วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2564

640620_วิถีอาริยธรรม - อานาปานสติแบบพุทธ ถึง อนุปัสสี 4 โดยพิสดาร

เรื่อง วิถีอาริยธรรม - อานาปานสติแบบพุทธ ถึง อนุปัสสี 4 โดยพิสดาร
วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน  2564

ณ บวรราชธานีอโศก









ชมวิดีโอคลิปได้ที่นี่
ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่นี่


อานาปานสติ ถึง อนุปัสสี 4

พ่อครูว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน 2564 ขึ้น 11 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก มีดอกกระเจียวจากศีรษะอโศก ส้มโอจากบ้านราชฯ มาประดับโต๊ะ

สตะ แปลว่า 7 หรือแปลว่าสัตว์ เป็นจิตนิยามแล้ว เลข 7 เป็นเลขที่ชี้บ่งหลายอย่างเป็นเลขเข้า Final ไปสู่สุดท้าย

มีที่ค้างตอบ sms ไว้น่าจะตอบ เรื่องอนุปัสสี 4

_สว่างแสง ขวัญดาว : น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ ในหนัสือเปิดยุคบุญนิยมเล่ม ๒ ข้อ ๑๕ รู้จากผู้อื่นหมายถึงรู้จากใครบ้าง? ผู้อยู่ในฐานะครูที่สัมมาทิฏฐินั้น ต่างจากสัตบุรุษอย่างไร ต้องบรรลุธรรมขั้นไหนอย่างไรคะ เพราะในอนุปัสสี๔ นั้น ผู้ได้ข้อ๑บรรลุอนิจจานุปัสสีได้สัมมาทิฏฐิแล้ว ผู้อยู่ในฐานะครูควรได้สัมมาทิฏฐิขั้นไหนคะ

ลูกเขียนมาเหมือนรู้มาก แต่แท้จริงลูกไม่เข้าใจคะ

พ่อครูว่า…ที่น่าอธิบายคืออนุปัสสี 4 ...คนที่อธิบาย อานาปานสติ ตอนนั้นคงไปเห็นคนปฏิบัติธรรมอยู่ในป่านั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่น เป็นพวกมิจฉาทิฏฐิทั้งหลาย แล้วพวกที่อ่านพระไตรปิฎกไม่แตกก็คิดว่าอย่างนั้นเป็นวิธีการของศาสนาพุทธ แบบพระป่าไปนั่งสมาธิ นั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่นกำหนดลมหายใจเข้าออก นี่แหละให้นิ่งจนกระทั่งอธิบายเลอะไปเยอะเลย ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าท่านอธิบายไว้ว่าถ้าเผื่อว่าหายใจเข้าหายใจออก ไม่มีสติอยู่กับภายนอก แม้แต่แค่ลมหายใจเข้าลมหายใจออก ก็ไม่รู้ตัวแล้ว เข้าไปอยู่ในภวังค์ อันนั้นก็คือหมดสภาพ หมดเลยไม่เหลือเชื้ออะไรที่จะเกี่ยวข้องกับโลกเขาเลย เป็นสัมภเวสีไปเลย อันนั้นไม่ได้เรื่องเป็นการปฏิบัติที่ไม่มีวิญญาณฐีติแล้ว

วิญญาณฐีติที่บอกว่าลมหายใจเข้าลมหายใจออกก็ต้องสัมผัสรู้ มีสัมผัสเหลือที่จมูกมีความรู้สึก ตาก็หลับไปแล้ว หูก็ไม่พยายามได้ยิน ก็เหลือแต่จมูกกับกาย โผฏฐัพพะ ยุงมันมากัด ลมพัดต้องร่างกายก็พอรู้เรื่อง ถ้าไม่รู้เรื่องทางกายเข้าไปอยู่แต่ภายในแล้ว ออกไปเลยไกลลิบลับ ไกลจากวิเวกของศาสนาพุทธ ไกลจากศาสนาพุทธเป็นคนละโลกเลย

แต่เขาไม่เข้าใจอย่างนั้น เขากลับเข้าใจตรงกันข้ามว่าอย่างนั้นดีเข้าภวังค์ได้อย่างนั้นไม่รู้โลกเลยดับไป 7 วัน 7 คืนเลย นี่แหละสุดยอด นี่คือความเข้าใจผิด

ทีนี้ใน อานาปานสติ อธิบายสุดยอดไว้ว่าจะต้องเป็นผู้ที่ศึกษา แล้วก็จะรู้จักรู้แจ้งใน 4 ประการคือ

1. ตามรู้ความไม่เที่ยง อนิจจานุปัสสี

2. ตามเห็นความจางคลาย วิราคานุปัสสี

3. ตามรู้ความดับของกิเลส นิโรธานุปัสสี

4. ตามรู้สภาพที่มันเป็นสวรรค์เป็นนรกสลับไปสลับมา มีสุขมีทุกข์ มีสวรรค์มีนรก ปฏินิสสัคโค ตามรู้ความรู้สึกตามรู้กาย เวทนา จิต ธรรม ก็คือปฏินิสสัคคะ แต่เขาแปลกันอย่างตื้นว่าสลัดคืน ตามรู้การสลัดคืน มันก็เลยไม่ตรงกับสภาวะไปไกลก็เลยไม่รู้เรื่อง สลัดคืนอะไรหนอ

มันก็คือการเวียนไปเวียนมาของจิต ความมีสุขมีทุกข์ก็ไม่เที่ยง ความมีกิเลสไม่มีกิเลสก็ไม่เที่ยง ความจางคลายก็คือชักจะรู้แล้ว ทำให้กิเลสหยุดกิเลสจางคลายได้ รู้ว่าเอ็งอย่าเก่งเลย เอ็งอย่าอยู่กับข้าตลอด ข้าทำให้เอ็งหยุด ลด หายไป หายไปถาวรก็ได้ แต่มันยังไม่ถาวรก็เลยกลับไปกลับมา ยังไม่เที่ยง อวินิปาตธรรม แปรเปลี่ยนไปได้ จะให้สูงขึ้นได้แล้ว ไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา แต่มันก็ยังตกอยู่บ้าง แต่ไม่ตกต่ำกว่าขีด ยังยึกยักอยู่บ้าง จนถึง นิยตะ เที่ยง ทำให้กิเลสลดจนเที่ยงได้ตามเห็นนิโรธานุปัสสี ดับกิเลสจนเที่ยง จนสัมบูรณ์นิรันดร กิเลสไม่มีได้เด็ดขาดเที่ยงจนเป็นพระอรหันต์ บอกตนเองได้เลยว่าเป็นพระอรหันต์

 

ในอานาปานสติ เขาตามอ่านอาการของลม ไม่ได้อ่านอาการของจิต เขาอ่านอาการของลม หายใจออกยาวก็รู้ชัดหายใจออกยาว หายใจเข้าก็เห็นความต่าง อันนี้มันออกนะ อันนี้มันเข้านะ พระพุทธเจ้าท่านเจตนาให้รู้ก็คือรู้ความต่าง ลิงคะ ของการเข้าการออก แม้แต่เราจะมีแค่ลมหายใจก็มีสิ่งที่ต่างกัน ที่จริงมันก็มีความหอม ความเหม็นก็ต่างกันนะ ได้กลิ่นจากลมหายใจ รับสัมผัสรู้ทางฆานะทางจมูก เหม็นหอม อะไรอย่างนี้ก็ต่างกัน

ให้รู้ลักษณะต่างกันแม้แต่สิ่งที่จะได้กลิ่นต่างกัน ได้ลมหายใจต่างกันเข้าออกก็ดี ถ้ายิ่งไปรับรู้สึกถึงเวทนาเหม็นหรือหอม แต่ดูทางกายก็ดูเข้าหรือออก เข้าสั้นออกสั้น เข้ายาวออกยาว ออกยาวเข้ายาว มีนัยยะต่างกัน

 

อานาปานสติทั้ง 16 ขั้นนั้นคือ

1. เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า หายใจออกยาวหรือเมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้ายาว

2. เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจออกสั้นหรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า หายใจเข้าสั้น

3. สำเหนียกอยู่ว่าเราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจออก ว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้กองลมทั้งปวงหายใจเข้า (สัพพกายปฏิสังเวที สิกขติ)

4. สำเหนียกอยู่ว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า(ปัสสัมภยัง กายสังขารัง สิกขติ)

คนที่เข้าใจกาย ผิดก็เข้าใจเพียง ให้ร่างกายเนื้อตัวไม่กระดิก เรียกว่ากายระงับ ระงับกายสังขาร คือนั่งนิ่งไม่กระดุกกระดิก บางคนเหมาเอาว่า ไม่รู้แม้แต่ลมหายใจก็ออกเลยลมหายใจนิ่ง บอกว่านั่นแหละคือสงบระงับแน่นอน ซึ่งอย่างนั้นก็ตายพอดี พาซื่อถึงอย่างนั้น นี่คือมิจฉาทิฏฐิ

วิญญัติ คืออาการเคลื่อน อาการทางกายกรรม กายวิญญัติ วจีวิญญัติ เขาเข้าใจผิดว่า กายสังขารระงับ

เพราะกายสังขารระงับ ของพระพุทธเจ้า เห็น ตาก็เห็นรูป หูก็ได้ยินเสียง จมูกได้กลิ่นลิ้นรับรสทุกอย่างเลย แต่กิเลสกาม มันระงับ กิเลสภายนอก กามคุณ 5 ทางตาหูจมูกลิ้นกายมันระงับ เพราะฉะนั้นความไม่รู้อย่างนี้แหละ สายนั่งหลับตามหาบัวเป็นต้น ถึงไม่รู้ว่าตัวเองกินหมากปากเปรอะติดในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสกามคุณ 5 ไม่รู้ แล้วจะดันไปเป็นพระอรหันต์ หยาบแค่ข้างนอก กายสังขารัง ปัสสัมภยัง ก็ไม่รู้เพราะว่ามิจฉาทิฎฐิ ไปสอนว่ากายระงับคือภายนอกระงับเป็น กายวิญญัติ วจีวิญญัติ สงบเท่านั้น

ที่จริงแล้ว ต้องกิเลสระงับ สงบจากกิเลส เช่น ดอกกระเจียวนี้เยอะจังเลย จิตชอบยินดีจังเลย เอามาจากไหน เอามาจากศีรษะอโศก เราไปเที่ยวชมดอกกระเจียวที่ศีรษะอโศกกัน อย่างนี้เป็นต้น มันปรุงแต่งกันไปเรื่อยๆ หรือไปสวนดอกกระเจียวที่จังหวัดชัยภูมิ เป็นต้น

จริงๆแล้วกายสังขารัง ปัสสัมภยัง  หมายถึงกิเลสที่เกี่ยวข้องกับการสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้นกาย กิเลสมันระงับ กิเลสดับเลยไม่เกิดอีก หมด ข้างนอกหมดก็เหลือแต่ภายใน กามภพหมด ก็เหลือรูปราคะ อรูปราคะ

รูปราคะ อรูปราคะ นี่แหละ ไม่ใช่คุณหลับตา ไม่เห็นรูปไม่ได้ยินเสียงไม่ได้กลิ่น ก็เลยเหลือแต่รูปข้างในนั้นไม่ใช่ แต่ว่าตาคุณยังสัมผัสข้างนอก หูยังได้ยินเสียงทุกอย่าง แต่กิเลสมันไม่ปรุงแต่งแล้ว ข้างนอกมันก็เฉยมันก็รู้ความจริงตามความเป็นจริง มารก็ไม่ได้ไปหนักหนาวุ่นวายแล้ว มีก็สักแต่ว่ามี ก็ทำตามควร ดอกกระเจียวก็เอาไปลาบมากินกันหรือลวกจิ้มแจ่วก็ได้ กินกับป่น เป็นต้น พวกกินเนื้อก็ป่นปลา พวกมังสวิรัติก็ป่นเห็ดก็ได้

ไม่ได้ดับตาหูจมูกลิ้นกาย  ไม่ได้หยุดอิริยาบถอะไรเลย ก็อยู่กับอิริยาบถธรรมดาทำงานอาชีพไปตามปกติ มีกายกรรม มีกัมมันตะ  มีการกระทำทุกประการเป็นปกติ สัมผัสสัมพันธ์กับทุกสิ่งทุกอย่าง ยังพูดจามีวาจาปกติ มีความคิดปกติ แต่เราอ่านจิต

สราคะ สโทสะ สโมหะ เมื่อสัมผัสกับสิ่งภายนอกแล้วก็ทำให้มันจางคลาย วิราคานุปัสสี ก็ทำให้กิเลสมันวีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ ก็ทำให้มันจางคลายลง ก็ถ้าหากดูแล้วกิเลสมันจัดจ้านขึ้นกิเลสกามก็จัดขึ้น ไปคบกับทิฟฟานี่ ปรุงแต่งบ้าๆบอๆอีก ของเก่าไม่ได้ล้างของใหม่ก็เพิ่มขึ้น อย่างนั้นก็ดีอย่างนี้ก็สวย อย่างนั้นก็น่าได้น่ามีน่าเป็นไปอีก เผลอเติมกิเลสเข้าไปก็ไม่รู้ว่ากิเลสนาขึ้นๆ ปรุงแต่งมาหลอกตัวเอง ของเก่าก็ยังไม่รู้ทันพักยกไว้ก็เอาของใหม่มาปรุงแต่งจัดจ้านให้ติดก็ไปอีกไปเรื่อย

 

สู่แดนธรรม...การทำให้กายระงับต้องตั้งกายให้ตรงใช่ไหม

พ่อครูว่า…ไม่ใช่อย่างนั้น กิเลสที่มันเกี่ยวข้องทางภายนอกหยาบๆนี้มันระงับ จนกระทั่งสัมผัสทางข้างนอกนี่แหละ กิเลสข้างนอกมันปรุงแต่ง เหลือภายในมันก็จะ เหลื่อมกัน รูปราคะ อรูปราคะ จนหมดภายใน รูปราคะ อรูปราคะไม่มี เหลือมานะถือดี ยิ่งเป็นอนาคามี ข้างนอกได้หมดแล้วไม่มีแล้ว ควบคุม รูปราคะ อรูปราคะ ไม่ใช่แค่ควบคุม แต่มันไม่มีแล้วมันเหลือภายในเบาบางมาก มันซ้อน มานะก็จะขึ้น พอสกิทาคามีไปหาอนาคามี ไม่รู้จักจิตมานะก็หลงเหลิงผยอง

สู่แดนธรรม...ที่พระไตรปิฎกบอกไว้ว่าให้เธอไปนั่งตั้งกายตรงดำรงสติคงมั่น

พ่อครูว่า…พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนอย่างนั้นหรอก นั่นเป็นคำสอนของสาวกของผู้ที่ยังเข้าใจไม่ได้ พระพุทธเจ้าสอนวิญญาณฐิติ ให้รู้จักการรู้จักสัญญา กำหนดรู้กายสัญญา วิญญาณฐิติ 7

กายคือ องค์ประชุมภายนอกกับภายใน ผู้ที่มีสัญญากำหนดหมายที่ต่างกันเรียกว่ามิจฉากับสัมมา กำหนดต่างกันอย่างที่ว่านี้ ไปมุ่งหมายเอาการหยุดนิ่งทั้งหมด กับพวกไปหยุด

พวกไปหยุด จะไม่สามารถเรียนรู้จรณะ 15 วิชชา 8 จะไม่มีเลย พุทธคุณที่จะระงับวิชชาจรณสัมปันโนจะไม่รู้ เพราะพระพุทธเจ้าท่านแบ่ง ตามศีลเป็นหัวข้อ รายละเอียดมันละเอียดลงไป ซึ่งเกี่ยวกับการสัมผัสสัตว์ในศีลข้อที่ 1

ข้อที่ 2 สัมผัสกับของ เป็นมหาภูตรูป กับพืช ดินน้ำไฟลมกับพืชต่างๆ ซึ่งไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่จิตนิยาม ท่านแบ่งไปอย่างนั้น

ข้อที่ 3 จะเป็นสัตว์ก็ตาม จะเป็นดินน้ำไฟลมก็ตาม คุณก็เกี่ยวข้องกับตาหูจมูกลิ้นกายใจนี่แหละ นั่นคือศีลข้อ 3 รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสทั้งหมด คุณจะต้องรู้จักกิเลสที่มันเกิดทางตาหูจมูกลิ้นกายใจสัมผัส สัมผัสทั้งสัตว์ ทั้งข้าวของ ทั้งดินน้ำไฟลม ทั้งพืชพันธุ์ธัญญาหารต่างๆหมดเลย

ศีล 3 ข้อนี้รวมไว้หมดแล้ว ถ้าเรียนรู้ความหมายของการสัมผัสและอ่านรู้กาย รู้เวทนา รู้กิเลสในเจโตปริยญาณ 16 นี่มันเกิดราคะแล้วนะ เกิดโทสะ เกิดโมโหแล้วนะ คุณจะกระทบสัมผัสกับอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่ไปหลับตาเลย ไม่ใช่ไปดับหู ไม่ใช่แบบนิ่มแข็งเลยไม่ใช่ นั่นมันของฤาษี 100%  ของพุทธนั้นตื่น 100%

ท่านถึงบอกในคำสอนจรณะ 15 ว่าคุณต้องตื่น ชาคริยา ตื่นมีสติเต็มร้อย สติแปลว่าร้อย มาจากรากศัพท์ที่แปลว่าร้อย คือ สตะ กายกรรมก็ต้องตื่นเต็มร้อย วจีกรรมก็ต้องตื่นเต็มร้อย มโนกรรมก็ต้องตื่นเต็มร้อย

พวกคุณเคยได้ยินได้ฟังว่า กายต้องตื่นเต็มร้อย กายสัมผัสก็ต้องเต็มร้อย รู้ครบหมด ไม่ได้ปิดอะไร ไม่มีพราง อาตมาพูดถึงขนาดยิ่งกว่านู๊ด ทุกอย่างเป็นปกติของมนุษย์มนาทั้งหมด สัมผัสเป็นปกติทั้งนั้น ไม่ใช่ปิดนิดนึงเป็นส่วนหนึ่ง ปิดส่วนนี้ไม่ปิดส่วนนี้ ไม่ใช่ แต่เปิดทั้งหมด ไม่มีปิดส่วนใดส่วนหนึ่งเลย อาตมาอธิบายละเอียดหน่อย

ความเข้าใจ 2 ด้านอย่างนี้แหละ แค่นี้แหละ แค่ปิดจนกระทั่งปิดเลยเถิด กับเปิด จนกระทั่งเปิดทั้งหมดจะว่าเลยเถิดก็ได้ แต่ที่จริงไม่เลยเถิด เปิดทั้งหมดชาคริยา สว่างแจ้งทั้งหมดเลย จึงจะเกิดปัญญา เกิดญาณ เกิดวิชชา

เพราะฉะนั้นถ้าคุณไปหลับตาไม่รับแสงสว่าง ไม่มีอาโลก ไม่เกิด จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก ถ้าอย่างนี้ไม่ใช่ความตรัสรู้แบบพระพุทธเจ้า ผู้ที่จะรู้ตามได้ต้องเปิดตามีจักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง นิพพานอย่างลืมตาเรียกว่า  จักขุมาปรินิพพุโพติ ต้องนิพพานอย่างตาลืมๆ ต้องลืมตามีสติเต็มร้อย ต้องทำนิพพานแบบ  จักขุมาปรินิพพุโพติ ต้องปฏิบัตินิพพานในขณะลืมตามีสติเต็มร้อยรู้ ตาหูจมูกลิ้นกายใจเปิดรับเต็มร้อยทั้งหมด สติต้องเปิดรับเต็มร้อยจึงจะครบอธิปไตย ถ้าสติไม่เปิดเต็มร้อยไม่ครบอธิปไตย พระพุทธเจ้าถึงมีภาคชาคริยานุโยคะ พากเพียรให้ตื่นรู้ ไม่ใช่พากเพียรให้หรี่รู้หยุดรู้ แต่รู้ให้ครบให้เร็วให้คล่องแล้วทันกิเลส ไปลดกิเลส

 

สู่แดนธรรม...อานาปานสติคือให้รู้เป็นไปตามลำดับใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า…การทำให้หยุดนิ่งนั้นมันไม่รู้กิเลสหรือรู้กิเลสได้ยาก หรือดูกิเลสก็กดกิเลสไว้ พวกฤาษีจะเป็นแค่นั้น แต่ของพระพุทธเจ้าจะรู้และสัมผัสอยู่ตรงนี้หลัดๆ กิเลสมันเกิดอย่างนี้ กิเลสมันดับอย่างนี้ ดับได้ถาวรหรือเปล่า ดับได้นิดเดียว วินาทีเดียว ดับได้ 2 วินาทีดับได้ 5 วินาที ดับได้ 10 วินาที อดใจได้ เห็นมะม่วง เห็นทุเรียน โอ้โห..กิเลสขึ้นปั๊บ เราก็ดับกิเลส แต่มันก็ยังเห็นทุเรียนอยู่ ดับได้เดี๋ยวเดียว ก็อยากขึ้นอีกแล้ว ก็ดับมันอีก มันก็อยากขึ้นอีก ดับได้นานหน่อย แต่ถ้ายังอยู่มันก็ขึ้นอยู่นั่นล่ะ ถ้าใครเอาไปเสียมันก็พักยก ไม่เอาไปก็อยู่นั่นแหละ มันจะไปไหวหรือเดี๋ยวก็เดินเวียนไปเวียนมา ถ้ามันติดจัด...ไม่เหลือ แล้วเรามีสิทธิ์กินด้วยก็ไม่เหลือ

สรุปแล้วพระพุทธเจ้าปฏิบัติให้เห็นกิเลส เห็นในขณะปัจจุบัน ลดกิเลสปัจจุบัน จึงเรียกว่า ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ ต้องมีทิฏฐิมีความเห็นความเข้าใจว่า นิพพานต้องมีปัจจุบันกาล ปัจจุบันชาติหรือทิฏฐกาละ ขณะนี้ เดี๋ยวนี้เลย ณ บัดนี้ Suddenly ทันทีทันใดนั้น แล้วก็รู้กิเลสทันทีทันใด มันเกิดจริงเป็นจริง เอาปัจจุบันที่มีเหตุปัจจัยครบทั้งภายนอกภายใน การกระทบสัมผัส มีผัสสะ มีเวทนา อ่านเวทนา ทำกิเลสลด ตอนเวทนาตื่นๆไม่ใช่ไปดับ ไม่ให้มันรู้..ไม่ใช่ ต้องให้มันรู้เต็ม แล้วอ่านกิเลสขณะรู้สึกเต็มๆนี่แหละ กิเลสมันเหลือ หยาบ กลาง ละเอียด มันถึงจะจริง คุณหลับตามันไม่จริง อดีตไม่จริง อนาคตมันยิ่งไม่จริงใหญ่ ปัจจุบันเท่านั้นที่จริง

คุณทำงานคุณล้างกิเลสก็เป็นกิเลสไม่จริง เป็นกิเลสอยู่กับอดีต เป็นกิเลสอยู่กับอนาคต ฟังตรงนี้ให้เข้าใจ หากว่าไปดับกิเลสอดีต อดีตมันจบไปแล้วคุณจะไปดับกิเลสอะไรมันได้ กิเลสอนาคตมันยังไม่เกิดนะ แล้วคุณจะไปดับกิเลสอะไรในอนาคต อดีตกับอนาคตมันไม่มีความจริงไม่เป็นความจริง คุณปฏิบัติธรรมคือต้องปฏิบัติกับสัจธรรม ไม่ใช่ปฏิบัติกับอดีตธรรม อนาคตธรรม คุณต้องเอาปัจจุบันธรรม ทิฏฐธรรม

สู่แดนธรรม...พอเขารู้ว่าเพลินไปในอดีต เขาก็เลยระงับในปัจจุบัน รู้ก็หยุดเสีย ได้ไหมครับ

พ่อครูว่า…ศาสนาพุทธก็เอาปัจจุบันนี้แหละ เอานิพพานในปัจจุบัน นิพพานในขณะที่มี จักขุมาปรินิพพุโพติ ต้องนิพพานในขณะมีตากระทบรูปมีทวารทั้ง 5 กระทบรูปมีจิตใจให้รู้ มีเจโตปริยญาณ 16 เต็ม ล้างกิเลสออกกิเลสเหลือน้อยหรือมากเท่าไหร่ก็รู้ความจริงตามเจโตปริยญาณ 16 นั่น

คนจะเข้าใจเจโตปริยญาณ 16 ต้องเป็นอรหันต์จริง ถ้าไม่เป็นอรหันต์จริงๆ จะไม่เข้าใจเจโตปริยญาณ 16

หัวข้อใหญ่ เป็น ราคะ โทสะ โมหะ

ทำให้ลดลงได้ วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ ทำให้กิเลสลดลงเจริญมากหรือน้อยจนถึงหมดเลย 6 ข้อนี้จำกัดความให้ชัดเจนเลยว่า มีหน้าที่ทำเท่านี้แหละให้สำเร็จบริบูรณ์ คุณเริ่มทำ คุณก็เริ่มมีผลหรือไม่มีผลเรียกว่า สังขิตตังจิตตัง กับวิกขิตตังจิตตัง คู่ที่ 2

สังขต สังขิตตัง คือ สายเป็นก้อน สายถีนมิทธะ สายเจโต ศรัทธา

วิกขิตตังจิตตังคือ กายธัมมานุสารี สายฟุ้งกระจาย

ถ้ามันเป็นก้อนเข็ง คลี่ไม่ออก ต้องคลี่กระจายให้ออก มีธัมมวิจัย เรียนรู้กิเลสที่มันมาปรุงแต่งผสมอยู่ขณะเกิดในปัจจุบันกระทบสัมผัสนี่แหละ กำลังปรุงแต่งนี่แหละ ไม่ได้ไปดับการปรุงแต่ง ไม่ได้ประดับกายสังขารซื่อๆ ดับสังขารไม่ใช่ดับการปรุงแต่งเฉย แต่ดับกิเลสที่มันไปผสม สสังขารังจิตตัง หรือ อสังขารังจิตตัง คือจิตที่มีกิเลสปรุงแต่งกับไม่มีกิเลสปรุงแต่ง เรียนรู้ทำให้กิเลสจางคลายขณะที่มันมีนั่นแหละ เมื่อมันไม่มีแล้วก็เป็น อสังขารังจิตตัง หากสงบระงับอย่างสมถะก็รู้ มันก็ไม่เที่ยงหรอก เหมือนฤาษีสงบกดกิเลสไว้ แต่ของพุทธนั้นปลุกกิเลสให้ตื่น เพื่อจัดการ แล้วตื่นแจ้งรู้ทุกอย่างในโลกเลย มันจะกระทบสัมผัสมาอย่างกระทบมุมไหนก็รู้ทันหมด เกิดปฏิภาณปัญญาปฏิภาณชัดเจนจับกิเลสได้ทุกเหลี่ยม ฆ่ากิเลสได้ทุกตัว มันถึงจะบริบูรณ์ สัมบูรณ์ได้ครบถ้วน

ความเข้าใจแค่นี้ที่ต่างกันในนัยยะสำคัญ ที่เขาเข้าใจผิดจึงไม่สามารถบรรลุอรหันต์ได้ เพราะงั้นสายนั่งหลับตาปิดประตูบรรลุธรรมพระพุทธเจ้า ที่นั่งหลับตากันอยู่ทั้งหลายทั้งมวล ที่ท่านได้บังเอิญมาฟังโพธิรักษ์พูด รู้ไว้เถิดว่าโชคดีมาก หลับตานั้นเลิกได้เลย ศาสนาพุทธไม่มี  แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่สามารถกล่าวแรงๆได้เหมือนอาตมา เพราะยุคนั้น ไม่มีพุทธเลยเป็นฤาษีกันหมด แต่อาตมาไม่ประนีประนอมเพราะว่าในยุคนี้มีพุทธแล้ว อาตมาไม่สามารถเอาเทวนิยมทั้งหลายมาอนุโลมให้ได้ ไม่อาจเอื้อม เอาแค่ชาวพุทธมาฟื้นโลกุตระนี้ที่จมหายไปไม่รู้เรื่อง

อนุปัสสี 4 ถึงไม่ใช่ไปรู้ตามเห็นความไม่เที่ยง ตามเห็นความจางคลาย ตามเห็นความดับ ตามเห็น คุณทำจนกระทั่งกลับไปกลับมา จนเด็ดขาดทำได้ ดับกิเลสได้ ดับสวรรค์ดับนรกได้สมบูรณ์แบบที่สุด คุณก็ต้องรู้เหตุรู้ปัจจัยที่กระทบสัมผัสทุกอย่าง คุณจะรู้กิเลสของคุณ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาแล้วไม่รู้โลกไม่รู้เรื่องอะไร ตื่นอยู่อย่างนั้นไม่รู้อะไรเลย มันก็ยิ่งโง่ดักดานมืดไม่รู้ แต่ของพระพุทธเจ้านี้ยิ่งรู้มีโลกวิทู รู้ครบครันรู้หมด มันคนละทิศเลยนะ สัมมาทิฏฐิกับมิจฉาทิฏฐิ 2 ด้านนี้

พระพุทธเจ้าเรียนรู้หมดโลกะวิทู รู้โลก แต่ เดียรถีย์ มิจฉาทิฏฐินั้นเรียนปิดโลก โง่กับโลก ไม่รู้โลกเลย นั่งหลับตาปิดยังงั้นจนตาย โลกเขามีอะไร ไปถามพวกนักบวชเชน สุดโต่ง หนีไปอยู่ป่าเขา ถ้ำ ไม่เกี่ยวกับใครเลย ดีไม่ดีแก้ผ้าโทงๆ มีแต่อุปกรณ์ใส่อาหารกินอย่างเดียว นอกนั้นกูไม่เอาอะไร มีดโกนจะโกนหัวก็ไม่เอา จะเอาผมออกก็ถอนผม ถอนเสร็จก็เลือดโทรมหัว ทนจริงๆทนเก่ง เห็นไหมพวกสุดโต่งเป็นเช่นนี้ เขาก็มีตัวอย่างมีความจริงที่ทำให้รู้ให้เห็น พวกนี้คนไม่ค่อยรับเท่าไหร่

อนุปัสสี 4 เป็นเรื่องไม่ใช่แคบและตื้น แต่เป็นเรื่องที่กว้างขวาง เป็นเรื่องพิสดาร ซึ่งเข้าใจไม่ได้แล้ว จะหลงผิดทาง ซึ่งมันสุดโต่งไปอีกทางหนึ่ง ชาวพุทธในไทยชักจะเป็นอย่างนั้นแล้ว แล้วก็บอกว่านี่แหละคือพระปฏิบัติพระกรรมฐาน ท่านออกป่า ไปอยู่ป่าเขาถ้ำมา 50 ปี ไปปิดหูปิดตาเลย บิณฑบาตกินกับต้นไม้ เก่งถึงขนาดนั้น รุกขเทวดามาใส่บาตรให้กิน

สมัยพันเอกปิ่น มุทุกันต์ หลวงตายี บิณฑบาตกับต้นไม้ ซึ่งพันเอกปิ่น มุทุกันต์ เคยเป็นผู้ปกครองอาตมาตอนอยู่หอพักบุตร ทบ. ได้เป็นนักเรียนดีเด่นพิเศษของหอพักด้วย ในยุคจอมพลผิน ชุณหะวัณ อาตมาได้รับรางวัลพิเศษจากจอมพลผิน ชุณหะวัณ เป็นหัวเข็มขัดลงยา อันเดียวเลย เป็นนักเรียนดีเด่นของหอพักพิเศษ ได้คนเดียว คนอื่นจะมีอีกหรือเปล่าอาตมาไม่รู้ในยุคโน้น อาตมาเป็นคนเดียวที่ได้จากจอมพลผิน ชุณหะวัณ (มีภาพประกอบ)

 

สู่แดนธรรม...มีคนถามมา กิเลสระงับคือกายระงับ สำรวมอินทรีย์คือกายระงับใช่ไหมคะ  สำรวมอินทรีย์เป็นอุบายวิธีใช่ไหม

พ่อครูว่า…สำรวมกายรวมทั้งภายนอกภายใน ก็คือสำรวมอินทรีย์ ซึ่งมีจิตด้วย อินทรีย์คือกำลังหรือพลังงาน หรือองศาของมัน น้ำหนักของมัน พลังงานของมัน

สู่แดนธรรม...ที่ผมไปบวชมาเขาตัดเอาการสำรวมอินทรีย์ออกไป เขาให้อ่านแต่จิตเพ่งแต่จิต

พ่อครูว่า…สำรวมแต่ มนิทรีย์ แต่ตัดทวารอื่นออกหมดเลย ไปหาที่ไม่ให้ได้ยินเสียงไม่ให้เห็นรูปได้ยิ่งดี เป็นนิโรธแบบฤาษี ซึ่งต่างจากของพระพุทธเจ้าที่ลืมตาปฏิบัติกระทบสัมผัสแต่กิเลสกิเลสไม่เกิด ตากระทบรูป หูได้ยินเสียง ฯ

แม้แต่สัมผัสเสียดสี เย็นร้อนอ่อนแข็งก็ไม่เกิดกิเลสนะ รู้ความจริงตามความเป็นจริงอ่านเวทนาในเวทนาออก เวทนา 2 ไม่มี เวทนา 2 คือเวทนาที่มีรสโลกีย์ รสของกาม รูป อรูป  กามหมดเหลือรูป อรูป ก็ละเอียดต่อไปอีก แต่ไม่ใช่ไม่รู้ความจริง มันต้องดูรู้ความจริง แต่มันต้องแยกความไม่จริงออก มันไม่มีเลย จนกระทั่งอุเบกขา กลาง รู้ความจริงตามความเป็นจริงเต็มๆ รูปก็ได้เห็นรูป เสียงก็ได้ยินเสียง 1 1 1 1 ไม่มี 2 แยกเสียง 2 ออกเป็นโสตทิพย์ โสตทิพย์ เรียกว่ารู้เสียง 2  

รู้เสียง 2  คือรู้สิ่งที่มีกิเลสผสม สสังขารังจิตตัง มันต้องอนุตตรังจิตตัง กิเลสเกลี้ยง ไม่มีกิเลสมาผสมอีกเลย เป็นเรื่องของปัญญาอันยิ่งที่จะรู้ชัดเจนด้วยญาณทัศนะพิเศษ

 

สู่แดนธรรม...คุณสว่างแสง ขวัญดาว ได้ถาม ผู้ที่อยู่ในฐานะครูต้องได้สัมมาทิฏฐิในขั้นไหน

พ่อครูว่า…สัมมาทิฏฐิมี 10 มิจฉาทิฏฐิก็มี 10

ตั้งแต่ สัมมาทิฏฐิ 2 มิจฉาก็เป็นหนึ่งซ้ำมาก็เป็นหนึ่ง

เริ่มตั้งแต่ทิฏฐิ 2  คือ คุณต้องได้ฟังจากพระพุทธเจ้าหรือสัตบุรุษหรือครูผู้สัมมาทิฏฐิ นั่นคือคุณจะต้องมี ปรโตโฆษะ ถ้าคุณไม่มีไม่ได้ยินได้ฟังจาก ปร คือ ผู้อื่น ผู้อื่นไหนคือผู้อื่นที่สัมมาทิฏฐิหรือเป็นครูผู้ที่สอนหรือไม่สอนก็ตาม แต่เป็นเสียงอื่นที่ต่างจากที่เราเข้าใจ ต่างที่เรายึดถืออยู่ คุณต้องฟังที่อาตมาพูดซึ่งมันต่างกับที่คุณพูดคุณอธิบาย ยิ่งต่างคุณต้องยิ่งฟัง

ถ้าคุณยึดถือสิ่งที่คุณมีแล้ว เช่นผู้รู้ทั้งหลาย ยึดถือจากอาจารย์เดิมๆเรียนมาเก่า พอมาได้ยินโพธิรักษ์พูด ต่าง นี่แหละคุณต้องฟัง ปรโตโฆษะ แต่คุณไม่ฟังคุณตีทิ้งแล้วยึดถืออย่างอาจารย์เก่า ถ้าคุณสัมมาทิฏฐิคุณเป็นพระอรหันต์ คุณเป็นโพธิสัตว์ คุณประกาศโลกุตรธรรม อธิบายได้อย่างอาตมาหมดเลย อธิบายได้อย่างเป็นสภาวะด้วย ไม่ใช่อธิบายได้อย่าง ปรปทมะ ท่องได้เก่งสอนได้เก่ง แต่ไม่บรรลุธรรมสักอย่าง แม้แต่ สักกายทิฏฐิ ก็ยังแยกกายไม่ออก ไม่เข้าใจไม่รู้

กาย ก็ไปเข้าใจเป็นเพียงสิ่งเดียวเป็นอย่างหนึ่งเดียว ไม่ได้เข้าใจว่า กาย เป็น 2 กาย เป็น 1 ไม่ได้ กายต้องมี 2 เสมอ แค่นี้เขาสัมมาทิฏฐิไหม กายมีแต่ร่าง มีแต่ดินน้ำไฟลม มีแต่สัมผัสข้างนอก ข้างในไม่เกี่ยวกัน อย่างนี้ไม่ได้ กายคือจิต กายคือมโน กายคือวิญญาณ แยกไม่ได้ สัมมาทิฏฐิแค่คำว่ากายนี้ไม่ได้ก็จบ ไม่มีทางบรรลุพระอรหันต์ ยิ่งใหญ่นะตัวนี้ กายตัวเดียวนี้

ขอแวะนิดนึง พิสดารหน่อย...กายนี้คือ กะ กับ ยะ

กะ คือตัวแรกตัวต้นของพยัญชนะ

ยะ คือ ตัวต้นตัวแรกของเศษวรรค

เอามาต่อกันเข้า กย แล้วเรียนรู้ กย ให้พิสดารให้มากขึ้น ก็เลยเป็นพหูพจน์ คือ กาย

อธิบายพยัญชนะพิสดารให้ฟัง รากเหง้าพยัญชนะ ไม่งั้นไม่มีอะไรเลยต้องเริ่มต้นมี กะ กับ ยะ นี่แหละ

กะ คือเป็นก้อนแท่งตัวตนรูปร่าง ถ้ามีแต่ ยะ มันยังมีแต่พลังงาน เป็นต้นแรกของเศษวรรค กะ เป็นตัวเต็มของวรรค พยัญชนะคือสภาวะที่สื่อ อะไรก็ตาม ถ้ากะ ก็มาเต็มๆ ถ้า ยะ ร่วมด้วยเป็น กยะ ก็จะมีพลังงานมีอะไรอื่นที่ต่างจากเศษวรรค

วรรค คือเนื้อแท้ เศษวรรคคือมีอะไรอื่นมาร่วมอีก

สู่แดนธรรม...อย่างนี้ได้ไหมครับ  ย ร ล ว ส ห ฬ อํ คือพลังงาน ผมอ่านลำธารชีวิต มันก็มีพลังงานกับสสารปรุงแต่งกันอยู่เท่านั้นในเอกภพนี้ กายคือ ที่รวมกันของพลังงานและสสาร ที่จะดำเนินการปรุงแต่งกันไปในโลก

พ่อครูว่า…ออกมาเป็นกายะ กยะ ใช้พยัญชนะมาสื่อสภาวะ มันสุดยอดเลย

 

มาตีแตกอนุปัสสี 4 อีก

พวกมิจฉาทิฎฐิเข้าใจว่าไปนั่งสะกดจิตแล้วตามเห็นความไม่เที่ยงในการนั่ง อ่านจิตในจิต แล้วก็เห็นความจางคลาย เห็นความจางคลายก็คืออดีตกับอนาคต เพราะหลับตานั่ง ไม่ได้เกิดความจริง เป็นอนิจจังแบบเพ้อฝัน เป็นอนิจจังในสัญญากำหนด เคยจำได้ อย่างนี้น้อ.. อดีตอย่างนี้ มีแต่คลำอยู่ในอดีตกับอนาคตที่คุณคิดไป จะปรุงแต่งใหม่ผสมกันอีก ก็เป็นแต่ภาคตรรกะความคิด มันไม่มีความจริง แต่ถ้ามาสัมผัสมันจะเกิดความจริง ปัจจุบันจะมีความจริง ถ้าไม่มีตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรสแล้วเกิดอะไรให้คุณรู้ขึ้นมาเป็นองค์ประกอบเรียกว่ากาย ลงไปในความรู้สึกทางจิตเรียกว่าเวทนา แล้วคุณก็เรียนสภาวะคู่ของกายกับเวทนา แล้วคุณก็จัดการ

สำคัญที่เวทนา รายละเอียดที่เวทนา จะมีตัณหา อุปาทาน ก็ล้างอุปาทานที่มันปรุงแต่งกับจิตของเรา เจตสิกของเรา เกิดกิเลส กิเลสมันดับได้ก็เหลือแต่จิตสะอาด จิตจะสะอาดก็ต้องรู้เจโตปริยญาณ 16 คนปฏิบัติธรรมไม่รู้จักสภาวะธรรมของเจโตปริยญาณ 16 คุณไม่มีทางเป็นอรหันต์

สังขิตตัง วิกขิตตัง เป็นอย่างไร?..คุณก็ไม่รู้ ทำให้เป็น มหัคคตะ มันไม่เป็นมันเป็น อมหัคคตะ ...คุณก็ไม่รู้ สูงขึ้นไปเป็น อนุตตรังจิตตังกับสอุตตรังจิตตัง คุณก็ยิ่งไม่รู้ ก็เลิกเลย

สอุตรังจิตตัง จิตที่ดีแล้วทำได้ดีแล้วแต่ดียังไม่สูงสุด มันต้องทำให้เป็น อนุตตรัง  ก็ต้องตรวจดูกิเลสมันยังมีเหลืออย่างไร มันยังไม่หลุดพ้น ยังไม่ตกผลึกตั้งมั่นเป็นสมาหิตัง มันยังไม่เป็นวิมุติ มันยังมี อวิมุติอยู่ ไม่สมาหิตัง ต้องตรวจให้ครบให้ถ้วนรอบ สภาวะมันต้องมี ไม่ใช่ท่องเอา

สภาวะมันต้องบริบูรณ์ทั้ง 16 อย่างจึงจะเป็นพระอรหันต์เริ่มต้น อนุตตรังจิตตัง ก็เป็นพระอรหันต์แล้ว จะสูงสุดบริบูรณ์ต่อไปต้องรู้ สมาหิตะกับอสมาหิตะ กับวิมุติ อวิมุติ (พ่อครูไอตัดออกด้วย)

สู่แดนธรรม...อาจารย์เก่าที่เคยสอน มหัคคตะ มันบานปลายเป็นปากกรวย

พ่อครูว่า…ยิ่งกิเลสลดลงน้อยลง กิเลสยิ่งลด จิตยิ่งยิ่งใหญ่ เพราะฉะนั้น จิตของศาสนาพุทธกิเลสยิ่งลดจิตยิ่งคิดยิ่งคล่อง เป็นปาคุญญตา กายปาคุญญตา จิตปาคุญญตา จิตยิ่งคล่องไมใช่จิตยิ่งแข็งยิ่ง กิเลสมันหยุดไม่ใช่จิตหยุด กิเลสมันดับไม่ใช่จิตดับ ไม่ใช่การเคลื่อนไหวหมด แต่ยิ่งเคลื่อนไหวเก่ง แล้วกระทบสัมผัสได้ทุกหน้า กิเลสมาไม่รอหน้าเลย กิเลสกลัว เข้าไม่ติดเลยกิเลส นั่นต่างหาก

อาตมาพาปฏิบัติทวนกระแสจริงๆศาสนาพุทธทุกวันนี้ อาตมาขอยืนยันว่านี่เป็นของพระพุทธเจ้า ถึงบอกว่าต้องมาเป็นไก่ตัวพี่ในยุคนี้ไม่มีใครมาด้วย จึงยากมาก หนึ่งเดียวเลย รบกับทั่วราชอาณาจักรเลย ไม่แน่ก็ตาย เป็นกระบี่ไร้เทียมทาน กระบี่พ่อลูกอ่อน ฆ่าด้วยความว่าง ความเร็ว ความสงบ มันเป็นภาษาทวนกระแส

 

พูดถึงตรงนี้ไม่รู้จะทำอย่างไรให้คนเข้าใจทั้งโลกเลย คือเรื่องที่เราไปรบกับรัฐบาลทรราช จนชนะรัฐบาลทรราชมาหลายรัฐบาล รัฐบาลทักษิณ สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ รบด้วยคุณธรรมความดี รบด้วยความจริง รบด้วยสัจจะ แล้วพวกนั้นแพ้สิ่งเหล่านี้ ประเทศไทยทำสำเร็จ อาตมาพาไปทำสำเร็จ พูดแล้วก็เหนียมตัวเองเหมือนยกตัวเอง แต่มันเป็นเรื่องจริง

นักประวัติศาสตร์รัฐศาสตร์การเมืองน่าจะเข้าใจเรื่องนี้ ว่าเมืองไทยได้มีการรบด้วยการรัฐประหาร ประหารด้วยมือเปล่า ประหารด้วยความสงบ ประหารด้วยความจริง ประหารด้วยความรู้ ประหารด้วยความถูกต้อง ความผิดความไม่จริงแพ้ ความไม่รู้แพ้ นี่พวกเราใช้ธรรมาวุธแท้ๆ เมืองไทยได้ทำสำเร็จเป็นการปฏิวัติอย่างโลกุตรธรรม

ซึ่งนักรัฐศาสตร์กลับไม่รู้ว่าเมืองไทยมีอะไรเกิดขึ้น อาตมาพาพวกเราคนไทยไปทำ รวมไปจนกระทั่งมีสุเทพมาสมทบ มีกปปส. มาสมทบ จนกระทั่งกลายเป็นคนเป็นล้าน จึงมีพลังมาก เป็นพลังประชาชนที่แท้จริง เราก็ไปก่อหวอดยืนหยัดอยู่อย่างนั้น ไปสร้างส้วม สร้างโรงครัวอยู่ข้างถนนเป็นปี หลายปี เว้นวรรคมีบ้างชั่วคราว เดี๋ยวก็ออกอีกจนกระทั่ง ปี49-57 ทำมา 8 ปี เป็นประวัติศาสตร์ของนักรัฐศาสตร์ที่จะต้องเรียนรู้ว่า มีด้วยหรือว่า รัฐประหารที่ประชาชนประหารด้วยความสงบ แต่ความรู้ ด้วยความจริง ด้วยสัจธรรม ชนะอย่าง Absolute อย่าง Ultimate เลย ชนะอย่างสัมบูรณ์ อย่างสูงสุด เด็ดขาดจนทุกวันนี้

เมืองไทยจึงเป็นเมืองประชาธิปไตยอย่างเรียบร้อย เพราะประชาชนปฏิวัติแล้ว นายกตู่ทำงานมา 7-8 ปี เพราะการปฏิวัติของประชาชนทำเรียบร้อยแล้ว นายกตู่จึงบอกว่าผมขอยึดอำนาจ เป็นแต่เพียงรูปรอยร่องรอยเท่านั้นเอง ที่จริงแล้วประชาชนปฏิวัติได้สำเร็จ ไม่มีการไปแต่งตั้งนายกตู่ว่าเป็นตัวแทนของประชาชน แต่ไปทำหน้าที่รับช่วงต่อจากประชาชน ประชาชนไม่ว่าอะไร ถ้านายกตู่เข้ามาบริหารแล้วไม่เข้าตาประชาชน ไม่มีใคร อาตมาโพธิรักษ์จะพาออก จริง ใครจะไปบ้าง

เมืองไทยเป็นเมืองประชาธิปไตยเยี่ยมยอดที่สุดในโลก  มีหลักฐานการปฏิวัติตั้งแต่รัฐบาลทักษิณ  สมัคร สมชาย ยิ่งลักษณ์ สำเร็จ ประชาชนประหารทั้งนั้น

มีเหตุการณ์ปฏิวัติทักษิณนิดหน่อย ที่พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน มาทำทีหน่อยเดียว จากนั้นมาไม่มีแล้ว ปฏิวัติสมัคร  ใจสมชาย ยิ่งลักษณ์ เขาบอกว่าศาลตัดสินตัดสินให้แกตกจากรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่ประชาชนปฏิวัติ บอกอย่างนี้ประชาชนอาภัพจริงๆ เขาเอาสมชายมาแทน ประชาชนก็ไปปฏิวัติจนเขาไม่เคยได้เข้าทำเนียบเลย จนกระทั่งสุดท้ายมาถึงยิ่งลักษณ์ สนุก พูดแล้วอาตมาว่าเป็นตัวอย่างของโลก

สู่แดนธรรม...ผมเคยอ่านคอมเม้นท์ ว่าเขาฟังธรรมะพ่อท่านกำลังดีอยู่ พอมาถึงเรื่องการเมืองแทบจะปิดทีวีหนีเลย พ่อท่านกำลังอธิบายมหัคคตะจิตอยู่ครับ

พ่อครูว่า...นั่นแหละยังเป็นคนที่แคบ เป็นคนไม่มีโลกะวิทู เป็นคนมีเลือดของเดียรถีย์ ฤาษีอยู่ในตัว ก็เลยไปตีกรอบอย่างนั้น ที่จริงแล้วธรรมะทั้งหมดทั้งมวลหมายถึงโลกกว้าง โลกุตระ โลกะวิทู แต่เขามีความรู้ความคิดของเขาแค่นั้น ตีกรอบแค่นั้น ว่าอย่างนี้ไม่ใช่ธรรมะก็ไม่ฟัง แต่ถ้าเข้าใจแล้วว่าทุกอย่างก็คือธรรมะ เขาก็จะค่อยๆเข้าใจไปเรื่อยๆอย่างพวกเราเข้าใจ

 

ตีแตกแยกแยะเจโตปริยญาณ 16

อธิบาย แค่มหัคคตะ อมหัคคตะ เจโตปริยญาณ 16

มหะ แปลว่ามาก อัคคะ แปลว่าเลิศยอดยิ่งใหญ่ มีทั้งมากทั้งยอดเยี่ยม รวมกันเป็นคุณลักษณะคุณธรรมครบถ้วน ถ้าเกิดว่ามันยังไม่ครบถ้วนก็เป็น อมหัคคตะ ทุกอย่างที่ครบถ้วนนั่นแหละเป็น มหัคคตะ อมหัคคตะพระพุทธเจ้าตั้งพยัญชนะมาอธิบายลักษณะธรรม

ตั้งแต่ สราคะ สโทสะ สโมหะ แล้วมีคู่ วีตราคะ วีตโทสะ วีตโมหะ

แล้ว สังขิตตัง (สภาพข้นแค่น) วิกขิตตังจิตตัง(สภาพฟุ้งกระจาย) แล้วแต่ใครเป็นแกนไหนแกนศรัทธาก็สังขิตตัง แกนธัมมานุสรีก็วิกขิตตัง มันจับตัวเป็นก้อนหรือว่ามันฟุ้งกระจายไปคุณก็ทำให้มันพอดี มันก็เป็น มหัคคตะกับอมหัคคตะ ทำได้ดียิ่งขึ้น ทั้งดีได้มาก ทั้งดีเจริญขึ้นไปเรื่อยๆ อัคคะขึ้นไปเรื่อยๆหรือว่ามันไม่ ปริมาณคุณภาพ มหะคือปริมาณ อัคคะคือ คุณภาพ ปริมาณกับคุณภาพมันเจริญขึ้นทั้งคู่หรือไหม ถ้าไม่เจริญขึ้นทั้งคู่ก็เลย อมหัคคตะ

เจริญอย่างนี้ เจริญจริงๆแล้ว มันเจริญดีแต่มันจะครบหรือไม่ครบเรียกว่า สอุตตระหรืออนุตตระ

สอุตระ ดี แต่มันยังมีดีกว่านี้อีก มันยังไม่ครบยังไม่สมบูรณ์ ดีกว่านี้ก็ยังมีอีก

อนุตระ จนกระทั่งครบ ไม่มีอะไรที่จะไม่ดี หรือไม่มีอะไรที่จะไม่เป็นโลกุตระ หรือไม่เป็นอุตตระ จนมีโลกุตระสมบูรณ์แบบ สมบูรณ์ได้เพราะว่าทำจิตให้บริบูรณ์เป็น สมาหิตัง

สมาหิตัง คำนี้เป็นสมาธิของพระพุทธเจ้า ต่างกับสมาธิสามัญ สมาธิสามัญเป็นโลกียะแต่สมาธิของพระพุทธเจ้าเป็น สมาหิตะ

สมาหิตะ จะเกิดได้คุณต้องปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 จนจิตคุณสะอาดแล้ว จิตนั้นจึงจะมาตกผลึก สะสม ตกผลึกควบแน่น เป็นจิตสะอาด อุเบกขา เป็นจิตบริสุทธิ์ ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา จิตสมาธิคือจิตอุเบกขา ที่ตกผลึกสั่งสมเต็มที่ ไม่ใช่มาสะกดจิต แล้วบอกว่าเป็นจิตสมาธิ อย่างนั้นมันตื้น สมาธิของพระพุทธเจ้านั้นกิเลสหมด อุเบกขาเป็นอุเบกขาก่อน แล้วจิตสะอาดอันนั้นก็ตกผลึก ควบแน่นเข้าจึงเป็น สมาหิตัง

ไม่ใช่แค่สมาธิเบื้องต้น สมาธิเป็นภาษาบาลี สมาหิตัง ก็เป็นภาษาบาลี เขาก็ไปแปลว่าจิตตั้งมั่นเฉย แปลเป็นไทยแต่มันตั้งมั่นมันคนละอย่าง ตั้งมั่นอย่างเผินๆ ก็เป็นสมาธิ แต่ สมาหิตะ คือ สมาธิที่ตั้งมั่นอย่างเอาจิตที่เอากิเลสออกหมด ไม่ใช่ทำแบบเล่นๆหัวๆแล้วก็เอา ยังไม่แน่นอนมั่นคงก็เอา ไม่ใช่ ต้องเป็นจิตที่บริบูรณ์ มีนัยยะสำคัญที่ต่างกันละเอียดลอออย่างนี้

การปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 ไม่มีคำว่าสมาธิ ไม่มีคำว่า สมาหิตะ แต่คุณปฏิบัติลดทิ้งดับอาสวะได้เป็นตัวสุดท้ายของวิชชา 8 เป็นฐานอุเบกขา อุเบกขาก็คือสะอาด สะอาดแล้วสะอาดถาวรหรือไม่ อาสวะสิ้นไม่เกิดอีก จิตนั้นก็เกิดสั่งสมเป็น สมาหิตะ

จากการปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 แล้วจึงจะมีจิตเป็นผล เป็นจิตสะอาดปราศจากกิเลสเกลี้ยงสนิทไม่ฟื้นแล้วนะ เอามาสะสม จิตเป็นอุเบกขา จิตเป็นไม่มีอาสวะแล้วมาสะสม ไม่ใช่จิตที่เป็นฌาน 1 2 3 เท่านั้น ต้องเป็นฌาน 4 ที่แข็งแรง หมดอาสวะแท้แล้วมาสะสม นี่คือจิตตั้งมั่น สมาหิตะ

เป็นเรื่องอจินไตย แม้แต่ฌานวิสัย แต่เดี๋ยวนี้ฌานวิสัยก็เป็นเพียงโลกียะเท่านั้น ไม่ใช่ฌานของพระพุทธเจ้าที่เกิดจากจรณะ 15 แล้วจะมีฌาน 1 2 3 4 มีวิชชาประกอบ ตั้งแต่ วิปัสสนาญาณ มโนมยิทธิ อิทธิวิธี โสตทิพย์ เจโตปริยญาณ

แม้แต่วิชชา 8 คุณก็ต้องทำให้ได้ตั้งแต่วิปัสสนา คือ ญาณมี ปัสะ มีเห็น กิเลสลดเห็นๆ วิมุติ ปัสสนา มีวิมุติได้อย่างเห็นๆ ไม่ใช่หลับตา แต่มี ปัสสี ปัสสา เห็นวิโมกข์ 8

รูปีรูปานิปัสสติ อัชฌัตตัง เอโก พหิทารูปานิปัสสติ มีครบหมด

อาตมาได้หยิบพยัญชนะ สภาวะธรรมมาอธิบายขยายความสารพัดไว้หมด วิโมกข์ ขยายวิชชา 8 จรณะ 15 ขยายวิชชา 8 ขยายเกิดฌาน เพราะปฏิบัติศีล อปัณณกปฏิปทา 3 ถ้าปฏิบัติธรรมไม่มี อปัณณกปฏิปทา 3 ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ไปหลับตาไม่มีชาคริยา ไม่ได้ตื่น ไม่กระทบสัมผัสไม่มีอินทรีย์ทั้ง 6 ไม่มี โภชเนมัตตัญญุตาไม่มี ไม่ได้กินไม่ได้เคี้ยว ไม่มีของกินของใช้อะไร หลับตาปี๋ มันไม่มีเลย อปัณณกปฏิปทา 3 มันไม่ใช่ศาสนาพุทธ ไม่มีศีล ไม่มีอปัณณกปฏิปทา 3 เพราะฉะนั้นสัทธรรม 7 ไม่เกิด แล้วมันจะเอา ฌาน มาจากไหน มีแต่ชานหมาก สายนั่งหลับตาจึงได้แต่ชานหมากเยอะ

ในยุคนี้ขอย้ำว่า อาตมามากอบกู้ศาสนา ไม่บังคับให้คุณเชื่อให้คุณรับแต่บอกความจริงตามความเป็นจริง คุณจะรับหรือไม่รับจะเชื่อหรือไม่เชื่ออาตมาไม่มีสิทธิ์จะไปขอร้องไปบังคับอะไรได้หรอก มันอยู่ที่ภูมิปัญญาของคุณ ถ้าคุณมีภูมิปัญญารับรู้ได้ว่า อาตมานี่ของจริง ใช่ของแท้ก็เป็นปัญญาของคุณ แต่ถ้าคุณบอกว่าไม่ใช่นอกจากบอกว่าไม่ใช่แล้วถูกเขาจูงจมูก มหาเถรสมาคมหรือนักปฏิบัติมิจฉาทิฐิจูงจมูก บอกว่าโพธิรักษ์เป็นพวกมาทำลายศาสนาพุทธเป็นพวกนอกรีต ก็ไปเชื่อตามเขา คุณไม่มี ปรโตโฆษะ คุณก็โยนิโสมนสิการไม่ได้ อาตมาพาทำให้มนสิการได้อย่างโยนิโส ที่พากันทำมันอโยนิโส เป็นการปฏิบัติธรรมทำใจในใจอย่างนอกรีต ไม่ใช่การปฏิบัติตามอย่างของพระพุทธเจ้า

จบ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

640804_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5 วันพุธที่ 4 สิงหาคม  2564 ณ บวรราชธานีอโศก ชมวิดีโอได้ที่นี่ ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่น...