ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564
ณ บวรราชธานีอโศก
วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน 2564
ดูการบันทึกวิดีโอเทป
ฟังเทปบันทึกเสียง
สาราณียธรรมของชาวอโศก
พ่อครูว่า…วันนี้เป็นวันอาทิตย์ที่
6 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานี อาตมาอายุ 87 ปีเต็มกับอีก 1 วันแล้ว อายุ 88
ปางกฤษณะ เป็นปางที่มีความแรงเต็มที่เลย สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่อง
อจินไตยที่ยากจะเข้าใจกัน แต่ก็เป็นเรื่องที่เรียนรู้ได้
เอามาปฏิบัติประพฤติให้เกิดจริงเป็นจริงในชีวิตในสังคมและในกิจกรรมต่างๆ
เกิดจริงๆเลย จนบรรลุเป็นผลสำเร็จกัน อย่างชีวิตชาวอโศกเป็นต้น
ก็เลยเกิดสภาพจริงเป็นมวลอยู่ร่วมกันแล้วก็เป็นสังคมชุมชน กลุ่มหนึ่งในโลก
ทุกวันนี้ก็มีการเผยแพร่ผ่านสื่อสารมวลชน Globalization ฟ้าบ่กั้นทะลุทะลวงโลกแล้ว
เร็วด้วย คนก็เลยได้รับรู้ ได้มาไตร่ตรองศึกษา อย่างน้อยดูว่าพวกนี้ตลก
ดูว่าเล่นอะไรกัน หรือว่ามีพวกที่คิดว่า เป็นไปได้หรือสังคมอย่างนี้
ยินดีมามีชีวิตมาเป็นคนจนๆอย่างนี้ มาจนมันดีอย่างไร มาชวนกันมาจน
จะอยู่อย่างไงต่อไป ขนาดเขารวยกันยังอยู่ไม่ค่อยพอเลย แล้วพวกนี้จนจะอยู่กันอย่างไร
เราก็อยู่บนดินนี่แหละ บนดิน
ปลูกพืชพันธุ์ธัญญาหารบนดินจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ ขณะนี้ทุเรียนกำลังดังไปทั่วโลก
ทุเรียนเจ้าอื่นก็มีพยายามโปรโมทกัน อาตมาว่าไม่เบานะ แค่หมอนทองเอามาวาง
ลูกหนึ่งไม่ใช่เล่นๆ แม้แต่พวงมณี ลูกเล็กๆ แม้แต่ทุเรียนภูเขาไฟ
แถวศรีสะเกษมีดินภูเขาไฟ
สรุปแล้วอาตมาขอย้ำอีกว่า
พวกเราตั้งหน้าตั้งตาทำกสิกรรมให้เจริญรุ่งเรืองเต็มที่
นี่ก็รุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆแล้วล่ะ ก็เพิ่มเติมขึ้น อย่าหยุดยั้งขยายผลไปเลย
เอาให้ดี ให้มีทั้งปริมาณและคุณภาพเป็นหลัก คุณภาพดีและปริมาณเพิ่มขึ้นๆๆ เราขายให้ถูก
ขายไม่ออกก็แจก เพราะอย่างไรเราก็มีพอกินพออยู่แล้ว ก็ปลูกอย่างไรเราก็กินก่อน
กินเหลือเราก็แจก หรือขายอย่างถูกไปเรื่อยๆ ซึ่งเรามีที่จบของพฤติกรรมชีวิต
พวกเราได้ศึกษา
พฤติกรรมที่ไปอยู่กับสังคมที่เขาปรุงแต่งกัน
เราก็บอกว่าอย่าไปปรุงแต่งกันมากเลยมันพาให้ทุกข์มันพาให้เปลือง
พาให้ยั่วยวนกันไม่เข้าเรื่อง ผลานพล่ากันมันมีแต่เสื่อม มันไม่เจริญ
เราไปสู่สิ่งที่เจริญๆกันดีกว่า มันซ้อนลึกในด้านเศรษฐศาสตร์ ในด้านรัฐศาสตร์
รวมแล้วอีกเส้าก็เป็นสังคมศาสตร์ สังคมศาสตร์มีเศรษฐศาสตร์กับรัฐศาสตร์เป็นหลัก
เราก็ชัดเจนในภาษาในความหมายพวกนี้ที่เราเองเราประพฤติ พยายามทำให้เป็นแนวของเรา
ที่เอาแนวมาจากของพระพุทธเจ้า
คำว่า
แนว ภาษาภาคกลางคือมรรค คือทางเดิน แต่แนวของอีสานคือเชื้อเลยนะ
เช่นแนวมันมีมะเขือหำม้า เอาพันธุ์มันแท้ๆมาปลูกเลย ของเรามันมีครบครัน
เราเข้าใจคำว่าแนวของภาษาภาคกลาง และของอีสานชัดเจนหมดเลย แล้วก็รักษาพันธุ์
พยายามดูแลพันธุ์ที่ดีเอาไว้ หรือจะปรับปรุงพันธุ์กันบ้าง อย่าให้มันเกินเลยเป็น
GMO เราก็มาพัฒนากันต่อ รู้จักการต่อยอด ยอดที่จะต่อว่าเราจะต่อตรงไหนอย่างไรแค่ใด
ไม่ให้มันเกินให้มันพอเหมาะพอดี ปโหติๆไปเรื่อยๆ ได้สัดส่วนได้สมดุล
ไม่มากเกินไม่น้อยเกินไป ตามลำดับ
ในความเข้าใจที่เป็นองค์รวม
เรียกว่าสามัญตา ความเข้าใจทางทฤษฎีเรียกว่าทิฏฐิ ทิฏฐิสามัญญตา
หรือความเข้าใจในการใช้หลักปฏิบัติ เรียกว่าศีลสามัญญตา
เราเข้าใจแล้วก็มีความพร้อม มีศีลสามัญญตา
มีทิฏฐิสามัญญตาด้วยการเพิ่มไปตามลำดับ ศีล 5 ศีล 8 ศีล 10 จุลศีล มัชฌิมศีล
มหาศีล เอามาปฏิบัติจริงจนสำเร็จ
อย่างศีลธรรมนูญ
จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล อาตมานำพาชาวอโศกทำ อย่างน้อยมหาศีล
ไม่มีเดรัจฉานวิชาต่างๆเลย เดรัจฉานวิชาไม่ใช่เข้าใจกันได้ง่าย
เดรัจฉานที่มหาเถรสมาคมเขามี เดี๋ยวนี้เต็มไปด้วยเดรัจฉานวิชาทั้งนั้น
เยอะแยะมากมาย เข้าใจให้ได้ว่าเดรัจฉานคือวิชาที่ขวางทางนิพพาน
จะบอกว่าเดรัจฉานวิชาคือพวกต่ำๆหยาบๆไม่รู้เรื่องมันโง่ ก็ไม่ผิดถูกต้อง
แต่รายละเอียดเนื้อหาคืออะไร
ยกตัวอย่างไปงมงายอยู่กับบัญญัติภาษา
อยู่ในตำรับ ตำราจนเกินการ แล้วก็มุ่งมั่นให้ได้แต่วิชาการ
แต่ไม่ได้หยั่งลงไปถึงสภาวะจิต เจตสิก รูปนิพพาน ไม่เข้าใจ
ไม่หยั่งลงไปก็ได้แต่เปลือก จนกระทั่งสุดท้ายกลายเป็นบัณฑิต หัวโต
บัณฑิตมีใบรับรอง มีแต่ใบปริญญา certificate รับรองกันไปว่าเก่งเอามาจากเมืองนอก
ไปเรียนพุทธศาสนาจากเมืองนอก ขายขี้หน้าเมืองไทยจริงๆ
จบดอกเตอร์ทางพุทธศาสนาจากเมืองนอกแล้วเอามาเบ่งขี้แตกเลย
เมืองนอกเขาเป็นเมืองเทวนิยม
จะรู้พุทธศาสนาเป็นอเทวนิยม หรือเป็นโลกุตระลึกๆซึ้งๆแท้ๆเนื้อแท้ได้ที่ไหน
เมืองไทยเป็นเมืองพุทธมาตั้งแต่เกิดประเทศไทยหรือประเทศสยามมา ซึ่งมีรากเหง้าของศาสนาพุทธมา
แต่ก่อนนี้ดีกว่านะ ศาสนาพุทธของประเทศไทย เป็นเนื้อแท้ของโลกุตระที่เนียน ลึก
ลึกซึ้งมาแต่ก่อนแต่เก่ามา จนกระทั่งมาเฟ้อมาฟุ้งมาปรุงมาแปลง
ผสมผสานกลายเป็นกลองอานกะ จนกระทั่งลบเลือนโลกุตระทิ้งไป
ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสพยากรณ์เอาไว้ก่อนเลย
ว่าต่อไปกลองอานกะจะไม่เหลือเนื้อหาสาระของมันแล้ว
หรือแม้แต่ในอนาคตท่านบอกว่าจะเสื่อม 4 ประการ
1. ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ
แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า
โดยเก็บผลไม้หล่นกินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ
2. ไม่เก็บผลไม้กิน แต่ถือเสียม ตะกร้า หาขุดเหง้าไม้ หาผลไม้กินระหว่างออกแสวงหาอาจารย์ในป่า
3. สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน
แล้วบำเรอไฟรออาจารย์
4. สร้างเรือนมีประตูสี่ด้านไว้ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง แล้ว
สำนักรอท่านผู้อยู่มีวิชชาและจรณะอยู่
(อัมพัฏฐสูตร เล่ม 9 ข้อ 163)
เขาแปลเอียงไปข้างป่ามันผิด
เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาสังคม เป็นศาสนาคนเมืองไม่ใช่ศาสนาของคนป่า เป็นศาสนาเจริญ เป็นศาสนาของอาริยกะ ไม่ใช่
มิลักขะ เพราะฉะนั้นเข้าใจยังเพี้ยนไปในสภาพที่พูดนี้ เอียงไปข้างเดียรถีย์
ข้างเทวนิยม แล้วเป็นคนอยู่เมืองเป็นคนมักน้อยสันโดษ เป็นคนมีวรรณะ 9
แล้วอยู่กันอย่างเนียน มีสาราณียธรรม 6
สูตรแห่งความเจริญสุดยอดของมนุษยชาติ
อาตมายังไม่เก่งขยายความ
ในอนาคตจะมีคนมาขยายความช่วยอาตมา จะมีคนโวหารดีๆ มาช่วยขยาย
ตอนนี้อาตมาก็ได้เท่านี้ก็ไม่เป็นไร
แต่ว่าสภาวะจริงของมนุษย์ที่ปฏิบัติได้ประพฤติได้ในวรรณะ 9 ก็ดีมีจริง
สังคมสาราณียธรรม 6 ก็มีจริง
อยู่กันอย่างมีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม และมีลาภโดยธรรม
โดยสุจริต ได้มาก็มารวมกันเป็นสาธารณะปกติกินใช้ร่วมกัน
เป็นอยู่ด้วยหลักเกณฑ์ศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา นี่คือสาราณียธรรม 6
โดยสร้างจิตให้เกิดจิต 7 ชนิด มีความระลึกถึงกัน มีความรักกัน
มีความรู้ในเรื่องความรักถึง 10 มิติ มิติที่ 7
ขึ้นไปเป็นกึ่งกลางระหว่างเทวนิยมเต็มกับพุทธ 7 นี่เป็นฐานกลาง เริ่มฐานพุทธ 7
เจริญก็เป็นพุทธยิ่งขึ้น เทวนิยมก็ลดลงๆ 7 ไปหา 8 พอ 8 หรือขึ้น8เป็นพุทธเพียวๆ
พอเต็ม 8 ก็เป็นพุทธเต็มๆที่เลย แล้วสูงไปสู่ยอด 9
9 เป็นพลังงานที่เจริญสูงสุดทั้งปริมาณและคุณภาพ
สภาวะ 2 ของความเจริญในมนุษยชาติ เทวะ สองอย่างเต็ม
ในเรื่องของคุณสมบัติอารยธรรมต่างๆสมบูรณ์แบบ อยู่ที่ฐาน 9 สุดยอด ไม่มีที่ไปแล้ว
จากนั้นก็หมายความว่า 0 ปรินิพพานปริโยสาน ถ้าจะต่อก็เป็น 10 11 12 13 ถ้าไม่ต่อก็สูญสลายหายไปเลย
พระพุทธเจ้าถึง0 แล้วไม่มีใครต่อ จบเท่านั้น เพราะฉะนั้นสิ่งที่ปรุงแต่งอยู่ในโลก
ท่านก็แยกเป็น 2 มีโลกกับอัตตา ปรุงแต่งกันขึ้นก็เป็นสภาพตัวตนบุคคลเราเขา
เป็นสมมติสัจจะที่รู้ร่วมกันได้หมด
ความจริงที่เป็นปรมัตถสัจจะสำหรับตัวเราเองเท่านั้น เป็น 1 ก็ตามเป็น 0 ก็ตาม
หรือเป็น 2 ครบ 3 เส้า 0 1 2 เป็นสามเส้าของ
cyclic order วนปรุงแต่งกันครบเป็นพลังบวกพลังลบ
พลังงานของประธานเป็น ISH
I เป็นประธาน
S เป็นอิตถีภาวะ H เป็นพลังงานปุริสภาวะเพศชาย เป็นพลังงาน 3
แม้แต่นิวเคลียส
ก็มี 3 เหมือนกัน แต่เขาไม่ชัดไม่ได้แยกออกว่าเป็น 1 ตัวคน 2 พลังงาน
พลังงานที่เป็นประธานของนิวเคลียส แล้วก็มีบวกมีลบ
เขาก็ปรุงแต่งบวกลบนี่แหละให้เป็นพลังงานได้ตามต้องการ แล้วตัวเขาคือตัวใคร
ก็คือตัวคน ตัวคนคืออะไร ตัวคนคือพลังงานประธาน ที่เป็นนาม ตัวตนบุคคลเราเขาเป็นคน
เขาก็นึกว่ามีตัวเขาอันนึง เป็นเจ้าของความคิด ส่วนพลังงานอุตุนิยาม
พลังงานบวกพลังงานลบนั้นก็เป็นพลังงาน ที่จริงมันก็เป็นนิวเคลียสครบ 3
ก็เป็นนิวเคลียร์ 2 นิวเคลีย์
มีนิวเคลียร์ ฟิชชั่น กับ ฟิวชั่น
นิวเคลียร์ฟิชชันก็เป็นพลังงานลบ
นิวเคลียร์ฟิวชันก็เป็นพลังงานบวก จับเอามาใช้เป็นก้อนแท่ง
จนเอาไปใช้เป็นระเบิดปรมาณูระเบิดนิวเคลียร์ทุกวันนี้
พลังงานของอุตุของพืช
ของวัตถุดินน้ำไฟลม ที่สังเคราะห์กันเกิดพลังงานสูงสุดเป็นพลังงานนิวเคลียร์
ที่รู้กันอยู่ทั่วโลกทุกวันนี้ ถ้ามีพลังงานชีวโดยการสามารถที่จะเข้าไปจัดการและเราก็รู้แล้วว่า
เป็นผู้ที่มีจิตที่ดี สร้างพลังงานนี้ให้เจริญขึ้นอีก
ให้ได้พลังงานที่สูงขึ้นไปอีกตามสูตร นี่เป็นสูตรของโพธิรักษ์นะ
ไม่ใช่สูตรของไอสไตน์
สูตรของไอสไตน์ก็ได้
E=mc2
สูตรของโพธิรักษ์อาตมาว่าบริบูรณ์แล้ว E=C(mc2
+ A)
ตัว A
ก็คือ mc2 บวกกันมากขึ้นก็เอาไปนอกวงเล็บเป็น C เป็นคูณ
เป็นตัวกำกับขยายผลปฏิภาคทวีซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ อีกหน่อยในโลก
ใครเข้าใจสูตรที่อาตมาคิดนี้เอาไปใช้ได้ รับรองเป็นเจ้าโลกเลย แต่มีกำกับอยู่ว่า
ถ้าคนใจไม่ละเอียดไม่มีใจสูง ไม่มีสาราณียธรรม ไม่มีสังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ
เอกีภาวะ เอาไปทำไม่ได้ ทำขึ้นมาจะรู้ว่าคนนี้เกินหน้าคน
ซึ่งโลกนี้เขากำกับกันอยู่ว่าอย่าให้สร้าง
ตอนนี้มันก็ซ่อนกันสร้างไม่รู้กี่ร้อยกี่พันลูกระเบิดนิวเคลียร์
อเมริกาตัวดีทำเป็นตำรวจโลกและบอกว่าคนอื่นจะสร้าง
แล้วอเมริกาสร้างไปเท่าไหร่ไม่รู้แล้ว ไปบอมบ์อิรักบอกว่ามีนิวเคลียร์
แต่ไปตรวจดูก็ไม่พบอีก
กลัวจนเกินเหตุเป็นพวกกุ้งขี้อยู่บนหัว ขายขี้หน้าตัวเองเลย
เขาวนกับรูปธรรม
ไม่เข้าถึงนามธรรม นามธรรมของพวกเราไปถึงขั้นโลกุตธรรม อาตมาแยกโลกนี้โลกหน้า
โลกนี้คือโลกโลกียะ โลกใหม่โลกอื่นโลกหน้าคือโลกุตระทั้งนั้น
โลกใหม่ที่คุณยังไม่เคยมีมาเลย อันเก่าคือคนมีแต่โลกโลกีย์ แต่อันนี้ใหม่เสมอนะ
ไม่มีเก่าเลย ใหม่ตลอดกาลเลย ไม่มีตกยุค เป็นอันอื่นอันใหม่
ก้าวไปข้างหน้าตลอดเวลา ไม่มีถอยหลัง การเข้าไปข้างหน้าคือกาละ
กาละไม่มีเดินถอยหลังเลย มีแต่ไปข้างหน้าตลอดกาล คำว่ากาละ คำหนึ่ง ที่อาตมา
พยายามจะขยายความว่า ในกาละ เป็นเรื่องของเอกภพ
เป็นเรื่องของมหาจักรวาลที่จะมีอยู่ในอวกาศนี้ ถ้าไม่มีอวกาศก็ไม่มีจักรวาล
จักรวาลก็มี Space มีเทหวัตถุ ตั้งแต่ละเอียดย่อยเล็กถึงปรมาณู
จนกระทั่งถึงเทหวัตถุใหญ่จนเป็นแท่งทึบ ระดับเบอร์มิวด้า
เขาจัดกันเป็นรูปสามเหลี่ยม ไม่จัดเป็นสี่เหลี่ยม หกเหลี่ยม แปดเหลี่ยม
เพราะสามเหลี่ยมนี้เป็นสามเส้า 60 60 60
มันดึงกันอยู่ เป็น cyclic เป็นสมดุล สมดุลนิรันดรคือเทวนิรันดร คุณไม่ออกไปไหนหรอก คุณอยู่ในวงวนอันนั้น
เทวนิรันดรก็คือ
cyclic order ของ 60 60 60 นิรันดรนี่แหละ ไม่มีเปลี่ยนแปลง ใครสามารถจะออกจาก 60
ได้เริ่มต้นจาก 6 เพิ่มหนึ่งจุด ก็มาหา 7
จนกระทั่งอย่างโพธิรักษ์ 7 มานานแล้วจะขึ้น 8 หรือยังไม่รู้
แต่ตัวเลขมันขึ้นแล้วนะเลขอายุ เลขเนื้อหาสาระยังไม่รู้ แค่จะเอาที่บ้านราชจะให้
777 คนยังไม่ได้เลย แต่อย่างน้อยเราก็ได้เกิน 88 คนแล้ว ยังไม่ต้องพูดถึง 888
เรายังไม่ได้หรอก
โลกนี้คือโลกโลกียะ
ซึ่งมันวนอยู่ในฐานแห่งความดีความชั่วในลาภ ยศ สรรเสริญ โดยเฉพาะสุข
สุขเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เป็นนามธรรม เราใช้คำศัพท์เรียกว่าสุข เป็นคำบาลี
ไทยก็เนียนกับบาลีมาเยอะ อีกหน่อยในอนาคตโลกุตระเจริญไปเรื่อยๆ
บาลีที่เป็นศัพท์ทางธรรม โลกุตระจะเจริญในเมืองไทย คนไทยจะรู้ความหมายคำเหล่านี้
เช่นความหมายคำว่าบุญ (บาลีคือ ปุญญะ) บวชเป็นคำไทยแล้ว
สรุปแล้ว
ผู้เริ่มมีความรู้ของความเป็นโลกุตระหรือโลกอื่น โลกใหม่ โลกหน้า
ที่คุณจะต้องเดินทางออกมา ไม่ใช่วนอยู่ที่เก่าหรือถอยหลัง วนอยู่ที่เดิมกับถอยหลัง
มันก็มีอยู่แค่ปัจจุบันกับอดีต วนอยู่กับที่เดิมกับถอยหลัง
มันมีแต่อดีตกับปัจจุบัน วนอยู่ที่เดิมก็คือปัจจุบันถอยหลังก็คืออดีต แต่นี่มีครบ
สามกาละ เราใช้ปัจจุบันอยู่กับปัจจุบัน มีทิฐธรรมเรียกว่าปัจจุบันชาติ
ชาติคือการเกิด ปัจจุบันชาติ คือทิฏฐธรรม ทรงไว้ซึ่งทิฏฐะ ปัจจุบันชาติ
เราอยู่กับอันนี้
อนาคต
เดินทางมาถึงปัจจุบันเราก็จัดการ จัดการให้เป็นไปตามที่เราต้องการ
เราต้องการเพราะเรามี วสวัตตี ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจจริง
อะไรเดินทางมาจากอนาคต ถ้าอนาคตยังไม่สูญ เดินทางมาถึงเราเราก็จัดการให้เป็น 0
เมื่อปัจจุบันนี้เป็น 0 จนยั่งยืนเที่ยงแท้สะสมลงไปเป็นอดีตมีแต่ 0 สะสม
เพราะปัจจุบันมาถึงปัจจุบันมีพลังงานของ วสวัตตี ทำให้เกิด 0 ได้ทุกตัว
แล้วก็สั่งสมเป็นฐานตกผลึก เป็นที่ตั้งของสมาหิโต เป็นที่ตั้งของตัวเราเอง
ของตัวใครตัวมัน ก็มีอดีตที่เป็น 0 มากขึ้นในอนาคตมาอีกเท่าไหร่ก็ถูก 0
จากปัจจุบันและอดีตจัดการให้เป็น 0 ได้หมดเลย มีฤทธิ์มีอำนาจเด็ดขาดถึงขนาดนั้น
ยิ่งกว่านั้นพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าแม้แต่อนาคตมีรังสีของอดีตและปัจจุบัน
อนาคตเดินทางมาไม่ถึงตัวเรา รังสีนั้นก็ไปจัดการก่อนมาถึงตัวเราแล้ว
สุดท้ายอนาคตเดินทางมาถึงตัวเราถูกรังสีที่สูงสุดคือรังสี 7
จัดการก่อนมาถึงตัวเราแล้ว พลังงานของเรามีวสวัตตีโก
คือผู้ที่ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้ พลังงานในอนาคตจะมาเท่าไหร่มาถึงปัจจุบันก็เป็น
0 ก่อน
นี่คือ
พระพุทธเจ้าสอนให้ศึกษาในปัจจุบัน ในเวทนา 108 ตรงที่ให้ทำ 36 ปัจจุบันให้เป็น 0
กับทำ 36 เมื่อเป็น 0 อดีตก็เป็น 0 ปัจจุบันนี้สามารถทำให้เป็น 0 ได้ทุกตัว
ปัจจุบันก็คือ 0 อดีตก็คือ 0 อนาคตมาเท่าไหร่เจอรังสีที่ว่าก็ถูกทำให้เป็น 0 หมด อนาคตเข้ามาใกล้เท่านั้นเราก็จัดการก่อนจะถึงเรามันก็เป็น
0 แล้วนะ
เพราะฉะนั้นอนาคตจึงชื่อว่า
0 ด้วย ปัจจุบันนั้นเป็น 0 แน่ อดีตก็เป็น 0
เพราะฉะนั้นคนที่สามารถเรียนรู้อดีตส่วนอดีตก็ทำให้เป็น 0 ได้ส่วนอนาคตก็ทำให้เป็น
0 ได้ ส่วนปัจจุบันนี้คือสิ่งที่ตั้งอยู่ปัจจุบัน คือสิ่งตั้งอยู่คือธรรมะ
คนก็คือธรรมะ เป็นองค์ประกอบของธรรมะพระพุทธเจ้าจึงเรียกว่าธรรมกาย
ชื่อธรรมกายจึงเป็นชื่อของเราตถาคต กายคือสภาพ 2 คือรูปกับนาม
คนเริ่มต้นมาบวช
อุปัชฌาย์ต้องมีความรู้เรื่องแยกกายแยกจิต มีความรู้ทำจิตให้เป็นอุตุ หรือพีชได้
ให้เป็นพืชเป็นสภาวะที่ไม่มีกาย เป็นอุตุไม่มีกายแน่นอน แต่จิตยังมีกาย
จิตนิยามปัจจุบัน
เราเป็นคน เราเป็นสัตว์โอปปาติกะที่ยังมีจิตนิยาม มีพลังงานธาตุรู้ที่เจริญด้วย
ไม่ใช่ธาตุรู้ที่ไม่มีแรง แต่เป็นธาตุรู้ที่เจริญๆยังไม่มีที่สิ้นสุด
จึงสามารถทำให้พลังงาน ไม่ว่าส่วนใดๆของจิต ทำให้เป็นพลังงานอุตุได้ เป็นพีชะได้
เป็นพลังงานไม่มีกายเป็นสังขารที่ไม่มีกรรมครอง ไม่มีวิญญาณครอง ไม่มีเวทนา
เป็นอนุปาทินกสังขาร ก็อาศัยอันนี้อยู่
อาศัย
พลังงานสระอะ สระอา คุณเอาหัวอะ ออก เอาหัว อ.อ่างออกก็คือ 0 นี่คือรูปธรรมของภาษา
ไม่ได้โมเมนะที่พูด เรื่องสัญลักษณ์ต่างๆของพยัญชนะ
คือสภาวะที่ผู้รู้มาตั้งพยัญชนะขึ้น ก็เอาจากสภาวะทั้งนั้นแหละมาตั้ง
เพราะฉะนั้นโลกนี้
คนหรือสัตว์โลก โอปปาติกะ
เกิดมาตั้งแต่เสร็จเซลล์เดียวจนจะมาถึงเป็นคนต้องใช้เวลานานมาก
แต่ถ้ามาเรียนรู้สูตรของพระพุทธเจ้าจะมีการพัฒนาอย่างลัด
พระพุทธเจ้าสอนว่าธรรมะของพระองค์เป็นลำดับไม่มีการลัด
เป็นลำดับอันน่าอัศจรรย์ แต่อันนี้เป็นนอกสัจจะเลย ศาสนาพุทธนี้ลัดที่สุด
เพราะตรงที่สุด และเร็วที่สุดสั้นที่สุด ลัดคัดสั้น ตรงที่สุดเร็วที่สุด
สิ่งที่เร็วที่สุดคือสิ่งที่ตรงที่สุด
คือสิ่งที่สั้นที่สุด สุดยอด คุณจะเรียนรู้พลังงานทางฟิสิกส์ ทางเคมีก็ตาม
ทางฟิสิกส์เป็นเรื่องของพลังงานชัดเจน ส่วนเคมีเป็นการเรียนรู้ทางธาตุต่างๆ
เคมีเป็น Static ส่วนฟิสิกส์คือ Dynamic อย่างนี้เป็นต้น แยกสภาวะสองชัด
แล้วเอามาใช้มันเร็ว เรียกว่าอย่างสิริมหามายา เหมือนนักมายากล
คนหมุนสมองไม่ทันสมัยก็ถูกหลอก ไม่ใช่หลอก แต่ตัวเองโง่ เห็นถูกเป็นผิด
เท่านั้นเอง มุมผิดนี้ยาวนาน มุมผิดนี้เชื่องช้า ตรงข้ามกับเมื่อกี้
ลัดคัดสั้น มุมผิดนี่ยาวนานเชื่องช้า
แข็งตัว ทำลายยาก พระพุทธเจ้าถึงรู้ทั้งสองอย่าง หรือทำตัวเองให้เป็นทั้งสองอย่างได้
จึงถือว่าเป็นผู้สมบูรณ์แบบทั้งสอง สำเร็จทั้งสองอย่าง เรียกว่าอุภภโตภาควิมุติ
อุภโตแปลว่าสอง ภาคแปลว่าส่วน
เป็นผู้วิมุติหลุดพ้น นิโรธ นิพพาน ครบสองอย่างเลย
เสร็จแล้วไม่ยึดตัวตนทำสองอย่างได้
วิชชา 8 ประการ และปฏิจจสมุปบาท
ความไม่รู้ใน
อวิชชา
1. ไม่รู้..ทุกข์ (ทุกฺเข อญฺญาณํ)
2. ไม่รู้..ทุกขสมุทัย (ทุกฺขสมุทเย อญฺญาณํ)
3. ไม่รู้..ทุกขนิโรธ (ทุกฺขนิโรเธ
อญฺญาณํ)
4. ไม่รู้..ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
(มรรคมีองค์ 8)
5. ไม่รู้ในส่วนอดีต
(ที่ไม่เที่ยง) ปุพพันเต อัญญาณัง
6. ไม่รู้ในส่วนอนาคต
(ที่ไม่เที่ยง) อปรันเต อัญญาณัง
7. ไม่รู้ทั้งส่วนอดีต-ส่วนอนาคต (ไม่รู้สิ่งที่เที่ยงแท้เท่ากันหมดแล้ว)
(ปุพพันตาปรันเต อัญญาณัง) .
8. ไม่รู้ในธรรมทั้งหลาย
ที่อาศัยกันเกิดขึ้นเป็นห่วงโซ่แห่ง การเกิดทุกข์ หรือดับทุกข์ ตามหลักปฏิจจสมุปบาท (หรืออิทัปปัจจยตา)
(พตปฎ.
ล.34 ข.691 ว่าด้วย อกุศลเหตุของโมหะ)
ถ้าไม่รู้ทั้งหมดอธิบายไม่ได้ อาตมารู้ทั้งหมดมีสภาวะไม่มีอวิชชา 8
นี้แล้วไม่ได้โม้ไม่ได้คุยตัว อาตมาหมดอวิชชา 8 นี้ได้แล้ว
4 ตัวแรกอวิชชาคือ
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรรค
อีก 4
ตัวหลังทั้งอดีตทั้งอนาคต ไม่ง่าย พวกเราสะสมพยัญชนะไปก่อนแล้วค่อยทำสภาวะ อันที่
7 เป็น 0 ส่วนอดีตกับอนาคต ไม่ 0 ถ้าอรหันต์ขึ้นไปไม่มีอกุศลแต่มีกุศล
ตราบที่มีชีวิต ส่วนอดีตก็เพิ่ม เพราะอดีตต้องมาผ่านปัจจุบัน ปัจจุบันทำให้ 0 หมด
อดีตก็เป็น 0 ไม่รู้กี่ล้าน 0 เป็นแกนเป็นฐานตั้งให้ปัจจุบัน
จนกระทั่งมีฤทธิ์มีอำนาจ อนาคตเข้ามาไม่ถึง มาถึงปัจจุบันอย่างไรก็ทำให้เป็น 0
ได้หมด ทั้งส่วนอดีตและส่วนอนาคตก็ 0 แต่ส่วนอดีตนั้นไม่เที่ยง
ส่วนที่มีอยู่ก็ทำให้ไม่มีไม่มีไม่มี ส่วนที่มีก็ทำให้มีเพิ่มมีเพิ่มมีเพิ่ม
อนาคตก็ไม่มี อนาคตก็มีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆคุณมีวัตถุได้ล้านนึงแล้วอนาคตจะหามาอีก 2 ล้าน
อนาคตไปเรื่อยๆไม่รู้จักจบอนาคตไม่รู้จักพอ ไปถามธนินทร์ดูก็ได้ ถามทักษิณดูก็ได้
ขออภัยที่ยกมา เป็นตัวอย่างคนจริงๆ หรืออย่างนาย โดนัลด์ ทรัมป์ คิมจองอึน
หรือเศรษฐีตะวันออกกลางเยอะแยะ ไม่ออกชื่อ ไม่อยากสร้างศัตรูไปตอแยไม่ดี
อันนั้นพูดกันยากยกไว้ พอพูดไว้แค่นี้
ในสังคมมนุษยชาติ
ถ้าเราจะเข้าใจหรือเราจะรู้ว่าเราจะมีชีวิตอยู่อย่างไร รู้จักทางหนีทีไล่
เราก็รู้จักที่ต้องหลีกเลี่ยงหรือจะไปอุ้มชู
ผู้ที่รู้ปัจจุบันอย่างคล่องแคล่วที่สุดคือผู้มีปฏิจจสมุปบาท 11 หรือ 12
ที่เป็นชาติ ชรา มรณะ ทุกข์ไปเรื่อยๆ ซึ่งเราไม่เอา มันเป็นนามธรรม เราไม่มีชรา
หนุ่มตลอดหนุ่มเสมอ เราจะถึง 120 หรือไม่ คือไม่ประมาท
ตอนนี้รู้สึกว่าชีวิตร่างกายขันธ์เรานี้ต้องทำให้มันแข็งแรง
จนกระทั่งไม่ต้องไปช่วยมันมาก ตอนนี้มันต้องช่วยอยู่บ้างมันไม่ลงตัวดี
จนกว่าจะลงตัว ลงตัวได้ก็มี 2 นัยยะ
1. พลังงานของอวัยวะ
32 ของเราองคาพยพ 32 มันทำงานเก่ง สมดุล โดยไม่ต้องไปจัดการ
มันจัดการเองเสร็จเป็นตถตา เป็นอย่างนั้นได้เองเลย
มันยังไม่ได้หรือมันได้
ต้องทำให้จนมันได้ มันยังไม่ได้ก็ทำจนมันได้
จนมันทำได้เองเป็นอัตโนมัติโดยตัวเองไม่ต้องกังวลเลย มาอย่างไรอาการ 32 ของเราทำงานตรงเลย
มันเก่ง มันจะมีพิษภัยแทรกมาก็จัดการได้ แต่นี่ยังไม่เก่งขนาดนั้น
สั่งสมพลังงานพวกนี้อยู่ พลังงานที่จะมีน้ำอมฤต เป็นตัวอาวุธ เป็นธรรมาวุธ
มีฤทธิ์ยิ่งกว่ากรดมีพิษอะไรเข้ามาก็สลายเป็นเนื้อที่ต้องการของเราได้
สลายทุกอย่างเข้ามาเป็นตัวเราหมด
ในความรู้ทั้งหลายที่อาตมาพูดไปนี้ไม่ได้ลอกเลียนมาจากใคร
เป็นความรู้ที่อาตมารู้แล้วทำ ทุกวันนี้ก็พิสูจน์ตัวเองอยู่ว่า
เป็นไปตามที่พูดนี้ไหม ยถาวาที ตถาการี พูดอย่างไรทำอย่างนั้น หรือ ยถาการี
ตถาวาที ทำอย่างไรก็พูดอย่างนั้น อาตมาว่าอาตมาจริงใจ พูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น
พวกเราเป็นพวกหัวเจาะ เป็นพวก Pioneer เป็นพวกนำสังคม นำมนุษยชาติ พูดไปแล้วใหญ่นะ
นำมนุษยชาติในโลกประมาณ 200 กว่าประเทศ
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สู่แดนธรรม...ได้ฟังพ่อครูว่าสามารถสลายพิษให้เป็นตัวเราได้
พ่อครูว่า…สู่แดนธรรมก็ฟังธรรมะได้ดี
สรุปได้ดี จับประเด็นมาถามได้ดี
เรามาทวน
ปฏิจจสมุปบาท ส่วนอดีต อนาคต ก็คงจะเข้าใจแล้วนะ จะต้องเก่งทำส่วนอดีตให้เป็น 0
สั่งสมตกผลึกเป็น 0 เป็นแท่นแห่งพลังงาน
เป็นแท่นแห่งพลังงานสูงที่มีประสิทธิภาพสูงส่ง(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม...เป็นเหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดต่อเนื่อง
พ่อครูว่า…ปฏิจจสมุปบาทอาตมาก็พยายามอธิบาย
โดยจับทีละ 3 เส้า
3 เส้าแรก
อวิชชา สังขาร วิญญาณ
ชาติ
ถ้าเกิดแล้ว ถ้าไม่มีพลังงานอะไรต่ออีก มันก็เสื่อมไปตามตัวมันเป็น ชรตา
เพราะฉะนั้นในลักขณรูป 4 พระพุทธเจ้าถึงจบไปตรงนี้ แล้วแถมเป็นตัวปลายเปิด
เรียกว่าอนิจจตา ถ้าคุณไม่เที่ยงคุณฟื้นอีก กลับกำเริบอีกคุณก็ไปต่อ
แต่ถ้าไม่กลับกำเริบชรตา ไม่มีอะไรเสื่อมเป็นโมเมนตัมไป
สุดท้ายคุณก็สูญหายไปเลยไม่มีอะไรเกิดต่อ เพราะคุณไม่เติมพลังงานอะไรอีกแล้ว
มันก็ต้องเป็น 0 หรือเติมพลังงานไม่สมดุลมันก็ต้อง 0 จนได้ ถ้าคุณเติมไม่สมดุล หรือให้มันเกินออกมาเป็น
อปุจยะ ให้มีส่วนเพิ่มขึ้นอีก คุณก็ไม่มี ไม่ต่อ
อวิชชา
สังขาร วิญญาณ ตราบใดที่คุณยังอวิชชา คุณก็ไม่รู้สังขาร ไม่รู้วิญญาณ
สังขารคือสภาพแรงเคลื่อน
วิญญาณคือสภาพตัวตั้ง Static สังขารคือสภาพปรุงแต่งกันอยู่ตั้งแต่ 2 หน่วยขึ้นไป
เป็น 3 เป็น 4 เป็น 5 เท่าไรก็แล้วแต่ ถ้าคุณไม่เข้าใจ เอาจริงๆเป็นตัวเลขแล้ว
วิญญาณเป็น 1 สังขารเป็น 2 อวิชชาเป็น 0 หรือโง่สุด
ถ้าอวิชชาไม่ใช่
0 แต่ปัญญาเป็นปัญญาฉลาดสุด อวิชชาไม่เป็นปัญญาก็คือโง่ ก็ 0 ไม่รู้เรื่องอะไร
เทวนิยม
ไม่เรียนรู้สังขาร ไม่เรียนรู้วิญญาณ หรือเทวนิยมไม่เต็มที่ ไม่สมบูรณ์
ก็เรียนรู้บ้างไม่รู้บ้าง จึงมีทิฏฐิถึง 62 เรียนรู้จากขันธ์เก่า เอาอดีตมาศึกษา
เรียนรู้จากขันธ์ใหม่ที่ปรุงแต่งกันแล้วปัจจุบันที่ยังไม่สำเร็จ
กับไอ้ที่ยังใหม่จนกระทั่งเฟ้อเกินก็ได้ เป็นปลายเปิด พระพุทธเจ้ารวมไว้ถึง 44
ทิฏฐิ ว่าจะเอา 18 อดีตมาอธิบายยังพอพูดกันได้รู้เรื่อง แต่ 44
อนาคตนี้ยังฟุ้งซ่าน ยาก อย่าง Harry Potter ของ JK rowling นี้มันไปฟุ้งซ่านมาก
ทางไสยศาสตร์ หรืออย่าง Star Wars ฟุ้งซ่านไปทางวิทยาศาสตร์
เหมือนกันกับอาตมาพยายามอ่านหนังสือกำลังภายใน โกวเล้งกับกิมย้ง อาตมาก็อ่านไปไม่ไหว
เหมือนกันกับ Harry Potter อ่านไปไม่ไหวมันปรุงแต่งไปกับเขาไม่ไหว
สู่แดนธรรม...จะขายสังขารให้ออกต้องขายสิ่งที่เขาไม่รู้ทัน
พ่อครูว่า…เขียนสิ่งที่เขาเดาออกก็ขายไม่ได้
มีอย่างเดียวคือโลกุตระที่คุณไม่รู้ คุณก็ต้องตามโลกุตระ ถ้าไม่ตามคุณก็ไม่เจริญ
ขีดเส้นใต้ร้อยเส้น หากไม่ตามโลกุตระ
คุณก็ตกต่ำอยู่ที่เก่าแล้ววนเวียนเริ่มต้นใหม่ เริ่มต้นไปจนถึงสูงและตกต่ำใหม่
จะกินเวลาไปไม่รู้จบสิ้น สังขารตัวเอง
เมื่อคุณยังไม่เข้าใจการปรุงแต่งเรียกว่าสังขาร
แล้วจับตัวกันเป็นวิญญาณ เมื่อรู้แจ้งตัวสังขารปรุงแต่งที่เป็นตัว Static และ
Dynamic แล้ว คุณเอา 2 ตัวนี้มาศึกษาแล้วแยก สังขารมันมีหลายตัวก็จับมันมาทีละ 2
ตัว เริ่มต้นตัวไหนจับได้ก่อน ตัวไหนหยาบกว่า ตัวไหนต้องรู้ก่อนตัวนี้ชอบต้องเอามาก่อน
ตัวนี้เราไปเป็นทาสของมันหนักหนาสาหัสก็ต้องเอาก่อนเอาอันนี้ก่อนก็เป็น 2
เรียกว่านามรูป ตัวหนึ่งคือตัวถูกรู้ เป็น Object
อีกตัวหนึ่งก็เป็นตัวผู้รู้เรียกว่า Subject เป็น 2 สภาพนามรูป
มีอะไรไปเกี่ยวข้องคุณก็จับคู่
สัมผัสอะไรเป็นปัจจุบันก็เอามาศึกษาก่อน อันไหนไม่ต้องเอามาศึกษาก็ปล่อยไปก่อน
หยาบกลางละเอียดเท่าไหร่ก็เอามาศึกษา แล้วแยกเอาสิ่งที่มันควรที่สุด
ควรที่ว่าคือขยับจาก การปรุงแต่ง 3 เส้า จาก 2 เป็น 1 เป็นนามรูป เลื่อนเป็นสังขาร
วิญญาณ นามรูป
นามรูปคือ
2 กับ 1 คือตัวถูกรู้กับตัวผู้รู้
พลังงานอุตุนี้มันยังแยกไม่ออก พลังงานบวกกับพลังงานลบตัวมันเองไม่รู้มันเอง
แต่มีแต่คนไปจัดการแยกแยะรู้มันได้
วิญญาณคือตัวรู้
ขยับมาเป็นนามรูป อายตนะ ก็ไปแยกนามรูป รู้ 2 ตัวปรุงแต่งกัน
พอปรุงแต่งกันก็เป็นอายตนะ คือ อายะ กับ ตนะ อายะคือประโยชน์ ตนะคือตัวเราเอง
ต
คือมีอยู่ น คือไม่มี อายะคือประโยชน์ รายได้ ตัวสาระแก่นสาร ก็อาศัยตัวเรากับสาระ
ตัวเรากับสาระ อายะ มันก็ต้องใช้ต้องอาศัยนะ เพราะฉะนั้น อายตนะ
จึงเป็นตัวกลางมากเลย ตัวกลางระหว่างนามรูปกับผัสสะ
นามรูป
แล้วก็อายตนะ แล้วก็ผัสสะ ตามให้ดีๆ ท่องปฏิจจสมุปบาท 11 ข้อนี้ไม่ได้
ไม่รู้เรื่อง
นามรูป
อายตนะ ผัสสะ หากไม่มัผสสะก็ไม่เกิดสภาพของนามรูป อายตนะไม่เกิดไม่ตั้งในที่ใดเลย
ถ้าไม่มีผัสสะถ้าไม่มีกระทบก็ไม่มีอายตะนเกิด มันต้องเกิดผัสสะกระทบ
คนหลับตาปฏิบัติไม่มีผัสสะ โมฆะ จากศาสนาพุทธ ต้องมีผัสสะ สัมผัส วิโมกข์ 8
ด้วยกาย วิโมกข์ 8 คือรูปกับนามเป็นสภาพ 2 ถ้าไม่มีสัมผัสด้วยกาย
สัมผัสด้วยสภาพที่มันจะจับตัวกันเป็นกายอีกที คุณไม่รู้จักกายคืออะไร
กาย
จะต้องมีสภาพภายนอกและภายในเสมอ
ผัสสะแล้วเกิดธาตุรู้ขึ้นมาแทนวิญญาณ
เป็นธาตุรู้ที่เสพรส เรียกว่าเวทนา ธาตุรู้วิญญาณยังไม่เสพรส แต่เวทนานี้เสพรสสุข
ทุกข์ ซาดิสม์ กับมาโซคิส คือพวกยังมี ชอบรุนแรง
แม้กระทั่งตัวเราเองรุนแรงในตัวเราเอง ส่วนซาดิสม์ ชอบเห็นคนอื่นรุนแรง
ดูมวยชอบเอาชนะคะคานชอบดูสงคราม แม้แต่รุนแรงทางใดๆ
ชอบมากไม่มีจบกระทบกันมากๆแล้วชอบ พวกนี้ไม่มีหยุดหรอก เกิดเวทนา เสพรส
ตัวนี้เป็นตัวกลางที่เดือดร้อนมาก ถ้าไม่สามารถเรียนรู้เวทนาเป็นกรรมฐาน
แล้วจัดการเวทนาตัวแท้กับตัวเก๊ หรือตัวมีเหตุ มายาขึ้หลอก ตัวมาร
ตัวขี้หลอกมากระตุ้นชักรอกตัวนี้ให้เต้นดีด หากไม่จัดการทำลายตัวต้นเหตุ คือตัณหา
คืออุปาทาน คือตัวโง่
ตัณหาก็โง่
อุปาทานก็โง่ เข้าไปในอวิชชาคือตัวโง่ โง่ไม่เสร็จ
มันมีแต่อยากมากระทบสัมผัสแล้วก็เกิดรสชาติแล้วก็อยู่กับรสชาติความสุขแล้วก็ไปเลือกเอาสุข
ซึ่งความสุขกับความทุกข์เป็นสภาพ 2 นี้มันแยกไม่ได้เหมือนกระดาษ 1 แผ่น
คุณจะแยกอย่างไรก็แยกไม่ออก คุณจะเอาหน้านี้ไม่เอาหน้านี้ไม่ได้
ให้กระดาษบางเท่าไหร่ก็แยกไม่ได้ มันต้องมี 2 หน้าแยกมันไม่ออก
ถ้าจะทิ้งก็ต้องเผาทิ้งทั้ง 2 หน้าเลย เพราะฉะนั้นศาสนาพุทธเผาทิ้งทั้งคู่
ไม่เอาทั้งสุขและทุกข์
หากจะมีก็มีอย่างสะอาดบริสุทธิ์มียังไม่มีทั้งบวกและลบมีอยู่ที่ 0 หรือกลางๆ เรียกโดยภาษาว่า
อุเบกขาหรือไวยพจน์คือ ไม่สุขไม่ทุกข์ คำว่าไม่สุขไม่ทุกข์หรือ อทุกขมสุข
หยาบกว่าอุเบกขา
อุปะ(ใกล้)
+เอก(1) + ข(0) ความใกล้ที่สุดก็คือ 1
กับ 0 ใกล้ที่สุดคือ 1 ตัวมีและ 0
คือตัวไม่มี
ก็จบที่ตัวมีและตัวไม่มีตามที่พระพุทธเจ้าสอนว่าคนก็ต้องอาศัยสิ่งที่มีและไม่มีนี่แหละ
คือโลกสมุทัยคือมี และโลกนิโรธคือไม่มี พระไตรปิฎกเล่ม 16 ข้อ 43
ยังมีชีวิตอยู่ก็อาศัย 2 อย่างคือ มีและไม่มี คนที่ยืนอยู่ใน 0 คือไม่มีแล้ว
ก็คือจิตเป็นอุตุนิยามได้แล้ว เป็นอุตริมนุสธรรม เหนือกว่าปุถุชนคนธรรมดา เป็นคนจบ
คนสำเร็จ
สรุปแล้ว
ตัวเวทนาที่มีตัวการคือตัณหากับอุปาทาน ตัณหาคือพลังงานเคลื่อนที่
อุปทานคือใช้พลังงาน static ตัวนิ่ง อยู่กับที่ เมื่อเคลื่อนที่ก็เป็นตัณหา
อุปาทานกับตัณหา ฆ่าตัวไหนก็ฆ่า แต่ไปฆ่าตัวอุปาทานมันนิ่ง มันไม่ค่อยเห็นตัว
ถ้าหากมันเคลื่อนก็เห็นตัวง่ายกว่า อุปาทานเป็นตัวไร้สภาพ มองไม่เห็น จัดการยาก
ผู้ที่สามารถรู้จักตัณหาอุปาทาน
แล้วดับตัณหาอุปาทานได้หมดสิ้น ชาติ ชรา มรณะก็หมดสิ้น จบตัวชาติ
ไม่มีเกิดและไม่มีเสื่อม ชาติไม่เกิดชราก็ไม่มี ดับที่ชาติไม่เหลือชราหายไปด้วย
ถ้าชาติยังมีอยู่ ชรามันก็ยังมี อย่างไรอย่างไรมันก็ต้องมีเสื่อมแล้วก็ค่อยๆสูญสลาย
คุณจะเสื่อมได้เร็วเท่าไหร่มันก็ดี จะได้หมด สิ่งที่มีอยู่ก็คือทุกข์
เพราะทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่
และทุกข์เท่านั้นที่ดับไป มีแต่ทุกข์เท่านั้น
ก็พิสูจน์เริ่มต้นอาจจะตั้งแต่ติดทุเรียน
ระวังมันหลอกขายลูกละแสน กินแล้วมันเหาะได้หรืออย่างไร
ที่จริงแล้วมันเป็นทุเรียนจากการประมูล เอาการกุศลมาอ้าง
ใครจะเสียสละเงินมาประมูลทุเรียน ก็ได้ตัวเลขพูดอย่างโก้ว่าทุเรียนลูกนี้ลูกละแสน
เหมือนกับมหาบัวเรี่ยไรเงินไปช่วยชาติ แต่มหาบัวรู้ทันทักษิณว่าทำลายชาติ
เป็นความเก่งของมหาบัวที่รู้ทันทักษิณ
สุดท้าย
ชาติ เป็นตัวสุดท้าย ทำการเกิด การเกิด พระพุทธเจ้าสรุปลงมี 5
ชาติ
สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ ท่านแปลกันไม่ค่อยรู้เรื่อง การเกิด
บังเกิด หยั่งลง ความเกิดก็แปลจากนิพพัตติอีก อภินิพพัตติเขาว่าเกิดจำเพาะ
มันก็ยิ่งไม่รู้เรื่องอาตมาเลยต้องมาขยายความสภาวะให้ชัดเจนลงไปอีก
ความเกิด
เป็นคำกลางๆ การเกิดของทุกสิ่งทุกอย่าง
การเกิดของโอปปาติกะสัตว์เกิดแล้วก็สั่งสมเป็นสัญชาติ คนเราเกิดมาก็มีสัญชาติญาณ
ญาณที่เกิดมาจากความรู้เดิมเป็นบุพเพกตะ แต่สัญชาติ
ยังไม่เป็นบุญยังไม่สามารถชำระกิเลสได้
ของสัตว์โลกมันก็มีสัญชาติธรรมดา
จิงโจ้มันเกิดมามีสัญชาติก็ตามหากระเป๋าหน้าอกแม่ มันมาหากินนมแม่
เกิดมามันต้องกินนม เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
สัตว์ที่ไม่เลี้ยงลูกด้วยนมก็ว่ากันไปมันก็มีสัญชาติของมันติดมาจากของเก่า
จากสัญญาความจำ เกิดมาอย่างนี้ความจำอย่างนี้ติดตัวเป็นอัตโนมัติ ก็มาทำตามสัญชาติ
ติดอยู่ก็ต้องล้างสัญชาติ
อาริยคุณของคุณลุงจำลอง ศรีเมือง
พระพุทธเจ้าปรารภกับพระอานนท์ว่า
สัญญานี้มันลืมยากที่สุด เป็นทีหลังเพื่อนเลยมันยาก แต่ก็ต้องลืม
จริงๆไม่ต้องลืมหรอก ก็ต้องรู้ความจริงตามความเป็นจริงว่ามันเป็นเพียงความจำไม่ใช่ความจริง
คุณไปหลงว่าเป็นความจริงก็ยึดถือไว้สิ แต่ที่จริงมันเป็นเพียงความจำจำให้ชัดก็คือ
แค่จำลองเท่านั้นแหละไม่ใช่จำจริง ไม่ใช่จำรัสหรือจำนำ
อาศัยเป็นลำลอง
เสร็จแล้วเราก็จะพรากจากกันเป็นที่สุดปรินิพพานเป็นปริโยสานแต่ตอนนี้เรายังไม่ตายก็อาศัยพัฒนากันไปยังคุณจำลองนี้ยังไม่รู้แม้แต่โสดาบันแต่ที่จริงมีแล้วโซดาปั่นเกินกว่าโสดาบันแล้วเป็นโพธิสัตว์แล้วยังเป็นโสดาบันอยู่นั่นแหละแต่มันยังไม่ขึ้นคุณจำลองเป็นสายศรัทธาคุณจำลอง
สายสัทธาธิกะ
คุณจำลองเรียนเก่งตามโลกีย์เขา นี่คือใช้ธาตุรู้ได้เก่ง แต่ชาตินี้ได้อยู่เท่านี้
ดีไม่ไปเป็นนายกฯ เป็นรองนายกฯเท่านั้น ดีแล้วที่ไม่ต้องไปผูกพันตรงนั้น มันยากอจินไตย สรุปคือ
ไปกับอาตมานี่แหละไม่ต้องห่วงหรอก อาตมาพาไป เพราะอาตมายังอีกนาน
กว่าคุณจะขยับมาเท่าอาตมา คุณเองก็จะต้องมา ถ้าไม่มาคุณไม่รู้จักจบ มันก็วนอีกอย่างเก่าเพราะฉะนั้นไม่เอา
ให้ตามมา
ตอนนี้ใจไม่สู้ก็ต้องสู้เพื่อให้จบเป็นอรหันต์ให้ได้และนี่บอกว่าตัวเองยังไม่เป็นโสดาบันจะไปจบได้อย่างไร
คุณต้องรู้โสสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี คุณเกินอรหันต์แล้ว เข้าขั้นโพธิสัตว์แล้ว
พูดแล้วเดี๋ยวก็ไม่รู้เพราะแค่โสดาบันยังไม่รู้เลย
คนต้องสร้างวิบากร่วมกันจึงไปด้วยกัน
แต่ตอนนี้ขันธ์มันไม่ไหวก็ไม่เป็นไร อย่าไปตัดใจ ถ้าตัดใจ ไม่ถูก
ส่วนร่างกายจะอยู่หรือไปก็ไม่เป็นไร ให้จิตใจเบิกบานร่าเริงอยู่กับลูกหลานนี่แหละ
เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรให้เขาเท่านั้นก็เหลือกินแล้ว คุณจำลองบารมีเรื่องร่มโพธิ์ร่มไทรของคุณจำลองมีเยอะกว่าอาตมา คนชื่นชมคุณมากกว่าอาตมา
เพราะอาตมามันปากจัดแต่คุณยังไม่คล่องเหมือนอาตมายังด่าเขาไม่เก่งเหมือนอาตมา
คุณจะด่าเขายังไม่ชอบด่าเลย เป็นคนอย่างนั้น เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงหรอกคุณเป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของเขา
อยู่ไปเถอะ ถึงสังขารมันจะจบเมื่อไหร่ก็ช่างหัวมัน ไม่ต้องห่วงหรอกเรื่องสังขาร
เรื่องทางวัตถุ เอาเรื่องนามธรรม ปล่อยไปเรื่อยๆ คุณจะไปตัดให้มันหยุด คุณยังไม่จบ
คุณยังไม่ให้มันจบของตนเอง ไม่อยากจะพูดซ้อนไปอีก
ไม่ใช่ว่าเอาอรหัตตผลคุณไม่มีหรืออรหันต์คุณไม่มี ไม่ใช่หรอก คุณเป็นโพธิสัตว์แล้ว
โพธิสัตว์ระดับ 4 ครึ่ง เอ้า จริง .เพราะฉะนั้นไม่ต้องห่วงหรอก อรหันต์ระดับ 4
ครึ่ง เป็นโพธิสัตว์ระดับ 4 ครึ่ง
จบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น