รายการ วิถีอาริยธรรม - เปิดยุคบุญนิยมเล่ม 2 ตอน 2
วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน 2564
ณ บวรราชธานีอโศก
ดูการบันทึกวิดีโอเทป
ฟังเทปบันทึกเสียง
ว่าจะเอาหนังสือเปิดยุคบุญนิยมมาอ่านอธิบาย
อ่านทวนแล้วเป็นหนังสือที่ดีมาก ใครๆก็น่าอ่าน ยิ่งเป็นเปรียญ 9
เป็นดอกเตอร์ทางศาสนาพุทธก็ยิ่งน่าอ่าน
ครูบาอาจารย์เป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธก็ยิ่งน่าอ่าน จะได้รับเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยอะไร
มีการตั้งหัวข้อ มีถึง 876 หัวข้อ
ที่พูดว่าดีเป็นการพูดตรงๆจริงใจไม่ได้มีกิเลสอยากอวดอ้างอยากโชว์
หรือกิเลสหลงตัวหลงตน เป็นความรู้สึกตรงๆเป็นความรู้สึกจริงใจ
เป็นความรู้สึกที่เห็นว่าสิ่งนี้มนุษย์ควรจะได้สัมผัส ควรจะได้รับซับทราบ
จะได้เข้าใจ จะได้ตรวจสอบ จะได้พิจารณาตัดสิน ว่ามีความรู้ความเห็น
มีอะไรต่างๆอย่างนี้ด้วย
ซึ่งเป็นความเห็นที่อาจจะไขความเห็นที่เคยสะดุด
เข้าใจไม่ทะลุปรุโปร่ง ซึ่งแต่ละคนจะมี มันจะไขได้เยอะทีเดียว
เพราะว่าที่อาตมาอธิบายนี้มันกว้าง เปิด เชื่อมโยงไปเทียบเคียง
เปรียบกับแนวคิดต่างๆ เช่น ความคิดของเทวนิยมต่างๆ ของศาสดา
ความคิดของอาจารย์แนวต่างๆด้วย เปรียบเทียบเพื่อให้เห็นว่า อันไหนน่าจะเข้าท่า
แล้วก็ดูเหมือนของเราจะเข้าท่ากว่าทั้งนั้นเลย ของเขาที่จะเข้าท่ากว่าเรา มันไม่มี
มันไม่เข้าท่า มันบกพร่อง ของเราเข้าท่าทั้งนั้นเลยไม่ใช่การแกล้ง ไม่ใช่การลงตัว
แต่มีการเนื้อหาที่ให้ผู้อ่านผู้สัมผัสแล้ว จะเข้าใจจะใช้วิจารณญาณตรวจสอบได้
ไอ้ที่ไม่รู้เลย ผู้ที่ไม่เคยรู้เรื่องเลยบางอย่างบางอัน เขาจะได้รู้ว่ามีด้วยหรือ
ก็เป็นเรื่องใหม่ หรือเป็นเรื่องเก่าที่เคยรู้แล้วจะกระจะกระจ่างมากขึ้น
หรือเรื่องที่เคยขัดแย้ง
อาตมาก็เคยยืนยันว่าที่อาตมาพูดอธิบายไปอย่างนี้ถูกอย่างนี้ไม่ถูก
ขัดแย้งกับเขาที่เขาไปอยู่ในฝ่ายไม่ถูก ก็ได้พิจารณาใช้ความคิดนึกดู
ถ้าเขายังยืนยันว่าของเขาถูกมันก็เป็นอย่างนั้น มันก็จบ
เขาก็ยืนยันว่าของเขานั่นแหละถูก ยังอาตมาเข้าใจนี้ผิด
อย่างเช่นง่ายๆก็การหลับตานี่แหละ เขาบรรลุกันไปเยอะแล้ว
แต่นี่ปฏิเสธว่าหลับตาไม่มีทางบรรลุอรหันต์ เขาก็ไม่เชื่อ
เขาก็ต้องเชื่อของเขาอันนี้ก็แน่นอน
อาตมาไม่เชื่อว่าอาตมาพูดแล้วพวกหลับตาปฏิบัติฟังอาตมาแล้วจะเลิกหลับตาหมด
ไม่เชื่อ ไม่เชื่อเด็ดขาดเลย มีแต่หลับต่อ
แต่ก็ยังอธิบายตามความจริงใจว่าอาตมาเห็นอย่างนั้นจริงๆก็พูดตรงๆเท่านั้นเอง
มาอ่านเปิดยุคบุญนิยมเล่ม
2 ต่อ
หนังสือเล่มนี้มีที่อาตมาเกริ่นนำหัวไว้แต่ต้นเลย
เป็นบทเกริ่นนำไว้ในคอลัมน์เปิดยุคบุญนิยม
ลดอัตตาได้จึงเป็นประชาธิปไตยจริง
เกริ่นกล่าว
… ระบบบุญนิยมยังเข้าใจยาก!
ระบบ“บุญนิยม”นี้
ข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นในใจจริงๆ
ว่า จะช่วยสังคมมนุษยชาติที่ถูกพิษและฤทธิ์ของระบบ“ทุนนิยม” กำลังต้อนเข้ามุมอับอยู่ในปัจจุบันนี้ได้แน่ๆ
หากประชาชนได้ศึกษาช่วยวิจัยกันต่อ
และอบรมฝึกฝนร่วมมือสร้างสรรให้เกิดให้เป็นผู้เจริญตามระบบ“บุญนิยม” นี้กัน
จนมีคุณภาพ
(quality) และปริมาณ (quantity) เพียงพอ
ตอนนี้คนจะเห็นจะรู้ยังยากอยู่
ยิ่งจะเชื่อตาม ยิ่งยากใหญ่ เพราะยังมีผู้พอรู้พอเป็น หรือ
ดำเนินชีวิตในระบบ“บุญนิยม”ได้แล้ว จำนวนน้อยเหลือเกิน
ขอยืนยันระบบทุนนิยมเป็นทางรอดของมนุษยชาติ!
พ่อครูว่า…คอมมิวนิสต์พยายามตั้งคณะรวมหัวกันกินเขาก็ได้สำเร็จ
ส่วนความคิด ประชาธิปไตย บอกว่าไม่รวมหัวกันกิน
กระจายให้ทั่วถึงกันเขาว่าอย่างนั้น ซึ่งเป็นความคิดเผินๆมันเป็นไปไม่ได้
ซึ่งใครจะไปกระจายให้ทั่วถึงกันได้หมดเพราะจิตใจคนไม่ได้ลดละความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ก็ไม่มีทางกระจายให้ทั่วถึงกัน
ไม่มี เพราะฉะนั้นจะแก้ไขด้วย motto ว่า พยายามเฉลี่ยรายได้ให้ทั่วถึงกันนี้
ความตั้งใจมีหลักเกณฑ์อย่างนั้น มีปรัชญาอย่างนั้น
แต่เขาทำจริงๆไม่ได้เพราะจิตเป็นตัวประธาน มันเห็นแก่ตัวเห็นแก่พวก
เสร็จแล้วมันก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมซับซ้อนมาให้แก่ตัวแก่ผู้อื่นทั้งนั้น
เพราะจิตมันไม่ได้ล้าง
เพราะฉะนั้นประชาธิปไตยคือล้างกิเลสให้หมดตัวตนไม่เหลือตัวเองเลย
อันนี้ไม่ใช่แค่ภาษาพูดแต่พระพุทธเจ้ามีหลักเกณฑ์สอนให้ล้างกิเลสหมดตัวตนได้จริง
ได้มากเท่าไหร่ก็จะเป็นประชาธิปไตยเข้าไปจริงมากขึ้น ประชาธิปไตยจริงที่สุดก็คือสังคมของพระอรหันต์
สังคมของพระอาริยะ ซึ่งมันเป็นพระอรหันต์ทั้งหมดไม่ได้หรอก
ก็ต้องเป็นสังคมพระอาริยะ ก็จบตรงนี้ ซึ่งมีขั้นตอนตั้งแต่พระโสดาบัน
ลดความเห็นแก่ตัวได้เป็นอันแรก รู้ตัวตนแล้วก็ต้องพยายามลดตัวตนจริงๆ
สกิทาคามีก็ลดลงได้มากขึ้น อนาคามีก็ลดลงได้มากอีก อรหันต์ก็ลดลงได้หมด
ประชาธิปไตยจริงๆคือ
ระบบพุทธศาสนา ให้คนเป็นพระอรหันต์นั่นคือ ประชาธิปไตยที่แท้จริง
ไม่ใช่หลงใหลในศาสนาพุทธ ไม่ใช่หลงใหลพระพุทธเจ้า แต่มันเป็นความจริง
ถ้ารู้อย่างอาตมารู้ คนที่รู้เขาจะพูดตรงกับอาตมาหมด
จะไม่แยกกันไปพูดอย่างอื่นหรอก เพราะมันเป็นความจริงอย่างเดียว สัจจะมีหนึ่งเดียว
มันไม่มีอื่นหรอก
เฉพาะอย่างยิ่ง
คนทั้งหลายเกือบทั้งโลกทุกวันนี้ก็ล้วนดำเนินชีวิตกันอยู่ ด้วยระบบ“ทุนนิยม”
อย่างสนิทสนมและตายใจว่า ไม่เห็นจะมีระบบอะไรอื่นอีกเลย กันทั้งนั้น
ส่วนผู้ที่เห็นและเข้าใจถึงได้ว่า
ระบบ“ทุนนิยม”กำลังเข้ามุมอับ ไปไม่รอด
ช่วยมนุษยชาติในโลกให้เกิดสุขสันติอย่างอุดมสมบูรณ์ เป็นสังคมที่ดีตามอุดมการณ์
ไม่ได้นั้นก็ยังมีน้อยอยู่ด้วย
จึงเป็นเรื่องยากที่ยากสุดๆ
จริงๆ
แต่ข้าพเจ้าก็ยังไม่เห็นทางออกอื่นใดเลยที่จะดีกว่า
ต้องปรับตัวมาเป็นระบบ“บุญนิยม”นี้ให้ได้ แล้วสังคมมนุษยชาติในโลกไปรอดแน่ๆ
• สมณะโพธิรักษ์
พ่อครูว่า…อาตมายืนยันว่าชาวอโศกรอดแล้วทั้งปัญหาทางสังคมศาสตร์
รัฐศาสตร์เศรษฐศาสตร์ เพราะว่าอยู่กันเป็นหมู่กลุ่มมีระบบเรียบร้อยแล้ว
อยู่ทำมาหากินสร้างสรรค์ก็นำมากินมาใช้ ก็เหลือกินเหลือใช้ เหลือกินเหลือใช้
นี่คือเศรษฐศาสตร์
เหลือกินเหลือใช้แล้วไม่ขี้เหนียวไม่เห็นแก่ตัวไม่กักเก็บไม่เอาไปออกดอก
ไม่เอาไปหาทางได้มาทับทวีให้แก่ตัวเองรวยขึ้น ไม่ ไม่ต้องรวยขึ้น อยู่ในฐานะคนจนที่พอใจที่จะอยู่อย่างจนๆนี่แหละ จนสูงสุดก็คือ 0 ไม่ต้องมีทรัพย์สินส่วนตัว
แต่ก็มีทำงานอยู่ในหมู่กลุ่มมีชีวิตในนี้ เข้าใจจบเลยว่าไม่มีปัญหา อยู่กับหมู่
ทำงานเสร็จแล้วเรามีแรงงานเราก็ทำ ไม่มีแรงงานเจ็บป่วยเราก็พักคนอื่นก็ดูแลก็ช่วย
แก่แล้วก็มีคนดูแลช่วยตายแล้วเพื่อนก็เผา จบจริงๆชีวิตจบ รู้สึกไหมว่าชีวิตจบ
มันจบมันไม่มีปัญหา ก็มีที่พึ่ง มีเพื่อนฝูง มีพี่น้อง มีปู่ย่าตายาย
เกิดแก่เจ็บตาย เราพึ่งกันได้หมดเลย จะแก่ก็พึ่งพาได้ จะเจ็บป่วยก็พึ่งพาได้
จะตายก็พึ่งพาได้ คนเกิดมาใหม่ๆก็มีที่พึ่งอันนี้
อาตมาว่าเป็นทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้ามันจบได้
แต่คนไม่เข้าใจอย่างที่อาตมาเข้าใจ ถ้าเข้าใจเขาจะมาเอาทฤษฎีนี้ทั้งหมดโลกเลย
แต่เขาอวดดีเขาก็เชื่อว่าของที่เขาเข้าใจที่ต่างกับที่อาตมาอธิบายนี้
อาตมามั่นใจว่าที่อธิบายอยู่นี่ตรงกับของพระพุทธเจ้า เรียกว่าที่สุดในยุคนี้
ยังไม่มีใครอธิบายธรรมะของพระพุทธเจ้าได้ตรงเท่าอาตมาหรอกในยุคนี้
พูดอย่างนี้เลยแหละใครจะว่าอย่างไรก็ว่าไม่เป็นไรอาตมา
พอใจจะพูดอย่างนี้และมั่นใจว่าพูดไม่ผิด สุดยอดเลย
ฉบับที่
๓๒๐ มีนาคม ๒๕๖๐
หลับตาปฏิบัติไม่ได้ปัญญาแต่ได้เฉกา
(๑) บุญต้อง “ทำเป็น” คืออย่างไร
ฉบับนี้เราจะสาธยายเรื่อง“ภพ”กันให้ละเอียดยิ่งๆขึ้น
โดยเฉพาะคำว่า“บุญ”ตามชื่อหนังสือเล่มนี้นี่แลที่สำคัญนัก
“บุญ”คือ พลังงานของจิตใจที่ผู้เรียนรู้จะต้อง“ทำ”ให้เป็น
“ทำเป็น”คือ
เริ่มทำให้มีพลังงาน“ฌาน”ที่เกิดจากการปฏิบัติตามกระบวนการ“จรณะ ๑๕ วิชชา
๘”อย่าง“สัมมาทิฏฐิ”
(๒) บุญถ้าทำไม่เป็นคืออย่างไร?
หากทำไม่เป็น
หรือทำอย่าง“มิจฉาทิฏฐิ” ก็ไม่เป็น“พลังฌาน”แบบพุทธแน่นอน
ซึ่งมีก็แต่“ฌาน”โลกีย์สามัญทั่วไป นั่นคือ ส่วนมากคนโลกีย์สามัญก็จะทำเป็นแต่“ฌาน”ที่เกิดจาก“หลับตา”ปฏิบัติกัน
ตามแบบเดียรถีย์ทั่วไปรู้กันปกติ
พ่อครูว่า…ทุกวันนี้แทบจะไม่มีฌานแบบพุทธที่สัมมาทิฏฐิเลยในยุค
2,500 กว่าปีนี้ อาตมาก็มาเปิดเผยยืนยันเตือนสติให้ตรวจสอบ ว่าทำฌานกันนั้น
จะลืมตาทำหรือหลับตาทำก็ตาม แต่ส่วนมากจะหลับตาทำ ลืมตาทำ เขาก็ไม่มั่นใจว่าจะเป็นฌานแบบพูดหรอก
อย่างท่านติชนัทฮันห์ หรืออย่างท่านพุทธทาส จะไปเรียกว่าลืมตาสมาธิ ไม่ใช่เรียกฌาน
ซึ่งฌานกับสมาธิก็ต่างกันไกล
เพราะสมาธิเป็นผลของการทำใจกับการทำฌาน ฌานเป็นตัวกลางเท่านั้นเอง
(๓)
ปฏิบัติธรรมแบบหลับตาจะไม่มีวันเกิดธาตุรู้ที่เป็นโลกุตระ!
เพราะการปฏิบัติธรรมแบบ“หลับตา”นั้น
ไม่มี“สัมผัสด้วยทวาร ๕ ภายนอก”
จะไม่ทำให้เกิด“อัญญธาตุ(ธาตุรู้ชนิดอื่น)”ที่เป็นธาตุรู้ของสัตวโลกหรือ‘จิตนิยาม’
อันเป็น“ความรู้-ความฉลาด”ที่แตกต่างกันคนละโลก
คนละตระกูลกับ‘ความรู้-ความฉลาด’แบบ“คนโลกียะ”เกิดในจิตของคนผู้นั้นได้เป็นอันขาด
พ่อครูว่า…เพราะไปหลงว่านั่งหลับตาแล้วจะเกิดปัญญาขึ้นปึ๊งเลย
ฌาน ของพระพุทธเจ้าต้องมีธัมมวิจัยสัมโพชฌงค์
เพราะว่าฌานของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ไปหลับตา
ฌานของพระพุทธเจ้าต้องปฏิบัติมรรคมีองค์ 8 ในขณะทำงานอาชีพขณะทำการงานทุกอย่างขณะพูดอยู่กำลังคิดอยู่
เป็นการงานที่อยู่ในปัจจุบันตื่นเต็ม มีสติเต็มตื่นทั้งนอกทั้งใน
แล้วก็เรียนรู้จัดการ เมื่อเกิดจิตสังขารอยู่ข้างในแล้วก็ต้องมาแยกธัมมวิจัย
แยกกิเลสออกจากจิต แล้วก็จัดการใช้ปัญญาอันยิ่ง จนกิเลสมันสู้ไม่ได้ไม่อยู่เลย
จนมีพลังงานของปัญญาทำให้กิเลสไม่กล้าเข้าใกล้และไม่เกิดอีกในจิต นั่นคือผลสูงสุด
ศัพท์เรียกความรู้ความฉลาดเฉลียวทางโลกรู้ถึงขั้นเป็นศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม
ก็มีธาตุรู้ชนิด เฉโก ทั้งนั้น ภาษาเฉโก ไม่ใช่เป็นคำว่า
แต่เป็นความฉลาดที่ไม่ใช่ความสะอาดบริสุทธิ์ เป็นความฉลาดที่มีกิเลสเข้าไปผสมหรือไปควบคุม
เข้าไปบัญชาการอยู่ เป็นความฉลาดอย่างนั้น ซึ่งไม่ใช่ความฉลาดแบบปัญญา
ปัญญานั้นพอรู้ตัวแล้วฝึกออก เป็นความฉลาดแบบใหม่และมีวิธีแบบใหม่
สามารถที่จะเรียนรู้จิต เมื่อจิตเกิดความฉลาด เฉโก รู้ทัน มีกิเลส จับกิเลสออกได้ เอากิเลสออก ก็เกิดปัญญาเกิดความฉลาดที่ไม่มีกิเลสไปตามลำดับ
จนเด็ดขาดทำให้จิต ไม่มีกิเลสเข้ามาร่วมปรุงเลย
จิตจึงเป็นปัญญาเต็มรูปบริสุทธิ์สะอาด
ถาวรด้วย
เป็นพระอรหันต์ขึ้นไปก็ถือว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถในการทำจิตของตนให้สะอาด
แล้วก็แข็งแรง จนกิเลสใดๆก็ไม่กล้ามารอหน้า ไม่กล้าเข้าใกล้ อย่าว่าแต่เข้ามาในจิตเลย
มาแต่ไกลโน่น พอเห็นเรามา รังสีของปัญญารังสีของพระอรหันต์
กิเลสมันเห็นพระอรหันต์มาปั๊บ เข้ามารัศมีที่มันรับได้ มันวิ่งหนีตูดแป้นเลย
นี่อธิบายเป็นภาษาให้ฟังสนุกๆง่ายๆแต่จริงนะ ที่อาตมาพูดนี้มันจริง
มันมีฤทธิ์มีอำนาจถึงขนาดนั้นนะ พระอรหันต์ที่แข็งแรงจริงๆ
ยิ่งเป็นโพธิสัตว์นี้ยิ่งรู้ดี ก็พูดไปตามที่อาตมาเป็นโพธิสัตว์ ตามที่รู้
อธิบายพูดให้ฟังอย่างนี้
ถ้ายังไม่มีอัญญธาตุ
ก็จะไม่มีพวกนี้เลย อัญญธาตุ เป็นสิ่งที่มนุษย์สามัญไม่เคยมีมาก่อน
โกณฑัญญะเป็นคนแรกที่มี อัญญธาตุ
อันเป็น“ความรู้-ความฉลาด”ที่แตกต่างกันคนละโลก
คนละตระกูลกับ‘ความรู้-ความฉลาด’แบบ“คนโลกียะ”เกิดในจิตของคนผู้นั้นได้เป็นอันขาด
พ่อครูว่า…ธรรมดาในโลกจะไม่มีทางเกิดปัญญาในคนโลกียะได้เป็นอันขาด
ถ้าไม่ได้ยินโลกุตรธรรมจากผู้รู้ผู้ที่มีสัมมาทิฐิในโลกุตรธรรมแล้ว
หรือจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า เกิดเองไม่ได้ ความรู้ปัญญา
แต่เดี๋ยวนี้คำว่าปัญญาไปใช้เละเลยไปเรียก ไปเรียกเฉโกเป็นปัญญาไปหมดเลย
ความรู้ขี้หมูขี้หมาก็เรียกตัวปัญญาไปหมดเลย ความฉลาดหมายถึงปัญญาด้วย
ไม่นึกถึงคำว่าเฉโกนะ เขาว่าเป็นปัญญาหมดที่จริงแล้วมันเป็น เฉโกเท่านั้น เพราะปัญญาจริงๆคือจิตต้องรู้จักกิเลส
รู้กิเลสจริงๆแล้วลดกิเลสได้ ถ้าคุณไม่มีความสามารถรู้จักกิเลส แยกแยะกิเลสได้แล้ว
ทำให้ลดกิเลสได้
คุณก็ยังไม่มีธาตุรู้ตัวที่ทำได้อย่างนั้นจริงๆที่เรียกว่าเป็นธาตุ
รู้ปัญญาคุณจะไม่มีธาตุรู้ตัวนั้นเลย
(๔) ธาตุรู้ที่เป็น “อัญญธาตุ”
เกิดขึ้นในจิตมีลักษณะอย่างไร?
คนผู้มี“อัญญธาตุ”เกิดขึ้นในจิตคือ
คนอย่างไร?
คือ
คนที่ได้ยินหรือได้ฟังหรือได้รู้“พุทธธรรม”อันมีความเป็น“ธรรมแบบโลกุตระ”จาก“ผู้อื่น”
คำว่า“อื่น”บาลีว่า“อัญญ”“อื่น”หมายความว่า
ไม่ใช่ “ตนเอง” หมายถึง“ผู้อื่น”
นั่นก็คือ
“ตนเอง”ที่เป็นคนโลกีย์ทั่วไปทุกคน
แม้จะมี“ธรรมแบบโลกีย์”สูงส่งถึงขั้นเป็น“ศาสดาเทฺวนิยม”ก็จะเกิด“ความรู้”ชนิด“โลกุตระ”ขึ้นมา“เอง”ไม่ได้เป็นอันขาด
พ่อครูว่า…ในปัญญา 8
ปัญญารู้เองไม่ได้ ไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะรู้เอง เทวนิยมไม่เคยพบศาสนาพุทธ
ไม่เคยพบผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ ไม่มีทางที่จะได้ยินได้ฟังได้รู้ปัญญา มีแต่ความรู้
เฉโกทั้งนั้นเลย ต่อให้เป็นศาสดาก็วนอยู่ในความรู้โลกีย์ไม่ใช่ความรู้โลกุตระ
โลกุตระนั้นคือผู้รู้ที่สามารถดับวิญญาณ
เลิกจิตนิยามให้เป็นอุตุเป็นดินน้ำไฟลมไปเลยไม่มีพระ เจ้า ไม่มีธาตุรู้อยู่นิรันดร
หรือทำให้ธาตุจิตไม่มีกิเลสเลย
เป็นคนฉลาดบริสุทธิ์สะอาดเป็นความรู้ที่สะอาดจากกิเลสบริสุทธิ์สะอาดอยู่ในโลก
จึงเป็นผู้ที่มีกรรม การกระทำที่สะอาด เป็นการกระทำที่ประเสริฐ อยู่ในโลก
กิเลสหมดแล้วยังไม่ตาย ก็เป็นคนที่ไม่มีพิษไม่มีภัย มีแต่คุณค่า มีแต่ประโยชน์
มีแต่ความประเสริฐ นี่คือการทำคนให้ดีที่สุดของศาสนาพุทธ และสูงสุดก็คือ ตายสูญได้
หรือจะไม่สูญ จะอยู่เกิดอีก ทำประโยชน์ต่อโลกต่อไป จนกว่าจะพอ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง
จึงจะปรินิพพานเลยก็ได้
(๕)
เป็นอัจฉริยะเป็นถึงศาสดาก็ใช่ว่าจะเข้าถึงโลกุตระ!
ต่อให้ศึกษาด้วยตนเองอย่างสุดยอดอุตสาหะวิริยะปานใดๆจนกระทั่งเป็น“อัจฉริยะ”ขั้นสูงส่ง
ได้เป็น“ศาสดา”องค์ใดองค์หนึ่งของศาสนา“เทฺวนิยม”ขึ้นมาในโลกศาสนาใดศาสนาหนึ่งปานนั้น
ก็ตาม ก็ยังไม่ใช่“ความรู้-ความฉลาด”แบบ“โลกุตระ”
หรือแม้“ความรู้”นั้นจะได้รับมอบมาจาก“พระเจ้า”และเราได้เป็น“ศาสดา”ผู้ถ่ายทอดคำสอนของ
“พระเจ้า” สร้างศาสนาขึ้นมาในโลกได้จริง
“ความรู้-ความฉลาด”นั้นก็ยังเป็น“โลกียธรรม”อยู่นั่นเอง
อันไม่ใช่“โลกุตรธรรม”กันเลยจริงๆ
พ่อครูว่า…การเรียนรู้ภาวะสองหรือเทวะ
เป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก
กระดาษคือภาวะสองหมดกระดาษก็หมดภาวะ 2
(๖) อธิบายเพิ่มเติม ๑) การเรียนรู้ภาวะ ๒
หรือเทฺว เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก!
[ที่เรากำลังสาธยายกันอยู่นี้
ขอยืนยันว่ากำลังแยกแยะ“ความรู้-ความเห็น”ที่แตกต่างกันของ“ภาวะ ๒”คือ“เทฺว”
เป็นคำหลัก
คำว่า
“เทฺว”นี้แปลว่า“๒” ซึ่งเป็น“ภาวะ ๒”ที่ยิ่งใหญ่มากในโลก
และกำลังอธิบาย“ธรรมะคู่เอก” ที่มี“ความแตกต่างกัน”อยู่จริงนิรันดร ได้แก่“โลกียธรรม” กับ “โลกุตรธรรม”
พ่อครูว่า…ถ้าใครชัดเจน
รู้ทะลุคำว่า เทวะ ได้ครบสมบูรณ์แบบเลย
จนสามารถทำความเป็นเทวะสิ้นไปจากตัวเองได้เลย ภาวะ 2 ไม่มีภาวะ 2 เลยเข้าใจ 2
ได้ดีหมด สามารถที่จะสรุปสอง 2 เป็น 1 ได้ ที่สุดเป็น 0 ได้เลย ทุก 2
เอามาเปรียบเทียบกัน ง่ายๆก็คือ มีภาวะ 2 เอามาเทียบกันแล้ว อะไรควรกว่า ดีกว่า
เหนือกว่าเอาอันนั้น ง่ายๆจะเป็นอย่างนี้ อีกอันหนึ่งก็คือไม่ดีเท่า เก๊
ไม่สมบูรณ์ไม่บริบูรณ์ เอา 1 สำหรับความมีสำหรับการเป็นอยู่ แม้ที่สุดรู้ว่า 1
นี้ก็ไม่ใช่อัตตาตัวตน 1 ก็สลายเป็น 0 เป็นดินน้ำไฟลมไม่ได้
นี่คือจบสุดของศาสนาพุทธเป็นถึงขนาดนั้นได้ถึงขนาดนั้น
ซึ่งก็คือ
ความจริงของ“เทฺว” หรือ“ภาวะ ๒” สุดยอดยิ่งใหญ่ของมนุษยชาติในโลก
การสาธยายนี้เป็นวิชาการ
จึงไม่ใช่การก่อความแตกแยก
แต่เป็นการแยกแยะ“ความจริง”
หรือทำความชัดเจนของ“ธรรมะ
๒” ที่เป็น“โลกียะ”กับ“โลกุตระ” อันมีจริงเป็นจริงอยู่ในโลกนิรันดร
ให้มนุษยชาติอาศัยและศึกษา“เทฺว”กันอย่างมีที่สุดของ“จริง”
และมีที่“จบ”ของสุด
“เทฺว”จึงชื่อว่า
“ยิ่งใหญ่”สุดๆในโลก ทั้ง“จริง”ทั้ง“จบ”
นั่นคือ
คนในโลกตลอดกาลนาน
พ่อครูว่า…คนในโลกถ้ายังไม่มีความจริงความจบก็ยังไม่สูงพอ
ไม่มีความรู้ความฉลาดอะไรจะเกิน เมื่อคุณถึงจุดจริงและจุดจบ
(๗)อธิบายเพิ่มเติม ๒) ทุกปรากฏการณ์มีภาวะ ๒
หรือธรรมะ ๒ ทั้งหมดทั้งสิ้น!
ซึ่งจะมีผู้เชื่อถือความเป็น“เทฺว”กับผู้เชื่อถือความเป็น“อเทฺว”
อันคือ“ภาวะ
๒” ที่คนต้องมี-ต้องเป็น“โลกียะ”กับ“โลกุตระ”นี่แหละในความเป็นมนุษย์
เลี่ยงไม่ได้เลยใน“ความเป็นจริง”นี้
พ่อครูว่า…โลกุตระรู้โลกียะด้วย
แต่โลกียะไม่บังอาจไปรู้โลกุตระได้ เป็นความรู้เดียวไม่เป็นความรู้ 2
และโลกุตระเป็นความรู้ 2 นี่แหละคือความเป็นมนุษย์
คนที่เป็นอิสระ
ทางเทวนิยมเป็นศาสดาเขาก็ว่าเขารู้เต็มที่
ทำให้คนเชื่อถือได้จนคนยอมรับว่าเขาเป็นผู้ที่รู้ที่สุด
เป็นที่หนึ่งก็มีอิสระสูงสุด เป็นเจ้าของหรือเป็นผู้รู้สุดยอดของกลุ่มหมู่ขณะนี้
ไม่ว่าจะเป็นศาสนากลุ่มไหนมีศาสดาเป็นเอกทั้งนั้น ศาสดาเป็นหัวยอดของคนกลุ่มนั้น
คนกลุ่มที่ยอมรับนับถือก็ยกให้เป็นหนึ่ง
แม้โลกุตระก็เช่นเดียวกัน
ยกยอดให้พระพุทธเจ้าเป็นหนึ่ง แต่ที่นี้ในรายละเอียดของความรู้ของพระศาสดา
ศาสดาของเทวดานิยม ศาสดาของอเทวนิยมหรือของศาสนาพุทธ
จะมีนัยยะความรู้ความฉลาดต่างกัน
โลกียะหรือเทวนิยมไม่สามารถมีความรู้ที่ต่างเป็นอันอื่นจากที่โลกีย์มีที่ศาสดามี
นั่นแหละ อัตตาเขา ส่วนโลกุตระนั้นรู้ทั้งของที่ศาสดาโลกียนั้นมี
คือดีที่สุดของคนหรือชั่วที่สุดของคนรู้ความดีความชั่ว
แต่โลกีย์จะไม่รู้เรื่องสุขที่สุดทุกข์ที่สุด ว่าคืออะไร เพราะสุขที่สุดทุกข์ที่สุดนั่นคือมาร
คือมายา คือนักเล่นกลตัวเก่ง ที่แม้แต่พระเจ้าก็ยังหลงนักเล่นกลอยู่คือความสุข
ยังเป็นส่วนหนึ่งของมาร
พระเจ้ายังเป็นส่วนหนึ่งของมารคือยังยึดสุขอย่างเป็นสุขนิยม
แต่พระพุทธเจ้านั้นหมดเลยสุขก็ไม่เหลือค่า
มันเลยตัดยอดรายเดือนของมารที่มาสร้างขึ้นมาในโลก มหาจักรวาลนี้
ล้างบางของมารหมดเลย ไม่เหลือที่อาศัยแม้แต่เรือน อย่าว่าแต่ตัวตนเลย
เรือนที่อาศัยของมันหมดตัวตนของมารก็หมด ไม่มีอะไรเกิดอยู่ในมหาจักรวาลเอกภพนี้เลย
หมดสิ้นมาร หมดสิ้นสุขสิ้นทุกข์
เป็นอจินไตย
ไม่ใช่เรื่องที่จะคาดคิดคะแนนเอาได้คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกหรอกไม่สุขไม่ทุกข์
พวกที่ไปนั่งหลับตาทำฌาน ก็เป็นไม่สุขไม่ทุกข์แต่เป็นไม่สุขไม่ทุกข์แบบ กิณหา
หรือไม่สุขไม่ทุกข์แบบอาภัสรา แบบสว่างแบบมืด กิณหามืด อาภัสราสว่าง ก็มีสองนัยนี้
แบบสว่าง
ก็ใช้ปฏิภาณฉลาด ทำให้จิตใจเราไม่สุขไม่ทุกข์ แต่เขาก็ยังสุขอยู่ ยกตัวอย่างเช่น
ติชนัทฮัน อย่าไปนึกถึงความขุ่นข้องหม่นหมอง ให้นึกถึงความเบิกบานใจ
ความหม่นหมองความไม่สบายอย่าไปเอา ให้อยู่กับปัจจุบันสบาย เขาก็ยึดอารมณ์ ยึดอาการ
ทำใจในใจแบบนั้น ไม่ได้หยั่งเข้าไปถึงเนื้อหาจิต ที่มันมีตัวกิเลสตัวความโง่
ตัวที่ไม่รู้จักพลังงานที่แทรกอยู่ในจิตแล้วล้างตัวนี้
จนเกิดปัญญาอันยิ่งรู้ชัดเลยว่า อ๋อ.. มีธาตุปัญญาอันยิ่งรู้จบแล้ว
ไม่ให้ตัวพวกสุขพวกนี้อยู่ได้เลย จิตก็กลางๆ เกิดจากสังขารเกิดจากสิ่ง 2
สิ่งปรุงแต่งกันอยู่เป็นธรรมชาติ เรียกมันว่าจิตหรือวิญญาณ
ก็เรียนรู้ได้ด้วยนามรูป พยายามแยกเป็นธาตุ 2 มีสิ่งหนึ่งเป็นสิ่งที่ถูกรู้
อีกสิ่งหนึ่งเป็นธาตุรู้คือตัวเรา แล้วมันก็เกิดอารมณ์ 2 เมื่อมีผัสสะก็มีอายตนะ
เกิดเวทนา ตามหลักปฏิจจสมุปบาท แล้วมันก็เกิดเป็นสุขเป็นทุกข์อยู่ในเวทนา
ก็ล้างเหตุในเวทนา ธรรมทั้งสองเหล่านี้ รวมเป็นอันเดียวกันกับเวทนา โดยส่วนสอง
(เทฺว ธมฺมา ทฺวเยน เวทนาย เอกสโมสรณา ภวนฺติ ฯ )
ล.10 ข.60 ทำอันนี้ได้สมบูรณ์แบบจบเป็นพระอรหันต์
เมื่อมีอะไรมากระทบจิต
ทำให้จิตที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์ มีกิเลสอย่างหยาบ กลาง ละเอียด ก็เรียนรู้กิเลสหยาบ
กลาง ละเอียด แล้วล้างให้หมด ล้างหมดได้แล้วก็ถาวรยั่งยืนเป็นจิต ปริสุทธา
ปริโยทาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา ไปถาวรเป็นอุเบกขาไปตลอดกาล เป็นอรหันต์
อรหันต์คือผู้มีอุเบกขา 5 นี้ตลอดไป ไม่เว้าแหว่งไม่แวะ
เป็นอย่างนี้ถาวรคงทนยั่งยืนตลอดกาล อรหันต์ ไม่มีมัวหมอง ไม่มีสิ่งสุขสิ่งทุกข์
เข้าใจอาการของสุข อาการของทุกข์ดีที่สุด ไม่บกพร่อง ไม่มีเศษของอาการสุขนิดนึง
อาการทุกข์นิดนึงก็ไม่มี โดยเฉพาะเหลือแต่สุขนิดนึงก็ไม่เหลือ หมดสุขหมดทุกข์
เพราะทุกข์กับสุขจริงๆมันอันเดียวกัน มันกระดาษแผ่นเดียว
คุณจะเอาอันใดอันหนึ่งไม่เอาอันใดอันหนึ่งไม่ได้ จริงๆมีกระดาษ 2 หน้า
เท่ากับไม่มีกระดาษ 2 หน้านี้ ที่มีอยู่ก็คือมันต้องมีกระดาษ 2 หน้า
ถ้าคุณไม่ให้มีกระดาษ 2 หน้าก็คือไม่มีเลยทั้งหน้าไหนก็ไม่มี นี่เป็นภาษาจบ
ถ้าคุณมีคุณต้องมีกระดาษ 2 หน้า แต่คุณไม่มีกระดาษ 2 หน้าคุณไม่มีอะไรเลย
กระดาษคุณก็ไม่มี
พวกเราฟังอาตมาพูดนี้ยิ่งกว่าพวกเซนเรียนกัน เขาเรียก
โกอาน คำคมๆ
งามดีมากว่า...ถ้ามีเป็นเสือจริง
ไม่มีเป็นเสือกระดาษ
พ่อครูว่า…ไม่มีเสือจริง
เป็นเสือพลาสติกได้ไหม บางใส แต่ 2 หน้านะ
(พ่อครูไอตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม...พ่อครูพยายามสอนโลกุตระ
อธิบายนักเรียนที่มีทุกระดับในห้อง
แม้ปุถุชนคนที่ไม่นับถือกระทั่ง“พระเจ้า”
เขาไม่นับถืออะไรเลยก็ตาม ก็เป็น“ตัวเขาเอง”
เป็น“อิสระ”ของเขาเองทั้งนั้นที่เขาจะยึดจะถือ
เพราะที่สุดเขาก็คือ“ตัวเขาเอง”ที่เลือกเองทั้งสิ้น
เพราะ“ตนเอง”เป็น“ตนเอง”
ไม่ได้เป็นอะไรของใครเลยจริงๆ
“ความอิสระ”จึงเป็นของตนเองแท้ๆ
ไม่มีใครเป็น“เจ้า* เป็นนายเราได้“จริง”หรอก
นอกจาก“ตนเอง”จะเลือก
หรือยอมเอง
พ่อครูว่า…ถ้าคุณว่าคุณรู้เองแล้วมีคนมายอมรับมากๆก็เป็นศาสดา
แต่พระคุณพระคุณดูเองแล้วแต่ไม่มีใครไม่ยอมรับ คนนี้ก็เป็นคนบ้าหลงตัวเองบ้าๆบอๆ
ให้ไปดูที่ศรีมหาโพธิ์มีเยอะ
การเมืองสุดยอดคือรับใช้อย่างไร้ตัวตน
(๘) อธิบายเพิ่มเติม ๓) อุดมการณ์ของศาสนาพุทธ!
ศาสนาพุทธ
ไม่สอนคนให้ทำตนเป็น“เจ้า” หรือ“หลงตน”ว่าเป็น “เจ้า“เป็น“นาย”ใคร
มีแต่สอนให้เป็น“ผู้รับใช้”หรือเสียสละช่วยผู้อื่น (อย่าทำตนเป็น“ผู้รับจ้าง”เด็ดขาด)
มันเป็นความสุดยอดแห่งความเป็นคุณค่าของความเป็นคน ที่ไม่ถือตัวตน
พ่อครูว่า…นักการเมืองน่าจะเรียนรู้
แต่นักการเมืองมักบอกว่าผมจะไปรับใช้ประชาชนซึ่งไม่จริงหรอก
ต้องมาศึกษาศาสนาพุทธจริงๆจึงจะไม่มีตัวตนได้คนนี้คือนักการเมืองตัวเอก
อย่างอาตมาเป็นนักการเมืองตัวเอก
พวกคุณเป็นนักการเมืองชั้นสูง ไม่ต้องไปวุ่นกับพวกนั้นหรอก พวกนั้นยุ่งชิบหายเลย
พวกเราเป็นนักการเมืองในประเทศและต่างประเทศได้แล้ว
เพราะพวกเราเป็นนักการเมืองที่เป็นนักประชาธิปไตยที่ดีที่สุด
และก็ปฏิบัติประพฤติอยู่ในสังคมในโลก โดยไม่ต้องเป็นภาระของรัฐบาล ไม่ต้องเป็นภาระของผู้บริหารต่างๆ
เพราะเราทำตนเป็นพลเมืองที่ดีที่สุดแล้ว
ผู้สำเร็จธรรมะพระพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์เป็นพระอาริยะแล้ว สบายแล้ว
ไม่เป็นภาระของการบริหารประเทศ ผู้บริหารไม่ต้องห่วง สบาย
นี่ไม่ใช่พูดเอาดีใส่ตัวแต่พูดความจริง
อาตมาก็สบายใจตรงที่ว่าอาตมาได้ช่วยชาติ
ช่วยตรงที่ทำให้คนเป็นคนมีภูมิปัญญาพุทธศาสนาที่เป็นโลกุตระ
จึงเป็นคนที่อยู่ในสังคมประเทศ เป็นมวลประชาชนของประเทศที่ไม่มีภัยไม่มีโทษ
ไม่เป็นตัวก่อความวุ่น แต่เป็นคนช่วย ไม่ว่าจะช่วยทางเศรษฐศาสตร์ ช่วยทางรัฐศาสตร์
ช่วยทางสังคม สมบูรณ์แล้ว อาตมาทำงานนี้ได้ช่วยประเทศอย่างหนึ่งโดยไม่เคยรับเงินเดือน
แต่ก็ช่วยคนได้ เป็นพลเมืองของประเทศจำนวนเท่าไหร่ก็เท่านั้น
แล้วก็พยายามขยายเพิ่ม คนที่ฟังรับได้เข้าใจก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ที่ได้แล้วก็เป็นแก่นแกนของสังคมของประเทศไป
ศาสนาพุทธ
ไม่สอนคนให้ทำตนเป็น“เจ้า” หรือ“หลงตน”ว่าเป็น “เจ้า“เป็น“นาย”ใคร
มีแต่สอนให้เป็น“ผู้รับใช้”หรือเสียสละช่วยผู้อื่น (อย่าทำตนเป็น“ผู้รับจ้าง”เด็ดขาด) มันเป็นความสุดยอดแห่งความเป็นคุณค่าของความเป็นคน ที่ไม่ถือตัวตน
ใครจะยกย่องให้ตนยิ่งใหญ่สูงส่งอย่างไรแค่ไหน
ก็ไม่“หลงตน” ไม่ถือตนว่าตนเป็นใหญ่ แล้วข่มผู้อื่น หรือเบ่ง
แม้เราจะใหญ่จริงสูงจริง
เราก็แค่ผู้มีประโยชน์ก็ประเสริฐแล้ว ดีแล้ว
เราก็เป็นแค่“คนดี”ในโลกที่มีประโยชน์ต่อผู้อื่นจริง สามารถทำงานให้แก่ผู้อื่นได้
เกิดประโยชน์ขึ้นมาแก่คน แก่สังคม แก่โลกตามจริง มันก็ดีแล้ว
พ่อครูว่า…คนเราได้แค่ที่อาตมาพูดไปนี้ดีสุดแล้ว
เป็นผู้รับใช้โดยไม่มีตัวตนนี้สุดยอดแล้ว
(๙) อธิบายเพิ่มเติม ๔) เป็นผู้รับใช้นี่แหละ
ดีเลิศสุดยอดแล้ว!
คนเราได้แค่นี้แหละดีที่สุดแล้ว
อย่าหลงอยากได้อะไรมาเลอะตนเองไปกว่านี้เลย
พ่อครูว่า…คนที่มีชีวิตอยู่อย่างรับใช้ผู้อื่น
โดยไม่ได้เอาอะไรให้แก่ตัวเองเลย อาศัยให้คนอื่นเขาเลี้ยงดูแลว่า ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา ทุกวันนี้อาตมาสบายๆ ให้คนอื่นเขาเลี้ยงดูแลไว้
เราก็ดูแลตัวเอง พยายามทำงานรับใช้ผู้อื่นไป งานที่จะรับใช้สูงสุด
ก็มาสอนความรู้ความจริงนี่แหละ พาประพฤติ พาทำด้วย
อาตมาตอนนี้อายุมากแล้วก็ไม่ค่อยได้พาทำ ได้แต่พูดแต่สอน
คนที่ยังมีเรี่ยวมีแรงยังรับช่วงต่อจากอาตมาก็ไปช่วยทำอยู่ไปตามลำดับ
ก็สืบทอดกันไปตามเวลา
“เรา”ได้มีประโยชน์แก่คน
เราได้“รับใช้”คน นี่ดีสุดแล้ว
แต่อย่าทำตนเป็น“คนรับจ้าง”เป็นอันขาด
“ผู้รับใช้”
กับ “ผู้รับจ้าง” เป็น“ภาวะ ๒”หรือ“เทฺว”คู่หนึ่งที่มีความสำคัญยิ่ง
มีนัยะลึกซึ้งในความแตกต่างกันยิ่งๆ
พ่อครูว่า…ผู้ที่ได้รับค่าจ้าง
1. เป็นเงินทอง
2. เป็นการปูนบำเหน็จเป็นตำแหน่งลาภยศ
3. ไม่มีทั้งทรัพย์สินเงินทองให้
ไม่มีทั้งยศฐาบรรดาศักดิ์ แต่ให้สรรเสริญ ให้คำยกย่องเชิดชู
4. ไม่มีทั้งสรรเสริญยกย่องเชิดชู ไม่มีทั้ง 1 2 3
เลย ลาภก็ไม่ได้รับ ยศก็ไม่ได้รับ สรรเสริญก็ไม่ได้รับ แต่ยังยึดความสุขอยู่
ทำแล้วก็อาศัยความสุข ก็ยังไม่ใช่ผู้ที่หมดตัวหมดตน ยังมีโลกธรรมอยู่
อาการสุขที่คุณยังยึดอยู่เป็นอย่างไร
อาการที่คุณยังยึดสรรเสริญเป็นอย่างไร ยึดในยศศักดิ์ ยึดขั้นตอนว่าชั้นสูงนะ
เขาไม่ได้มาปูนบำเหน็จให้ยศคุณหรอก แต่อย่างอาตมาเขาปูนบำเหน็จให้เป็นพ่อครู
อาตมาก็ต้องรู้ตัวว่าเป็นพ่อครูจริงไหม เป็นพ่อครูจริง
แต่อาตมาไม่ได้ไปติดในรสว่าเป็นพ่อครู ต้องมีอำนาจบาตรใหญ่เขากลัว ไม่ใช่
พ่อครู คือผู้สอน คือผู้บอกความจริงจบ
ใครจะมาเอาก็เอา ใครไม่เอาก็เป็นตัวใครตัวมัน
“ผู้รับใช้”
กับ “ผู้รับจ้าง” เป็น“ภาวะ ๒”หรือ“เทฺว”คู่หนึ่งที่มีความสำคัญยิ่ง
มีนัยะลึกซึ้งในความแตกต่างกันยิ่งๆ
(๑๐) อธิบายเพิ่มเติม ๕)
พ่อท่านออกตัวมีแต่เจตนาดี อย่าเอาทิฏฐิมาปิดกั้นความรู้นี้!
อาตมาพยายามอธิบาย“ความแตกต่าง”
ไม่ได้ทำความแตกแยกให้เกิดแก่ใครดอกนะ!
หากผู้ใดรู้สึกว่า
เป็นการก่อความแตกแยกก็ดี เป็นการยกอันนั้นข่มอันนี้ก็ตาม ขอให้ทำความเข้าใจให้เป็นกลางๆเถิด
ว่านี้คือ“ความจริง” ที่คนยึดถือกันในโลก ที่เป็นจริง ปฏิเสธไม่ได้
ก็อยู่แต่ว่าใครจะยอมรับนับถือ
เชื่อถือ“โลกยะ”หรือ“โลกุตระ” อย่างใด-แบบใด”เท่านั้น
ซึ่งเป็น“สิทธิ”อันสัมบูรณ์ของแต่ละคน
เป็น“ความอิสระ”ของแต่ละคนจริงๆ
พ่อครูว่า…เพราะฉะนั้นใครที่ไม่ยึดสอง
เห็นความจริงที่อาตมาพูดนี่เป็นหนึ่งเดียว คนนั้นก็มีความเห็นตรงกับอาตมา
แม้ฟังคำสาธยายของอาตมาเข้าใจก็จะตรงกันเป็นหนึ่งเดียวตลอดเลย
แม้คำภาษาอาจจะยังไม่เข้าใจอยู่ เป็นแต่เพียงติดขัดว่าภาษานี้เราไม่เข้าใจ
แต่เขาจะไม่ขัดแย้ง จะทำความรู้กับภาษานั้นแล้วจะรู้ว่าทัศนะนี้หมายถึงมิตินี้หมายถึงนัยยะอย่างนี้มุมเหลี่ยมนี้
แม้แต่ชาวพุทธ
ก็ฟัง อันนี้โลกียอันนี้โลกุตระ แม้จะเห็น 2 อย่างแล้ว
แต่ถ้าแต่ละคนยังไม่เป็นพระอรหันต์ตรงกัน คุณก็ยังแย้งกัน
จะแย้งกันด้วยสาระสภาวธรรมหรือจะแย้งกันด้วยพยัญชนะก็ตาม
(๑๑) อธิบายภาวะ ๒
ระหว่างโลกียะกับโลกุตระแตกต่างกันตรงไหน
ทีนี้ก็มาสาธยายต่อไป
ถึงเรื่อง“โลกียะ”กับ“โลกุตระ”นี้แหละ เป็นเรื่องสุดยอด
ซึ่งก็คือ“ภาวะ
๒”เรื่อง“เทฺว”แท้ๆนะ!
เพราะ“ความรู้-ความฉลาด”ของคนในโลกนั้นยังเป็นแบบ“โลกียะ”
เป็น“เทฺวนิยม”นี่แหละมาก มีอยู่ตลอดกาลนาน
ยังไม่ใช่“อเทฺวนิยม” ยังไม่เป็น“โลกุตรธรรม”
พ่อครูว่า…การรู้ธรรมะเรียนรู้แค่ธรรมะ
2 นี่แหละโลกียะกับโลกุตระ ถ้าไปเรียนรู้แค่โลกีย์คุณก็เรียนรู้ความดีความชั่วแล้วก็ทำดีให้ได้ดีสูงสุด
อย่าทำชั่วเลย ให้ได้ ไม่ทำชั่วได้จริงๆทำแต่ดีก็สูงสุดแล้ว
แต่ไม่รู้ถึงเบื้องลึกถึงจิต เจตสิก รูป นิพพาน
ไม่สามารถแยกแกเข้าไปถึงเนื้อหาสภาวะของปรมัตถธรรม หรือจิตทั้งหลาย ไม่รู้
ไม่สามารถที่จะรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่รู้แยกไม่ได้ โลกียะจะแยกไม่ได้
ขอจำนนต่อจิตวิญญาณมีนิรันดร ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าจิตก็จะเป็นอนัตตาได้
ไม่มีตัวตนจริงๆได้เป็นมายา แต่อาศัยจนกระทั่งเหนือกว่ามายานั้น
เหมือนอย่างพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า มายาหรือมาร เราหักเรือนยอดเธอแล้วมาร ไป
มารก็ไม่มีที่อยู่ที่อาศัย ไม่มาตอแยอีก
อาตมาเป็นนัก
ประชาธิปไตย ชั้น 1 เป็นผู้รับใช้ แต่ไม่ไปรับใช้พวกที่หยำฉ่า มันเสียของเละเทะ
เอามารับใช้ผู้ที่มีสัมมาทิฏฐิ ตั้งใจจริงยินดีจะมา โดยไม่ได้สงวนสิทธิ์
อาตมาก็กระจายไปทั่วมีทั้งโทรทัศน์และอย่างอื่นกระจายไป
ใครเห็นดีก็มาเอาเองเป็นอิสรเสรีภาพ อย่างพวกคุณแต่ละคนมานั่งศึกษาฟังอยู่นี่
อิสระของพวกคุณเองทั้งนั้น คุณมา ไม่ได้บังคับไม่ได้หลอกล่อ ไม่ได้อ่อยเลย
ความจริง
โลกุตระมีจุดสำคัญอยู่ที่จัดการเวทนาให้เป็น 0
(๑๒) รู้แบบนี้คือโลกียะ
นั่นคือ
ยังเป็น“ความรู้่-ความฉลาด”ที่ไม่มี“นิพพาน”
ไม่มี“สุญญตา”
ไม่มี“อนัตตา”
ไม่สามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“วิญญาณ”
หรือความเป็น“เทฺว”อย่างบริบูรณ์สัมบูรณ์
ยังเชื่อว่า“วิญญาณ”หรือ“อัตตา-อาตมัน”มีอยู่นิรันดร
(๑๓) แต่รู้แบบนี้คือโลกุตระ
จึงไม่สามารถจัดการความเป็น“วิญญาณ”หรือ“เทฺว”
จนกระทั่งรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน“ความรู้สึก(เวทนา)”ของตนว่า“ไม่มีสุข-ไม่มีทุกข์ในจิต”
พิสูจน์ได้ว่า
มันคือ“มายา”ที่เราหลงเป็นทาสมัน เราสามารถ
หมดสิ้น“สุข-ทุกข์”ในความ“กิเลสกาม”ได้แท้ๆ นั่นคือ
จิตเป็น“เนกขัมมสิตอุเบกขา”ได้จริง เป็นต้น
และที่สำคัญที่สุดคือไม่สามารถ“สิ้นสุด“วิญญาณ”ของตน
ถึงขั้น“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ได้สำเร็จ
ความรู้“โลกุตระ”ของพระพุทธเจ้าซึ่งชื่อว่า
ศาสนาที่รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“เทฺว” จนกระทั่งสามารถทำให้เป็น“อเทฺว”ได้สำเร็จ
พ่อครูว่า…สุดยอดเลยความรู้ของพุทธเจ้า
รู้ว่าจุดสำคัญอยู่ที่เวทนา
ถ้าเรียนรู้เวทนาตีแตกสุขทุกข์ได้ แล้วเปิดเผยเลยว่าเจ้าสุขทุกข์
เอ็งเป็นมารยา อย่ามาเสนอหน้า ข้ารู้ทันเจ้าแล้ว เจ้ามายาวิ่งตูดแป้นหนีไปเลย
อันนี้เรื่องจริง
เพราะฉะนั้นคนใดที่ชัดเจนในความสุขความทุกข์
แล้วไม่ติดในความสุขความทุกข์ จบเลยเรื่องจิตวิญญาณ ไม่ใช่ภาษาพูดเล่นเท่านั้น
ต้องรู้จักอาการ ลิงค นิมิต ของอาการสุขอาการทุกข์ รู้ลักษณะของบวกกับลบ
ถ้าสุขเหมือนบวก ทุกข์เหมือนลบ แต่ที่จริงซับซ้อนกันเป็นสิริมหามายา
ทุกข์นั้นเป็นบวก สุขนั้นเป็นลบ เห็นว่าเอ็งโผล่แต่หน้าสุขมาหลอกข้า จับได้
ที่แท้เอ็งแท้ๆคือทุกข์ หน้าจริงๆของเอ็งคือทุกข์ แต่หน้าที่เอามาหลอกข้าคือหน้าหลอกว่าสุข
เอ็งอย่ามาหลอกข้าเลย เอ็งไม่มีตัวตนหรอก อย่ามาทำให้ข้าหลงว่าจะต้องเป็นสุข มีสุข
อย่ามาหลอก สุขทุกข์ไม่มีตัวตน
ผู้ที่ชัดเจนเข้าใจอย่างนี้จริงๆ
ก็เรียนรู้อารมณ์ของตัวเองที่เป็นเวทนา ว่ามันยังติดในความสุขความทุกข์ คุณก็ไม่จบ
ถ้าหมดจริงๆอ่านอาการแล้วทำอาการของจิตให้ไม่มีสุขไม่มีทุกข์ได้จริงๆเลย
เป็นสภาวะธรรมที่ละเอียดลออบางเบาสูงสุด
ทำได้แล้วมันก็จบในความเป็นจริงของสัตว์โลก คนที่ไม่มีติดสุขติดทุกข์เท่านั้นแหละ
จะเป็นคนที่มีปัญญาเปิดโลก เปิดเอกภพ เปิดมหาจักรวาลเลย จะรู้ทุกอย่างเลย จะเข้าใจว่ามนุษย์อยู่ด้วยกันปรุงแต่งตั้งแต่
2 หน่วย 3 หน่วย 4 หน่วย 5 หน่วยเป็นสังขาร เป็นวิญญาณ เป็นนามรูป เป็นอายตนะ
เป็นผัสสะ เป็นตัณหา ตัวแส่หาทั้งหลายแหล่ ไม่เคยหยุดหย่อนเลย
เสร็จแล้วพักหยุดบ้าง แต่เวลาพักก็ไม่ได้หยุดสนิท พักก็ยังปรุงอยู่นั่นแหละเป็นอุปาทาน
สุดท้ายก็เลย ศัพท์เรียก ภพ ชาติ ภพคือแดน ชาติคือตัวเกิด เป็นคู่สุดท้าย
ดับภพก็ดับชาติ ดับชาติก็ดับภพ ดับอุปทานก็ดับตัณหา ดับตัณหาก็ดับอุปาทาน
อายะ 3 ของพุทธสุดประเสริฐ
เรียนรู้ตัว
2 ได้จากเวทนา ดับได้ ทั้งสุขทั้งทุกข์ในเวทนา จบ แล้วคุณจะเป็นผู้รู้โลกหมด
โลกวิทู เพราะรู้อัตตา ทำลายอัตตา จบ โลกวิทูก็รู้ด้วย
สุดท้ายมีชีวิตอยู่ด้วยโลกานุกัมปายะ อยู่ด้วย อายะ 3
พหุชนหิตายะ(เพื่อหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก)
พหุชนสุขายะ(เพื่อความสุขของหมู่มวลมหาชนเป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ(รับใช้โลก
ช่วยโลก) อยู่กับมวลชน
ทำประโยชน์ให้เขาทำให้คนเขาอยู่กันอย่างสงบสุข เขาติดในความสุขก็ทำให้สงบให้ได้ จนไม่ต้องติดในความสุขความทุกข์เลยสูงสุด
เราก็มีหน้าที่รับใช้โลก โลกานุกัมปายะ
ผู้ที่รู้ตัวแล้วว่าตัวเองไม่มีตัวตนคือผู้รับใช้โลกจริงๆ
เป็นนักการเมืองตัวยิ่งใหญ่จริงๆ
ในหลวงรัชกาลที่
9 ของเรา ทรงงานตลอดพระชนม์ชีพ รับใช้มนุษยชาติ มีความรู้ความพากเพียรความขยัน
ทรงงานด้วยความขยันอุตสาหะตลอดพระชนม์ชีพ ตั้งแต่รับเป็นพระเจ้าแผ่นดิน 70 ปี
ทรงงานตลอด 70 ปีรับใช้ประชาชน จนรู้กันทั่วโลก เป็น King of Kings
เป็นพระเจ้าแผ่นดินจริงๆ เป็นพระเจ้าที่อยู่บนแผ่นดิน ทำงานให้แก่โลก
สร้างสรรให้แก่ทุกสิ่งทุกอย่างให้มวลมนุษย์โลก พระเจ้าแห่งแผ่นดิน
แต่ก็ไปละลาบละล้วงประเทศอื่นไม่ได้ก็ทำอยู่ในประเทศไทย จนได้รับความยอมรับ
เป็นความยอมรับว่า
พระองค์เป็นผู้ที่เป็นผู้รับใช้มวลมนุษยชาติอย่างแท้จริง
เป็นนักการเมืองตัวอย่างที่สูงสุดไม่ถือองค์ ไม่ถือตัว
พูดไปแล้วพวกนักการเมืองทั้งหลายแหล่ก็ฟังไป
ในหลวงนี่
มีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์บอกว่า มาบริหารประเทศโดยมาสอนให้คนมาจนกัน
อย่าไปแข่งอย่างอย่างโลกๆ บ้าๆบอๆ (แต่ท่านไม่ได้ตรัสบ้าๆบอๆนะ
ท่านเป็นผู้ดีอาตมาพูดเติม) แต่พูดพวกนี้มั่นใจว่าให้พวกเราเข้าใจง่ายเพิ่มขึ้น
ก็ยอมที่จะพูดอย่างนี้ อาตมาอยู่ในฐานะพูดได้ แต่ในหลวงท่านตรัสอย่างที่อาตมาพูดไม่ได้หรอก
ท่านตรัสว่าต้องมาบริหารประเทศแบบคนจน
สู่แดนธรรม...พ่อท่านกำลังอ่านหนังสือเปิดยุคบุญนิยม เล่ม 2
ก็มีคนถามมาบ่อยว่า ทำไมเขายังไม่ได้รับหนังสือ
ทางสำนักพิมพ์กลั่นแก่นว่ากำลังทยอยจัดส่ง
พ่อครูว่า…ในหลวงท่านตรัส
ท่านเป็นโพธิสัตว์ที่แท้จริง ถ้าท่านไม่เป็นโพธิสัตว์จะไม่มาตรัสอย่างนี้หรอก
ไม่มีหรอกในโลก พระเจ้าแผ่นดิน ประธานาธิบดีหรือนายกที่ไหนในโลก ที่จะมาบอกว่า
ให้เรามาบริหารประเทศด้วยความจน จะต้องพาให้มาเป็นคนจน
ต้องทำตนให้รู้จักความจนแล้วมาเป็นคนจนให้ได้จริงๆ
จนคืออะไร
จนคือไม่มีทรัพย์มาก ไอ้ที่ไม่มากที่สุดก็คือเป็น 0 ที่นี้จะเป็น 0
ได้ก็คือจะต้องมีคณะ มีกลุ่มหมู่ มีสาธารณโภคี
เพราะฉะนั้นคนที่อยู่ในสังคมสาธารณโภคีไม่ต้องสะสมอะไรเป็นของตัวเองเลย 0 มีอยู่
มีกิน มีใช้กับของส่วนกลาง ซึ่งโลกทั้งโลกเขาก็แสวงหาระบบที่จะทำให้เป็นสาธารณโภคี
ประชาธิปไตยก็ตาม
คอมมิวนิสต์ก็ตาม ต้องการให้เป็นสาธารณโภคีให้ส่วนกลางเป็นของส่วนกลางจริงๆ
แล้วส่วนกลางนี่แหละ คุณอาศัยกินใช้ ในแต่ละคนไม่ต้องห่วงเลย
อาศัยส่วนกลางมีกินมีใช้พอกินพอใช้ในชีวิต
ส่วนกลางก็ช่วยกันบริหารส่วนกลางจนอย่าให้มันขาดมือสะดุดขาดแคลน
ไม่มีกินไม่มีใช้ไม่อิ่มไม่เต็มไม่มีความอุดมสมบูรณ์
ไม่โง่ที่จะเอาแรงงานไปใช้กับสิ่งไม่เป็นสาระ
ผู้สามารถจัดสรรให้รู้จักสร้างปัจจัยของชีวิตได้สมบูรณ์พอ
มีทั้งเครื่องอาศัยทั้ง 4 มีทั้งบริขารองค์ประกอบให้สมยุคสมัยสมฐานะ
เอามาใช้ทำงานได้เจริญช่วยอยู่
ไม่ได้เป็นคนถ่วงโลกไม่ได้เป็นคนมาเป็นภาระและเป็นคนมีพลังงานมีความสามารถสร้างสรรค์อยู่ในโลก
แล้วเราก็อาศัยกินอาศัยใช้โดยไม่ต้องยึดว่าเป็นของเรา
อาศัยใช้อาศัยกินกับของส่วนกลางนี่แหละ
โดยไม่ต้องไปกังวลเลยว่าจะต้องมีเงินสะสมหรือไม่สะสมขาดมือหรือไม่ขาดมือ
มีกินมีใช้อยู่อย่างสมบูรณ์ มันเป็นเศรษฐศาสตร์ที่สมบูรณ์ที่สุด ดีที่สุด
เพราะต้องเข้าใจว่าทุกคนจะต้องอย่าสะสมให้แก่ตัวเอง
มาเป็นคนที่จน แต่เป็นคนขยันเป็นคนที่ทำงานการสร้างสรรค์
แล้วรู้ว่าจะขยันใช้แรงงานไปสร้างอะไร อย่าไปสุ่มเสี่ยงในสิ่งไร้สาระให้เอาสิ่งที่เป็นสาระแท้
มันบังคับไม่ได้หรอกคนโง่มีเยอะ ไปใช้เวลาพลังงานกับสิ่งที่ไม่เป็นสาระ
ส่วนคนที่รู้สาระก็เอาพลังงานแรงงานไปสร้างสิ่งที่เป็นสาระที่จำเป็นแก่ชีวิตและสังคม
เพราะฉะนั้นจึงเป็นการสงวนสิ่งที่สูญเสีย เป็นการได้พลังงาน ได้การกระทำ
ทั้งความรู้ทั้งลงมือกระทำสิ่งที่เป็นเนื้อหาสาระแท้
แล้วก็มีกินมีใช้อย่างอุดมสมบูรณ์และไม่ต้องแย่งชิงกัน
ใครจะกินจะใช้ก็กินใช้เต็มที่
แต่ก็ต้องรู้ว่าเรากินมากๆตะกละตะกลามมากๆมันก็เฟ้อเปล่าๆ เป็นกิเลสในตัว
ก็หัดเรียนรู้ลดลงมาให้กินพอเหมาะพอดีชีวิตก็จะเท่านี้เอง กินเท่านี้อาศัยอยู่อย่างนี้ชีวิตก็สบายแล้ว
ชีวิตก็จบความดิ้นรน จบปัญหา จบความเสียหายทั้งหลาย
ก็เป็นชีวิตที่สงบสบายอบอุ่นอยู่กับหมู่
พูดไปแล้วมองเห็นสังคมชาวอโศก
มีสาราณียธรรม 6 ดีจริง มันเป็นจริง อาตมาพูดแล้วไม่ได้ไปหลงงมงาย
เป็นสังคมสาราณียธรรม 6 อยู่ด้วย สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม
เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา
ให้เจริญเป็นพระอรหันต์ให้ได้ แล้วจะเป็นคนมีวรรณะ 9 เต็ม
เลี้ยงง่าย (สุภระ)
บำรุงง่าย, ปรับให้เจริญได้ง่าย (สุโปสะ) มักน้อย, กล้าจน (อัปปิจฉะ)
ใจพอ สันโดษ (สันตุฏฐิ) ขัดเกลากิเลส (สัลเลขะ)
เพ่งทำลายกิเลส มีศีลสูงอยู่ปกติ (ธูตะ, ธุดงค์) มีอาการน่าเลื่อมใส
(ปาสาทิกะ) ไม่สะสม ไม่กักเก็บออม (อปจยะ) ตรงข้าม
อวรรณะ9 ขยันเสมอ, ระดมความเพียร (วิริยารัมภะ) วรรณะ 9 คือคนจนที่ได้ระดับ
ยอดขยันและก็ไม่สะสม ยอดขยันวิริยารัมภะ วันๆก็ทำงานไปไม่พักเราก็เพียร
แล้วเอามารวมกันกับกองกลาง กินใช้ร่วมกันเสมอ
คนไม่สะสม
และขยัน ก็มีอาการที่น่าเลื่อมใส อาการของกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม
น่าเคารพน่าเลื่อมใส น่าบูชา เป็นอาการของความเป็นคนที่มี ปาสาทิโก
เป็นคนที่ยังมีอะไรบกพร่องก็
ขจัด จนหมดกิเลส หมดกิเลสแล้ว ก็ยังมีกายกรรม วจีกรรม
ที่ยังเข้ากับใครคนอื่นยังไม่ดี ก็มาขัดเกลากายวาจาที่ยังบกพร่องของตน
เป็นพระอรหันต์แล้วก็ตาม ต้องมาขัดเกลากายวาจาของตนให้เข้ากับหมู่กลุ่มให้ดีมี
สัปปุริสธรรม 7 มหาปเทส 4
โดยมีความพอ
ใจรู้จักจุดพอดี พอเพียง ใจพอ กายพอ วจีพอ พอจุดปโหติ เหมาะควรที่สุดแล้ว สันโดษ
สู่แดนธรรม...ตรงนี้ยืดหยุ่นได้ไม่เที่ยงใช่ไหมครับ
พ่อครูว่า…ไม่เที่ยง
ตรงสันโดษนี้ไม่เที่ยง ใจของเราเองเที่ยง ใจของเราเองพอ และใจของเรามีสัปปุริสธรรม
7 มหาปเทส 4 อยู่กับสังคม อนุโลมปฏิโลมอยู่กับเขา ใครขาดเราเติม ใครเกินเราช่วยตัด
อยู่กันอย่างมีปัญญา แล้วจุดยืนของตัวเองคือเป็นคนมักน้อย เป็นคนจน
นี่แหละจุดสำคัญ เป็นคนมักน้อย กล้าจน บักน้อยยืนหยัดอยู่ในฐานจน เป็นคนจน
พระโพธิสัตว์จะรู้ว่า ถ้าเข้าใจจุดปฏิบัติของมนุษย์ มาเป็นคนจนดีกว่าเป็นคนรวย
มันก็สามารถที่จะแก้ไขปัญหาของเศรษฐกิจได้ อย่างเช่น ชาวอโศกเรา
แก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ จบ จบเลยสบายแล้ว ทุกวันนี้ชาวอโศกปัญหาเศรษฐกิจไม่มี
แม้แต่คุณไม่มีเงินเลยสักบาทอยู่ในนี้
คุณเดือดร้อนเรื่องเงินไหม ...ไม่ ถ้าจำเป็นต้องใช้เงิน คุณก็ไปเบิกส่วนกลาง
เป็นสมาชิกของที่นี่แล้วมีสิทธิ์เบิกได้ คุณมีหน้าที่ทำงานไป รายได้ก็เข้าส่วนกลาง
ไม่ต้องคำนวณ ไม่ต้องลงบัญชี ไม่ต้องไปจำ
คนคิดดูแลบัญชีดูแลเงินวัตถุสมบัติ ถ้าเราจะทำโดยไม่ต้องไปดูแลพวกนั้น จัดสรร
คุณก็ทำหน้าที่สร้างเท่านั้นเอง สร้างสิ่งที่ที่นี่เขาพากันสร้าง สิ่งใดเขาไม่พากันสร้างอย่ามาสร้าง
อย่ามาสร้างสิ่งที่ไม่ควรสร้างในที่นี่ ไม่เอา เช่น ไปสร้างน้ำเหล้า เป็นต้น
ที่ไม่เข้าเรื่องเข้าราว หรือแม้แต่ว่าสร้างกลายเป็นเรื่องมอมเมาในสังคมเราไม่เอา
เราจะรู้จักสาระที่แท้จริง
ชีวิตมนุษย์ที่มาเป็นคนจนและรู้จักความจนและมาเป็นคนจนสำเร็จ
เป็นผู้แก้ไขปัญหาทุกอย่างจบหมดเลย
ทั้งปัญหาการเมืองทั้งปัญหาเศรษฐกิจและปัญหาสังคม มาเป็นคนจนให้สำเร็จ
ชาวอโศกเข้าใจและทำได้

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น