รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ
วันพุธที่ 2 มิถุนายน 2564
ณ บวรราชธานีอโศก
สมณะฟ้าไทว่า…วันนี้เป็นวันพุธที่
2 มิถุนายน 2564 แรม 7 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก ช่วงนี้อากาศร้อนจัด
เขาบอกว่าฝนจะตกในช่วงงานอโศกรำลึก 4-6 มิถุนายน 2564
ในหนังสือสัจจะชีวิต
ภาคที่ 3 (ชาวอโศกเพื่อมวลมนุษยชาติ)
เขาบันทึกไว้ว่า..งานอโศกรำลึกเกิดจากคนที่คิดว่าพ่อครูทำงานมาถึง 12 ปี
ควรจะมีอะไรเกิดขึ้นเพื่อระลึกถึงบุญคุณของพ่อครูที่ได้ทำงานศาสนามา
แต่พ่อครูไม่มีความประสงค์จะให้ระลึกถึงวันเกิดของตน จึงจัดงานในวันที่ 6-10
มิถุนายน เมื่อเกิดคดีสันติอโศก วันที่ 10 มิถุนายน 2532
จึงมีการเปลี่ยนรูปแบบการแต่งกายของสมณะชาวอโศก
ต่อมาก็มีการจัดงานอโศกรำลึกในวันที่ 5-10 มิถุนายน ของทุกปี
พ่อครูกล่าวถึงความสำคัญของงานอโศกรำลึกว่ามี 17 ประการ
พ่อครูว่า…แต่ละคนที่ส่ง
SMS มา แม้ว่าจะมีการด่ากันบริภาษ ก็เป็นประโยชน์
เมื่อมีการกระทบกับเขาเขาก็ไม่ชอบใจก็บริภาษออกมาก็เป็นธรรมดา
เราก็จะต้องขออภัยเขาบ้างเป็นธรรมดา ในการอยู่ร่วมกัน ก็ยืนยันความจริงเท่านั้น
ขออภัยแล้วก็ต้องขอยืนยันความจริง เป็นธรรมดามันมีความเห็นต่างกันก็ต้องเป็นอย่างนั้น
SMS
วันที่ 21-25 พ.ค. 2564
_Pligdin D พลิกดิน ดี :
ปี 2531คดีพ่อท่านกำลังดังมาก จะมีรูปวาดของสมณะใส่โซ่ตรวนที่มือ
พ่อครูว่า…ใช่ เราไม่ได้ตามหารูปภาพนั้น
แต่มาจากหนังสือพิมพ์ เป็นภาพที่ดูดีเป็นลายเส้นแล้วก็ใช้มาตลอด
ทีนี้โซ่อันนี้แหละ ท่านตถภาโว ปั้นรูปปั้นอาตมาท่ายืนยกมือนี่แหละ เป็นการให้อภัย
ก็เรียกชื่อกันว่า ปางอภัย ทีนี้ก็เลยปั้นแล้วแต่ก่อนอยู่ที่พระวิหารพันปีสันติอโศก
ติดอยู่ที่แผงใหญ่ด้านหลัง แต่ดูแล้วไม่ค่อยมีใครไปมองเห็น
ไม่เข้าท่าก็เลยเอาออกมา ที่สันติอโศกมันไม่มีที่ไว้ ก็เลยเอามาที่นี่
เอามานี่ก็เลยได้ที่อยู่ ที่หน้าปากทาง ปากทางเข้าน้ำตกผาแหงน
แต่ก่อนนี้เคยเป็นทางผ่าน ทีหลังมีลำธารก็เลยปิดทาง ไม่อยากให้ใช้เท่าไหร่
แต่คงจะปิดตายตัวเมื่อสะพานโค้งรุ้งเสร็จเรียบร้อย
ถ้าจะเข้าก็ไปเข้าตรงถนนตรงแก่งโน่นเลย ก็ค่อยว่ากันอีกที ตอนนี้ก็ปิดๆเปิดๆอยู่
แต่ต่อไปมีสะพานโค้งรุ้งถาวร ก็คงปิด
ก็คิดอยู่ว่าให้หาโซ่ที่เหมาะสมมาห้อยที่มือรูปปั้น
เคยบอกว่าเอาโซ่ทองคำมาห้อย อย่าไปบอกเขาสิว่าโซ่ทองคำ
เอาแค่โซ่เหล็กทาสีทองคำก็ได้
_0852 : พ่อครูอ่านบทความของ
เปลว สีเงิน
ซึ่งก็นิยมชมชอบพระวัดป่าสายมหาบัวซึ่งก็พาคนไปตามความเห็นเทวนิยมแสดงว่า...?
พ่อครูว่า…คุณเปลวเขาเป็นนักหนังสือพิมพ์
ส่วนตัวเขาจะเป็นอย่างไรก็ไม่มีปัญหา เขาเป็นนักหนังสือพิมพ์ก็เป็นคนที่ศึกษาอยู่
จิตใจเขาจริงๆจะเป็นอย่างไรเราก็ไม่รู้ จะเห็นจริงเห็นชอบอย่างไร
คุณไปอ่านเขาว่าชอบ วัดป่าสายมหาบัว เขาจะชอบก็จะไปบังคับเขาได้อย่างไร
อาตมาเคยว่า ข่ม นิคคัณเห นิคหารหัง เขาก็คงเข้าใจอาตมาตำหนิก็ตำหนิ
ความเห็นต่างกันก็ว่ากันไป เรื่องของความชอบก็เป็นความชอบ
ส่วนเรื่องความเป็นกลางเขาเป็นนักหนังสือพิมพ์ก็แสดงออกอย่างเป็นกลาง
ส่วนจริงเขาจะเป็นอะไรแค่ไหนเราจะไปว่าอย่างไร อาตมาก็ว่าเขาต่างกับสนธิญาณ
ซึ่งสนธิญาณแสดงออกเลยว่าเขาเห็นดีเห็นงามกับอาตมา
สนธิญาณก็เป็นนักหนังสือพิมพ์เหมือนกัน ก็ว่ากันไป ก็ต่างคนต่างความเห็น
ต่างคนต่างกล้าแสดงออก คำว่ากล้าแสดงออกมันก็เป็นการไขความจริงอันหนึ่ง
เป็นการเปิดเผยความจริงอันสำคัญอันหนึ่ง ก็ค่อยๆเป็นไป สามารถรู้ได้
สามารถเห็นจริงได้ อย่างซับซ้อนลึกซึ้งประมาณใดก็พอได้ ก็ค่อยว่ากันไป
_0852 : นักการเมือง ข้าราชการได้รับสิทธิฉีดวัคซีนก่อน
ไหนว่าทำงานเพื่อประชาประชาชนมาก่อน นี่กลัวตายก่อนประชาชน
พ่อครูว่า…อาตมาไม่วิจารณ์เรื่องนี้
คงลงตัวจนได้ล่ะ อย่างไรอย่างไรนักการเมืองก็มีจำนวนน้อยกว่าประชาชน
นักการเมืองได้ก่อนจบก่อนก็เป็นธรรมดา เล็กๆน้อยๆน่า ขอกันกินมากกว่านี้
คนระดับไหนจึงคุยกับเทวดาได้
_สว่างแสง ขวัญดาว :
น้อมกราบนมัสการพ่อครูด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ
ลูกเคยได้ยินมาว่าพ่อครูคุยกับเทวดา คุยมีเสียงดังไหมคะ หรือว่าคุยในใจ
พ่อครูตื่นแล้วก็นอนคุยหรือหลับไปด้วยคุยไปด้วยคะ ลูกไม่เข้าใจ
แล้วคนระดับไหนที่จะคุยกับเทวดาได้น้อมกราบพ่อครูด้วยเศียรเกล้าค่ะ
พ่อครูว่า…เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องตื้นเขิน
เป็นเรื่องลึกซึ้ง เป็นเรื่องสมมติสัจจะ ปรมัตถสัจจะ ถ้าบอกสมมติสัจจะ
ถ้าบอกว่าเทวดา ในสมมติสัจจะเราก็หมายถึงภาษาธรรมดาง่ายๆ แค่เป็น Common noun
หรือสามัญนาม ก็หมายถึงความหมายกว้างๆ ทั่วไป เทวดาหมายถึงจิตใจอันเจริญ
จิตใจอันสูงขึ้นจากความเป็นมนุษย์สามัญ
บางทีจิตใจสูงขึ้นในแง่แค่โลกีย์ เป็นโลกียธรรมของเทวนิยมทั้งหลาย
เป็นผู้เจริญแบบโลกีย์เท่านั้น ก็เรียกว่าผู้นี้มีจิตใจเป็นเทวดา
เพราะฉะนั้นเขาก็เข้าใจได้ เราก็รู้ร่วมกับเขาได้ว่าเขาเข้าใจอย่างนี้
แต่ถ้าไปจำเพาะเจาะจงลงไปถึงโลกุตระ จิตใจของเทวดาก็คือ
เทวดา พระพุทธเจ้าท่านแบ่งเป็น 3 อย่าง
1. สมมติเทพ
(คนที่มีสภาวะจิตเสพโลกียสุขได้สมใจ)
2. อุปปัตติเทพ (คนที่มีสภาวะจิตเกิดความเป็นอาริยะ)
3. วิสุทธิเทพ
(คนที่มีสภาวะจิตบริสุทธิ์ขั้นอรหัตตผล)
(พตปฎ. เล่ม 30 ข้อ 654)
สมมติเทพ เป็นโลกีย์ที่เขาเข้าใจ เหมือนนิยายปรัมปรา
บางทีเขาบอกว่าคนตาทิพย์จึงจะเห็น คนไม่มีตาทิพย์ไม่เห็น อธิบายกันบางทีก็เลยงง
ตามคำอธิบายของเขาคิดไม่ออกเลยว่าเป็นอย่างไร ไปถึงขนาดนั้น
นั่นคือเทวดาแบบสมมติสัจจะ ซึ่งมีมากสารพัด กายต่างกันสัญญาต่างกัน
ตามสัตตาวาสข้อที่ 1 ก็สมมุติไปได้สารพัด จนกว่าใครจะเข้าใจ มีสัมมาทิฐิในเรื่อง
กายต่างกันสัญญาต่างกัน คนที่สัมมาทิฏฐิก็จะเข้าใจ ว่าคนนั้นเขาเข้าใจต่างกับเราเขาเข้าใจเป็นมิจฉาทิฏฐิ
บางทีเราก็เดาไม่ออกว่าเค้าคิดว่าเทวดาเป็นอย่างไร ได้สารพัด
แต่ที่ถูกต้องเป็นอย่างไร ก็ต้องพวกวิญญาณฐีติ ก็ต้องรู้ว่า กาย
ที่ถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิเป็นอย่างนี้ สัญญาที่ถูกต้องอย่างสัมมาทิฏฐิเป็นอย่างนี้
ก็ต้องกำหนดรู้ความจริงแล้วตัดสินได้ ปฏิบัติธรรมได้สมบูรณ์ เมื่อใช้วิญญาณฐีติ 7
ปฏิบัติ ก็จะจัดการความเป็นวิญญาณ หรือความเป็นกายเป็นจิต ความเป็นรูปเป็นนาม
ความเป็นภาวะ 2 โดยใช้สัญญาเป็นตัวปฏิบัติสอดส่องเสมอ อ่านภาวะ 2 รูปนาม
ซึ่งรูปนามหรือกาย เป็นกายกับจิต เป็นภาวะ 2 เป็นรูปภายนอกกับรูปภายใน
เป็นรูปกับนามก็เป็นภาวะ 2 หรือเป็นความต่างในชนิดนั้นชนิดนี้ละเอียดไปตั้งแต่
วิโมกข์ 8 จนถึงอรูปฌานอีก 4 และสัญญาเวทยิตนิโรธ อีก 1
ใช้สัญญาเป็นตัวกำหนดรู้นิโรธแบบสัมมา
ถ้าหากสัญญากำหนดรูปแบบมิจฉาก็จะเป็นอีกแบบนึง ไม่ถูกต้อง อย่างถูกต้องก็เป็นสัมมาทิฏฐิเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ
พวกมิจฉาทิฏฐิวิปลาสไปยึดถืออสัญญีสัตว์เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธบ้าง
หรือไปเอาสัตตาวาสทั้ง 9 เป็นนิโรธ
แม้แต่กาม เขาก็หลงผิดไปยึดกามว่าเป็นนิพพาน ในทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ
จึงมี 5 มี
กาม กับ ฌาน 1 2 3 4 ไปหลงผิดเอา 5 ขั้นในปัจจุบันธรรมของเขา
แต่มันผิด เขาถือเป็นปัจจุบัน แต่เป็นปัจจุบันธรรมอย่างมิจฉาทิฏฐิ
คุณหลับตาปฏิบัติ คุณไม่มีทวารทั้ง 5 ไม่มีกาม นั่นเป็นมิจฉาทิฏฐิของผู้
ได้อดีตกับได้อนาคตตาม พรหมชาลสูตร
ซึ่งเป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าท่านแยกธรรมะมิจฉาทิฏฐิ 62 เอาไว้ ก็จะได้แต่มิจฉาทิฏฐิ
62 จะไม่สามารถเป็นสัมมาทิฏฐิได้เลย เป็นเรื่องลึกซึ้ง
เป็นเรื่องไม่ธรรมดาเลยแต่อาตมาจำเป็นต้องอธิบายเพื่อบันทึกไว้ใช้เป็นหลักฐานเพื่อตรวจสอบ
ผู้ที่ศึกษาตั้งใจจริงแสวงหาก็จะได้หลักฐานพวกนี้
ปฏิบัติบรรลุได้แล้วก็จะนำพาให้ศาสนายาวไปถึง 5,000 ปีของพุทธเจ้าได้สำเร็จ
ก็จำเป็นต้องทำกันไป
ตอนนี้อาตมาอธิบายบุคคล 7
ขยายความถึงขั้นซับซ้อนที่คนก็ยังต้องแยกบุคคลที่เป็นวิมุติ แบบสัทธาวิมุติ
สัทธานุสารี ซึ่งเป็นสามเส้า ซึ่งมันยาก ถ้าไม่มีปัญญานำหรือเห็นด้วยปัญญา
คุณเป็นตระกูลหรือโคตรของศรัทธา ซึ่งเป็นโคตรของจิตเลยนะ เป็นตระกูลศรัทธาจริต
กับแบบพุทธิจริต ท่านเรียกว่าพุทธิจริต แต่เวลาตามหาธรรมะตามหาปัญญา
ท่านเรียกว่าธัมมานุสารี เป็นผู้ปฏิบัติธรรมเพื่อตามหา เดินทาง ตามสาระที่ถูกต้อง
อนุสารี เป็นผู้ที่มีสาระเอาสาระโลกุตรธรรมของพระพุทธเจ้า
สัทธานุสารี ก็พยายามตามหา แต่ถ้าตามหาโดยไม่เกิดสัมมาทิฏฐิ
พวกสัทธานุสารี ตามหานิพพาน ของพระพุทธเจ้าหรือสัมมาปฏิบัติ
สัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้ายังไม่ได้ เขาก็จะมีทิฏฐิของเขา
เขาไปปฏิบัติแล้วจะได้วิมุติ
เขาก็หลงวิมุติ นิโรธ นิพพานของเขาแบบเดียรถีย์ ซึ่งเป็นมิจฉาวิมุตติ
เป็นวิมุติของสายศรัทธาจึงเรียกว่าศรัทธาวิมุติ
ก็จะวนเวียนอยู่ในศรัทธาวิมุติมันอีกนานมากเลย
จนกว่าสัทธานุสารีนั้นจะมีปัญญารู้จัก ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
จะรู้จักสัจจะของพระพุทธเจ้า จึงจะสามารถทำให้อาสวะบางอย่างบรรลุได้ ดับสนิทได้
ถ้าอาสวะแต่ละอย่างดับไม่เป็น ไม่ถือว่าเป็นอรหัตตผลของพระพุทธเจ้า
ต้องมีอาสวะดับจึงจะถือว่าเป็น อรหัตตผล ผู้ใดยังไม่มีปัญญา ไม่เห็นด้วยปัญญา
แต่เขาก็ทำด้วยศรัทธา เป็นศรัทธานำ ศรัทธาพาเป็นไป เขาก็จะวนอยู่ที่ศรัทธาวิมุติ
เป็นสามเส้า นาน เพราะฉะนั้นเขาจะไม่สามารถออกจากสัทธาวิมุติได้
ถ้าจะเริ่มไปเป็น ทิฏฐิปัตตะ ทิฏฐิเขาต้องสัมมาทิฏฐิ
ถ้าหากเขาไม่สัมมาทิฏฐิ เขามีทิฐิแบบเก่า ก็ได้แบบสัทธาวิมุติ แบบสมถะวิมุติ
เป็นแบบสาย เจโต เป็นเจโตวิมุติแบบเดียรถีย์ แต่เจโตวิมุติของพระพุทธเจ้าก็มี
ต่างกัน กายต่างกันสัญญาต่างกัน มันมีนัยลึกซึ้งซับซ้อน
แค่กายสักขีก็ยังไม่เรียกว่าอรหันต์ได้
จะต้องเป็นปัญญาวิมุตขึ้นไปจึงจะเรียกว่าเป็นอรหันต์ได้ อย่างนี้เป็นต้น
แล้วอาตมามีความยากตรงที่ว่า ท่านใช้พยัญชนะแค่ว่า น เหว โข
กายสักขี ต้องมีการสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย จึงจะบรรลุอรหันต์ได้
แต่ถ้าไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกายก็จะได้แค่ศรัทธาวิมุติ
ส่วนทิฏฐิปัตตะนั้นเห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สัทธาวิมุติอาจจะเห็น ทุกข์ สมุทัย
นิโรธ มรรค บางตัว จึงบรรลุได้ อาสวะบางอย่าง แต่อาสวะบางอย่างของเขายังไม่ถึงขั้นทิฏฐิปัตตะ
ยังอยู่ในภพ อยู่ในภวังค์เท่านั้น พระพุทธเจ้าจึงไม่นับว่าเป็นสัมมาทิฏฐิ
ต้องออกมาเป็นทิฏฐิปัตตะก่อน
ทิฏฐิปัตตะจะต้องเป็นทิฏฐิสัมมาปัตตา คือการบรรลุระดับหนึ่ง
ถ้าปันนะก็บรรลุในระดับ 2 เมื่อเป็นทิฏฐิปัตตะก็เริ่มมีสัมมาทิฏฐิไปเรื่อยๆ
จึงจะขึ้นถึงขั้นกายสักขี
กายสักขีก็ยังไม่นับว่าเป็นอรหันต์
จะเป็นอรหันต์ต้องนับว่าที่ปัญญาวิมุติ ท่านก็มีตัวขยายความว่า น เหว โข ภาษาบาลี
อาตมาเห็นใจที่ท่านแปลว่าไม่สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ท่านแปลว่า
มิได้ถูกต้องซึ่งวิโมกข์ 8 ด้วยกาย ท่านแปลอย่างนั้นเลย ซึ่งถ้าไม่สัมผัสวิโมกข์ 8
ด้วยกายเป็นอรหันต์ไม่ได้ ผ่านไปเป็นปัญญาวิมุติไม่ได้
กายสักขีก็ยังไม่เรียกว่าอรหันต์ เพราะว่าอาสวะบางอย่างหลุดพ้นก็จริง
แต่ยังไม่ถึงขีดจะยอมรับว่าเป็นอรหันต์ได้แล้ว ต้องอาสวะมากอย่างถือว่าหมดอาสวะ
ยังมี นัยยลึกไปอีกคือ อุภโตภาควิมุติ คือหมดอนุสัยอาสวะ
ท่านมาแปล น แปลว่าไม่ โข แปลว่าสิ่งที่มันเคยมีแล้วได้แล้ว เหวะ
แปลว่า ความจริง ที่จริงแล้ว น เหว โข แปลว่าไม่จำเป็นที่จะต้องไปพูดถึงหรือบอกว่าปัญญาวิมุติจะต้องสัมผัสวิโมกข์
8 ด้วยกาย ไม่ต้องไปพูดถึง เพราะท่านต้องพ้นตั้งแต่ทิฏฐิปัตตะ มาแล้ว
จนมาถึงอรหันต์ได้เป็นปัญญาวิมุติแล้ว ถ้าไม่สัมผัสดัวยกาย
ไม่ลืมตาออกมาสัมผัสข้างนอกอยู่ในภพ หมดสิทธิ์
พวกหลับตาปฏิบัติจึงดันเอาอันนี้ไว้เป็นของตน ที่แปลกันอยู่ในพระไตรปิฎก
แปลด้วยสายศรัทธา แปลด้วยสายท่านพระมหากัสสปะ พระวัดบ้านนั่นแหละ แต่ว่าเรียนมาตาม
พระวัดป่า ยังไม่ได้เปิดทางสัมมาทิฏฐิอย่างที่อาตมายืนยันโลกุตรธรรมอย่างที่เป็น
ยัง เพราะฉะนั้นจุดนี้สำคัญมากเลย ต้องศึกษาให้ดีจึงจะแจ้งสว่างชัดเลย
ปัญญาวิมุตินี้ไม่ใช่ไม่ได้สัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย
แต่มันเลยมาแล้วจึงไม่ต้องกล่าวถึง ไม่ต้องพูดถึงไม่ต้องกล่าวซ้ำอีกว่าปัญญาวิมุติจะต้องผ่านวิโมกข์
8 ด้วยกาย คนที่ผ่านวิโมกข์ 8 ด้วยกายจะต้องดับอาสวะได้ตั้งแต่ทิฏฐิปัตตะมาเลย
ในพวกทิฏฐิปัตตะก็มีสัมผัสวิโมกข์ 8 ด้วยกาย แต่เขาดูอย่างเผิน
หรือดูอย่างครบอาริยสัจ 4 ในสัทธาวิมุติก็มี ต้องเกิด เห็นทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ในพระไตรปิฎกเล่ม 36 ไปอ่านทบทวนให้ดีในบุคคล 7 พยัญชนะก็มี แต่ท่านไปแปล น เหวโข ไปแปลดิบๆว่า ไม่ผ่าน
แต่ที่จริงท่านผ่าน ท่านพ้นไปแล้ว มันข้ามพ้นเรื่องนี้ไปแล้ว
สู่แดนธรรม…ถ้าเป็นพ่อท่านจะแปลว่า
อะไร
พ่อครูว่า…อาตมาจะกล่าวว่า ไม่ต้องกล่าวถึงว่าจะสัมผัสวิโมกข์ 8
หรือไม่เพราะท่านผ่านมาแล้วเลยมาแล้ว เลยขั้นตีแตกสัทธาวิมุติ ออกมาเป็นทิฏฐิปัตตะ
เป็นกายสักขี เป็นปัญญาวิมุติ เลยมาตั้งกี่ขั้นแล้ว ใส่ตำแหน่งอรหันต์ให้แล้ว
เริ่มเป็นอรหันต์ที่ปัญญาวิมุติ กายสักขี พระพุทธเจ้ายังไม่รับรองว่าเป็นอรหันต์
จะมีผู้ที่มีอาสวะบางอย่างดับได้เท่านั้นเอง ยังไม่ถึงขีดตัดสินว่าเป็นอรหันต์
ยังยกฐานะเป็นอรหันต์ไม่ได้ เป็นนัยสำคัญ
ศึกษาให้ดีๆ พูดแล้วก็เหมือนยกตัวเองว่า
ยุคนี้ไม่มีใครอธิบายละเอียดสิ่งเหล่านี้ได้อย่างนี้
แยกแยะสิ่งเหล่านี้อย่างจริงจัง ตั้งใจให้ดีๆฟังธรรมด้วยดีย่อมเกิดปัญญา
ถ้ายังมีอคติอยู่ในใจยากจะเข้าใจได้ทั่วรอบ สุสูสัง ละภะเต ปัญญัง
ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา ถ้ายังมีอคติ จะหาว่าอาตมาเดาส่ง มันจะไม่ทะลุรอบ
ไม่เป็นปฏิเวธธรรม
การคุยกับเทวดา สมมติเทพก็คือเทวดาโลกีย์ ไม่เข้าใจอะไรหรอก
ส่วนเทวดาโลกุตระนั้นท่านแยกออกจากสมมติเทพ คนเขาจะหลงกันอย่างไรก็น่าสงสาร
แต่เราไม่ไปหลงอย่างเขา เทวดาจริงก็คืออุบัติเทพ คือเทพที่เกิดได้ เป็นได้
ตามทฤษฎีพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิ เป็นจรณะ 15 วิชชา 8 เป็นต้น อุบัติเทพ
เกิดจากสัมมาทิฏฐิ ไม่ใช่สมมติเทพ ไม่ใช่เดียรถีย์ ไม่ใช่พวกนอกรีตพระพุทธเจ้า
ไม่ใช่เทวดานอกรีต แต่เป็นเทวดาในสัมมาทิฏฐิของพระพุทธเจ้าคืออุบัติเทพ
เกิดจากปฏิบัติถูกต้องตามทฤษฎีพระพุทธเจ้าอย่างสัมมาทิฏฐิแล้วเกิดจิตหลุดพ้นไปตามลำดับ
เอาสังโยชน์ 10 มาจับเป็นต้น ตั้งแต่สักกายทิฏฐิ สีลัพพตปรามาส วิจิกิจฉา ฯ
จนหลุดพ้นอวิชชา จึงสมบูรณ์แบบสะอาดหมดจด
ถ้าไม่สัมมาทิฏฐิอย่างตามลำดับ จะไม่ราบลุ่มไม่เรียบเหมือนฝั่งทะเล
คุณก็จะย้อนไปย้อนมาสับสนไปสับสนมา ซึ่งหาคนที่ราบเรียบละเอียดมากยาก
ใช้ปัญญาแท้เท่านั้น สายศรัทธาไม่มีทางต้องวน
ยิ่งเป็นสายวิริยาธิกะนั้น 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป 3 เท่าตัวเลยกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าอย่างนี้เป็นต้น
สายศรัทธานั้นใช้เวลา 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป จะต้องอย่างนั้น
เพราะฉะนั้นจึงไม่เหงา ถ้าคนสัมมาทิฏฐิก็ไม่ถึง 40 อสงไขย ก็ลดลงมาลดลงมา จนถึง 21
หรือจนกว่าจะได้ถึง 20 อสงไขย ตามเกณฑ์มาตรฐานของพระพุทธเจ้าสายปัญญาธิกะ
สมมติเทพเป็นเทวดาโลกจินตา อย่างเทวดาสายมหาบัว อาจารย์มั่น
จะมีน้อยกว่าเทวดาสายธัมมชโยซึ่งเป็นเทวดา เทวดามิจฉาทิฏฐิเยอะมากเลยกว่าสายมหาบัว
สู่แดนธรรม...เขาถามว่า
พ่อท่านคุยกับเทวดามีเสียงดังไหม
พ่อครูว่า…คุยกันอย่างสุภาพเรียบร้อยไม่มีเสียงดังหรอก คุยด้วยสาระธรรมธรรมะ
เป็นเรื่องของการปุจฉาวิสัชนาเรื่องธรรมะอย่างนั้นอย่างนี้
หัวข้อธรรมอย่างนั้นอย่างนี้มาวิจัยให้กันฟัง
พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าพบกับเทวดามาปรากฏแล้วคุยกันหัวข้อธรรมต่างๆทั้งนั้นแหละ
บางทีก็เป็นเทวดาองค์ใหญ่รัศมีกว้าง ท่านก็ยกตัวอย่างรูปธรรมประกอบ ไม่มีตัวตนไม่มีเสียงดังหรอกเป็นความรู้ธรรมะ
สู่แดนธรรม...คราวหน้า
นิมนต์พ่อท่านคุยกับเทวดาเสียงดังหน่อยสมณะปัจฉาจะได้ฟังด้วย
พ่อครูว่า…ก็เป็นละเมอไป จะย้อนแย้ง ก็คงหมายถึง
คุยแล้วเอามาแสดงให้คนอื่นฟังหน่อยได้ไหม ซึ่งหลายอย่างก็แสดงไม่ไหว
ก็ค่อยๆขยายความให้ฟังไปตามลำดับอย่าเพิ่งใจร้อน ปฏิบัติให้ได้ก่อนเถอะน่า
คนที่ตะกละอยากจะรู้มากแล้วปฏิบัติไม่ได้อย่างนี้แหละน่าสงสาร
เป็นสายพระบ้านของเถรสมาคม เยอะแยะที่เรียนเต็มหูเต็มหัว
เสร็จแล้วไม่บรรลุธรรมก็เป็นบุคคล ปทปรมะ น่าสงสาร
เวลาทำงานลืมตา อาตมาไม่ค่อยจะ ถ้าพูดถ้าปรุงสู่ฟังในขณะที่พูดนี้ก็คุยกับเทวดาไปในตัวเรา
สิ่งที่รู้ลึกซึ้งอันนั้นมาพูดให้ฟังก็คือเทวดาเสียงดัง
ที่กำลังอธิบายคือเทวดาเสียงดัง ที่พูดไปนี้มีเทวดาหลายองค์นะ ตั้งใจฟังดีๆ
คนระดับที่จะต้องมีสัมมาทิฏฐิจึงจะคุยกับเทวดาได้
อย่างพวกคุณฟังเข้าใจสัมมาทิฏฐิได้ก็เริ่มต้นรู้จักเทวดา
ก็เอาไปปฏิบัติในตัวเองได้ มันถึงขีดเขตของตัวเองได้ไป
แต่ระวังจะเป็นเทวดานิรมาณกายฟุ้งซ่านสร้างไปเองเรื่อยๆแล้วก็คุยกับเทวดาเก๊
เละเทะไปเลย เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งยุ่งเลยต้องถึงขีดถึงเขตถึงทำได้
อย่าอยากได้อยากเป็นอย่างอาตมา เห็นช้างขี้อย่าขี้ตามช้าง
เป็นไปตามธรรมชาติจะได้เอง
กิเลสล้างกิเลสได้หรือไม่เป็นอย่างไร
_1614 : ขออธิบาย
เอากิเลส ละกิเลส เช่น มานะ ได้ไหม เป็นเจ้าคนนายคน ก็เป็นตัว "มานะ"
หรือ "ตัวกู" แบบหนึ่ง คนไทยก็ใช้ตัวมานะหรือกระตุ้นมานะ
พ่อครูว่า…ก็มีส่วน เช่น
เอาตัณหาล้างตัณหา แต่ว่าไปเอาอุปาทานไปล้างอุปาทานไม่ได้
เพราะว่าตัณหาเป็นสิ่งที่ Dynamic เคลื่อนไหว ส่วนอุปาทานเป็นตัวเร่งตัวหยุด
ถ้าหากตัวนิ่งตัวหยุดอยู่ด้วยกันมันก็ไม่มีทางเกิดอะไรขึ้นได้
พวกนั่งหลับตามีการหยุดเป็นพื้นฐาน (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สมณะฟ้าไท…หากเอาวิภวตัณหา ไปล้างตัณหา ก็คืออยากลดกิเลส
ถ้าไม่มีความอยากเป็นตัวตั้งจะไปลดละกิเลสได้อย่างไร
พ่อครูว่า…เคยอธิบายเป็นภาษาว่ามีเจตนาแต่อยาก มีเจตนา
มีจุดมุ่งหมายแล้วเดินทางปฏิบัติไป ไม่ต้องไปโถมพลังงานอยากด้วยอัตตา ยิ่งอยากได้เร็วๆเป็นอภิชปายิ่งล้มเหลว
ให้ไปเป็นตามลำดับ มีจุดมุ่งหมายอย่างสัมมาทิฏฐิสัมมาปฏิบัติ
เรามีสัมมาทิฏฐิและสัมมาปฏิบัติปฏิบัติให้ตรงตามที่มีสัมมาทิฏฐิเป็นตัวตั้ง
แล้วปฏิบัติให้ตรงกับทฤษฎีที่เรามีอย่าให้เป๋ มารจะชักออกนอกทางได้
นึกว่าสัมมาทิฏฐิแล้ว พอไปกลางทาง มารให้ไปแวะข้างทางดึงออกนอกทางได้บ่อยเสมอ
ต้องเอาให้ดีตั้งใจให้ดีๆเลย
เพราะฉะนั้นการอยู่กับมิตรสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีจึงเป็นสิ่งที่บริบูรณ์ที่สุด
เพราะฉะนั้นคนที่ยืนอยู่นอกรั้วไม่มีมิตรดีสหายดีสังคมสิ่งแวดล้อมดีนะ
ถูกดึงถูกลากออกไปนอกเขตเทศบาลง่ายที่สุด
เอามานะมาล้างกิเลสได้ แม้ที่สุด วิภวตัณหามาล้างตัณหา
ใช้พยัญชนะง่ายๆ
_Silipakul (ศิลปะกุล) :
อีกหน่อยคนในสังคมประเทศเราก็คงจะเริ่มหมดเนื้อหมดตัวไปเรื่อยๆแน่นอนเพราะสถานการณ์โรคระบาดร้ายแรง
ที่รบ.ยังแก้ปัญหาเศรษฐกิจและสังคมไม่ได้
คนที่เขาทุกข์ยากกับชีวิตคงมาแสวงหาหนทางหลุดพ้นกันมากขึ้น
ด้วยการน้อมนำหลักธรรมของพระศาสดา และดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพ่อหลวง
เพราะนี่คือทางรอดทางเดียวที่ยั่งยืน
พ่อครูว่า…มันเข้าใจและมาเป็นไม่ได้ง่ายๆ
เพราะมันจะมายินดีในโลกอุตรธรรม มาทางนี้เลยตามมูลสูตรนี้ยาก
กว่าจะมาทำมนสิการได้อย่างมาสัมมาทิฏฐิ
มนสิการไปตามขั้นตอนนั้นอยู่ข้างนอกยากที่จะบรรลุธรรม ไม่มีสัปปายะ 4 ครบ ยาก
_Koithaitik Carp (คอยไทยติ๊ก)
: ตอนก่อนเปิดรายการทางทีมงานเปิดซาวส์เพลง ผู้ครองรัก
ไม่มีเสียงนักร้องผมเลยหาเปิดฟังแล้วไปเจอ อา เศรษฐา ศิระฉายา นำมาร้องด้วยครับ
เพิ่งรู้ว่าอา เศรษฐา ก็หยิบงานพ่อครูมาร้องด้วยครับจากผมผู้ชอบฟังเพลงพ่อครูครับ
พ่อครูว่า…เศรษฐา
จะหยิบงานอาตมาไปร้องจะไปแปลกอะไร ขออภัยต้องพูดถึงประวัติศาสตร์เรื่องนี้หน่อยนึง
ในวงการเพลงนี่นะ วง The Impossible เป็นวงแรกที่เล่นสตริงคอมโบ
หมายความว่าใช้กีตาร์เป็นหลัก ใช้เครื่องมือเส้น สายดีด มีเป่าบ้าง ปราจีน
นี้เป็นนักเป่า เป่าทรอมโบนมาก่อน ปราจีน ทรงเผ่า
เริ่มต้นนั้นอาตมามาทำงานเพลงโทน
คณะ The Impossible เล่นดนตรีตามโรงแรมต่างๆ ตอนนั้นเล่นที่โรงแรมเฟิร์ส
อาตมาก็แต่งเพลงขึ้นมา เอาคณะThe Impossible มาร้องเพลงมาเล่นด้วยในหนังโทน
สังข์ทอง สีใส The Impossible เกิดและดังกับหนังโทนนี่แหละ เขาก็เกิดอยู่บ้าง
แต่ว่าหนังโทนทำให้ดังแพร่กระจายได้มาก
มีการบอกว่านักศึกษานิสิตไม่ดูหนังไทยแต่ต้องดูหนังโทน
นักศึกษานิสิตพากันดูหนังโทน เป็นการเปิดยุคว่าดูถูกหนังไทยไม่ได้ หนังไทยเจริญเข้าขั้นมาตรฐานโลกอะไรอย่างนี้
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะเป็นสังข์ทอง
สีใส หรือ The Impossible ก็เกิดจากหนังโทนนี่แหละ ขออภัย อาตมาเป็นคนแนะนำ
โดยเฉพาะยิ่งสังข์ทอง ไม่มีใครกล้าเอามาเล่นหนังหรอก หน้าตาแกเอาไปเล่นหนังอย่างไร
แต่อาตมาว่านี่แหละๆ จริงๆตอนนั้นเราก็ไม่เจตนา
เราก็ไม่คิดจะเอาสังข์ทองมาเล่นเป็นตัวตลก ประจำของอันนี้ แล้วต้องเป็นนักร้องด้วย
ต้องให้คนนี้เป็นนักร้อง ร้องเพลงได้ ก็มีการกำหนดว่าจะให้รุ่งเพชร
แหลมสิงห์เป็นคนร้อง แต่ว่ารุ่งเพชรป่วย เล่นไม่ได้เราก็กำลังจะต้องถ่ายทำ
อาตมาก็ว่าเอาสังข์ทองก็แล้วกัน
คณะที่ทำงานด้วยก็บอกว่าจะเอามาได้อย่างไรหน้าตาเป็นอย่างนั้น อาตมาก็บอกว่าลองดู
ไอ้ที่เคยยังไม่มีใครทำนี่แหละ เราจะต้องทำของแปลกใหม่ สังข์ทองมีฝีมือนะ
เหตุผลของอาตมาก็ดีพอที่เขาจำนนกัน ก็เลยเอาสังข์ทองมาเล่น
สังข์ทองก็เป็นเพื่อนของไชยา สุริยัน สังข์ทองก็เลยดังติดลมบนมาตั้งแต่บัดนั้นด้วย
The Impossible ด้วย
ส่วน
The Impossible ก็เล่นแต่เพลงฝรั่ง สตริงคอมโบเล่นแต่เพลงฝรั่ง มีเพลงเริงรถไฟ
เป็นเพลงแรกที่อาตมาแต่งให้ The Impossible
เป็นวงสตริงวงแรกที่เล่นเพลงไทยในลักษณะสตริง หวูดดังวาวๆๆๆ นี่แหละ จากหนังโทน
จะต้องเริ่มต้นด้วยเจ้าโทน เดินทางจากต่างจังหวัดเข้ากรุงเทพฯ นั่งรถไฟมา
จากต่างจังหวัดมากรุงเทพ ก็ใช้ เพลงเริงรถไฟ เป็นตัวเชื่อมมา
เราก็แต่งเพลงเริงรถไฟเอามาใช้ แล้วก็มาถึงเจ้าสังข์ทองร้องเพลงอยู่ในวัดในกรุงเทพ
ตกลงก็เลยเลือกเพลงเริงรถไฟ ก็เลยดังขึ้น โรงแรมเฟิร์ส
พวกนักหนังสือพิมพ์ก็เขียนกันว่า ต่อไปเพลงนี้จะเป็นเพลงดัง
เพราะว่าเป็นเพลงสตริงคอมโบเป็นเพลงแรกของไทยเลย
นอกนั้นมีแต่เอาเพลงฝรั่งมาเล่นเท่านั้น แต่นี่เพลงไทยเล่นสตริงคอมโบได้ด้วยหรือ
เสร็จแล้วเขาก็บอกว่าเพลงนี้จะดังมหาศาล
พวกนักหนังสือพิมพ์ก็พยากรณ์กัน
เสร็จแล้วต่อจากนั้นก็มีเพลงชื่นรักขึ้นมาเป็นคู่แข่ง เพลงชื่นรักก็ขึ้นมาอีก
สุดท้ายเพลงชื่นรักก็เลย กลบเพลงเริงรถไฟ ดังยิ่งกว่าเพลงเริงรถไฟ ยาวไปแล้ว
เอาแค่นี้พอ เป็นน้ำจิ้ม
เพราะฉะนั้นเศรษฐาหยิบงานอาตมาไปร้องก็จะไปมีปัญหาอะไร
เป็นแต่เพียงว่าเขาไม่อยากจะพูดเท่าไหร่หรอก เขาเอง เกิด Conflict
ทางจิตใจที่อาตมาไปว่านักร้องอะไรเป็นอบายมุข เขาก็เกิด Conflict ทางจิตใจนิดหน่อย แต่เดี๋ยวนี้คงจะคลายแล้ว
ก็แล้วแต่เขา ก็เป็นธรรมชาติธรรมดาของวิบากด้วยของจิตของทิฏฐิ ก็ไม่มีปัญหาอะไร
อาตมาก็ไม่เคยได้ถือสา ก็เป็นไปตามค่อยๆเปลี่ยนแปลง ค่อยๆคลี่คลาย ไม่มีปัญหา
_กลั่นหายโง่ ฝึกไม่มี :
ขออนุญาตกราบเรียนค่ะ ท่านสวมหน้ากาก ฟังไม่ค่อยถนัด ไม่ชัดค่ะ กราบนมัสการค่ะ
_พันธุ์ พอเพียง :
คือมีทุเรียน ได้กินทุเรียน แล้วเกิดใจที่ชอบไม่ชอบในรสชาดของทุเรียน
แบบนี้เรียกถ้ำใช่ไหมครับ / ข้องอยู่ในถ้ำคืออาการที่ทำเวทนาให้เป็นหนึ่งยังไม่ได้
ใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า…ใช่ถูกต้อง
เลี้ยงลูกให้รู้จักโต
เลี้ยงพ่อแม่ให้รู้จักตาย
_กิ่งฟ้า ขันหล้า :
กราบนมัสการสิกขมาตุ..ข้องอยู่ในถ้ำ..ข้องอยู่ที่ลูกค่ะท่าน
ที่หลุดยากที่สุดเลยค่ะ
พ่อครูว่า…ก็ขอบอกอย่างนี้ว่า ลูกเป็นของคุณ
มันเป็นความจำเป็นที่คุณมีลูก คุณก็ต้องดูแลเขาให้ขึ้นถึงฝั่ง
อย่าไปทิ้งไปขว้างมันไม่ดี ให้เขาส่งเขาขึ้นไปอยู่ได้ด้วยตนเองให้รอดปลอดภัยพอเหมาะพอควร
คำว่าพอเหมาะพอควรนี่แหละยาก เพราะลูกโต 20
ปีขึ้นก็ให้การศึกษาให้อะไรต่ออะไรเขาให้พอที่จะอยู่ได้ เลี้ยงตัวเองได้
ถ้าเขาโตเลย 20 ปี มีบรรลุนิติภาวะแล้วเราก็ต้องช่วย
แม้บรรลุนิติภาวะแล้วก็ยังเลี้ยงตัวไม่ได้ก็ต้องช่วยเขาพอสมควร อย่างน้อยอายุสักประมาณ
21- 22 ปีถ้ามันเหลือขอจริงๆเลย มันไม่ไหวจริงๆ 22
ปีแล้วคุณก็ยังต้องเลี้ยงดูจนตายด้วยกัน มันก็ไม่ถูก ก็ปล่อยให้เขาไปตามวิบาก 22
ปีถือว่าโตแล้ว ก็บรรลุนิติภาวะแล้ว คุณก็ไปตามยถากรรมปล่อยเขาได้ อย่างนี้เป็นต้น
นี่ก็อธิบายสู่ฟังเล็กน้อย ไม่เช่นนั้น เลี้ยงลูกไม่รู้จักโต เลี้ยงพ่อแม่ไม่รู้จักตาย
นี่ก็เป็นคำหนึ่งที่อาตมาเคยเตือน
ลูกมันโตแล้ว บางคนก็ได้ดิบได้ดีเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ได้ด้วย
มันควรจะห่วงพ่อแม่ ไม่ใช่ไปให้พ่อแม่ห่วงลูก คุณต้องหาทาง
ไม่เช่นนั้นคงต้องห่วงลูกยึดนั่นแหละ คุณก็ต้องอยู่ปฏิบัติธรรมกับโลกโลกีย์
คนโลกโลกีย์เขาก็ไปเจริญกับโลกที่ปล่อยเขาไปพอสมควร ตามแต่เขา
สุดวิสัยก็ปล่อยไปตามยถากรรม เขาไปดีแล้วก็ปล่อย จึงเรียกว่าเลี้ยงลูกให้รู้จักโต
เลี้ยงพ่อแม่ให้รู้จักตาย
เมื่อตายแล้วท่านก็ไปตามวิบากของท่าน ยังไม่เป็นอรหันต์ท่านก็ไป
ยิ่งท่านเป็นอรหันต์แล้วจะไปอะไรกับท่าน คุณเอาอรหันต์ให้ได้ก็แล้วกัน
_กุญแจ เงินทอง :
บ้านเรามีเรื่องดีเยอะมาก แต่สิ่งนึงที่เรามีไม่แพ้คนอื่นคือ อคติ
ดูตัวอย่างได้จากแอนตี้วัคซีนคับ..
พ่อครูว่า…ก็จริงนะคนไทยอคติเก่ง
_หนูมิ้วมิ้ว :
กราบนมัสการหลวงปู่ ท่านสมณะ สิกขมาตุ และขอโอกาสเจริญธรรมพี่ๆ ทุกคนค่ะ
หนูเป็นคนใหม่ มีคำถามจะถามหลวงปู่ค่ะว่า.. ไม่นานมานี้หนูเพิ่งจะเสียคุณแม่ไป
ซึ่งคุณพ่อก็เสียไปก่อนคุณแม่นานแล้ว แต่หนูคิดถึงพ่อกับแม่ของหนูมาก
ไม่ว่าจะไปทำอะไรที่ไหน เมื่อไหร่ ที่เกี่ยวกับว่าสถานที่สิ่งเหล่านั้น เคยมีพ่อกับแม่อยู่ด้วย
ใจหนูก็จะเศร้า และหดหู่ จนแทบไม่อยากทำอะไร หลวงปู่มีวิธี
ที่จะทำให้หนูแข็งแรงกว่านี้มั้ยคะ หนูรักคุณพ่อคุณแม่ของหนู หนูจะทำอย่างไร
ให้ระลึกถึงแล้วหนูถึงจะไม่เศร้า และมีแรงทำสิ่งต่างๆ ต่อไปได้คะ /
กราบขอบพระคุณค่ะ
พ่อครูว่า…เข้าหลัก เลี้ยงลูกให้รู้จักโต เลี้ยงพ่อแม่ให้รู้จักตาย
พ่อแม่ตายแล้ว
จะเปลี่ยนภพชาติเปลี่ยนสิ่งที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเราไปหรือจะกลับมาสัมพันธ์กับเราอีกก็ได้
แต่ถ้าเอาแต่เกี่ยวเกาะกันอยู่
พ่อแม่ตายเราก็จะเกี่ยวเกาะกันอยู่มันจะผูกพันกันไปอีกนานนับชาติ
ถ้าคุณรักจะมาทางโลกุตระ มาทางนิพพาน คุณต้องตัด ญาติปริวัตตังปหายะ ต้องตัดญาติ
แต่มิตรดีสหายดีขาดไม่ได้ แต่ญาตินี้ตัดได้ โดยเฉพาะญาติทางสายเลือด
อันนี้ไม่ใช่ใจดำแต่เป็นอจินไตย
ทางสายเลือดเกิดจากวิบากทั้งนั้น
เพราะฉะนั้นเมื่อคุณเองทางสายเลือดแล้ว เกิดมาเป็นคน ทุกคนต้องพัฒนา เราก็ต้องช่วยลูก
ช่วยพ่อ ช่วยแม่ ให้มาทางโลกุตรธรรมได้ดีที่สุดจนต้องจบแค่นี้ก่อน
ต่อจากนี้ก็เป็นไปตามยถากรรม คุณก็ต้องรู้ ระหว่างที่ควรจะต้องตัด อะไรควรจะต่อ
ถ้าคุณควรตัดก็ควรตัด ควรต่อก็ควรต่อ ถ้าขืนต่อไปอีกมันก็ลากจูงคุณลงไปอีก
ยิ่งคนจะต้องไปเกี่ยวไปเกาะพาคุณดึงลงไปหาโลกีย์ ยิ่งหนักไปทางโลกีย์ด้วย เช่น
ยกตัวอย่างมันยังอยู่ในทางอบายมุขก็ต้องตัดเลย ปล่อยไปตามยถากรรมเลย
แล้วแต่วิบากจะจัดการของเขาเอง เราช่วยเขาไม่ได้หรอก อย่างนี้เป็นต้น
อันนี้มันก็ลึกซึ้งอยู่ต้องค่อยๆเรียนไป สรุปแล้วของคุณ ปล่อยเถอะ
พ่อแม่ตายแล้วท่านก็ไปตามวิบากของท่าน ดีไม่ดีวิบากของท่านอาจจะดีกว่าคุณก็ได้
กลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อม คุณก็เลยได้แต่เกาะติดไปช่วยท่าน
ที่จริงแล้วท่านควรจะช่วยคุณด้วยซ้ำไป คุณก็ไม่รู้ตัวมันหลงตัวเองได้
หรือความรักมันมากตามันก็บอด ไม่รู้จักทางปฏิบัติที่ถูกต้อง อาตมาก็แนะนำให้
มาอาศัยกันเป็นพ่อแม่ในชั่วระยะเวลาหนึ่งในชีวิตเป็นเรื่องเล็กน้อย
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า
ไม่มีใครเลยที่ไม่เคยเกิดมาเป็นพ่อเป็นแม่เป็นลูกกันเลยในโลกนี้ที่เคยเกิดมา
ถึงขนาดนั้นเลย เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจความหมายที่พระพุทธเจ้าท่านตรัส
คุณอย่าเอาเหตุผลที่เคยเป็นพ่อแม่ลูกกันมา แล้วไม่รู้จักตัด ญาติปริวัตตัง ตัดเถอะ
ถึงเวลาวาระ คุณจะมาทางนี้ เอาทางนี้ให้ได้ ได้แล้วคุณจะไปช่วยพ่อช่วยแม่
ตอนนี้คุณบรรลุอรหันต์แล้วเป็นต้น คุณจะช่วยพ่อแม่ ก็ควร อย่างพระสารีบุตร
อย่างพระพุทธเจ้า ก็ต้องกลับไปช่วยพ่อแม่
ขนาดพระพุทธเจ้ายังต้องมีอะไรอีกหลายอย่างกว่าจะไปช่วยพ่อแม่
แต่พระสารีบุตรก็ระลึกเหมือนกันแต่ว่าช่วยพ่อแม่ก่อนก็เลยไป
แต่พระพุทธเจ้าท่านไม่มีปัญหา ท่านก็มีลีลาของท่านเยอะแต่สุดท้ายท่านก็ต้องไปช่วยพ่อแม่เหมือนกัน
มันช่วยเขาได้แล้วนี่ เพราะตัวเองพ้นน้ำแล้ว ไม่อย่างนั้นก็กอดคอตายกันในน้ำเลย
นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ
สมณะฟ้าไท...พ่อแม่ตายแล้ว
เขาไปเกิดแล้ว เราอย่าเสียเวลาไปเสียใจร้องไห้
เรามาช่วยเหลือญาติทางธรรมและกันดีกว่า พระพุทธเจ้ายังบอกว่าเราเป็นมิตรดีสหายดีของเธอเลย
เราเป็นญาติทางธรรมก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกันให้เจริญ ญาติทางนี้ไม่ผูกพัน
แล้วทำให้เจริญขึ้น เป็นสิ่งที่สำคัญกว่าญาติทางโลก ที่เป็นวัฏฏะวนเวียนกันเฉยๆ
พ่อครูว่า…ญาติธรรมหรือญาติทางธรรมนี่ยิ่งกว่าที่พากันไปหานิพพานแต่ว่าญาติทางโลกนี้บางทีดึงลงไปสู่โลกอีก
จะตัดหรือจะต้องต่อบ้างตามวิบากก็ของใครของมันเพราะว่าตายแล้วก็จะเหลือแต่เชื่อกรรมวิบากเป็นตัวพาเป็นไป
เรื่องทางสายเลือดไม่สูงส่งอะไรหรอก แต่ญาติทางสายธรรมสูงกว่าเยอะ
นำพากันไปจนกว่าจะเป็นพระพุทธเจ้านั่นแหละ ยิ่งใหญ่กว่า ญาติธรรมนั้นยิ่งใหญ่กว่า
พูดอย่างนี้แล้วญาติทางสายเลือดจะหาว่าอาตมาใจดำ
แต่มันเป็นสัจจะจึงจำเป็นต้องพูดความจริง
เมื่อปฏิบัติบรรลุธรรมได้จะหายสงสัยไม่ต้องไปถามใครเลย
_จากสมณะพอจริง :
ที่ว่าอนาคามีไม่มีกามภพแล้ว มีแต่รูปภพ และ อรูปภพ เท่านั้น
สภาวะจริงเป็นอย่างไร...
ถ้าเอาศีลเป็นตัวตั้ง อย่างนี้ใช้ได้ไหมครับ
พ่อครูว่า…อย่างท่านพอจริงนั้นจะนาน เพราะเอาเรื่องพยัญชนะมาเป็นหลัก
แต่ให้ปฏิบัติตามลำดับ ทีละเรื่อง จนบรรลุอรหันต์ไปตามลำดับ เป็นอนุโพธิสัตว์
จนไปเป็น นิยตโพธิสัตว์ก็ช่วยคนอื่นได้อย่างแข็งแรงพอสมควร
จนเป็นมหาโพธิสัตว์ก็ช่วยคนได้อย่างแข็งแรงมากขึ้นจนสุดท้ายเป็นพระพุทธเจ้าก็ช่วยคนได้สูงสุด
ก็ค่อยๆทำอย่าไปวุ่นวายในรายละเอียดมากมายนัก
ตัดกรอบของกิเลสของเราเป็นเบื้องต้นเป็นเรื่องตามลำดับ ให้รู้จักสิ้นอาสวะ
หรือกามภพรูปภพอรูปภพ
ให้มีสภาวะทำให้ดีแล้วจะได้ไม่ต้องมาถามอาตมาอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา
กามภพ รูปภพ อรูปภพ
.กามภพ กามราคะ กามตัณหา คือ กายกรรม วจีกรรม
ทำจริงพูดจริง
พ่อครูว่า…ได้ คุณเข้าใจของคุณให้ได้แล้วไม่ต้องไปกังวลของคนอื่น
คุณใช้พยัญชนะว่า กามได้
.รูปภพ รูปราคะ ภวตัณหา คือ
มโนกรรมระดับความคิด จินตนาการ ปั้นรูป สร้างเรื่องต่างๆนานา
พ่อครูว่า…อันนี้ได้
.อรูปภพ อรูปราคะ ภวตัณหา คือ
มโนกรรมระดับความรู้สึก ทุกข์ สุข อทุกขมสุข ชอบ ชัง ไม่ชอบไม่ชัง เจตนา
ตั้งใจจะทำ ตัณหา อยากทำโน่น นั่น นี่
พ่อครูว่า…ได้ ถูกต้อง รู้หมดแล้วนี่ ทำเสร็จให้ได้
จะต้องหมดสงสัยไม่ต้องมาถามอีก ผู้ที่บรรลุของตนเองแล้วไม่ต้องไปถามใครอีก
จะไม่ถามใคร ถ้ายังถามอยู่ก็คือตัวเองยังไม่แน่ใจก็ต้องถามคนนั้นคนนี้
โดยถามคนที่เชื่อว่าจะรู้ได้ดีกว่า เป็นไก่ตัวพี่
หรือเป็นพ่อเป็นผู้ที่จะรู้ยิ่งกว่าก็ต้องถามอยู่อย่างนั้น ก็เลยไม่รู้จักโตสักที
ศีลข้อ 1 จะตั้งใจประพฤติ
เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ เว้นขาดจากความโหดร้ายรุนแรง
เว้นขาดจากการเบียดเบียนใดๆ จะพยายามสร้างเมตตาธรรม
พ่อครูว่า…เป็นลักษณะของการติดพยัญชนะ จะเอาละเอียดทุกคำ
ไม่มีกามภพ คือ กายไม่ฆ่า ไม่ทำร้าย
ไม่เบียดเบียน วาจาไม่สั่งให้ทำ(กายกรรมและวจีกรรมอันเป็นสังขารระดับกายสังขารไม่มี
ศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง)
เมตตาขั้นต้นเกิดขึ้นแล้ว สัตว์ไม่ตาย
ไม่เจ็บ ไม่ลำบาก ได้รับการช่วยเหลือตามสมควร
เป็นมนุษย์ชมพูทวีป คือ
ผู้กล้าปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเอง
เป็นมนุษย์ปุพพวิเทหทวีป คือ
ผู้ออกจากโลกเก่าเข้าสู่โลกใหม่ได้
(ปุพพ=อดีต, วิ=ยิ่ง,
เทห=ร่างกาย )
มีรูปภพ คือ ใจยังคิดวางแผนจะฆ่า ทำร้าย
เบียดเบียนอยู่(แค่คิดจะทำ ให้ทำจริงๆก็ไม่กล้าทำ
เป็นมโนกรรมเป็นสังขารระดับวจีสังขาร ศีลพร้อย)
เมตตาขั้นกลางยังไม่เกิด
เพราะจิตยังคิดร้ายอยู่
ยังไม่เป็นมนุษย์ อปร หรือ อมรโคยานทวีป
ยังไม่ก้าวต่อไปให้ถึงความเป็นอมต(อปร หรือ อมรโคยานทวีป คือ
ผู้ก้าวต่อไปจนถึงอมต อปร=ต่อไป
อมร=ไม่ตาย)
มีอรูปภพ คือ ใจมีเจตนา ใจยังอยากจะฆ่า
ทำร้าย เบียดเบียนอยู่(มีเจตนาและตัณหา แค่ตั้งใจจะทำ แค่อยากจะทำ
ไม่ถึงกับคิดวางแผน ให้คิดก็ไม่กล้าคิด เป็นมโนกรรม เป็นสังขารระดับจิตสังขาร
ศีลพร้อย) พ่อครูว่า…ละเอียดทั้งนั้น ดี แต่มันยาวไป ให้เข้าหา
สภาวะแล้วจะไม่สงสัย
เมตตาขั้นสูงยังไม่เกิด
เพราะจิตยังมุ่งร้ายอยู่ ยังเพ่งโทษอยู่
ยังไม่เป็นมนุษย์อุตรกุรุทวีป
ยังไม่อยู่เหนือความร้ายแรงได้ทั้งหมด ยังประโยชน์แก่สัตว์ทั้งปวงได้ไม่มากนัก
(อุตรกุรุทวีป คือ
ผู้อยู่เหนือความเลวร้ายทั้งหมด)
ศีลขาด คือ
ลงมือทำได้สำเร็จครบองค์ประกอบของศีล
ศีลทะลุ คือ กายกรรม ลงมือทำยังไม่สำเร็จ
ไม่ครบองค์ประกอบของศีล
ศีลด่าง คือ วจีกรรม สั่งให้ทำ
ศีลพร้อย คือ มโนกรรม คิดจะทำ อยากจะทำ
ตั้งใจจะทำ
ศีลเป็นไท คือ
มีกิเลสแล้วตั้งใจกำจัดให้จางคลาย(วิราคะ)จนดับไป(นิโรธ) หรือ
สัมผัสแล้วไม่มีกิเลสเกิดขึ้นเลย
ศีลข้ออื่นก็นัยเดียวกัน
พ่อครูว่า…ถูกต้อง ทำให้ได้ก็แล้วกัน จนกระทั่วตัวเองชัดเจน
แล้วไม่ต้องมาถามผมหรอก คุณก็จะรู้ได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องเชื่อใครไม่ต้องถามใคร
ท่านใช้ถึงขั้นว่าไม่ต้องถามใครไม่ต้องเชื่อใคร
แต่เชื่อความจริงที่คุณยืนยันตัวเองเลย ความจริงนั้นจะยืนยันให้คุณหมดสงสัย
เชื่อสนิท เชื่อโดยไม่ต้องถามใคร แม้แต่กระทั่งพระพุทธเจ้าก็ไม่ต้องไปถาม
แม้พระพุทธเจ้าอยู่ก็ไม่ต้องไปถาม
เพราะมันจะบอกเลยว่าว่างวางแล้ว พิสูจน์ไปอีกมันก็ยังไม่มีเกิดกิเลส
กระทบแรงบ้างเบาบ้างไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง เผลอตัวบ้างไม่เผลอตัวบ้าง
มันก็ไม่เกิดอีก อย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน)
อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้)
อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)
นี่ก็ต้องมีพยานมีสภาวะทั้งหมดนะไม่ใช่แค่ไล่เพียงพยัญชนะก็จะเป็น นัตถิอุปมา
ที่จะไปไล่เทียบอีก มันก็อัตถิอุปมา ไม่ต้องเทียบแล้ว นัตถิอุปมา แต่หากอัตถิอุปมา
ก็มีการเทียบเคียงไม่จบสักที ถ้ามันรู้ได้ด้วยตนเองอย่างสมบูรณ์แล้ว
จบที่ตนโดยไม่ต้องถามใคร โดยไม่ต้องเชื่อใคร มันก็จะจบในตัว
SMS วันที่ 27-31 พ.ค.
2564
_พันธุ์ พอเพียง :
หองแปลว่าอะไรครับ เวลาคนปุถุชนทำอะไรสำเร็จแล้ว มักชอบจองมาเป็นของตนเอง
เวลาของขึ้นทีไร ก็พากันจองหองทุกครั้งไป
พ่อครูว่า…อธิบายได้ดี
ถูกต้อง หองแปลว่าขึ้น จองหองคือของขึ้น ขออภัยอย่างมหาบัวนี้
ใครพูดเรื่องเงินเรื่องทองที่เอาเข้าคลังนี้ของขึ้นเลยนะ
แล้วใครบอกว่าบรรลุอรหันต์นี้ของขึ้นใหญ่เลยอธิบายไปใหญ่ ไม่ได้เข้าร่องเข้ารอย
ไม่ได้เข้าเกณฑ์พระพุทธเจ้าเทียบเคียงได้เลย พูดเอาเองทั้งนั้น เป็นอรหันต์ไม่กลัวตาย
ไม่มีแล้วตาย ไม่มี ไม่มีตายว่ากันไปสารพัดสารเพ
ไม่ได้เข้าหลักเกณฑ์พระพุทธเจ้าที่ว่ากันตามลำดับอย่างไร แล้วก็บอกว่าลำดับลำดา
แต่ไม่เห็นมีลำดับลำดาของพระพุทธเจ้า เป็นลำดับลำดับของตัวเองว่ากันวุ่นไปหมด
ขออภัยที่เอามาหาบัวมาเปรียบเทียบ เพราะว่ามาหาบัวมีคนอ่านหนังสือของท่านมาก
ไปเข้าใจแบบสายหลับตา มันก็จะมีโวหารแบบหลับตา ส่วนของลืมตานั้นอาตมาพูดไม่ไหว
ท่านเยอะกว่ามหาบัวเยอะ อาตมาก็ไม่เก่งเท่าท่านด้วย ท่านมีโลกจินตา
ปรุงภาษาอะไรไม่รู้จบหรอก มีอาจาริยวาท มีอรรถกถาจารย์อีก เอามาขยายมาต่อไปอีกยาว
แล้วเมื่อไหร่จะได้ฉีดสักทีวัคซีน มันต่อคิวยาวเหลือเกิน
ตายก่อนพอดีไม่ได้ฉีดวัคซีน เอา จบ
_bird - Hatyai (เบิร์ด
หาดใหญ่) : .....ขออภัยคับ...! ดูท่านตรวจงานแล้วเหมือนดังวิศวะโยธาปานนั้น
ทำไมไม่มีการวางแผนงานไว้หรือคับ
การขุดที่ตั้งฉากกับถนนแบบนี้อันตรายนะครับ ดินทรุดพังและทำให้ถนนทรุดได้ในอีกไม่นาน
อีกประการหากเกิดอุบัติเหตุ เช่น เด็กตกลงไป หรือรถลาลื่นไถลลงไป
ก็ยากที่จะช่วยเหลือตัวเองเพราะไม่มีไม่มีทางลาดชันเป็นเหมือนดั่งขั้นบันได
พ่อครูว่า…ก็จริงทั้งนั้นเลย
เพราะฉะนั้นผู้ที่ทำอยู่รีบเร่งเข้า อย่าช้า ถ้าไม่เกิดเรื่องมันก็เป็นบุญเป็นกุศลไป
เกิดเรื่องแล้วมันไม่ทันกาลนะ อาตมาก็เตือนว่ามันเอียงไปแล้วนะรอยแตกร้าวแผ่นที่ 4
ของทางโน้น มันแยกขึ้นมามันหักลงไป เขาก็บอกว่ามันหักมาก่อน
มันจะไปหักก่อนได้อย่างไรมันเป็นตอนนี้แหละ รีบกันเข้า อย่าประมาท
สมณะฟ้าไท
สรุปจบ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น