยว่าโง่ โง่ดักดาน โง่ไม่โง่เงยไม่เปลี่ยนแปลง เพราะไม่มาเรียนรู้ตามลำดับอย่างลาดลุ่ม มีเบื้องต้น ท่ามกลาง บันปลาย ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยว่า อะไรคือทุกข์ อะไรคือสิ่งที่มันหลง เป็นสภาพ 2 ก็เลยอยู่กับสภาพ 2 นี้ปรุงแต่งกันไปอย่างมงาย หลอกตัวเองไป มีแต่มายา

จนมีผู้บรรลุธรรมก็เป็นสิริมหามายา เป็นผู้รู้เท่าทันมายา เป็นผู้รู้ว่ามายานี้เป็นเรื่องโง่ก็เป็นเช่นนั้น พอฉลาดเสียแล้ว เมื่อมันเกิดแล้ว มีชีวิตแล้วก็อยู่กับมันให้ได้  อย่าไม่ถูกมาร ถูกซาตานหลอก กดหัวเราไปตามใจมาร เราก็ชนะมาร

จนกระทั่งพระพุทธเจ้าตรัสรู้ อยู่เหนือมันได้ในปกติเป็นปัจจุบันชาติ สุดท้ายแยกธาตุเป็นธาตุดินน้ำไฟลมไปเลย ทำลายวิญญาณ ทำลายจิตนิยามของตนเอง หมดไปเลย กลายเป็นดินน้ำไฟลม อัตตาก็สลายหายไป ชีวะของตัวเราหายไป สูญเลย กลัวไหม กลัวสูญหายไปไหม ...กลัวจะไม่ได้ กลัวจะทำไม่ได้ กลัวจะไม่บรรลุธรรม ผู้ที่เขาไม่บรรลุเขาไม่เอาหรอก  ยกตัวอย่างแต่ก่อนนี้ หัวหน้าอาตมา คุณจำนง   รังสิกุล บอกว่าคุณไปเถอะ คุณไปนิพพานผมยังไม่ไปหรอก ผมยังสนุกอยู่กับลูกนี่แหละ คุณจำนง ก็เสียชีวิตไปนานแล้ว

 

ปฏิบัติเวทนาให้ถึงลหุตา

อาตมาเกิดมาชาตินี้ก็มาทำงานสืบทอดศาสนาพระพุทธเจ้า ประกาศตนเอง ยืนยันตนเอง คนเขาก็ไม่เชื่อถือเขาก็ตลก เขาเข้าใจว่าคนที่เป็นอรหันต์ผู้ที่เป็นยอดอาจารย์ยอดฉลาดไม่ว่าจะเป็นพระป่าพระบ้าน ไปเชื่อถืออย่างนั้น อย่างโพธิรักษ์ ไม่ใช่หรอก ก็น่าสงสารนะไม่รู้จะทำอย่างไร เขาก็งมอยู่กับที่เขาเชื่อ แต่ก็ยังมีคนตาดีอย่างพวกคุณนี้มาทำ

อาตมาพูดไปว่าพวกเรานี้มีอรหันต์ในนี้ แม้แต่ละคนพวกคุณ หลายคนตรวจดูฐานอนาคามี อนาคามีมันเต็มแล้วหรือยัง มันเต็มจนกระทั่งมันเป็นอรหันต์ อรหัตตมรรค คุณก็ยังงมงายอยู่กับมรรคอยู่กับอผลที่มันซ้ำซาก แล้วก็ไม่รู้จักตัดสินไม่รู้จักอ่านจิตอ่านใจของตัวเอง ถ้าใครยัง หยาบอยู่ ยังมีกามรูปธรรมจัด คุณก็ยังเกิดอยู่ คุณก็ได้ฐานนั้น

แต่ฐานที่เป็นอนาคามีขึ้นไปสู่อรหันต์ในอโศกมีเยอะ ไปตรวจอ่านจิตเจตสิก อ่านเวทนา 108 ทุกปัจจุบันที่สัมผัส นั่นแหละคือฐานปฏิบัติ ฐานปฏิบัติอยู่ในพระไตรปิฎกเล่ม 10 ข้อ 60 ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง (เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )  นี่คือหัวใจศาสนาพุทธ ปฏิบัติที่เวทนา แจกเวทนาเป็น 2 ตรวจอ่านตรงนี้แล้วทำ 2 ให้เป็น 1 อาตมาก็อธิบายสาธยายแยกแล้วแยกให้ออก สัมผัสเมื่อใด สัมผัสต่างๆทางตาหูจมูกลิ้นกาย มันเกิดสองรส เลิกรสที่มันปลอม รสเก๊ มันจำนนตรงที่เรายังเป็นชีวิต มันก็ต้องมีรสตามจริง

รูปก็เป็นอย่างนี้เป็นรสของรูป จะเป็นสีเป็นแสงอะไรก็แล้วแต่ เสียงมันเป็นอย่างนี้ก็เป็นรสของเสียง มันดังมันค่อยยังไรอย่างไรก็แล้วแต่ ก็เป็นของเสียง แล้วก็รู้ว่าเสียงอย่างนั้นเป็นเสียงจริงๆของมันคืออะไร เสียงที่ 2 คือเสียงปลอมเสียงเก๊คืออะไร ก็ไม่ต้องให้มีเสียงสอง

คนที่มีโสตทิพย์ในวิชชา 8 ข้อที่ 4 โสตทิพย์ก็จะรู้จักเสียง 2 แล้วก็เลิกเสียง 2

ในโสตทิพย์นั้นท่านตรัสว่า แม้แต่ได้ยินเสียงกลอง เสียงเปิงมาง เสียงอะไรก็แล้วแต่ได้ยินอย่างไกลๆอย่างแว่วๆ ก็ได้แยกแยะเสียงนี้ออก ว่าเสียงนี้เป็นเสียงกลอง เสียงเปิงมาง เสียงตะโพน เป็นต้น เพราะจิตมีตัวแยกความต่างกันของสองสิ่ง ละเอียด ท่านเทียบเป็นรูปธรรม เสียงกลอง เสียงตะโพน เสียงบัณเฑาะว์ อยู่ไกลๆก็ยังแยกได้ ได้ยินแว่วๆเบาๆก้ตามที่ไกลก็ยังแยกได้ แสดงว่าคุณมีโสตทิพย์ มีความสามารถพิเศษมากยิ่งขึ้น

เหมือนกับกิเลสของคุณ จะเล็กจะน้อย จะละเอียดเบาบางอย่างไร คุณก็แยกแยะได้ จนคุณสามารถอยู่เหนือความเบา คือ วิการรูป 5

วิการรูปสำคัญคือ 3 ลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา

วิการ ก็คือพิการ ต้องทำความพิการให้ปกติ ให้จบ ให้เบา ลหุตา หมายความว่าอย่างไร หมายความว่ามันสำเร็จลงไม่มีความหนัก ไม่มีความยาก ไม่มีความลำบากอีกแล้ว เบา สบาย กระทบอะไรก็จะแรงอย่างไรก็ลหุ

มุทุตา เร็วไว มุทุท่านแปลเป็นพยัญนะว่าอ่อน เร็วไว ทั้งจิตทั้งปัญญาสองธาตุในนี้ มุทุภูตธาตุ แยกได้เร็ว ปรับได้ไว ทำให้เป็นสิ่งที่ 1 เอกกัคตา  1 ได้เสมอ เอกสโมสรณา ทำให้สำเร็จได้ทุกทีไป เมื่อคุณได้ทำสำเร็จ มุทุตา เป็นประสิทธิภาพอันยิ่งใหญ่ของจิต ของความสามารถของเรา ทำได้เป็นอันเสร็จ คุณก็สมบูรณ์แบบ จิตของคุณก็ยิ่งใหญ่ จะทำกรรมการงานอะไรก็ดีทั้งนั้น กัมมัญญา ทำการงานอะไร ก็มี สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4 จัดการได้อย่างพอเหมาะพอดี เช่น  อาตมาพูดอย่างเร็วทำท่าทางกายกรรม

ในวิการรูป ก็มี กายวิญญัติ วจีวิญญัติอีก 2 ตัว ก็คือการเคลื่อนไหวของร่างกายกับภาษาคำพูด จัดการได้เร็ว ได้ไว ได้ทันทีทันการ  เพราะฉะนั้นคนที่เป็นพระอรหันต์ยิ่งคล่องแคล่วรวดเร็วว่องไวเหมือนอาตมานี้ ลิงยังสู้ไม่ได้เลย ก็ยังหาว่าอรหันต์อะไร ยิ่งกว่าลิง ไม่สงบเลย

เป็นความสงบตื้นๆ สงบของเขานั้นต้องเอาอย่างไม่กระดุกกระดิกไม่กระพริบตาไม่คิดไม่นึกไม่พูด ก็เหมือนคนตายเราดีๆ ต้องทำคนมีชีวิตให้ดีทำความคล่องแคล่วรวดเร็วว่องไวสามารถสร้างสรรค์ ทำอะไรได้ยิ่งกว่าพระเจ้า ทำอะไรให้แก่สังคมสร้างสรรค์อะไรให้แก่สังคมยิ่งกว่าพระเจ้า นี่ต่างหากคือพระอรหันต์ แต่ถ้าพระอรหันต์เหมือนคนตาย ซื่อบื้อ นั่งนิ่ง ใครจะเคาะอะไรก็เฉยๆ นั่นมันอรเหว ไม่ใช่อรหันต์ ขออภัยใช้ภาษาแสลงฟังดูไป แต่ก็สื่อความหมายให้รู้พอสมควรว่ามันไม่ใช่

อรหะ แปลว่าไม่ลึกลับ รหะ แปลว่าลึกลับ อรหะ แปลว่าไม่ลึกลับ

อรหันต์แปลว่า ไม่ลึกลับเป็นที่สุดเลย ทุกอย่างสว่างแจ้ง รู้แจ้งรู้จริงสัจฉิกตา รู้หมด รู้จบ

 

Road map ของชาวอโศกในกึ่งหลังของพุทธกาล

สู่แดนธรรม...ตอนนี้ประเทศไทยเรามีค่านิยมพระอรหันต์ เราจะต้องเป็นอย่างที่เขาคิดกัน แล้วต่อไปในอนาคตจะเป็นไปได้ไหมครับว่า อรหันต์ต้องมาเป็นแบบพ่อท่าน

พ่อครูว่า…เป็นไปได้สิ มันหยั่งรากลงแล้วความรู้นี้ อย่าว่าแต่ชาวพุทธ อย่าว่าแต่
อเทวนิยมเลย เทวนิยมก็แสวงหาเหมือนกัน แต่เขายังติดยึดความเป็นตระกูลของเขา ก็ตระกูลของเขาเป็นพวกศรัทธาธิกะ เป็นสัทธาธิกโคตร พวกนี้จะพัฒนาตัวเองมีปัญญา แต่มันต้องช้าเพราะว่าเป็นศรัทธาธิกะ เปลี่ยนโคตรยาก เปลี่ยนโคตรจากศรัทธาธิกะมาเป็นปัญญาธิกะนั้นยาก

 

สู่แดนธรรม...พระอรหันต์ท่านจะพาให้ลูกๆทำคุณประโยชน์ ตำตาพวกเขาใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า…ในขณะที่พวกเขายังไม่เห็นเพราะเขาตาบอด ชนตาอย่างไรก็ไม่เห็น จนกว่าจะเข้าจะค่อยๆถูกความจริงนี่แทรกซึมกระแทกเข้าไป จนตาเขาเหมือนถูกยาโอสถทิพย์ เข้าไปทำให้ตาเขามีความรู้ มีความเข้าใจ ไปเรื่อยๆ เพิ่มขึ้นๆๆ ถึงตาบอดก็ทำให้คนตาบอดเห็นได้ อย่างที่อาตมาพูดไปแล้ว ส่วนใครที่ตาไม่บอดตาบอดตาใสอยู่บ้างแล้วพยายามไม่รับอะไร คุณก็บอดแล้วยังบอดสนิท บอดหนักด้วย แต่คนที่เขาพยายามเลิกตาบอด แสวงหาพากเพียร เขาก็มีสิทธิ์ ที่จะตาดีได้

เพราะฉะนั้นทุกอย่างไม่จำนน ทุกอย่างไม่สิ้นทาง ทุกอย่างสามารถเป็นไปได้ ต้องพากเพียรอุตสาหะเถอะ ทีนี้.. สู่แดนธรรมบอกว่าโลกุตรธรรมเกิดมาในเมืองไทยแล้ว ที่จริงมันมีรากเค้าแต่เดิมอาตมาเอามาฟื้นอีก ซึ่งมันจมอยู่ในอนุสัยลึกของคนไทย อาตมาก็ค่อยๆดึงขึ้นมา พวกเรานี้มันอยู่ตื้นก็เลยดึงขึ้นมาง่าย พวกอยู่ลึกก็ถูกดึงขึ้นมาเรื่อยๆ พวกแสวงหาก็จะมาเห็น คนปัญญาดีปฏิภาณดีก็จะเห็นว่าใช่ มันจึงค่อยๆเป็นมา

อาตมาเกิดมาทำให้สิ่งนี้เกิดขึ้นมา เอาของพระพุทธเจ้าขึ้นมาปัดฝุ่น เข้ามาทำใหม่ เข้ามาทำขึ้นมาให้เกิดพัฒนาการ เกิดผลงาน เกิดการใช้งานได้ คนก็จะรู้อย่างพวกคุณได้เอาไปใช้ ช่วยกันทำให้ดีขึ้นก็จะเกิดคุณภาพเกิดประสิทธิภาพ เก่งขึ้น เจริญขึ้น ดีขึ้น จนทำให้คนอื่นเขาได้รับประโยชน์ตาม มันก็จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ เพราะมันเกิดขึ้นแล้ว จนมันไม่มีใครดึงขึ้นมาได้ 2,500 กว่าปีอาตมามาเกิดในยุคนี้ก็เลยต้องดึงขึ้นมา เอามาปลูกฝัง

เขายังไม่เชื่อว่าอาตมาเอาโลกุตรธรรมมาพูด มาอธิบาย มาหยั่งลง มาฟื้นขึ้นมา ไม่ใช่อาตมาเอาโลกุตรธรรมมาหยั่งลง แต่พระพุทธเจ้าเป็นเจ้าของโลกุตรธรรม มาในยุคนี้มันได้สูญหายเหมือนกลองอานกะ ในอาณิสูตร ที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์เอาไว้ นี่แหละถึงเวลาตามที่ท่านตรัสไว้ มันจะไม่เหลือเชื้อแล้ว มันเหลือแต่ชื่อพุทธศาสนา อาตมาก็เอาสภาวะของพุทธมาสวมแทนกลองอานกะ กลองอานกะ มันเป็นกลองปลอมๆ อาตมาก็โละทิ้งเอาเนื้อเดิมขึ้นมาใส่แทนขึ้นใหม่เลย

นี่เป็นเรื่องจริง คนที่เขาแสวงหาไม่มีอคติในใจมาก มีอคติน้อย ถ้ามีอคติมากเขาก็จะต้าน ถ้ามีอคติน้อยก็จะบอกว่ามีอะไรถูกดีขึ้นมา ก็จะค่อยๆรู้ ยอมรับไปเรื่อยๆ ถ้าอาตมาอายุ 500 ปีรับรองเชื่อหมดเลย ชื่ออาตมาหมดแหละ จริง ใครมาทำให้อาตมาอายุ 500 ปีให้ได้

ก็ถึงบอกว่า ในปัจจุบันนี้ทำให้ดีๆนะ อาตมาเคยพูดไว้ว่า คุณมั่นใจไหมว่าคุณเป็นอรหันต์ คนที่เก่งๆนี่แหละ มหาบัวก็บอกว่าตนเองเป็นอรหันต์ ประกาศไปในที ไม่บอกตรงๆแต่เพราะว่า มังกุ อุทธัจจะ มันเก้อเขิน เพราะไม่แน่ใจ แต่อาตมาบอกตรงๆไปเลยไม่ใช่ว่าหน้าด้านนะ แต่พูดความจริง อย่างยิ่งอย่างเรียบร้อย ผู้ที่มีความจริงมั่นใจในความจริงและเป็นความจริงที่ถูกต้องแล้ว มันไม่มีการกระเพื่อมมันไม่มีการสั่นไหว มันไม่มีการว่อบแวบอะไรเลยมันเต็มรูปเต็มสภาพเลยและมั่นคง ไม่เชื่อใครมาทำให้อาตมาอายุ 500 ปีรับรองจะเจริญกันไปหมด

อาตมาเคยทำ pattern เป็นสามเหลี่ยม พอถึง 500 ปีจะพีคสุดถึงยอดสามเหลี่ยม ตอนนี้มันจะต้องขึ้นแบบชันยากหนัก แต่ต้องรีบทำ ในระยะ 500 ปีจะปลูกฝังขึ้นมาได้



ถ้าตามอายุ 144 มั่นใจได้ จากนั้นอีก 7 ปีก็ 151 สุดยอดเป็นพีคสูงสุด 151 เพราะฉะนั้นเนื้อหาของโลกุตรธรรมก็จะยืนยาวไป จากนั้นก็จะมีแต่เสื่อมลงจาก 500 ไปอีกถึง 2500 ปีของศาสนาพุทธ เนื้อหาสาระมันก็จะนำพาให้ศาสนาพุทธนี้ไปถึง 5000 ปี ถ้าอาตมาไม่ขึ้นมาทำดังที่เป็นรูปร่าง ศาสนานี้ไปไม่ออก มีแต่จะเสื่อม ทุกวันนี้มันหมดโลกุตระแล้ว มันก็มีแต่โลกียะ พูดจริงๆอาตมาพูดเต็มปากได้ตลอดเวลาว่า เถรสมาคมนั้นหมดแล้ว มันมีแต่ลาภยศสรรเสริญโลกียสุข แล้วก็มีแต่ไปหลงอยู่ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ไปหลงอยู่แต่ใบดอกผล สีเขียวงามสีเหลืองสีแดงลูกแดงลูกเขียวอะไรเป็นลาภยศสรรเสริญโลกียสุข ของต้นไม้ ไปหลงอยู่แต่ใบดอกผล ลาภยศสรรเสริญโลกียสุขอยู่เท่านั้น เห็นไหมเต็มเลย ไม่ได้อะไรจากต้นเลย

สะเก็ดของต้นไม้ก็ไม่ได้ สะเก็ดท่านเปรียบเหมือนอย่างกับศีล ศีลก็ไม่มี ทุกวันนี้ ไปถามฆราวาสชาวพุทธ ว่าพระมีศีลเท่าไหร่ เขาก็จะบอกว่า 227 ซึ่ง 227 มันเป็นวินัย มันไม่ใช่ศีล แค่นี้ก็ไม่รู้แล้วเห็นไหม ความต่างของวินัยกับศีลต่างกันอย่างไร

วินัยไม่ใช่ธรรมนูญ วินัยเป็นกฎหมายลูก มีอาญามีโทษรับโทษ อย่างน้อยก็ปลงอาบัติปาจิตตีย์ นอกนั้นก็จะต้องถึงขั้นติดคุกถึงขั้นปาราชิก ประหารชีวิต นั่นคือวินัย แต่ศีลไม่มีบทลงโทษ ใครไม่ทำไม่ปฏิบัติศีลคุณก็ไม่ได้ดีเอง คุณก็ไม่เจริญเอง ไม่มีนิพพาน วินัยเหมือนรั้วป้องกันบ้านไม่ให้อะไรเข้ามา แต่ศีลนั้นเป็นเนื้อแก่นแท้ๆ แม้แต่สะเก็ดคือศีลของต้นไม้ทั้งต้นก็ไม่อาจเอาได้ไปลงอยู่แค่วินัย นี่คือความจริงที่ยืนยัน

พวกเรานี้แหละมากู้กลับมีศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล แม้นักบวชหญิงเราก็มีศีล 10 เดรัจฉานวิชาเราก็ไม่มี แต่เถรสมาคมนั้นเต็มไปด้วยไสยศาสตร์เดรัจฉานวิชาเต็มไปหมด สร้างกันทำการปรุงแต่งกันเต็มไปหมดเขาก็ไม่รู้ตัว

ไม่ต้องเอาอะไรหรอก ศาสนาที่ได้แต่สวดมนต์สวดมนต์ก็คือเดรัจฉานวิชชา ไม่เข้าใจที่พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่สวดแบบศาสนาอื่นใด ในวินัยข้อ 20 ข้อ 21

ข้อ 20 บอกว่าอย่าสวดลากเสียงอันยาว รัสสระเสียงสั้นก็ออกเสียงสั้น รัสสระเสียงยาวก็ออกเสียงยาว อะก็อะ อาก็อา แต่นี่ อาาาาา นาาาา โมวววว ตัสสส สะ 1.ไม่ลากยาว  2.ไม่ใส่ทำนองเดี๋ยวนี้อาบัติหมด มีทั้งลากเสียงยาวและก็ใส่ทำนองในข้อ 21 ห้ามใส่ทำนอง เสียงโหยหวน ทำมาหากินกันอยู่ เป็นพระแหล่พระร้อง นี่คือพระวินัยข้อ 20 ไปเปิดพระไตรปิฎก

ข้อ 21 ท่านบอกว่า เราอนุญาตสรภัญญะ ก็แปลไม่ได้ ก็แปลว่ามีทำนองเสนาะ

สระก็คือสรภัญญะคือคำกล่าว สรภัญญะ แปลว่าเราอนุญาตตามคำกล่าว ไม่มีทำนองรากเสียง แต่แปลเข้าข้างตัวเองว่ามีทำนองนิดหน่อย แต่มันนิดหน่อยที่ไหน มันบานปลายไปเรื่อยๆ คนสวดมนต์ที่สวดมนต์ถูกต้องมีอโศกเท่านั้น พวกเราอาตมาพาสวดมาแต่ไหนแต่ไร

นะโมตัสสะภะคะวะโตอะระหะโต ตามเสียงสระ รัสสระ ทีฆสระ ก็ไม่ได้ลากเสียงยาวเกินตามสระเสียงยาว ตามคำตามสระ สรภัญญะ ก็ทำตามนี้นั่นคือวินัยข้อ 21 เขาไม่เข้าใจคำสอนพระพุทธเจ้า อ่านพระไตรปิฎกตีไม่แตกก็ทำไม่เป็น

แล้วพระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าเอาไปสวดเล่นๆ แม้แต่อาตมาบอก ในมุสาวาทวรรค ข้อที่ 4 ในปาติโมกข์ บอกว่าอย่าเอาไปสวดพร้อมกัน 2 คนขึ้นไป ต่อหน้าประชาชน เป็นอาบัติปาจิตตีย์ข้อที่ 4 ก็ไม่รู้แล้ว ก็เอาไปสวดกันเลย เอาพระอภิธรรมไปสวด กุสลาธัมมาอกุสลาธัมมา ตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไป เอาไปสวดพร้อมกัน 1 ล้านรูปต่อหน้าสาธารณชน เป็นอาบัติทุกคำสวด แล้วบอกว่าได้อานิสงส์นะ จะต้องสวดกันทั้งคืนเลยอะไรอย่างนี้ คือโง่ จนไม่รู้จะโง่อย่างไร ทำอาบัติให้แก่ตัวเองแล้วๆเล่าๆมากๆเยอะๆหนักๆเต็มไปหมด ก็ไม่รู้ว่าอาบัติ

ศาสนานี้ไม่ว่าศาสนาไหนทุกศาสนา หลงสวดมนต์ กลายมาเป็นสวดมนต์ หลงผิด

มากๆก็ไปนั่งและกราบอย่างที่ทิเบต เอาแต่กราบและสวดมนต์ มันจะเป็นอย่างนั้น

บทมนต์คือคำสอน เรียนรู้แล้วเอาคำสอนนี้มาทำความเข้าใจ แล้วปฏิบัติตามเท่านั้น ไม่ใช่เพลง ไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาอวดร้องโชว์ ไม่ใช่ คุณไม่ต้องไปท่องสวดมา ท่องให้เป็นนกแก้วนกขุนทองให้คนอื่นฟังหรอก คุณท่องเก่งขนาดไหนคุณก็แค่นกแก้วนกขุนทอง คุณเข้าใจบทมนต์สิ  แล้วเอาไปปฏิบัติให้กิเลสหลุดออกไป แล้วคุณสาธยาอย่างยอาตมานี่ อย่างนี้ต่างหากจึงได้ประโยชน์ อย่างนั้นมีแต่ทำให้ติดยึดแล้วหลงงมงายกันไปอย่างนั้น แค่บทสวดมนต์นี้ก็ทำลายศาสนาหนักหนาแล้ว ทุกวันนี้ รู้เรื่องที่ไหน งมงายอยู่อย่างนั้น กลายเป็นเรื่อง พูดไปจะเป็นลึกเรื่องสูง กลายเป็นราชพิธี ซึ่งน่าสงสารมาก

 

ตรวจสอบตนให้รู้จริง อนาคามีหรืออรหันต์

สู่แดนธรรม...มีคำถาม การที่ลุงจำลองไม่กินขนมไม่กินทุเรียนเลย แล้วลุงจำลองจะรู้ตัวว่าตัวเองเป็นอรหันต์ได้อย่างไร

พ่อครูว่า…ได้ ทำไม ก็อาตมาบอกอยู่นี่ไง ไม่ได้ไง คุณจำลองก็ไปคิดไปไตร่ตรองตรวจสอบเองว่าอรหันต์คืออะไรอย่างไร ก็ต้องไปตรวจสอบดู

ชีวิตมียาวไปถึงอายุ 80 แล้วมีประสบการณ์ ตรวจทานได้ อรหันต์นี้ก็คือจิตของเรานี้ ไม่ติดยึดแม้แต่ในกาม ก็ไม่ติด ไม่ติดขนมไม่ติดทุเรียนก็ไม่ติดแล้ว รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสก็ไม่ติดแล้ว ก็เหลืออนาคามีก็อ่านจิตอนาคามี มีรสชาติในอนาคามีไหม ยังมียินดีระริกระรี้อยู่ไหม มีมากมีน้อยก็อ่านตัวเอง.. อ๋อ มันไม่เข้าใจตัวเอง มันไม่เข้าใจสาระสัจจะของพระพุทธเจ้าของธรรมะก็ยังไม่ลงตัว ถ้าเข้าใจเสียแล้ว อย่างเช่น ค้างๆอยู่ว่าเราติดรสมะม่วง มะม่วงมันก็เป็นรสของมันอย่างนั้น แต่เราไม่เข้าใจสาระรายละเอียดที่ไปติดในรสมะม่วง แต่พอพิจารณาดีๆแล้วคนที่มีพื้นจิตอนุสัยอยู่เก่ามาแล้ว ตอนนี้พอถูกครอบงำให้หลงต้องมีรสอร่อย เหลือค้าง อย่างเช่น รสมะม่วง เราก็พิจารณาว่ารสมันก็คืออย่างนี้ เราจะไปยินดีกับรสอย่างนี้ มะม่วงลูกนี้มะม่วงพันธุ์นี้มันแตกต่างกัน มันก็แตกต่างกันเป็นคนละพัน เปรี้ยวมากหวานมากหอมมากเหม็นมากอะไรก็ต่างกันไป มันก็เป็นของมัน เราจะไปขึ้นลงตามมัน หวานมากหวานน้อย หอมมากหอมน้อย นิ่มมากนิ่มน้อยอะไรอย่างนี้ คุณบ้าไปกับมันทำไม คุณก็จบรู้ความจริงตามความเป็นจริงเท่านั้นเอง มันก็เป็นของมันอย่างนั้น เราไปวูบวาบกับมัน เราชอบหวานมากหวานน้อย หวานมากหวานน้อยชอบอย่างไร มันก็คนเลือกทั้งนั้น  คุณยึดทั้งนั้น มันจะเป็นยังไงก็เป็นของมันเป็น คุณไปบ้ากับมันทำไม เลิกบ้าได้ก็จบ ง่ายจะตาย รู้ความจริงตามความเป็นจริงก็เลิกบ้า ฟังความนี้ไปคิดให้ดีแล้วไตร่ตรองให้ดี เลิก รู้จักความจริงตามความเป็นจริงแล้วเลิกบ้า

ก็เอาแค่สัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกายรู้ความจริงตามความเป็นจริง เหลือเชื้ออยู่ที่อนาคามี หมดเชื้ออนาคามีก็เป็นพระอรหันต์ ไม่เห็นมันยากมันเย็นอะไรเลย คุณจำลองฟังชัดเจนไหม ฟื้นตัวให้ได้ เป็นอรหันต์วันนี้ให้ได้ ถูกลิงลมข้าวพองมานานแล้ว เอ้าจริง อาตมามีอจินไตย มีรู้อะไรมากกว่านั้น คุณจำลองพยายามตั้งใจฟังธรรมะให้ดี ไตร่ตรองตรวจสอบตั้งใจทำ ฟื้น จริง เอาน่า เป็นโกณฑัญญะ หน่อย ฟังแล้วเกิดอัญญธาตุปื๊ดเลย อัญญาสิวตโภโกณฑัญโญ โกณฑัญญะรู้แล้วหนอ

สู่แดนธรรม...เรื่องนี้ยังไม่สิ้นสุดที่ความสงสัยครับ

พ่อครูว่า…คนขี้สงสัย ก็เลิกขี้เสียที

สู่แดนธรรม...มีการถกกันในห้องประชุมสัมมาบัณฑิตจะขอไปพูดเป็นประเด็นใหม่ในวันหน้าครับ

พ่อครูว่า…ทำโลกหน้าโลกโลกุตระให้ชัดเจนในโลกนี้ โลกนี้โลกหน้าก็อยู่ด้วยกันนี่แหละ

จบ.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

640804_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5 วันพุธที่ 4 สิงหาคม  2564 ณ บวรราชธานีอโศก ชมวิดีโอได้ที่นี่ ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่น...