ทำวัตรเช้า งานอโศกรำลึก 2564 ประกาศโลกนี้โลกหน้า
วันอังคารที่ 8 มิถุนายน 2564
ณ บวรราชธานีอโศก
ชมบันทึกวิดีโอเทป
ฟังเทปบันทึกเสียง
พ่อครูว่า…วันนี้วันอังคารที่
8 มิถุนายน 2564 ที่บวรราชธานีอโศก แรม 13 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู
เราเทศน์กันในเรื่องโลกนี้โลกหน้ากันอยู่ ยังไม่จบ
พ่อครูประกาศโลกนี้-โลกหน้า ตามสัมมาทิฏฐิ 10
อาตมาอยากจะไขโลกนี้โลกหน้า
พระพุทธเจ้า ท่านตรัสเอาไว้ใน สัมมาทิฏฐิ 10 ข้อที่ 10 ว่าจะมี สยังอภิญญา เกิดมา
สยังแปลว่าเอง มีอภิญญามาเอง พระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ถูกต้องแล้ว
เพราะว่าคนที่รู้เองมีของตนเองถูกต้องนั้นมี แต่มีนั้นไม่ได้หมายถึงแต่พระพุทธเจ้า
เป็นสยัมภู สยัมภูก็เป็นผู้รู้เอง เป็นผู้รู้องค์แรกในยุคกัป
ที่ยังไม่มีใครเปิดเผยตัวเป็นพระพุทธเจ้าเลย
ในยุคที่มีคนเปิดเผยตัวเป็นพระพุทธเจ้าและพระสมณโคดมมาประกาศแล้ว
ก็ยังมียุคที่โลกแม้จะไม่เสื่อม
แต่คนในโลกโดยเฉพาะชาวพุทธเสื่อมไปจากความรู้ที่เป็น โลกุตระ
พอครึ่ง
2,500 ปีขึ้นมา พระศาสนาพุทธของพระสมณโคดมยืนยาว 5 พันปี พอ 2,500 มันก็เสื่อมสนิท
ชาวพุทธแม้แต่ผู้นำทางศาสนาอยู่ ก็ไม่สามารถรู้เรื่องของโลกุตระเลย
จึงต้องมีผู้ที่รู้เรื่องโลกุตระมาอุบัติขึ้นในยุค 2,500 กว่าปีนี้แหละ
แล้วก็นำโลกุตระมาเอง แล้วก็เอามาประกาศขึ้นให้ผู้อื่นรู้ตาม
นี่คือสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในข้อที่ 10 ของสัมมาทิฏฐิ สมณพราหมณ์ทั้งหลาย
เป็นผู้ดำเนินชอบ-ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้-โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง
เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก
สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง
ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)
นี่ก็ประกาศมาแล้ว 50 ปี ผู้ที่สามารถรับรู้ได้ เป็น สัจฉิกัตวา ก็มีไปแล้ว
อย่างสิกขมาตุ จินดา นี่ จินดา คือ ความคิด ความรู้ รู้จนกระทั่งตัวเองจะต้องชื่อว่า สัจฉิกตา เลย สิกขมาตุ จินดา เลยเป็น สัจฉิกตาเลย รู้แจ้งโลกุตระเข้าใจดีรับได้ไป เจริญธรรม บรรลุธรรมไปในตัวเลย ผู้เจริญแล้วก็ต้องบรรลุธรรม บรรลุๆไป อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งสภาวะต่างๆโดยบัญญัติความรู้นำมา แล้วก็เอาความรู้ที่นำมาเป็นบัญญัติ มาสอบทาน พระพุทธเจ้าตรัสไว้เป็นความรู้ บัญญัติ มาสอบทานปรมัตถ์ จิต เจตสิก รูป นิพพาน สามารถที่จะปฏิบัติจิต จิตเกิดพัฒนาการเกิดใหม่ โอปปาติกะ จิตเกิดใหม่ เกิดเป็นคนใหม่ของโลกใหม่ โลกอื่น โลกโลกุตระ เป็นคนละโลกกับโลกียะ เรียกว่าโลกนี้คือโลกโลกียะ
โลกุตระคือโลกหน้า แต่ผู้ที่เขาไม่รู้
เขาอยากรู้จะรู้แต่มันรู้ไม่ได้ เขาก็เลยรู้โลกหน้าไม่ได้ รู้โลกุตระไม่ได้
โดยเฉพาะให้เป็นจิตให้เป็นโลกุตตรจิต ทำจิตตัวเองให้เป็นมนสิการ
ทำจิตตัวเองให้เป็นจิตเจริญขึ้นเป็นโลกุตระ คือจิตของผู้นั้น ของใครก็แล้วแต่
ของเรา เราสามารถแยกจิต อ่านอาการจิต จับจิตของเราได้ แล้วก็รู้อาการ ลิงค นิมิต อุเทส
อุเทส คือภาษาหรือสิ่งที่อธิบายออกมา
อย่างที่อาตมากำลังอธิบาย ฟังอุเทสแล้วเข้าใจว่าต้องไปแยกอาการ ลิงค นิมิต
ไปแยกอาการของจิตมันแตกต่างกัน จิตที่เป็นจิตจริงๆ กับจิตที่มันเป็นกิเลส
เป็นจิตตัวปลอม มาปลอมตัวเป็นจิต แต่มันเป็นกิเลส จับได้แยกได้ แยกกิเลสออกจากจิตได้
ถึงขั้นเป็นผลคือ สามารถมีพลังปัญญา แยกได้จนกระทั่งชัดเจน
ว่าจิตตัวนี้มันเป็นตัวทุกข์ เป็นตัวเหตุแห่งทุกข์
เพราะฉะนั้นถ้ามันยังมีอาการอยู่ในจิต
เราก็คือผู้ยังเป็นทาสกิเลสนั้นอยู่ พลังงานปัญญาก็เลยบอกว่า ไม่ได้
เอ็งจะอยู่ในจิตข้าไม่ได้เด็ดขาด เอ็งต้องไป เอ็งต้องออกไป หยุดอาการของเอ็ง
เด็ดขาดอยู่ในจิต เอ็งต้องหยุด เลิก อย่ามาทำเป็นสะเออะ
มีอาการนิดอาการหน่อยอยู่ในจิตก็ไม่เอา ทำจิตของตัวเองได้ มนสิการ หรือมนสิกโรติ
เราทำเองไม่ใช่พระเจ้าทำหรือใครมาช่วยทำ
เราทำเองสร้างพลังปัญญา ที่มันจะเหนือชั้นกว่ากิเลส นี่พูดเป็นภาษารูปธรรม
แต่มันเป็นนามธรรม จะต้องฝึก จะรู้ได้เมื่อมันต้องมีของจริง สัมผัสของจริง
ตาสัมผัสทุเรียนชอบทุเรียนมาก ทุกปีมีทุเรียนมาแล้วต้องเสียตังค์ให้มัน
แต่ก่อนอาตมาทำงานอยู่ที่โทรทัศน์
มีช่างคนนึงชื่อพี่ฟู เขาจะเก็บสตางค์แต่ละเดือนหักใส่กระป๋อง ก็ถามว่าพี่ฟูเก็บตังค์ไปทำไม
เขาบอกว่าเอาไปซื้อทุเรียนกิน นี่เป็นเรื่องจริงนะไม่ใช่เรื่องเล่น
ถึงหน้าทุเรียนก็งัดเอามาซื้อทุเรียนเอามากินโดยเฉพาะ มีงบประมาณ budget
สำหรับผู้เรียนโดยตรง แต่ละปีๆ เป็นคนที่จะต้องกินทุเรียนให้ได้
จัดสรรงบประมาณสำหรับกินทุเรียนโดยเฉพาะตน
นี่ก็มีคนอย่างนั้นจริงๆมันชอบทุเรียนมาก
สัมผัสทุเรียนก็โอ้โหอยากกินมันชอบกิเลสขึ้นเลย
อ่านกิเลสตัวเองเมื่อสัมผัสแล้วกิเลสเกิด
แม้จะเกิดอย่างหยาบนั้นรู้ง่ายแน่ มันเกิดแรงก็รู้ง่าย
แม้ที่สุดได้เรียนรู้ลดละแล้ว จนกระทั่งมีพลังงานปัญญา สามารถทำให้กิเลสลด
สู้พลังงานปัญญาไม่ได้ พลังปัญญามันชัดเจนกว่ามันรู้ว่าไอ้ที่ไปติด
ไอ้ที่มีพลังอ่อนแอให้กิเลสมันกินตัวอยู่อย่างนั้น มันโง่มัน อวิชชา
ก็รู้ว่าตัวเองจะเอาอวิชชาหรือจะเอาปัญญา นั่นก็ชัดเจนมากแล้ว เราอย่าไปโง่
ปัญญาเจริญ อวิชชาก็ลดลงๆ ความเป็นโลกลกนี้คือโลกลกที่มีอวิชชา
ความเป็นโลกหน้าคือโลกที่มีวิชชาหรือปัญญาหรือญาณ เป็นพลังงานทางจิตเลย
คนใดที่ทำจิตในจิต ทำใจในใจ มนสิการหรือมนสิกโรติ
ทำให้พลังงานปัญญาเกิดแทนที่พลังงานอวิชชา เกิดพลังงาน
ก่อนมิจฉาทิฏฐิก็เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อเป็นสัมมาทิฏฐิก็เจริญด้วยการปฏิบัติมรรคมีองค์
8 โพธิปักขิยธรรม 37 จิตก็เจริญขึ้นจริงๆ ต้องสัมผัสของจริง
ตากระทบรูปแล้วก็เห็นของนั้นด้วยตา กิเลสเกิดไม่เกิด หูกระทบเสียง
แล้วกิเลสเกิดก็อ่านกิเลสเกิดจากเสียงได้ ชอบไม่ชอบ ชังไม่ชัง
เป็นสุขเป็นทุกข์อะไร จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รสสัมผัสรส ก็เกิดชอบเกิดชัง
เกิดกิเลสพวกนี้ อ่านได้เห็นของจริง แล้วก็ลดของจริงแล้วจริงๆ
ผู้นั้นถึงขั้นปฏิบัติธรรมถึงขั้นสภาวะธรรม จัดการกับสภาวธรรมของจริง จริงๆ
ผู้ปฏิบัติเองจะรู้ของตนเอง แล้วก็จะรู้ชัดเจนตรงที่ว่า
ขณะที่ตากระทบรูปนี่แหละเห็นเลยว่าจิตเราก็เกิดกิเลส
แล้วก็ปฏิบัติทันที อ่านกิเลสให้ลดทันที ลดอย่างช้าหรือลดอย่างเร็ว
ดูเหมือนลดอย่างเร็วแต่มันไม่รู้ทัน จนกระทั่งรู้ทัน มันลดจริงๆ
อ่านอาการมันจางคลาย ท่านบอกว่า
1. อนิจจานุปัสสี (ตามเห็นความไม่เที่ยงของกิเลสตัณหา)
2. วิราคานุปัสสี (ตามเห็นความจางคลายของกิเลส)
3. นิโรธานุปัสสี (ตามเห็นความดับของสัตว์กิเลสตัณหา)
4. ปฏินิสสัคคานุปัสสี (เห็นการย้อนทวนกลับไปสลัดคืน)
(พตปฎ. เล่ม 14
ข้อ 288)
ตามเห็นจิตตัวเองเลยที่บอกว่ามันไม่เที่ยง
แต่ก่อนเราไม่เคยทำให้มันจางคลายได้เลยตีไม่แตก เพราะมันเที่ยง
แต่ก่อนนี้มันเที่ยง เพราะเป็นหลงติดมันอย่างหนัก หนักก็เที่ยง
พวกศาสนาที่เที่ยงก็คือศาสนาที่ติดยึดด้วยอวิชชาก็เลยเที่ยง
เพราะฉะนั้นผู้ที่เห็นความเที่ยงและยึดถือความเที่ยงก็คือพวกที่ติดยึด ติด
จนกระทั่งผู้เห็นว่ามันไม่เที่ยงหรอก มันทำให้จางคลายได้
มันไม่ติดอยู่อย่างนั้นหรอก
เริ่มเห็นความไม่เที่ยงของกิเลสคือเริ่มเข้าสู่โลกหน้า
ผู้ที่เริ่มเห็นความไม่เที่ยง
นี่คือผู้ที่มีโลกหน้าโลกใหม่ ฟังความเป็นโลกใหม่โลกหน้าโลกอื่นให้ดีๆโลกโลกุตระ
รู้และทำจิตในจิตของตน ให้เปลี่ยนเป็นจิตใหม่
ลดลงได้นิดนึงก็เริ่มเดินทางเข้ากระแสโลกุตระได้นิดนึง ลดได้เก่งนิดนึง 2 นิด 10
นิด 20 นิด จนกระทั่งไม่นิดละ เยอะๆเลย จนหมดเลย ทำได้เกลี้ยง
ทำให้กิเลสตายสนิทหมดเกลี้ยงได้ก็เข้าสู่โลกหน้าเต็มๆ
โลกนี้โลกหน้าไม่ได้อยู่ที่เดินทางไปไหน
อยู่กับเราตอนเป็นๆนี้โลกนี้โลกหน้าอยู่กับเรานี้แล้วเราทำให้กิเลสหมดลง เราก็สู่คนโลกหน้า โลกใหม่ โลกโลกุตระ
จนโลกโลกียะหมดไปจากจิตเราเลย จิตคือโลก
โลกคือจิต อัตตาของเราก็คือจิต จิตคืออัตตา หมดอัตตา หมดจิตโง่ๆจิตอวิชชา
จิตโลกเก่าหมด หายไปไม่เหลือเชื้อจนกระทั่งมีแต่จิตใหม่ เป็นคนใหม่เต็มที่
จิตเก่าคนเก่าไม่มาเกิดในจิตเราเอีก
เป็นอรหันต์ขึ้นไปนี่เป็นขีดเขตของความเป็นอรหันต์
ที่อาตมาพูดไปนี้ไม่ใช่พูดเฉยๆ
แต่พูดออกมาจากจิตจริง จิตที่เราเป็นจริงๆเอามาอธิบายมาพูดของตัวเอง
เพราะฉะนั้นผู้ที่มีเองรู้จักจิตที่เป็นอรหัตตผลจิตที่ไม่เหลือโลกียะ
ก็เป็นความจริงของตนเองผู้ใดพูดได้อย่างถนัดใจ ไม่มีการเขิน ไม่มีการเหนียมอาย
ไม่มีการมังกุ ดุ๊กดิ๊กทางจิตเลย พูดตรงๆพูดความจริง ชมตัวเอง
พูดความจริงที่เป็นความจริงอันสามารถยิ่ง สามารถทำจิตให้เราไม่มีกิเลสได้หมด ก็บอกความจริงเป็นการชมตัวเอง
ยังไม่ได้มีอาการอาย อาการเขิน อาการมังกุอะไร คนเขาไม่เชื่อก็ท้วง ก็ติ อวดตัวเอง
ไม่เชื่อ ไม่จริง เขาก็จะรู้สึกอย่างนั้นจริงๆ เขารู้สึกเขาก็รู้สึกไป
แต่เราไม่ได้เป็นอย่างที่เขารู้สึก เราเป็นจริง เขาไม่เชื่อก็เพราะว่าเขาไม่เห็นว่าเราจะเป็นจริง
ก็เขามีสิทธิ์ที่จะไม่เชื่อเรา ไม่เชื่อว่าเราเป็นจริง ก็ไม่เป็นไร
เราเป็นจริงหรือไม่เป็นจริงก็เรื่องจริงของเรา เราไม่จริงก็เป็นการโกหกคนอื่น
ถ้าเราเป็นจริงแล้วก็บอกความจริง เราบอกความจริงที่จริงอย่างเป็นจริง จบ ไม่มีปัญหาอะไร
เวทนาเป็นกรรมฐานของวิปัสสนา
สู่แดนธรรม...การบอกยืนยันความจริงนี้เป็นคุณสมบัติอย่างหนึ่ง
ในคำสวดมนต์ของการสวดสรรเสริญพระสงฆ์ เชิญให้มาพิสูจน์ได้
พ่อครูว่า…เป็นโอปะนะยิโก
เป็นของสูง ที่ควรได้แล้ว ก็ได้มาแล้วได้และเป็นปัจจุบันแล้วโอปะนะยิโก เป็นอกาลิโก
ในยุคนี้ก็มีพระอรหันต์ อกาลิโก
คนที่ไม่เชื่อว่ายุคนี้ไม่มีพระอรหันต์ก็เป็นเรื่องของเขา
คนที่เขาเชื่ออย่างสนิทเลยว่าไม่มีอรหันต์ เขาก็จะไม่มีโอกาสพบพระอรหันต์เลย
แม้พระอรหันต์จะมาแสดงตัวบอกอย่างไรเขาก็จะไม่เชื่อ ว่ายุคนี้
ไม่รู้เขาไปเชื่อใครที่บอกว่าในยุคนี้ไม่มีพระอรหันต์
แต่เมื่อพระอรหันต์มาเกิดแล้วบอกว่ามี คุณก็เลยต้องไม่เชื่อ
แต่กลับไปเข้าใจอรหันต์เก๊ ส่วนคนมีปัญญาก็รู้ว่าอรหันต์ที่ติดเสพ
แค่การกินหมากสูบยาติดเสพแค่ตื้นๆ จะเป็นอรหันต์ได้ยังไง
ขออภัยพูดอย่างวิชาการไม่ได้ด่าทอใครว่าโง่ แต่คุณเป็นจริงอย่างนั้นก็โดนตามความเป็นจริงอย่างที่อาตมาใช้พยัญชนะ
บอกว่าอย่างนี้ผิด อย่างนี้ไม่รู้ ไม่รู้คือโง่ ก็ยังไม่รู้ว่านี่ไม่ใช่อรหันต์
ก็ยังไปงมงายอยู่ เดี๋ยวนี้ก็ยังเต็มไปหมดพระนั่งหลับตาพระป่า
ตั้งแต่สายอาจารย์มั่น อาจารย์มหาบัว จนกระทั่งสายหลับตาในสำนักอื่นๆเขาก็แยกไปบบ้าง
สายฤาษีลิงดำ สายหลวงพ่อปาน มาก่อนเก่าก็มีหลายสาย สายคนอีสาน สายคนภาคกลาง
สายคนภาคเหนือ ก็เป็นตุ๊เจ้า สายคนภาคใต้ก็เป็นพ่อท่าน ก็เยอะไป ก็ว่ากันไป
ความจริงมันก็คืออันเดียวกันนั่นแหละ
ต้องจิตมีความจริงที่ถูกต้องอย่างสัมมาทิฏฐิ เป็นสัมมาทิฏฐิคือ รู้จิตเจตสิกจริงๆ
แล้วจุดสำคัญที่พระพุทธเจ้าท่านให้เรียนรู้ชัดๆก็คือ
ต้องรู้เจตสิกที่เป็นเวทนา อ่านตัวนี้ นี่เป็นกรรมฐาน ของวิปัสสนา ไม่ใช่กรรมฐานของสมถะ กรรมฐาน 40 เป็นของพวกออกนอกรีต
สายที่เป็นนักสะกดจิตเป็นกรรมฐาน 40 ออกนอกรีต สะกดจิตยังงั้นทำให้จิตหยุด
แทนที่จะหยุดกิเลส ตายิ่งกระทบกิเลสยิ่งเกิด ยิ่งจับกิเลสง่าย ตายิ่งไม่กระทบ
มันยิ่งไม่มีกิเลสจริงเกิด เมื่อไม่มีกิเลสจริงเกิดก็ไม่มีกิเลสให้ลดละ
เพราะไม่มีตากระทบ ไม่มีหูกระทบ ไม่มีจมูกลิ้นกายข้างนอกกระทบเลย
ก็ไม่ใช่ของจริงในปัจจุบันชาติ ไม่ใช่ความจริงในปัจจุบันชาติ
คุณไปหลับตา
ตาของคุณจะมีสัมภเวสี มีแต่ตาหูจมูกลิ้นกายที่ไม่มีที่ตั้ง
จักขุวิญญาณไม่มีที่ตั้ง โสตะวิญญาณไม่มีที่ตั้ง วิญญาณทางหู วิญญาณทางตา
วิญญาณทางจมูก ทางลิ้นทางกาย ไม่มีที่ตั้ง
ตากระทบรูป
จิตก็อยู่ร่วมกันเป็น กายะ อยู่พร้อมกัน มีทั้งภายนอกภายใน มีพลังงานทางมโน ทางจิต
เข้ามาทำการร่วมกัน มีรูปนาม แล้วเกิดสภาวะสังขารธรรม หรือวิญญาณ หรือเวทนา
สังขารธรรม
วิญญาณ หรือเวทนา ตัวเดียวกันทั้งหมดเลย มันเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกัน
เรียกด้วยพยัญชนะ สังขารปรุงแต่งกันอยู่ บอกด้วยพยัญชนะว่ามันปรุงแต่งกันอยู่
คนที่ไม่รู้จักการปรุงแต่งของจิต ก็ไม่รู้จักสังขาร
เมื่อจับสังขารได้มันเป็นตัวตนเกิดขึ้นมาได้ ก็เกิดวิญญาณ พอจับได้แล้ว
ที่นี้แยกเป็นเวทนา เป็นสภาวะ 2 ออกอีกว่า มีเวทนาจริง เวทนาเก๊ มีรสคนละรส
รสจริงคือรสที่สัมผัสแล้วรสนี้ทุกคน
ประสาทใครไม่พิการ เจ็กไทยฝรั่งแขกมาแตะรสของทุเรียนตรงกันหมด
แต่ใครจะเลือกภาษาอะไรก็แล้วแต่ใคร แต่ภาษานั้นจะต้องสื่อสภาวะเดียวกัน
ส่วนเวทนาอีกเวทนานึง
คนที่แตะแล้วบอกว่าตรงกับสเปค Specification ชอบคุณก็มีอาการชอบ
หากว่าอีกคนหนึ่งเกิดความชังไม่ชอบ ก็เกิดคนละเวทนา เวทนาเก๊ มันอาจจะคล้ายกันแต่ก็ไม่ตรงกันหมดหรอก
ตรงกันต่างอร่อยก็แย่งกัน ไอ้ที่ชอบกันแย่งกันดีนัก
เช่น
ชอบลาภ คือทรัพย์ศฤงคาร ไม่ใช่ลาบเป็ดลาบไก่ลาบหมูนะแย่งลาภ แย่งชิงฆ่าแกงกัน
นี่แผ่นดินของฉัน มีอำนาจครอบครองแผ่นดินของฉัน แย่งเสื้อแย่งผ้า
จนกระทั่งอาตมาเคยพูดถึงเรื่องขนมหม้อแกง
อันนี้เป็นเรื่องจริงนะแย่งขนมหม้อแกงชิ้นเดียวเอามีดฆ่ากันตายเลย
ตอนนั้นราคามันแค่ชิ้นละ 1 สลึง แทงกันตายเลยเพราะมันแย่ง
คนหนึ่งมาจองเอาไว้
เหลือเพียงชิ้นเดียว ก็จ่ายสตางค์ไว้แล้วบอกว่าเดี๋ยวมาเอา
เสร็จแล้วอีกคนนึงมาถึงไปซื้อของไม่มาสักทีนานแล้ว อีกคนนึงมาถึง
เหลือชิ้นเดียวนี้ ก็ให้ราคาสูง 30 สตางค์เลย คนขายก็เลยขาย 30 สตางค์เลย
เพราะอีกคนหนึ่งที่ซื้อไว้ก่อนจองไว้ก่อนมาถึง จ่ายเงินแล้วด้วย
อีกคนหนึ่งก็บอกว่าจ่ายไปแล้วให้ 30 เลย เท่านั้นแหละทีนี้ แทงกันเลย
คนนั้นมีมีดแทงเอาตายเลย มันยึดถือว่าเป็นของกู เห็นไหมความรุนแรง
เออ
เขาจะเอาแผ่นดินนะ พระเจ้าแผ่นดินหรือประธานาธิบดีจะมายึดแผ่นดินนี้เป็นอาณานิคม
ก็ดูมันยิ่งใหญ่ แต่นี่มันยึดถือขนมหม้อแกงแล้วเอากันตายเลย
เห็นไหมว่าการยึดมั่นถือมั่นยึดถือตัวกูของกูนี่มันขนาดไหน
เพราะฉะนั้นไม่ต้องสงสัยหรอก แย่งเมียแย่งผัวกันแล้วฆ่ากัน
ขนาดขนมหม้อแกงมันยังฆ่ากันเลย หรือไม่ต้องเป็นชิ้นเป็นอันขนาดนั้นก็ได้
เอ็งมาลบหลู่ศักดิ์ศรีข้า
ได้อย่างไรข้าก็เลย ศักดิ์ศรีเป็นนามธรรม (สู่แดนธรรม… ศักดิ์ศรีอยู่บ้านดู่เป็นพี่ชายของซึ้งดิน) ศักดิ์ศรีนามสกุลหลักเขต เป็นพี่ชายของซึ้งดิน หลักเขต
ก็ว่ากันไปแวะไปได้เรื่อยๆ
ความเป็นโลกนี้ก็ตามโลกหน้าก็ตามจึงไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าใจกันได้ง่ายๆ
โลกนี้คือสิ่งที่เรายึดมั่นถือมั่นเป็นอยู่อย่างคิดไม่ออกเลย
เข้าใจไม่ได้เลยว่ามันมีอื่นอีก มันมีความเป็นอื่นอีก ที่จิตเราเป็นนามรูป
สามารถที่จะกระทบแล้วมีความรู้สึก เป็นทัศนคติ
เป็นความเข้าใจเป็นความรู้เป็นความเห็น เป็นจิตอีกอย่างหนึ่ง มันคนละทิศ
เทวนิยมกว่าจะเข้าใจโลกุตรธรรมได้
พวกที่ไปสั่งสมโลกียะจิตเอาไว้แน่นไม่มีทางที่จะรู้ได้ง่ายๆ
จะเรียนรู้พยัญชนะบัญญัติ ก็เรียนรู้ไปอย่างนั้น ยาก
กว่าจะเปลี่ยนจิตมาเป็นโลกุตระเป็นโลกหน้า จะเคลื่อนจากโลกนี้มาเป็นโลกหน้า
ไม่ง่าย
เพราะฉะนั้นประกาศไปเถอะโลกุตระนี้
อธิบายไปเถอะ คนก็ไม่ได้มาชื่นชม ไม่ได้มายินดี ไม่ได้มารู้สึกว่าเป็นคุณค่า
อย่างพวกเราประกาศไปนี่แหละ โลกียะเขาก็อยู่อย่างนั้นแหละ เต็มไปด้วยโลกียะที่
เต็มไปด้วยลาภยศสรรเสริญโลกียะสุข เขาก็แย่งกันอยู่อย่างนั้นแหละ
เราก็บอกว่ามาอยู่นี่ไปหลงในลาภยศสรรเสริญโลกียะสุขอยู่ทำไม
เขาฟังไม่ขึ้นเขาก็งมงายอยู่กับลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ทางรูป รส กลิ่น เสียง
สัมผัส อยู่อย่างนั้น
เราบอกว่ามานี่แหละอย่าไปยึดถืออย่างนั้น
มันป่วยการ คุณติดมาไม่รู้กี่ล้านชาติแล้ว
เขาบอกว่าติดอะไรมันต้องเป็นอย่างนี้แหละ เขาก็อยู่อย่างนี้ พูดพยายามยกตัวอย่างเอามาให้ดูรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส
มาไม่มีอัตภาพ ไม่มีอัตตา เป็นอรหันต์ดีกว่า
พูดตรงนี้ก็นึกถึงหัวหน้าจำนง
รังสิกุล อาตมาปฏิบัติธรรมจะไปนิพพาน
ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติเขาก็เห็นว่าพากเพียรปฏิบัติ
เพราะอาตมาปฏิบัติไม่ได้หนีจากสังคม ไม่ได้หนีจากการสัมผัส ไม่ได้หนีจากโลกมายาเลย
ก็ยังอยู่ในโลกมายา ยังออกอากาศอยู่ ยังมีสรรเสริญเยินยอ มีลาภยศ
มีรายได้ทางโทรทัศน์ แต่เราก็ลดละได้ ท่ามกลางเมืองมายา
หัวหน้าจำนง
รังสิกุลบอกว่าคุณไปเถอะไปนิพพาน ผมยังจะสนุกกับทางโลก ผมไม่ไปหรอก
พูดอย่างนี้จริงๆ คุณไปเถอะ พูดกันยังเข้าใจเลย เขาก็รู้ว่าเราตั้งใจไปนิพพาน
ปฏิบัติจริงๆเป็นปรมัตถ์ธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่ยืนยันว่า การที่ปฏิบัติโลกุตรธรรม
เป็นการปฏิบัติไม่ต้องหนีจากโลกีย์ อาตมาอยู่ในเมืองมายาแท้ๆ ลาภ ยศ สรรเสริญ
โลกียสุข รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเต็มสภาพเลย อาตมาก็ยืนอยู่บนนั้น อยู่เหนือมันโดยที่ว่าไม่ได้ไปต้องหนี
เป็นโลกุตรธรรม เป็นการอยู่เหนือโลก ไม่ใช่หนีโลก
เหนือโลกกับหนีโลกนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว
คำว่าเหนือโลกกับหนีโลก
ภาษาไทยก็ชัดเจน ในคุหัฏฐกสูตร
ขยับออกจากโลก
หนีเข้าป่า เป็นอันดับแรกเลย เป็นผู้เอา กาย ออกไปสู่ป่า เป็นความเข้าใจไม่ได้
เข้าใจ กาย นี่แหละไม่ได้ นำร่างกายออกเข้าป่า จึงถือว่าเป็นกายวิเวก
ผู้ที่เข้าใจกายวิเวกอย่างนี้แหละ คือนรชนผู้ข้องอยู่ในถ้ำ เป็นอันกิเลสมาก
ปิดบังเอาไว้แล้ว
เพราะฉะนั้นเขาจะข้องอยู่
กาย เอากายนี่ เข้าใจกายไม่ได้ ก็เอากายไปข้องอยู่กับถ้ำ หอบกายทั้งร่าง
เข้ามาหาถ้ำจริงๆ อยู่ในป่าเขาถ้ำ เอากายนี้มาหาถ้ำ เอากายนี้ไปอยู่ในบ้าน
ในเรือนว่าง เอากายนี้ไปอยู่ในเรือ อยู่ในรถ เข้าไปอยู่กับจอมปลวก เข้าไปอยู่ในรัง
หรือย้อนแย้ง
เอาเข้าไปอยู่ในเมือง โดยไม่เข้าใจ แม้ไปอยู่ในเมืองก็หลับตา เข้าไปอยู่ในกระท่อม
เข้าไปอยู่ในฝี ฝีก็ดี หม้อก็ดี เหล่านี้ล้วนชื่อว่า กาย
มันจะเข้าใจง่ายๆได้ที่ไหน พระเถระท่านขยายความเอาไว้
[30] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า นรชนเป็นผู้ข้องอยู่ในถ้ำ(สตฺโต คุหายํ)
เป็นผู้อันกิเลสมากปิดบังไว้แล้ว(พหุนาภิฉนฺโน) นรชนเมื่อตั้งอยู่
ก็หยั่งลงในที่หลง((ติฏฺฐํ นโร โมหนสฺมํ ปคาโฬฺห) นรชนเช่นนั้น
ย่อมอยู่ไกลจากวิเวก(ทูเรวิเวกา) ก็เพราะกามทั้งหลายในโลก
ไม่เป็นของอันนรชนละได้โดยง่าย.
เขาจะไม่มีวันรู้กาม
เพราะเขาเอาตาหูจมูกลิ้นกายคือกามคุณ 5
หนีออกมาแล้วไม่สัมผัสของจริงเขาจะได้ปฏิบัติอะไรได้ กาม 5 ไม่มี ก็เขาหลับตาหรือเอาตาหนีจากรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสทั้ง
5 มันไม่มีแล้วตั้งแต่ปฏิบัติเบื้องต้น เป็นคนหนีเป็นคนหลบ เป็นคนหลงผิด
การหลับตาปฏิบัติธรรมของศาสนาพุทธจึงเป็นโมฆะบุรุษ
พูดมา 51 ย่างเข้า 52 ปีแล้ว จะว่าหูแตกก็ไม่แตก แต่ว่าหูหนวกก็ไม่ได้หูหนวก
แต่ไปปิดหูตัวเอง ปิดหูก็ไม่ได้ปิดหูหรอก ไม่ได้เอาสำลีอุดหู
เข้าไปในหูไม่ได้เอาแท่งทองคำปิดหู แต่ไม่ยอมรับ ไม่ใช่ไม่เข้าใจ แต่ไม่ยอมรับเลย
ตั้งแต่เบื้องต้นไม่รับเลย ไปหลงยึดมั่นถือมั่นเที่ยงอยู่ในการปฏิบัติธรรมว่า
ต้องหลับตา ต้องปิดตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วไปดูแค่ในใจ
เขาบอกว่านั่งหลับตา
นั่งแล้วอย่าให้จิตออกนอกตัว เขาสอนกันอย่างนี้ ให้อยู่ที่ใจอย่างเดียว
ให้ใจอยากกวัดแกว่ง ให้จมอยู่กับใจอย่าออก
นั่นแหละคือผลสำเร็จทำให้มันเที่ยงแท้คงทนกดมันทำมันฝึกมันให้เป็นอย่างนั้น
แล้วเขาก็ทำกันอยู่อย่างนั้นอย่างยิ่งฝึกเข้ามันก็ชำนาญได้บ้างชำนาญได้เก่งได้ไวได้เร็ว
เหมือนกัน
เสร็จแล้วก็นึกว่าไอ้นั่นแหละคือผลสำเร็จ
ทำได้แต่จับจิตให้เป็นก้อนจับก้อนให้เป็นจิตทำจิตให้มันหยุด
ไม่ได้เรียนรู้กิเลสที่มันปรุงแต่งกันอยู่เป็นสังขาร
แล้วล้างกิเลส กำจัดกิเลสออกไม่ให้เกิดในจิตอีก ตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียดจนหมดเศษธุลีละอองก็ไม่เกิดอีก
อย่างนั้นอย่างเห็นๆรู้ๆและมีของจริงกระทบสัมผัสเลย
กระทบกระแทกกระเทือนกระทุ้งทุกอย่าง ทั้งล่อหลอก ทั้งมอมเมาอะไรทุกอย่าง
เราก็รู้ทัน มีปัญญารู้ทันหมดเลย พลังของปัญญาแรงมาก สูงมาก วิเศษมาก
เป็นอุตตริมนุสสธรรม สามารถรู้ทันทุกอย่างที่โลกมันหลอกในทุกเหลี่ยม
ไม่ว่าจะเหลี่ยมไหน(เหลี่ยมๆๆๆๆ) รู้ทันหมด
เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่
เข้าใจภาษารูปธรรม เข้าใจภาษานามธรรม เอามาปฏิบัติ ล้างอาการของจิตทั้งหมด
ที่มันข้องอยู่ ที่มันติดอยู่ หรือมันตั้งอยู่หรือมันกำหนัดอยู่
มันจะกำหนัดหรือมันจะยินดีด้วยประการใดๆ
มันจะเพลิดเพลิน พอใจ มันอยากปรารถนา เข้าไปยึดถือ
เข้าไปตั้งมั่นหรือเข้าไปนอนตามแห่งจิต ตัวนี้อาตมาเห็นใจคนแปลภาษาบาลี
อฐิฏฐานา
อภินิเวสานุสยา
ท่านก็แปลว่าความนอนตามแห่งจิต ฟังเป็นภาษาไทยแล้วก็ไม่รู้เรื่อง
ซึ่งมันตรงกันข้ามของพระพุทธเจ้ายิ่งกระทบกระแทก
ไม่มีนอนมีแต่ตื่นเต็ม รู้โลกวิทู รู้โลกทุกอย่าง
มันมีแรงมีเบามันมาอย่างทุกทิศทุกทางทุกเล่ห์เหลี่ยม อย่างรู้ทันหมดเลย กิเลสเกิดไม่ได้
อย่างเร็วอย่างไวยังไม่ต้องกระพริบตา เร็วยิ่งกว่ายอดจอมยุทธ ยิ่งกว่านักมายากลพลิกฝ่ามือ
นี่เร็วยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือ เร็วไวยิ่งกว่าปรมาณู ไม่มีใครเห็นไม่มีใครรู้ทัน เป็น
มุทุภูตธาตุ
พระพุทธเจ้าแจกวิภัชไว้ซึ่งทำจิตให้เก่งเป็นฌาน
4 บรรลุสูงสุดเป็นอุเบกขา ซึ่งแจกอาการของอุเบกขาออกเป็น 5 ปริสุทธา ปริโยทาตา
มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา นี่แหละคือโลกใหม่ที่เป็นฐานนิพพาน โลกหน้าโลกโลกุตระโลกใหม่
ซึ่งผู้เข้าถึงอาการจิตทำจิตให้เป็นจิตบริสุทธิ์ ปริสุทธา บริสุทธิ์จากอะไร บริสุทธิ์จากกิเลส กิเลส หยาบ
กลาง ละเอียด ไม่มีเลย
อยู่กับโลกก็ยิ่งรู้โลกโลกวิทูจิตก็ยิ่งก้าวหน้ามีความบริสุทธิ์มากขึ้น
ปริโยทาตา แล้วยิ่งมีเวลายิ่งอยู่กับโลก ยิ่งกระทบกับโลกทุกอย่าง
จิตก็ยิ่งเจริญขึ้นๆๆปริโยทาตา
ยิ่งบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นๆๆยิ่งเก่งในการทำจิตให้บริสุทธิ์มากยิ่งขึ้น
ยิ่งสามารถยิ่งมีความพิเศษในการทำจิตของตัวเองให้สะอาด มีประสิทธิภาพสูงสุดขึ้น
มีทั้งจิตสะอาด มีทั้งจิตปัญญาคือ มุทุ เร็วทั้งปัญญาทั้งศรัทธา เร็วทั้งจิตเจโตและปัญญา
สองสภาพ เร็วทั้งคู่ ทั้งลักษณะทำให้จิตหยุด ทำใหัจิตรู้แจ้ง เป็นอันเดียวกันเลย 2
ใน 1, 1 ใน 2
จิตที่เก่งอย่างนี้จึงสามารถอยู่ในโลก
สามารถควบคุมกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรมใดๆ การกระทำทางกายวาจาใจ เก่งทุกอย่าง
แล้วก็ประมาณอย่างมีสัปปุริสธรรม 7 มีมหาปเทส 4 สามารถจัดสรรปรับมัตตัญญุตา
ปรับจิตของตัวเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมในขณะที่ตัวเองทำกรรมกิริยาทุกอย่างได้ลงตัวพอเหมาะพอดี
ความพอดี เช่นยกตัวอย่าง
อาตมาทำ
ชาวอโศก อาตมาพาพวกเราชาวอโศกทำเป็นโลกุตรธรรม
ให้เกิดพอดีคือให้เกิดความเก่งของโลกุตตรจิต ให้เก่งทางโลกุตรธรรม
แสดงออกทางกายวาจาใจ ให้เก่งกล้าอย่างแรงกล้า ติพพัง เก่งกล้าอย่างแรงกล้า
เพื่อที่จะมีอำนาจมีฤทธิ์แรงเข้าไปต้านทานเข้าไปคานกับอวิชชา โมหะ
ที่เขาผิดกันมากเหลือเกิน
ยิ่งกว่า
มดไปสู้กับช้าง ยิ่งกว่า เพราะฉะนั้นเราจะต้องทำพลังงานทางปัญญา
พลังงานทางความจริง เราจะชนะด้วยความจริงหรือความรู้ จะชนะได้ ไปชนะด้วยเรี่ยวแรง
ด้วยกำลังด้วยมวลด้วยปริมาณไม่มีทางชนะ เพราะฉะนั้นเราไม่สู้ด้วยทางนั้น
เพราะฉะนั้นเราไปสู้
คนไทยเป็นคนพุทธ เราสามารถปฏิวัติรัฐบาลทรราชได้ ด้วยพลังประชาชน
ไปชุมนุมแสดงความจริงประท้วงว่า รัฐบาลท่านผิด รัฐบาลท่านทุจริต
รัฐบาลท่านเลวร้ายให้ออกไป ไม่ได้ไปเอาอาวุธ เรี่ยวแรงอย่างโลกๆ แต่เอาความจริงกับความรู้ไปเปิดเผยยืนยันว่า
ผิดอย่างนี้ โกงกินอย่างนี้ ทำผิดพลาด ทำใม่ถูกต้อง ผิดกฎหมายผิดสัจจะก็ผิด
ประเทศเสียหายอย่างไร ยืนยันความจริงทุกอย่าง ประชาชนก็เห็นหมด
เข้าใจว่ามีหลักฐานความจริง เขาก็ต้องออกไป เข้าไม่ได้
กฎหมายให้เข้ามาก็ถูกจับว่าความก่อน เขาก็ไม่กล้าเข้ามา ตัวเองเขาไม่เปลี่ยนแปลง
ตัวเองทำอะไรไม่ได้ ไม่ยอมถูกจับก่อน ก็หนีตลอด เดี๋ยวนี้ก็ยังหนีอยู่
หนีเป็นการค้างหนี้ไปชาติหน้าชาติโน้น ไม่รู้กี่ชาติ ทักษิณ ยิ่งลักษณ์
ไม่ใช้หนี้ไม่ใช้คืน ไม่ทำคืน ไม่ใช้หนี้ ไม่แก้กลับ ไม่ยอมรับก็ไม่แก้กลับ
ก็จะต้องยั่งยืนถาวรกับความผิดความชั่วโดยที่ไม่เข้าใจว่า
ตัวจิตที่เป็นอวิชชา ตัวจิตที่เป็นความเลวร้าย เขาจะไม่รู้หรอก
เขาจะยึดถือจิตแบบนี้ไปอีกไปเท่าไหร่ไม่รู้เท่าไหร่ แพ้แล้วก็แพ้
ยังไม่เห็นว่าตัวเองแท้ๆอีก ยังไม่ยอมถอย ไม่ยอมหยุด ไม่ยอมรับสารภาพ หากยอมรับสารภาพว่าเราแพ้จริงๆ
แต่เขาบอกว่าเขาแพ้ไม่เป็น แล้วเขายึดมั่นถือมั่นอย่างนั้นจริง
เพราะอะไร
เพราะเขาโกงเอาไว้ได้มาก แล้วทรัพย์สินที่เขาโกงไว้มาก มันทำให้เขาไม่กลัว
อย่างไรก็ไม่อดตาย เพราะทุกวันนี้ใช้แต่ดอกแค่นั้นก็เหลือแหล่
เพราะโกงไปเป็นล้านๆเลย ก็เลยมันกลบให้เขาเชื่อมั่น นี่มันเป็นบัญชีของเขาหมดแล้ว
ประเทศไทยก็ไม่สามารถไปยึดคืนมาได้ เขาก็เอาไปแตกเป็นอะไรต่ออะไรไป
เพราะว่าเป็นคนที่เรียนทางอาชญวิทยามา ก็ทำได้สนิทแนบเนียน
ทำได้จนไม่สามารถที่จะมาเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เขาก็เชื่อมั่นว่านี่เป็นของเขา
ตัวกูของกู จนตายก็มั่นใจ ทรัพย์ศฤงคารพวกนี้ก็ยังจะตกเป็นของลูกหลาน
เป็นเรื่องที่กลบเกลื่อนให้เขาโง่ต่อว่าไม่มีหรอก
อะไรเป็นตัวกูของกูมันไม่มี มันไม่ใช่ของเขาหรอก
ไอ้ที่ไม่ใช่ของเขาก็ไม่ใช่สุจริตด้วย เป็นทุจริตโกงมาแท้ๆเลย ตัวเองก็รู้
ใครๆก็รู้ แต่เพราะอำนาจเงินของโลก เขาใช้อำนาจเงินของโลก ออกไปทางต่างชาติ
คนทั้งโลกกลัวอำนาจเงินทั้งนั้น เขาอยู่ได้ด้วยอำนาจเงิน
โดยคนโง่ทั้งหลายของโลกทั้งหลายที่ต้องตกเป็นทาสเงิน ซื้อมอนเตเนโกร
ให้เปลี่ยนสัญชาติ ตอนนี้เขาชื่อโทนาฟ เขาสะแลงจากชื่อโทนี่ แต่เป็นโทนาฟ
เป็นยาแก้น้ำกัดเท้าแสบๆ เขาเปลี่ยนสัญชาติไป แต่ก็ใช้เงินที่โกงไปจากไทย
เอาไปแปลงเป็นเงินต่างชาติเสีย ไปฝากไปในแบงค์อื่น
ถอนมาเป็นเงินอื่นใช้โดยอัตโนมัติของโลกเขา ก็สบายไป สบายแบบนี้มันยอดมหาอบาย
ยอดนรกหมกไหม้ อาตมาพูดสัจธรรมไม่ได้ถล่มทลายเขา
แต่อาศัยสิ่งที่จริงเขาทำเป็นตัวอย่าง เพื่ออธิบายธรรมะได้ชัดเจน ก็ขออาศัยอันนี้
เพราะฉะนั้นในสัจธรรม
ธรรมะพระพุทธเจ้านี้จึงเป็นเรื่องลึกซึ้ง เมืองไทยเป็นเมืองพุทธ ที่ยังมีเชื้อ
เชื้อลึกมากอยู่ในอนุสัยตกค้างอยู่ จนกระทั่งไม่มีใครดึงออกมาได้ ดึงไม่ขึ้นแล้ว
อาตมาก็มาขุดมาพยายามกระตุกให้ขึ้นมา กระเตื้องขึ้นมาบ้าง
คนที่ตื้นก็สามารถรับได้เร็วอย่างพวกคุณ ตื้น พวกที่ลึกอยู่ทุกวันนี้ยังไม่โงหัว
อย่างพวกเถรสมาคม แต่เขาก็ค่อยๆรู้กันได้เรื่อยๆ คนที่ไม่เปิดจิตเลยไม่มี
ปรโตโฆษะเลย เขาก็ยังมืดแสนมืดอยู่อย่างนั้น จะยังไม่เห็นแสงสว่าง
อะไรก็ไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจ ที่อาตมาทำ อาตมาแสดงธรรมะ
เขาจะไม่รู้จักค่าสาระที่อาตมาแสดงโลกุตรธรรมว่าเป็นธรรมะพระพุทธเจ้า
เป็นเรื่องโลกใหม่ที่คนทั้งโลกเทวนิยมไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้
เทวนิยมอีกมาก 7 พันล้านทั่วโลก ที่จะมีมาเข้าใจโลกุตระ ใน 70
ล้านคนไทยที่เป็นพุทธ แม้จะมีชาติอื่นๆ ชาติอื่นๆๆไม่มีใครสาธยายโลกุตระธรรมหรอก
ขณะนี้มีในเมืองไทย มีพวกเราที่สาธยายโลกุตรธรรม
ปฏิบัติโลกุตรธรรมและก็อาศัยโลกุตรธรรม ในชีวิตอยู่ทุกวันนี้ มีพวกเราเท่านั้น
ได้รับของจริง ได้รับของดี ได้รับเสวย อาศัย โลกุตระ นอกนั้นยัง
ตรวจดูโลกนี้ โลกหน้าในตน
ทีนี้
ไทยมีเชื้ออันนี้ อาตมาตอนแรกก็ยังไม่รู้เหมือนกันว่า
เราเกิดมาไม่รู้ว่าเราเป็นใครไม่รู้ว่าเราต้องทำอะไร แต่เดี๋ยวนี้รู้หมด
อาตมาเป็นใครต้องมาทำอะไรอันนั้นคืออะไร อันนั้นคือโลกุตรธรรม
เพราะฉะนั้นถ้าคนเราสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงโลกุตรธรรม แล้วสามารถปฏิบัติให้จิตเป็นโลกุตตรจิตได้
ตั้งแต่โสดาบันขึ้นมา เข้ากระแสโลกุตระ จนเป็นสกิทาคามีอนาคามีอรหันต์ในพวกเรา
ยังไม่เข้าใจอรหันต์ได้ง่ายๆ ยังไม่สรุปลง สรุปลงก็เป็นอรหันต์ได้แต่ละคน
ตรวจดู 1 ตรวจดู กาม นี่ง่ายที่สุด
อบายมุขในพวกเราไม่ต้องพูดถึงเลย ไม่มีแน่นอน กามกระทบตาหูจมูกลิ้นกาย 5 ทวาร
มันยังมีอาการอยู่ในใจ อย่างข้างนอก กามเขายั่วยวนอย่างไร
เราไม่รับแล้วก็อย่าไปชัง ถ้ายังชังก็ยังผิด
มันต้องมีเป็นธรรมดาธรรมชาติเราไปห้ามเขาไม่ได้ในรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสที่มันจะจัดจ้านของมัน
ทุเรียนก็ต้องจัดจ้านในตัวทุเรียน มะนาวโห่ก็จัดจ้านอย่างมะนาวโห่
มะม่วงก็จัดจ้านอย่างมะม่วง มันก็เป็นไป ใครชอบจัด
บางคนบอกทุเรียนกับมะม่วงไม่เอาหรอกทุเรียนเอามะม่วง
เขาชอบมะม่วงไม่เอาทุเรียนเพราะมันเหม็น เขาก็ไปติดมะม่วง
คุณเอามะม่วงกับทุเรียนไปให้คุณจำลอง
คุณจำลองกินแต่มะม่วง คุณจำลองไม่กินทุเรียน คุณจำลองเป็นคนตั้งจิตอย่างไรก็ตั้งจิตอย่างนั้น
ไม่กินทุเรียนจนตายก็ไม่กิน เอาไปเอามากินข้าวกับมะม่วง
กินข้าวกับอะไรอย่างอื่นไม่ค่อยได้
สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องจริงเป็นเรื่องยืนยันสัจจะที่จริง จิตจริง
อย่างคุณจำลองทำจิตจริง ก็ได้จริง ก็ไม่ได้ไปรบกวนใคร ไม่ได้เบียดเบียนใคร
ทำตัวเองให้รอด ให้เป็นจิตที่สบาย ยิ่งลดยิ่งน้อย ยิ่งไม่มีอะไรก็ยิ่งสบาย ยิ่งเบา
ยิ่งว่าง มันไม่มีปัญหาอะไร
ซึ่งเป็นเรื่องของคุณวิเศษของคุณจำลองที่เขาทำของเขาได้
แต่คนไม่เข้าใจแม้แต่ตัวเอง
คุณจำลองเป็นสายศรัทธาธิกะ
ไม่เข้าใจเรื่องโลกุตรธรรมเหล่านี้ง่ายๆ แต่ในตัวเองมีโลกุตรธรรมแล้ว
ไม่ใช่ธรรมดานะเป็นโพธิสัตว์ระดับนึง แต่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว มันไม่ใช่ง่ายๆ
คนที่รู้ตัวว่าผิดๆนึกว่าตัวเองเป็นโพธิสัตว์ นึกว่าตัวเองเป็นพระพุทธเจ้า
เป็นพระศรีอาริย์ มันก็เป็นได้ไม่มีปัญหาอะไร คนที่เข้าใจแล้วก็เห็นเป็นตลก พระศรีอาริย์
คนที่ไม่มีปัญหา คนที่เป็นจริงได้ก็เป็นจริงไป
อาตมาพูดไปก็จะมากความ
ไปยกย่องคนกันเอง เขาก็บอกว่ายกย่องพวกกันเอง ก็ถ้าหากไม่ยกย่องคนที่ดีจริง
ก็เพราะว่าพวกนี้ดีจริง
จะไปยกย่องพวกผู้อื่นที่เพี้ยนได้อย่างไรไปแกล้งยกย่องคนอื่นก็เท่ากับไปหลอกเขา
แล้วก็บอกให้รู้ว่าไปยกย่องคนไม่ได้เพราะคุณยังไม่จริงคุณยังไม่ถูกต้องยังไม่ดีจริงไปยกย่องมันก็ผิดสิ
จะพากันโง่ไปถึงไหน อาตมาไม่เอาหรอก อาตมาไม่โง่จะไปหลอกให้คุณโง่ต่อไปอีก ไม่เอา
บอกให้คุณรู้ตัวว่าคุณผิดคุณโง่ มาฉลาดสักทีสิ อย่างนั้นมันโง่ นี่พูดตรงๆนะ
พูดซื่อๆ พูดด้วยความจริงใจ ไม่ได้ไปข่มเบ่ง ไม่ได้ไปดูถูกดูแคลน
แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริง คุณไม่ได้รู้จักโลกุตระ คุณไม่ได้ไปเข้าสู่โลกุตระได้
มาเรียนใหม่สิ ยิ่งคุณเห็นค้านแย้งกับอาตมา มันยิ่งผิดไปใหญ่ ยิ่งน่าสงสาร
อาตมาก็เห็นว่าเป็นคนน่าสงสาร เพราะจมอยู่ในสงสารไม่โงไม่เงยวนเวียนอยู่ในโลกีย์สังสารวัฏ
อยู่อย่างนั้นไปในโลกกีย์
ก็เห็นอยู่ว่าคุณน่าสงสารเพราะคุณเอาหน้าตาเอาตัวตนอยู่ในสงสารอยู่ในสังสารวัฏ
ไม่หยุดไม่หลุดออกจากสังสารวัฏ เห็นทั้งหน้าตาทั้งเนื้อตัวจมอยู่ในสงสาร
ก็นึกว่าน่าสงสาร
คนน่าสงสาร
ไอ้น่าสงสาร
แล้วก็เลยบอกว่า
หน้าของตัวเองจมอยู่ในสังสารวัฏยังไม่รู้เลย ก็เลยเห็นแต่หน้าสงสารอยู่อย่างนั้น
นี่ไม่รู้จะแยกอย่างไรแล้วพยัญชนะของไทยมีคำว่า น่า กับ หน้า สองหน้านี้
หน้าเดียวกัน อันหนึ่งเป็นคำนาม อันหนึ่งเป็นคำกิริยา เป็นวิเศษก็ได้
เป็นการแสดงถึงว่ามันน่าสงสาร เพราะเขามีเสนอหน้าอยู่ในสงสาร
คุณทำไมไม่พ้นสงสารสักทีไม่หลุดออกจากสงสาร หน้าคุณก็จมตัวคุณก็จม คุณโผล่แต่หน้า
ตัวยิ่งจมอยู่ในสงสาร เห็นแต่หน้า น่าสงสาร อ้อ ตัวจมในสงสารเหลือแต่หน้าโผล่
หน้าสงสาร คุณเอาทั้งตัวจมในสงสาร คุณน่าสงสาร
อาตมาเอาสภาวะมาอธิบาย
ขยายพยัญชนะต่างๆ ฟังแล้วก็ เออ! มันดูดีเหมือนกันนะ เหมือนมีตัวมีตัวตนจริงๆเลยนะ
แต่แท้จริงเป็นนามธรรม ที่เห็นนามธรรมซ้อนในรูปธรรม
มันลึกซึ้งอย่างนี้แล้วคุณก็ไม่รู้ตัว พยัญชนะบอกว่าคุณน่าสงสาร
ทำยังไงจะช่วยให้คุณพ้นจากสงสาร เห็นแต่หน้าของคุณตัวจมอยู่ แต่ถ้าจมโดยไม่เห็นหน้าเลย
ไม่รู้จะช่วยอย่างไร เพราะมันมืดอยู่ในสงสาร
เราก็ไม่สามารถเห็นได้ว่าใครจมกี่คนไม่โผล่หน้ามาให้เห็นเลย
อันนี้ยิ่งช่วยไม่ได้ใหญ่เลย คนที่พอเห็นหน้านี่คือน่าสงสาร หรือยังหันหน้าหนีอีก
จะช่วยได้อย่างไรให้รู้สึกตัว
เอาหอกร้อยเล่มแทงเช้า
กลางวัน เย็น ก็ไม่มีทางจะรู้ตัวได้เลย
บทสรุปโลกนี้โลกหน้า
มันมี 2
อย่าง โลกนี้กับโลกหน้าเป็นเทวะคู่สำคัญ โลกโลกียะกับโลกโลกุตระ
นี่คือโลกสองโลกยิ่งใหญ่ที่สุด
ที่ตรัสรู้โดยพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะเกิดมาในโลกยุคไหนก็ตาม
ถ้ามีพระพุทธเจ้าก็จะตรัสรู้เรื่องนี้แล้วก็ประกาศเรื่องนี้ ไม่ประกาศเรื่องอื่น
เพราะฉะนั้นผู้ที่เป็นผู้สืบทอด
สยังอภิญญา
เป็นผู้จะสืบทอดศาสนาโลกุตระของพระพุทธเจ้าเกิดมาจึงประกาศยืนยันโลกนี้กับโลกหน้า
เท่านั้นด้วย ประกาศโลกนี้โลกหน้าอีกย้ำยืนยัน
ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าจะมาประกาศโลกนี้โลกหน้าให้รู้แจ้ง
เย
อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา
สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ อาตมาเป็นไก่ตัวพี่เกิดมาในยุคนี้
มีพระพุทธเจ้าประกาศว่าตัวเองเป็นไก่ตัวพี่ 2
อาตมาประกาศตัวเองเป็นไก่ตัวพี่ในยุคนี้
เพราะแน่ใจว่าไม่มีใครเป็นไก่ตัวพี่เกินหน้าอาตมาในยุคนี้ พูดเลยไม่ได้หลงตัวเองแต่พูดความจริง (พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม...ในเรื่องของคำว่าโลกนี้โลกหน้า
มันเป็นโลกที่อาศัยซึ่งกันและกัน ถ้าเราจะถามว่าโลกนี้กับโลกหน้า
โลกอันไหน?..จะเป็นปัจจัยทำให้เราเจริญในธรรมมากกว่ากัน..
พ่อครูว่า…โลกหน้า
คนจมอยู่ในโลกนี้...ดักดานก็คือคนที่ไม่รู้จักกระแสของโลกหน้าแม้สักนิดเดียวเลย
แม้ใครจะสาดแสงของโลกุตระไปเท่าไหร่ อาตมาพยายามเปล่งแสงสาดแสงให้แรงกล้ามากเลย
แต่มันก็ยังไปกระทบยิ่งกว่าหนังแรด
กระทบกับสิ่งที่มันหนาแน่นอย่างไรเขาก็ไม่รู้สึกตัวน่าสงสาร
จนกว่าเจ้าตัวจะเปิดจิต
พยายามศึกษา อย่างน้อย ว่า โพธิรักษ์มีอะไรดีน้อ ถ้ามีความปรารภแค่นี้
เงี่ยหูโสตสดับ เงี่ยหูฟังสดับหน่อย ทีละน้อยๆ เปิดจิตจริงๆ
อย่าไปฟังอย่างอาบน้ำกลัวเปียกหรือว่าอย่างชาล้นถ้วยมันเทไม่เข้าหรอก
ต้องเทชาออกจากถ้วยให้หมดแล้วรับ ถ้ายังยึดของเก่า
ยึดชาในถ้วยตัวเองต็มๆก็รับอะไรไม่ได้ ต้องเทชาออก เทออกนิดหน่อยก็ยังดี
รับได้โต้งๆ
ทำไมไม่เทออกให้หมดก็รับได้อย่างเต็มที่เลย ไม่กระฉอกออกเลย
ถ้ายังเหลือชาในถ้วยก็กระฉอกออกไม่ได้เต็มที่
อาตมามีหน้าที่
สยังอภิญญา ประกาศโดยไม่ได้หลงผิดไม่ได้สงสัยไม่ได้มาอวดโอ่ อาตมาเป็น สยังอภิญญา
ยืนยันยังไม่ได้พูดเล่นแต่พูดจริงๆ มีมาแต่ปางก่อน
สยังแต่ว่ามีของตัวเองมาแต่ปางก่อน แล้วมาทำให้คนอื่นรู้ตัว
สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ
มาประกาศสาธยายแล้วนำพาประพฤติปฏิบัติด้วยจนเกิดผลจริง
สู่แดนธรรม...ตอนพ่อครูรู้ว่าตนเป็น สยังอภิญญา
ห่างจากที่ตัวเองรู้แจ้งนานแค่ไหนครับ
พ่อครูว่า…อาตมาไม่รู้จักพยัญชนะตัวนี้
ยังไม่เคยพบพระไตรปิฏกตัวนี้ สูตรนี้ อันนี้มาก่อน ก็เลยไม่รู้ว่าพยัญชนะมีไว้
แต่รู้ตัวเองมาก่อนแล้ว ว่าเราเป็นผู้ที่จะมาสืบทอดธรรมะโลกุตรธรรมของยุคนี้
รู้ก่อนแล้ว โดยใช้ศัพท์คำว่า โพธิสัตว์ เป็นอจินไตย
อาตมาใช้นามแฝงนามปากกาตั้งแต่เป็นฆราวาส แสดงออกขยายธรรมะ โดยการเขียนโดยการพูด
ใช้เป็นนามปากกาเขียนหนังสือ ใช้ คำว่า โพธิรักษ์ เป็นผู้รักษาคำสอนของพระพุทธเจ้า
ใช้เขียนมาตั้งแต่ เขียนแล้วตลกที่สุด อาตมาเขียนหนังสือธรรมะในหนังสือที่เป็นหนังสือบันเทิง
ในโลกบันเทิงเริงรมย์ โลกมายา ท่ามกลางโลกมายาเลย
เปิดคอลัมน์ธรรมะในหนังสือดาราภาพ เปิดคอลัมน์ลำธารชีวิต ในหนังสือของไทยโทรทัศน์
โดย โพธิรักษ์ ตอนนั้นยังไม่ได้เป็นพระ ใช้คำว่าโพธิรักษ์ มาตั้งแต่ทำงานศาสนา
รู้จักธรรมะก็เผยแพร่ประกาศ อธิบาย ธรรมะของพระพุทธเจ้าไป
มีผู้อยากจะให้อธิบายย้อนอ่านอันนี้
ซึ่งก็เป็นบทกวี
อสุรกายคือใจที่ไม่กล้า
(๑) อสุรคือจิตแท้ ของคน
ใจไม่กล้าของตน นั่นแท้
ใจตนต่ำลงจน เลวชั่ว ใช่เลย
คือจิตคนผู้แพ้ บ่กล้าทำดี
(๒) แม้มีโอกาสให้ ตนทำ
แต่เพราะกิเลสจำ พ่ายแพ้
อ่อนแอจึ่งไม่สำ- เร็จกิจ นั้นนา
ลาภยศสรรเสริญแล้ ฤทธิ์ร้ายทำลายคน
(๓)
ปุถุชนทั้งหมดล้วน คืออสูร
เล็กใหญ่ตามกายกูล แต่ละผู้
นามและรูปคือมูล ประชุมเกิด กายแฮ
อสุรกายนั้นรู้- จักได้ในตน
(๔)
ทุกคนเรียนอ่านได้ จริงตาม จิตเฮย
องค์ประชุมรูปนาม เพ่งรู้
เห็นกายเกิดพ่ายกาม นั่นแหละ อสูรแล
จิตอ่อนแอไป่สู้ บ่กล้าทำดี
(๕) ทุกคนมีจิตนี้ ในตน
พึงฉลาดทำใจจน แกร่งกล้า
เอาชนะจิตตนชน อุปสรรค
โอกาสดีอย่าช้า จักพ้นจิตอบาย
(๖) อสุรกายจิตแท้ ตนทำ
จิตถูกกิเลสกำ- หนดไว้
จิตจึงอ่อนแอสำ- เร็จเสร็จ มารเลย
ต้องกำจัดกิเลสได้ จึ่งพ้นจิตอบาย
(๗) อสุรกายดับสิ้น จากจิต
บริสุทธิ์ให้สนิท จึ่งแท้
เผด็จศึกประเสริฐฤทธิ์ กันเถิด
จะชนะทุกสิ่งแล้ อย่าแพ้ภัยตัว.
สไมย์
จำปาแพง
๕
พ.ค. ๒๕๕๘
[นัยปก เราคิดอะไร ฉบับ ๒๙๙
ประจำเดือน มิถุนายน ๒๕๕๘]
ตั้งอยู่ หยั่งลงในที่หลงของ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
พ่อครูว่า...พระเถระอยู่ในเถรสมาคมบางคนก็รู้สึกว่าไม่จมอยู่ใน
ลาภ ยศ แต่ไม่รู้ตัวว่าตนติดในสรรเสริญ จริงไม่ติดในสุขหยาบ
แต่สุขที่เนียนกับความสงบ
เขาสรรเสริญยกย่องเชิดชูเป็นเลิศเป็นยอดเป็นปราชญ์เป็นผู้รู้อันดับ 1 ของประเทศ
ชื่นชม คนประเคนรางวัลยกย่องขึ้นอย่างโน้นอย่างนี้ขึ้นบอร์ด
แม้ต่างประเทศก็ให้รางวัล มันเนียนในมาก สุขสงบมาก เพราะว่าเข้าใจอยู่ว่าอาการของจิต
ดีดดิ้นมาก ไม่ถูกก็ทำไป แต่เนียน ไปยึดมั่นถือมั่นในสุข
ไม่เคยกล้าปล่อยวางไม่เคยกล้าเลิกเรื่องนี้เลย
โดยเฉพาะ
ท่านเป็นปราชญ์ เป็นผู้รู้ที่รู้มากจริงๆ แต่ก็ยังไม่จบการรู้มาก นี่คือความไม่จบ
ที่จริงท่านรู้มากแล้วมากเกิน เกินจนกระทั่งต้องเลิกเหมือนผู้ไม่รู้เสีย
แล้วมาปฏิบัติตนเองให้เป็นอย่างที่ท่านรู้ คือมาเป็นพวกที่ติดดิน
เป็นพวกที่ไม่อยู่บนหอคอยงาช้าง ไม่เป็นผู้ที่อยู่ในตำแหน่งยศศักดิ์ต่างๆนานา
แล้วก็เปิดจิตคบค้ากับผู้ที่จิตลึกๆของตัวเองเข้าใจว่าตนเองอยู่ในฐานะสูง
ฐานะที่เขาเคารพยกย่องเชิดชูและก็ไปดูถูกผิด ไปดูถูกคนที่ถูกว่าผิด
ก็เลยเข้าหาคนผิดไม่ได้ที่ตัวเองนึกว่าผิด ที่แท้เขาถูก
นี่แหละๆ
จมไม่ลง ไม่คบหาสมาคม ไม่เข้าไปใกล้ เพราะตัวเองได้ประกาศ
ตัวเองได้บอกว่าสิ่งนั้นผิด ถ้าจะไปบอกว่า ที่จริงแล้วข้าพเจ้านี่แหละผิดหลงผิด
ที่จริงนั่นแหละถูก ให้จริงที่สุดก็คือยอมรับว่า ตัวเองไม่ใช่โลกุตระจริง
ทางโน้นเป็นโลกุตระจริง นั่นเป็นอาริยะแท้ ผู้ที่รู้จักความเป็นกาย
ผู้ที่รู้จักความเป็นบุญ ผู้ที่รู้จักความเป็นฌาน ผู้ที่รู้จักความเป็นสมาธิที่แท้
ที่เป็นโลกุตระธรรมของพระพุทธเจ้า เพราะทุกวันนี้ ฌาน ก็มีแต่ฌานโลกีย์
ไม่มีฌานของพระพุทธเจ้า เพราะว่าฌานไม่ได้ประพฤติปฏิบัติจากศีล อปัณณกปฏิปทา 3
แล้วเกิดสัทธรรม 7 แล้วเกิดฌาน ไม่ได้ปฏิบัติจากจรณะ 15 วิชชา 8
เป็นตัวปัญญาช่วยเหลือมาฌานหลับตา ฌาน 1 2 3 4 ไม่มี ปฏิบัติแต่ฌานโลกีย์งมงาย
ฌานฤาษี ฌานสามัญฌานสาธารณะ
แต่ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่เรื่องสาธารณะทั่วไปเป็นเรื่องพิเศษ เขาไม่รู้เขาแยกไม่ออก
ก็บอกไปเถอะ
เพราะฉะนั้นก็จะจมอยู่ในความสุขที่เนียนในสรรเสริญ
จึงอาจจะเห็นว่าองค์นี้ไม่ติดในลาภยศ แต่ก็ซ้อนอยู่ ยศก็ไม่ปล่อย
เพราะเชิดชูกันสรรเสริญเนียนใน ไม่ได้ขาดจากสิ่งเหล่านี้
ลองมาสมบุกสมบันคือไม่มีสรรเสริญแต่ถูกด่าสิจะทนได้ไหม ไม่กล้าถูกด่าหรอก
อาตมานี้พยายามด่า พยายามตำหนิท่าน ภาษาอันเดียวกันด่าหรือตำหนิ
พูดให้สุภาพก็เป็นตำหนิพูดให้อยากก็คือด่า ตำหนิบอกสิ่งที่ท่านยึดถือผิดหลงผิด
ความรู้ของคนโลกหน้าจะต้องรู้จัก
กาย ถ้าตีไม่แตกเรื่องกาย ฟังให้ดีตรงนี้แล้วจะชัดเจน
ถ้าตีไม่แตกเรื่องกายแยกแยะเรื่องกายให้ชัดเจนเลยว่า พระอรหันต์เป็นคนที่ไม่มีกาย
เป็นคนที่
จิต เป็นพืช จิตเป็นอุตุ จิตเป็นดินน้ำไฟลม จิตไม่ได้เป็นธาตุที่ไปยึดติด
อย่างที่หลงผิด ของผู้ที่ยังอวิชชา และก็เพราะมีจิตที่มีพลังงานธาตุรู้ขั้นเต็มรูป
เรียกว่า จิตนิยาม แต่สามารถเรียนรู้ความเป็นจิตนิยาม แยกย่อยเป็นเจตสิกต่างๆ
จนกระทั่งเป็นพีชเจตสิกได้ ทำเป็นอุตุได้ ไม่ใช่เจตสิกแล้ว จริงๆ
แม้ที่เรียกพีชะเป็นจิตนี่ก็เรียกลำลอง ทำจิตให้ไม่มีเวทนา พีชะไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ
พีชะไม่มีเวทนามีแต่สังขาร
อันนี้ไม่มีในพระไตรปิฎก
อาตมาประกาศ คุณยังเข้าใจอาการของจิตขั้นเวทนาคือขนาดไหน สัญญาคืออาการขนาดไหน
ของสังขารขนาดไหน ของวิญญาณขนาดไหน คุณยังแยกไม่ออกในอาการลิงค จับนิมิต
ของเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณอย่างไร แล้วก็รู้ลิงค ความแตกต่างของ
เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ แยกไม่ออกคุณไม่มีสิทธิ์จะบรรลุอรหันต์
คุณต้องรู้ความต่าง ลิงค ของอาการต่างๆในจิต
เวทนาที่เป็นสุขกับเวทนาที่เป็นเวทนาที่จริงแล้วเป็นทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น
ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป เวทนาสุขกับเวทนาทุกข์มันอันเดียวกัน
ถ้าจะดับต้องดับหมดเลยไม่มีเวทนาจึงจะเป็น พีชนิยาม
เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นจิตนิยามสามารถทำให้จิตเป็นพืชะได้ ไม่มีทั้งสุข ไม่มีทั้งทุกข์ เป็นอุเบกขา
เป็นจิตกลางๆ
อุเบกขาเป็นพยัญชนะแทนสิ่งที่ไม่มี
2 ไม่มีคู่ ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ นี่แหละเป็นตัวสำคัญ โสมนัส โทมนัส ก็ไม่มี
ในพยัญชนะที่อธิบายเรื่อง ฌานก็ดี สุขทุกข์ที่มีมาก่อนและไม่มีทั้งโสมนัส โทมนัส
อย่างหยาบคู่สุข-ทุกข์ก็ไม่มี อย่างละเอียดโสมนัส-โทมนัสก็ไม่มี เป็นกลางๆ
สู่แดนธรรมว่า...
สรุปจบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น