วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2564

640627_วิถีอาริยธรรม - อานาปานสติสูตร ตอน 2

 รายการ วิถีอาริยธรรม - อานาปานสติสูตร ตอน 2
วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน  2564

ณ บวรราชธานีอโศก











ชมบันทึกวิดีโอเทปได้ที่นี่
ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่นี่


พ่อครูว่า…วันนี้วันอาทิตย์ที่ 27  มิถุนายน 2564 แรม 3 ค่ำ เดือน 8 ปีฉลู ที่บวรราชธานีอโศก

sms

 

พระพุทธเจ้าปฏิบัติอานาปานสติขณะไปปฏิสัลลีนะหรือไม่

_จาก ผู้ฟังธรรมทางบุญนิยมทีวี : ระยะนี้พ่อครูเทศน์เกี่ยวกับอานาปานสติ ทำให้ดิฉันเกิดความสงสัยว่าการปฎิสัลลีนะของพระพุทธเจ้าเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติอานาปานสติหรือไม่อย่างไร จำได้ว่าท่านไปปฏิสัลลีนะในป่า  นมัสการขอบพระคุณค่ะ

พ่อครูว่า... วิเคราะห์วิจัยจากคำถามนี้ มีข้อที่ข้อง คือข้อที่น่าไขกันให้รู้เยอะเลย

การปฏิสัลลีนะ เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติอานาปานสติหรือไม่ จำได้ว่าท่านไปปฏิสัลลีนะในป่า 

มุมแรก พระพุทธเจ้าจะไปตรงไหนก็ตามคือยังมีพระชนม์ชีพ อานา-อาปานะก็ต้องไปกับท่าน แล้วท่านก็ต้องมีสติเต็มตลอดเวลา หากไม่มีอานา-อาปานะก็ตาย คนยังมีชีวิตก็ต้องมี อานา-อาปานะ แล้วต้องมีสติเป็นอธิปไตยเป็นพลังเอก เป็นพลังแรง เป็นพลังสำคัญ แม้แต่พลังอ่อนก็คือสติอ่อน ถ้าพลังแข็งแรงเต็มที่ดีสติก็มีอธิปไตยดีมีพลังแรงดี

เพราะฉะนั้น อานา-อาปานะ หมายถึงเทวะหมายถึงสภาพ 2 ของลมหายใจที่เข้าที่ออกอยู่ ถ้าลมหายใจอันเดียว เข้าอย่างเดียวไม่มีออกก็ตาย ออกอย่างเดียวไม่มีเข้าก็ตาย ต้องมี 2 อันนี้เป็นปัญญาไม่เป็นปัญหา แต่มันเป็นปัญหาของผู้ที่ยังไม่มีวิชชา ของผู้ที่ยังไม่มีปัญญา ผู้มีปัญญาแล้วจะไม่สงสัยในสภาพ 2

อานากับอาปานะเป็น 2 ทำไมต้องเป็น 2 เป็น 1 ไม่ได้ การมีชีวิตเกิดมาเป็นชีวิตและดำรงชีวิตอยู่ต้องมี 2 คือยังเป็นกับตาย ถ้ายังไม่ตายก็คือเป็น ถ้ายังเป็นอยู่ก็คือยังไม่ตาย ต้องมี 2 เพศเป็นสิริมหามายา ผู้มีปัญญาจะไม่สงสัย จะสลับเล่นลิ้นอย่างไรก็เข้าใจ ส่วนผู้ยังไม่เข้าใจ ก็จะมีนักมายากลมาเล่นหลอกกันไปว่าอันนี้จริงนะจ๊ะๆ แล้วทีนี้สัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น สัจจะหนึ่งเดียวคือนิพพาน สัจจะหนึ่งเดียวนั้นคือ 0 สัจจะมีหนึ่งเดียว นทุติยมถิ ไม่มี 2 สัจจะมีหนึ่งเดียว เอกังหิสัจจัง

คำว่า 1 ไม่มี 2, 2 นี่แหละเป็นความลึกซึ้งมาก ผู้ที่ยังมีชีวิตเป็นๆอยู่ต้องมี 2, 2 ตลอดไป แต่ถ้าผู้ใดสามารถทำ 1 ได้สำเร็จ ทำ 1 นี่แหละเป็นประเด็นของความไม่รู้ของคน ไปเข้าใจว่าเทวเป็น 1  เทวคือพระเจ้า ปรมาตมันแปลว่าผู้ยิ่งใหญ่ เป็น 1 อย่าไปแตะ วิจัยวิจารณ์แยกแยะไม่ได้ อย่าไปแยกแยะวิจัยวิจารณ์อย่าไปสัมผัสอย่าไปแตะเชียวนะ ก็เลยไม่รู้จักพระเจ้ากัน แม้แต่พระเจ้าก็ยังไม่รู้จักตัวเองเลย

พระเจ้าไม่รู้ตัวเองฉันใด ศาสดาก็ไม่รู้ตัวเองฉันนั้น ศาสดาของเทวนิยมศาสนาของพระเจ้า แต่ศาสนาพุทธนั้นแตะพระเจ้าวิจัยวิจารณ์พระเจ้าแล้วรู้จักรู้แจ้งรู้เทวนิยม จริงว่าที่แท้ตัวพระเจ้าไม่มีพระเจ้าคืออนัตตา พระเจ้าเป็น 0 ไม่มีพระเจ้า มีแต่ความหลอกกัน มีแต่สภาวะเทวสภาวะ 2 ผู้ใดทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ก็จะทำ 1 ให้เป็น 0 ได้ เพราะทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ ก็เท่ากับทำอันนึงให้เป็นอีกอันหนึ่ง ทำ 2 ให้เป็น 1 ได้ก็สามารถทำให้เป็น 0 ได้ ก็จบ

นี่อธิบายเป็นภาษา แต่สภาวะนั้นลึกซึ้ง จะเรียนรู้แล้วทำสิ่งเหล่านี้ตรงไหนก็คือตรงที่เวทนาเป็นความรู้สึก และเป็นภาวะ 2 ยิ่งใหญ่คือสุขกับทุกข์ สุขกับทุกข์เป็นโลกุตระ เทวนิยมจะเรียนแต่ดีกับชั่วไม่รู้จักเรื่องสุขทุกข์ ไม่วิจัยวิจารณ์เรื่องสุขทุกข์    เทวนิยมงมงายเรื่องสุขทุกข์ ติดสุขเป็นสุขนิยมอีกต่างหาก

ส่วนพระพุทธเจ้านั้นจบเลยเรียนรู้สุขเรียน รู้ทุกข์แล้วสามารถไม่ให้มีทุกข์มีแต่สุขอย่างที่เทวนิยมเขาต้องการ ต้องการมีแต่สุข เขาไม่ต้องการมีทุกข์แต่เขาไม่รู้จักทุกข์ แต่ความทุกข์นั้นก็แฝงเล่นงานอยู่กับเขาตลอดเวลา แต่เขาไม่รู้เรื่องไม่รู้จักทุกข์ จนกระทั่งพุทธสามารถตรัสรู้ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป อย่างนี้เป็นต้น ซึ่งสุดสูงสุด

สรุปจริงๆคือทุกสิ่งทุกอย่างทุกสรรพสิ่งในมหาเอกภพจักรวาลนั้น ถ้าใครเรียนรู้เทวะแยกเป็น 2 แล้วเอามาเปรียบเทียบกัน แล้วรู้อะไรควรอะไรไม่ควร แล้วก็อยู่กับสิ่งที่ควร สิ่งไม่ควรก็พักไว้เอาออกเลิกอย่าไปยุ่ง ก็อยู่กันอย่างมีปัญญา อยู่กับสิ่งที่ควรจบ

เพราะฉะนั้นยิ่งรู้จบด้วยว่ารู้จักการจะเลิกจิตนิยามของตน เลิกอัตตาหรืออัตภาพของตน แยกธาตุเป็นดินน้ำลมไฟ เป็นอุตุนิยามไปได้เลย อาตมาอธิบายจากความเป็นจริงที่ตัวเองรู้และมั่นใจว่าสามารถทำได้ด้วย แต่ทุกวันนี้ทำได้ในสิ่งที่แต่ละอย่างที่เราอยากจะให้ไปเป็นไม่มี หรือแยกธาตุให้เป็นอุตุนิยามได้ เราก็ทำอยู่ทุกวันนี้ โดยอัตโนมัติ ทำจนเป็นอย่างอัตโนมัติแล้ว ถึงไม่มีปัญหาแล้วทุกวันนี้ อาตมาไม่ได้พูดเล่นว่าไม่มีปัญหามีแต่ปัญญา

ส่วนคนที่มีความคิดมีปัญหาว่า โลกนอกโลกจะมีมนุษย์ต่างดาว จะมีรูปร่างอย่างนั้นอย่างนี้ไหมแล้วจะมีสงครามต่างฃดาวรบกันอยู่ไหม มาสร้าง Star Wars กันออกไป คิดกันไปให้คนสงสัยติดตาม อาตมาไม่ติดตามเขา ไม่ไปสงสัยไม่ไปตามรู้ตามบ้าบอเขา เพราะอาตมารู้จุดจบ ไม่โลกจินตาบ้าๆบอๆ หยุด เรารู้ที่จบที่หยุดที่พอที่ควร เรารู้ที่หยุด ผู้นั้นคืออรหันต์

พวกเราจะเป็นอรหันต์กันได้เยอะถ้ารู้จักจุดจบของตน จุดที่เหมาะที่ควรของตน เช่นพวกคุณแต่ละคน มาอยู่ที่นี่ ถ้าใครตรวจ สอบตัวเองแล้วว่า เอ๊ เราก็ว่า 1. กามเราก็ไม่มีแล้ว 2. รูปราคะ อรูปราคะ เอ๊ เราก็ไม่มีมันก็ว่างๆธรรมดา รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสเราก็รู้เรื่องเราก็ไม่ได้ติดอะไรนะ กินก็ไม่ได้ติด ใช้ก็ไม่ได้ติดเครื่องใช้เครื่องกินอะไรแล้ว มีใช้ไม่มีใช้ ควรจะต้องแสวงหาควรจะต้องหามาใช้ได้ตามควรเท่าไหร่ก็เอาเท่านั้น ก็ไม่เคยเดือดร้อนกับสิ่งที่มีตามต้องการสเปคสูง แต่มันได้สเปคต่ำก็เอาก็พอ มีใจพอตามควร ไม่ได้เดือดร้อนดิ้นรน แส่หาอะไรเกินการ สบายๆ มีอยู่มีกินกับหมู่ตามควร

ตรวจ รูปราคะ อรูปราคะ แล้วแม้แต่เล็กๆน้อยๆเราก็ไม่มี ตรวจดูเรามีมานะความถือตัวถือดี ความที่ได้เอาความดีไปฟาดคนนั้นคนนี้เราก็ไม่มีนะ เราก็ไม่ได้ถือดีถือตัวอะไรเราก็รู้ว่าดีคืออะไร เราควรอยู่กับดี ผู้ไม่ดีก็คือไม่ดีอะไรที่บกพร่อง แม้เราบกพร่องเราก็ไม่มีสิ่งที่ไม่ดีเป็น อุทธัจจะ กระเด็นกระดอน เราก็รู้ อุทธัจจะกุกกจจะเราก็ไม่มี หรือแม้แต่เศษอะไรเราก็ไม่มีไม่ได้รำคาญอะไรตัวเองเลย คุณตรวจจบหมดนี้แล้วเราก็หมดอวิชชาสิ ถ้าหากไล่ตามที่อาตมาว่ามันนี้ เรามาอยู่ที่นี่หลายปีแล้วนะ ตรวจดูดีๆขณะนี้ เราไม่มี คุณตรวจดูก็ไม่มีนะก็ชัดเจนหมดแม้แต่อุทธัจจกุกกุจจะก็ไม่มี คุณก็เป็นอรหันต์แล้ว ฟังตามทันไหม ตรวจจริงๆแล้วจะรู้ว่าอรหันต์เป็นอย่างนี้ มันเป็นสภาวะจริงๆ

คุณอ่านไปดูพยัญชนะแล้วไปถึงสภาวะ ตรวจสภาวะจริงในจิตเจต,สามไม่ต้องไปถามหรอกที่รักก็ไม่ต้องยุ่งยากแล้วอานาปานสติน่ะมีสติรู้ตัวเองสิกต่างๆ ตรวจสอบจริงๆเราจะรู้ว่า อ๋อ เรายังเหลือนิดนึงน้อยหนึ่งก็จะรู้ว่าเราจบแล้วแต่เรายังไม่รู้จบเอง นิดนึงน้อย 1 ปัดโธ่ เพราะอวิชชามันจึงมีนิดนึงน้อย 1 เพราะว่ามันยังมีอวิชชา ถ้าคุณมีวิชชาแล้วเอ็งอย่าเกิดนะอันนี้ น้อยนิดนี้ก็เอ็งอย่าเกิดนะ มันไม่ยากหรอก เพราะคนที่ทำมาถึงขั้นนี้แล้วมันจะจบได้ทันที ฟังดีๆนะ เอ๊ อรหันต์จะเกิดในชาวอโศกขึ้นหลายคนนะ เรียนรู้ให้ดีๆ

การปฏิบัติอานาปานสติ พระพุทธเจ้าจะปฏิบัติทำไมท่านจบแล้ว ปฏิบัติลมหายใจเข้าลมหายใจออกในความหมายของอานาปานสติสูตร ประเด็นหลักอยู่ที่ว่าคุณมีลมหายใจเข้าลมหายใจออกคุณก็มีกาย คุณก็มีธาตุรู้ที่รู้ทั้งภายนอกและคุณก็รู้ทั้งภายใน การรู้ทั้งภายนอกและภายในอย่างสมบูรณ์ ถ้ารู้แต่เพียงลมหายใจเข้าออกคุณก็โง่ เพราะธาตุรู้มันรู้ได้ทั้งรูปรสกลิ่นเสียงสัมผัสไม่ใช่รู้แต่ตรงจมูกที่รู้ลมหายใจเข้าออกเท่านั้น ทวารตาก็มีเห็นได้ ทวารลิ้นคุณก็รับรสได้ ทวารหูคุณก็รับเสียงได้ โผฏฐัพพะ ผัสสะคุณก็รู้ได้ แต่คนเข้าไปหลงจมอยู่ในแค่ลมหายใจเข้าออกจมอยู่ในถ้ำอยู่ตรงนี้ มันก็โมฆะอยู่ตรงนี้ เมื่อไหร่มันจะเงยหัวขึ้นมา ลืมตาขึ้นมา ชาคริยา เต็มๆมารู้เหมือนมนุษย์ธรรมดาเรียนรู้ให้มันเต็ม จรณะ 15 วิชชา 8 มาทำฌาน ลืมตา อปัณณกปฏิปทา 3 ปฏิบัติ เกิดสัทธรรม 7 ฌานจะได้เป็นสัมมาทิฏฐิ หรือสัมมาฌาน อย่าโง่ดักดานต่อไปเลย

ถามว่าพระพุทธเจ้าปฏิบัติอานาปานสติอย่างไร ไม่ต้องไปถามพระพุทธเจ้าให้ยุ่งยากหรอก ถามโพธิรักษ์ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับแค่ลมหายใจเข้าออกแล้ว ไม่ต้องไปงมอยู่ที่แค่ดูลมหายใจเข้าออก เพราะคนเอาแต่แค่ลมหายใจเข้าออกมันก็โง่ดักดานอยู่ตรงนี้ คุณมีลมหายใจเข้าออกก็มีสติเปิดมารู้โลก แล้วก็เรียนรู้ทุกอย่างที่มันจะก่อให้เกิดกิเลสแล้วก็ระงับกิเลสให้ได้ กิเลสมันไม่เที่ยงหรอก แต่คุณเองคุณก็ไปนั่งจมให้กิเลสมันเที่ยงอยู่อย่างนั้น ไม่ได้มาแคะออก ไม่ได้วิจัยวิจาร ให้มันกินตัวอยู่อย่างนั้นมันก็โง่นิรันดร ใครอยากได้ไหมโง่นิรันดร ทำไมฉลาดนัก คนที่ไม่เอาโง่นิรันดร

 

จำได้ว่า ท่านคือพระพุทธเจ้าไปปฏิสัลลีนะในป่า คำว่า ปฏิสัลลีนะ คือพักผ่อน หลีกเร้น rest คนเราก็มีพักผ่อนเป็นธรรมดา พระพุทธเจ้าก็คือมนุษย์ธรรมดาต้องมีการพักผ่อน แล้วถามว่าท่านไป ปฏิสัลลีนะในป่า ก็มีนิมิตอย่างหนึ่งว่าเป็นแต่เพียงการกระทำพักผ่อนเท่านั้นนะ ที่ไปป่า ไปพักผ่อน เหตุปัจจัยทำไมต้องไปพักผ่อน เพราะคนต้องพักผ่อน 2.ทำไมต้องไปป่า เพราะไปป่านั้นมันไม่ยุ่ง อย่างง่ายๆอย่างมักง่าย มันไม่มีอะไรกวน เพราะว่าสัตว์มันไม่ยุ่งกับคนหรอก คนนั้นจะไปยุ่งกับมัน แต่คนมันยุ่งชะมัดเลย เพราะฉะนั้นมันก็หนีไป คนไปป่าก็ไปอยู่กับช้างกับลิง เป็นอุปัฏฐากได้ ช้างกับลิงก็แสนรู้เป็นอุปัฏฐากได้ ในนิทานตำนานมันสวย

ช้างหมายถึง โมคคัลลานะ ลิงหมายถึงสารีบุตร

ช้างหมายถึง โมคคัลลานะตัวใหญ่มีแรงมาก ส่วนลิงนั้นตัวเล็กแต่คล่องแคล่วปราดเปรียวมากว่องไว รวดเร็ว ไม่เทอะทะเหมือนช้าง ก็เป็น 2 สภาวะเท่านั้นถ้ารู้จบ

เพราะฉะนั้นนิมิตรายละเอียดต่างๆที่อาตมาขยายความให้ฟังก็เป็นเรื่องของมนุษยชาติที่จะต้องเป็นเช่นนั้น ยกตัวอย่างเช่นแม่พระพุทธเจ้าต้องชื่อว่าสิริมหามายา พระพุทธเจ้าจะต้องชื่อว่าสิทธัตถะ ลงตัวอย่างนั้น แม่คือผู้ให้เกิดมายา ผู้ฉลาดมีปัญญา ก็รู้ทันมายา รู้แจ้งรู้จริงในมายา ผู้ยังไม่ฉลาดก็รู้ไม่เท่าทันมายารู้ไม่แจ้งไม่จริงในมายาก็เท่านั้นเอง

เพราะฉะนั้นอย่างอาตมาพูดตรงๆไม่ได้อวดตัว ก็รู้ว่าอยู่ในโลกนี้ก็อยู่กับมายาเขา มายาคือเทวะ เรียกเต็มๆว่า เทวปุตตมาร มารก็คือมายา หรือ มารยา(สันสกฤต) ส่วนมายาคือบาลี แล้วก็ไปแปลว่า แค่มารยาท

 

อุทธัจจะมีที่มาอย่างไรจะขจัดอุทธัจจะได้อย่างไร

_อรหันต์คือที่หมาย ... ขอคำอธิบายเรื่อง อุทธัจจะ ดังนี้ครับ

1.อุทธัจจะมีลักษณะ มีที่มา และวิธีแก้ไข อย่างไรครับ

2.อุทธัจจะในนิวรณ์ 5 กับ อุทธัจจะในอุทธัมภาคิยสังโยชน์ มีความแตกต่างกันอย่างไร และจะขจัดอย่างไรครับ

พ่อครูว่า... ถ้ามาละเอียดลออ เราก็ต้องตอบอย่างละเอียดละออ

อุทธัจจะ มีที่มาและวิธีการแก้ไขอย่างไร อุทธัจจะ มีที่มาคุณยังไม่ศึกษาพุทธศาสนาก็มีอวิชชา คนที่ไม่ได้ศึกษาศาสนาพุทธจะมี อุทธัจจะทั้งนั้น

แม้แต่ อุทธัจจะ จะเป็นตัวปลายๆ ของนิวรณ์ 5

นิวรณ์ 5 (สิ่งทำให้ปัญญาทุรพล หรือ ปัญญาถอยกำลังลง,  สิ่งกั้นจิตไม่ให้บรรลุกุศล)

1. กามฉันทะ (ใคร่อยากในกามภพ) เปรียบเหมือนหนี้

2. พยาบาท (ปองร้ายผู้อื่น) เปรียบเหมือนเป็นโรค

3. ถีนมิทธะ (จิตหดหู่ หดแน่น เซื่องซึม ไม่แจ่มแจ้ง ไม่แววไว)  เปรียบเหมือนเรือนจำ

4. อุทธัจจะ  กุกกุจจะ  (ความฟุ้งซ่าน กระจายกระเจิง) เปรียบเหมือนความเป็นทาส 

5. วิจิกิจฉา  (ความลังเลสงสัยในการหลุดพ้น ฯลฯ)  เปรียบเหมือนทางไกล-ทางกันดาร  (พตปฎ. เล่ม 9  ข้อ 378)

 

เพราะฉะนั้นคนที่ยังไม่ได้พบศาสนาพุทธยังไม่บรรลุพระอรหันต์จะมีวิจิกิจฉาทั้งนั้น ฉะนั้นชาวพุทธโดยเฉพาะอโศกของเราพยายามหาคำตอบให้พ้นวิจิกิจฉาให้ได้ คุณจะเป็นพระอรหันต์ คุณมีความรู้มีสภาวะ หลายผู้หลายคนยังไม่นิ่งและฟุ้งซ่านอยู่ คุณยังจบไม่ลงเพราะคุณไม่ตรวจสอบให้ดีๆ มันก็เป็นอุทธัจจะ กุกกุจจะ อยู่ คุณยังวิจิกิจฉา คุณยังไม่พ้นวิจิกิจฉา ถ้าคุณตรวจสอบอุทธัจจะชัดเจน ไม่มีกุกกุจจะ รู้แล้วว่าตัวสภาวะจริงๆแล้ว อุทธะกับอัจจะ มีคำ 2 คำคืออุทธะคำหนึ่ง กับอัจจะคำหนึ่ง

อุทธะแปลว่าลอยเหนือ อัจจะแปลว่าสว่างแจ้ง

ถ้าคุณสามารถรู้สิ่งที่อยู่เหนือ ลอยเหนือขึ้นมาแล้ว ให้พวกเรามีความลอยเหนือทั้งนั้น อุทธังโสโตอกนิษฐคามีแล้ว ไม่เป็นน้องใครแล้วแต่คุณยังไม่ทำ อัจจะ ให้สมบูรณ์แบบก็มีวิจิกิจฉาอยู่อย่างนั้น หรือไม่ทำให้รู้ว่า อุทธัจจะคือทรถะเท่านั้น ถ้าคุณยังโง่มันก็จะกลายเป็น กุกกุจจะ ก็โง่ อรหันต์โง่ก็ยัง มีความรำคาญ เพราะมันต้องมีกุกกุจจะ

กุกกุจจะ ก็คล้ายๆ อุทธัจจะ แต่มันซับซ้อนกว่าหลายชั้น

เพราะมีอัจจะที่เป็นกุกกุจ มีพลังงานซับซ้อน กุ กุจ อุ ซ้อนอยู่เยอะ เพราะฉะนั้นไม่อธิบายแล้วสภาวะซับซ้อนมีเยอะในพยัญชนะที่จะไปสู่สภาวะ

กุกกุจจะ คือตัวปลายที่คนไม่ได้ไขไม่ออกแล้วไม่เรียนรู้ไม่ตามลำดับ มันก็แค่เบาบางแต่มันวุ่น เหมือนหญ้ามุงกระต่ายหรือกลุ่มไหม เท่านั้นเอง

กุกกุจจะ เขาแปลว่าความรำคาญ ความเดือดร้อน ความสงสัย ความรังเกียจ คือมันมีจิตที่ไม่สงบไม่สนิท มันมีเดือดร้อน จะร้อนน้อยๆก็ตาม รำคาญหรือ หวนโหยน้อยๆก็ตาม หรือสงสัยข้องใจมันยังไม่รู้จัก แล้วก็รู้สึกว่ามันน่าจะออกไปจากเรา  มันน่ารังเกียจ แต่คุณก็เอาออกไม่ได้เพราะคุณยังไม่ฉลาดพอ ฉลาดพอก็แก้ กุกกุจจะ ก็หาย

สู่แดนธรรม... สาเหตุอันนี้ จะเป็นเพราะว่ามีจิตทะยานอยากหมายสูงแต่ยังไม่ได้ก็เกิดความรำคาญ แม้แต่คนที่อยากฟังคำอธิบายธรรมะชั้นสูงนี่ก็เรียกว่าฟุ้งซ่านไปกับของสูง พอเข้าใจแล้วก็ปฏิบัติตามไม่ได้อีก ก็ว่างเปล่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็เลยเกิดนิวรณ์

พ่อครูว่า... กุกกุจจะ ก็เลยไปจบที่วิจิกิจฉา

กุจจะ กับ กิจะ กุจจะอยู่ที่ กุกกุจจะ  ส่วน กิจ อยู่ที่วิจิกิจฉา

ใน วิ กิจ ฉา ถ้าคุณสามารถมีวิโมกข์ มีวิมุติ เป็นต้น คุณก็สมบูรณ์แบบแล้ว คุณก็สามารถที่จะทำกิจได้อย่างครบถ้วน ใน ฉา หรือ ฉะ แปลว่า 6 ในชีวิตมีทวาร 6 สมบูรณ์ คุณสมบูรณ์ด้วย วิ ส่วน กิจ ก็ทำกิจได้อย่างครบ 6 คือ ฉา เลย อาตมาอธิบายพยัญชนะเป็นสภาวะธรรมอย่างไม่ได้เดาเลยนะ มันจะจบได้ทันที

อุทธัจจะมีลักษณะ มีที่มา เหตุเกิดคืออวิชชา  วิธีแก้ไข คุณก็ทำให้พ้นอวิชชา จะพ้นอวิชชาอย่างไรได้ ก็ต้องมาเรียนรู้ตามลำดับไปชนในธรรมะพระพุทธเจ้า รู้จักสังขาร รู้จักวิญญาณ รู้จักนามรูป แล้วก็มี ผัสสะ อายตนะ เวทนา แก้ไขที่เวทนา หมดตัณหา หมดอุปทาน หมดภพ หมดชาติ คุณก็พ้นทุกอย่าง

คำว่าขจัดอย่างไร อาตมาไขความ ก็บอกวิธีกำจัดอยู่แล้ว

อุทธัจจะในนิวรณ์ 5 ก็บอกสภาวะ 5 อย่าง อุทธัจจะ อยู่ในโอรัมภาคิยสังโยชน์ก็คือนิวรณ์ 5

อุทธัจจะ คือ ลอยเหนืออยู่ข้างบน สังโยชน์มี สองส่วนคือ โอรัมภาคิยสังโยชน์คือสังโยชน์เบื้องต่ำ ทำได้แล้วก็เหลือ อุทธัมภาคิยสังโยชน์ คือส่วนที่เหลือสูงขึ้น

อุทธัจจะในนิวรณ์ 5 คือในโอรัมภาคิยสังโยชน์ ก็ลดสังโยชน์เบื้องล่างได้ เมื่อทำได้แล้วก็เหลือ อุทธัจจจะใน อุทธัมภาคิยสังโยชน์ มันก็จะมีสิ่งที่มันยังสมบูรณ์ สิ่งที่มันยังไม่นิ่ง

มันยังไม่หยุด มันยังอุทธัจจจะ

ต้องปฏิบัติ ศีล อปัณณกปฏิปทา 3 สัทธรรม 7 ก็มี ฌาน 4 เผากิเลสหาย ด้วยปัญญาอันยิ่งก็จบเป็นอรหันต์

อธิบายจบแล้ว

สู่แดนธรรม... บางคนจะติดในความรู้มาก อยากรู้ธรรมะชั้นสูงแต่ปฏิบัติไม่ได้

พ่อครูว่า... เริ่มต้นหรือยัง ข้อ 1 ตรวจสอบได้ตั้งแต่เรื่องง่ายๆเรื่องสัตว์ คุณเกียวกับสัตว์โดยเฉพาะคน คุณหมดความอึดอัดรำคาญใจอุทธัจจะหรือยังหรือว่ายังอยากอยู่ กาม ปฏิฆะ คุณก็ยังไม่หมด คุณยังสนองบำเรอมันเป็นธาตุมันหรือไม่ หากไม่แล้วหมด กามราคะ ปฏิฆะ ก็ไล่ไปล้าง รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ ก็ยังเหลือกุกกุจจะ รำคาญใจ มันก็ยังมีอยู่ อย่าว่ากระจายฟุ้งฝอยเลย เต็มรูปคุณก็รู้อย่างชัดเจน ไม่ต้องเป็นเศษธุลีละอองแต่เป็นเต็มตัวเลย อ๋อ รู้ครบทั้งเต็มตัว รู้ครบทั้งสิ่งที่เหลือเล็กน้อยได้หมดเลย

สู่แดนธรรม... มีพวกเราฟุ้งซ่าน แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองฟุ้งซ่านเพราะตัวเองไม่รำคาญตัวเอง

พ่อครูว่า... ทนได้

สู่แดนธรรม... บางคนก็ฟุ้งซ่านแต่ตัวเองไม่รู้ อยากให้เพื่อนรู้ก็เลยแชร์ไปใน LINE เต็มไปหมด ตัวเองไม่รำคาญแต่ว่าทำให้คนอื่นรำคาญ

 

 

พ่อครูว่า...มีกวี ท่านหนักแน่นหยิบมาให้ บทกวี บริสุทธิ์เท่านั้นที่จะชนะทุกสิ่งทั้งโลกในที่สุด

 

ระหว่างสมมุติกับปรมัตถ์เราควรแก้อย่างไรก่อน

(๑)ชื่อว่า “คน” สูงสุดไซร้ คือสัจจะ

จริงหนึ่ง “ปรมัตถ”                            จิตแท้

สอง “สมมุติ” คือคณะ               ประชาร่วม กันรา

หากผนึกมั่นมุ่งแก้                    วิกฤติได้ทันกาล

พ่อครูว่า… คำถามว่า ปรมัตถสัจจะกับสมมติสัจจะ แก้อันไหนก่อน?

ต้องแก้ที่ปรมัตถ์ก่อน สมมุติจะได้ตาม ถ้าไปแก้ที่สมมุติมันไม่แล้ว มันไม่ใช่ที่ต้นตอไม่ใช่ที่รากฐาน ไม่ใช่ที่ต้นเหตุ ต้องแก้ที่ปรมัตถ์ แก้ที่ปัญหา แก้ที่อวิชชาให้ตนเองเกิดวิชชาแล้วคุณก็จะอยู่กับสมมุติ แต่ถ้าคนไปแก้สมมุติก็จะวนอยู่นั่นแหละ

เพราะฉะนั้นทุกวันนี้ทุกอย่างเลยมันก็เป็นตัวจริงไม่ว่าจะเป็นเศรษฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นรัฐศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นสังคมศาสตร์ของโลกมนุษย์ที่ไม่มีโลกุตระจิต โลกุตระธรรม ไม่เป็นอรหันต์ไม่เป็นอริยบุคคลแท้ ไม่รู้จักสูตรที่พระพุทธเจ้าพาทำ ต่างก็ไปแก้ภายนอกไปแก้สมมุติ ไม่ดูแล้วทั้งนั้นเลยไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจก็ไปแก้ที่สมมุติ รัฐศาสตร์การเมืองก็ไปแก้ที่สมมุติ สังคมศาสตร์ก็ไปแก้ที่สมมุติ ไม่มาแก้ที่คนที่จิตใจคน

เห็นไหมในเมืองไทยก็โง่ตามทฤษฎีหรือตำรา ศาสตร์ของโลกียะ เขาไปเรียนจบจากเมืองนอกได้ดอกเตอร์มา เป็นพวกเทวนิยมเป็นพวกโลกียะทั้งนั้น โลกุตระนั้นอยู่ในประเทศไทย โรงเรียนที่จะเรียนโลกุตระได้ดีที่สุดคือโรงเรียนชาวอโศก มาเรียนที่นี่สิ แล้วจะรู้แล้วเอาไปแก้ปัญหาโลกียะได้ ไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจ อโศกแก้ปัญหาเศรษฐกิจเสร็จหรือยัง ได้แล้วสมบูรณ์แล้วสบายแล้ว

เศรษฐกิจสูงสุดคือสาธารณโภคี อโศกแก้ปัญหาความไม่เข้าใจนี้ได้แล้ว และเอามาประพฤติปฏิบัติได้มรรคได้ผลแล้ว แล้วก็อยู่กันอย่างสารานียธรรม 6 มีสาธารณโภคีในนี้ มีลาภโดยธรรมในนี้ อยู่กันอย่างมีเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม แล้วพัฒนาตัวเองไปตามทิฏฐิสามัญญตา ศีลสามัญญตา ครบสาราณียธรรม 6 ไม่สูงกว่านี้หรอก พระพุทธเจ้าท่านสอนมา

อาตมาทำงานมาถือว่าสำเร็จ เพราะฉะนั้นใครจะมาเรียนต่อมาเรียนเพิ่มตามเพิ่มคนอีกมายินดีต้อนรับมาศึกษา แล้วพวกเราก็ทำตนให้จบจะได้ช่วยอาตมาจะได้สืบสานศาสนาต่อไป พวกคุณก็จะยังอายุน้อยกว่าอาตมา มีใครไหนอายุเกิน 87 แล้ว มีโยมสะอาดดี(89ปี) โยมธรรมนูญ(89ปี)

คนอายุ 88, 89 ปี อย่างอาตมานี่ สามารถที่จะรู้จักสมมุติ สามารถที่จะรู้จักปรมัตถ์ ยังมีสัจจะของพระพุทธเจ้าได้ในยุคนี้ ที่เรามาเรียนนี้ก็สามารถเรียนรู้ปรมัตถ์ของโลกุตรธรรมได้เข้ามาเรื่อยๆ ผู้รู้ปรมัตถ์ก็รู้สมมุติด้วย ผู้รู้แต่สมมุติไม่รู้ปรมัตถ์ ถึงบอกไปแล้วเมื่อกี้ไปแก้ที่สมมุติเท่านั้นไม่จบ ต้องแก้ที่ปรมัตถ์ โลกไม่จบ แม้แต่เมืองไทยเมืองพุทธแท้ๆก็งมงายหลงไปตามตำราเมืองนอก ไม่มาเอาของพระพุทธเจ้า

ขอยืนยันนะว่าอาตมานำพา สร้างอภิมหาวิทยาลัย ที่ผลิตบุคคลที่จบปรมัตถสัจจะด้วย สมมุติด้วย เพราะฉะนั้นแก้ปัญหาตัวเองจบ แล้วก็ไปแก้ปัญหาสังคมด้วย อย่างพวกเรา แล้วขอยืนยันว่าพวกเราทำได้แล้ว เพราะฉะนั้นจึงจะแก้วิกฤตได้ทันการ ไม่ทันกาละ ไม่อย่างนั้นไม่ทันเวลา ไม่ทันกาละ แต่แก้อยู่อย่างนี้ไม่รู้จักจบหรอก เวลามันพาโง่ไปเรื่อยๆ เพราะเวลามันท้าโง่ไปกับอวิชชา คำพูดเหล่านี้เวลาไปกับวิชชาแก้ปัญหาแก้วิกฤตได้

 

(๒)ถ้าพาลเฉื่อยช้าอีก      ก้าวเดียว

ฝูงสัตว์นรกกรูเกรียว                 ขย่มซ้ำ

พ่อครูว่า… ถ้าเผื่อว่ายังโง่ยังเฉื่อยช้าอีกก้าวเดียว เพราะฉะนั้นโลกที่ยังไม่มีโลกุตระธรรม ช้าก้าวเดียวทั้งนั้น ถูกสัตว์นรกขย้ำอยู่ทั้งนั้น

เอาเครื่องหมายชี้บ่ง นิดหน่อย เช่น อเมริกา เป็นประเทศที่อวิชชา โควิดมาลองของนิดหน่อยตายเป็นเบือ นึกว่าตัวเองแน่แต่ก็ตายเป็นเบือ ตายนำหน้าสถิติเลยเป็นแสน 603,370 แล้ว ถ้าได้โดนัลด์ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีต่อจะเห็นชัดเลย ตอนนี้ได้โจ ไบเดนมาก็เลยค่อยยังชั่ว ไม่อย่างนั้นนรกหนักเลย แต่ก็ยังนรกอยู่ถูกขย่ม

 

ฝันสวรรค์แหลกลาญเหลียว          หาบ่ เหลือเลย

มารยักษ์มันขยี้ขย้ำ                            ขบเคี้ยวกินหวาน

 

(๓)ต้องหาญหักบัดนี้       ทันใด

ฤกษ์บ่เคยรอใคร                     อย่าช้า

สุกจะเน่าแล้วไฉน                    ไม่กัด กินเฮย

“เอาเถิดเจ้าล่อ” ท้า                  ห่อนแคล้วบรรลัย

 

(๔)ใดใดก็ชัดแท้           ทุกเม็ด

แต่ไม่ลงมือเผด็จ                     ศึกเสี้ยน

ตนไม่ช่วยตนเสร็จ                    ก่อนอื่น  ช่วยแฮ

โรคจิตกระมิดกระเมี้ยน               พิษร้ายจงระวัง

พ่อครูว่า... ขอเตือนคนไทยให้ตรวจดูกิเลสตนเอง ทั้งอุปกิเลสด้วย ไม่ใช่ไปนั่งหลับหูหลับตาปฏิบัติ หากเมืองไทยรู้จักตื่นลืมตาปฏิบัติ ไม่ต้องมาหาโพธิรักษ์ก็ได้ แต่ให้ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าก็จะเจริญยิ่ง

 

(๕)โลกยังจมอยู่ด้วย       ปุถุชน

ยากจักตามรู้ตน                      ชัดได้

อัตตาไม่ “กล้าจน”                             ทรัพย์โลก

จึงไม่บริสุทธิ์ให้                      เศรษฐ์สร้างความจริง

พ่อครูว่า… อัตตาคือตัวเอง ตัวเองนี้ไม่กล้าจน จนอะไร?..ก็แค่ทรัพย์ อย่าว่าแต่จนกิเลสเลยคุณยังรวยกิเลสมาก แต่ละคนนี้รวยจัง รวยกิเลส มาจนกิเลสอย่างชาวอโศกสิ ไม่กล้าจนหรอกกลัวกินจะหมด กลัวกิเลสจะพร่อง ฉะนั้นคุณจะรู้ชัดว่าจริงๆมาจนอย่างนี้เองหรือ จนเจริญจนเป็นอริยะ จนเป็นผู้พ้นทุกข์พ้นโศก แค่ทรัพย์โลกยังไม่กล้าจน แล้วยังจะไปกล้าจนกิเลสยังอีกนาน...

 

(๖)ไทยชิงธงพุทธแท้       มาครอง

โลกุตระวสีของ                       สัจจ์ชี้

จึงบรรลุก่อนผอง                     มนุษยโลก

ความชนะยิ่งใหญ่นี้                            สุดไร้เทียมทาน

พ่อครูว่า… ชาวอโศกบรรลุก่อนเถรสมาคม เถรสมาคมเกิดมาก่อนตั้งนานก็ยังไม่มีการบรรลุ ชาวอโศกเกิดมาทีหลังก็บรรลุได้ ชาวอโศกจึงเป็นจอมยุทธผู้ไร้เทียมทานแน่นอน

 

(๗)คนประหารกิเลสได้     เป็นจริง

จึงบริสุทธิ์เอ่ยอิง                     สัตย์แท้

เพราะพร้อมทุกสิ่งกิง-                ชัจจะ*ศาสตร์

ที่สุดบริสุทธิ์แล้                       เท่านั้นชนะสรรพ์

“สไมย์ จำปาแพง” ๒๒ ก.ค. ๒๕๕๙

พ่อครูว่า... กิงชัจจะ แปลว่า ผู้มีชาติอะไรๆ เกิดมาจากไหน เช่น เป็นชาติสัตว์เดรัจฉาน ชาติสัตว์เทวะ ชาติสัตว์พรหมสัตว์หรือเทวสัตว์

กิงแปลว่าอะไร ชาติคือการเกิด รู้จักการเกิด รู้จักปฏิจจสมุปบาท รู้จักการเกิดแล้วดับเหตุแห่งการเกิดได้จึงดับภพ ดับภพจึงดับอุปาทาน ดับตัณหาดับเวทนาได้ ดับเวทนาดับผัสสะ ถึงไม่มีอายตนะ ไม่ต้องมีอะไรในนามรูปสำเร็จจึงดับวิญญาณดับสังขารดับอวิชชาสมบูรณ์แบบเลย ชาติคือการเกิด เกิดมาจากไหน เกิดมาจากอวิชชา

 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

 

แก้ปัญหาเศรษฐกิจสังคมด้วยระบบบุญนิยม

สู่แดนธรรม... มีข่าวด่วนข่าวสำคัญของประเทศไทย มีราชกิจจานุเบกษาออกประกาศล็อกดาวน์กรุงเทพฯ ปริมณฑล(เฉพาะจุดที่ๆมีปัญหา)และอีก 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปพร้อมด้วย 10 มาตรการคุมพื้นที่ งดนั่งร้านอาหาร 30 วัน ปิดแคมป์คนงานห้ามออกนอกพื้นที่ เริ่ม 28 มิถุนายน ชาวสันติอโศกคงไม่เดือดร้อน

พ่อครูว่า... ไม่มีร้อนไม่มีเดือด เย็นสบายยิ่งกว่านายเบิร์ด

สู่แดนธรรม... อาหารในห้างจะหมดเกลี้ยงเลยวันนี้

พ่อครูว่า... พูดไปเท่าไหร่สัจจะมันยืนยันความจริงแท้ๆ ถามหน่อยว่าใครทันสมัยที่สุด ....อโศกทันสมัยที่สุด นำสมัย ล้ำสมัยด้วย ทันสมัยก้าวหน้าเกินล้ำสมัยเขา พูดเรื่องจริงแต่เขาจะว่าหลงตัวเอง ดูพวกนี้กระมอมกระแมมเขาไปถึง Star Wars แล้วจะมางุ่มงามอยู่กับดินกับหญ้าอย่างนี้

ดินหญ้าพืชพันธุ์ธัญญาหารนี่แหละจะเลี้ยงโลก ฟัง ไม่ฟังก็ต้องฟัง ยัดเยียดให้ฟัง อาตมาถึงพูดจริงๆเลยว่า ถ้าเผื่อว่า เมืองไทยนี้ ให้ค่าชาวกสิกร ให้ค่าแก่นักสร้างพืชพรรณธัญญาหาร ไม่ใช่ให้ค่าอย่างโลกียะ ไปพากันทำให้กสิกรหลงตัวหลงตนเลอะเทอะด้วย ให้ค่าด้วยการสนับสนุนให้เกียรติ เกรงใจกสิกร อย่าไปหลงว่าพวกมีเงินทองในหอคอยงาช้างพวกไฮโซถือว่าเป็นพวกเหนือกว่าชาวกสิกรรม พวกชาวกสิกรรมหรือกสิกรนี่แหละ ถ้าไม่มีฉันเท่านั้นแหละคุณตายอย่างเขียด คุณกินเพชรกินทองไม่ได้หรอก คุณกินยศศักดิ์ไม่ได้หรอก คุณกินหรูหรา กินวิมาน กินเวียงวังกินปราสาทวิมาน มันกินไม่ได้หรอก

กวฬิงการาหาร เป็นหนึ่งในโลก อาหารเป็นหนึ่งในโลกโดยเฉพาะ กวฬิงการาหาร เป็นหนึ่งในโลกสุดยอด เพราะฉะนั้นในสังคมมนุษยชาติยังไม่ตื่น ยังไม่รู้จุดสำคัญของชีวิตและสังคม ชาวอโศกรู้จุดสำคัญของชีวิตและสังคม จึงแก้ไขวิกฤตทันสมัย ล้ำสมัย ก่อนหน้าใครๆ

พูดไปแล้วเหมือนหลงตัวหลงตน แต่อาตมาว่าเราทำสำเร็จแล้ว มีสักขีพยานยืนยันถึงขีด ความจริงที่มันเป็นได้มีได้มนุษย์เป็นอย่างนี้แหละ เป็น phenomenon ของโลก เป็นสิ่งวิเศษของโลกเป็นตัวอย่างของโลกจริงๆ แต่คนยังอวิชชา ยังไม่รู้ตัวอย่างอันพิเศษ คนวิเศษ สังคมวิเศษ พฤติกรรมวิเศษ  วัฒนธรรมวิเศษ สิ่งที่อาศัยวิเศษ พวกเรามีที่อาศัยอันสุดยอดแล้ว เครื่องอาศัยของเราสบาย

สัปปายะ 4 มีเสนาสนะมีบุคคล มีเครื่องอาศัยโดยตรงคืออาหาร มีธรรมะซ้อนยู่ในวิหารในอาหาร มีธรรมะโลกุตรธรรมด้วยซ้อนอยู่ในอาหารสมบูรณ์บริบูรณ์ทุกอย่าง

 

อานาปานสติสูตร ตอน 2

อานาปานสติ สูตร ต่อ

มีสิ่งไขความเยอะมากเลย ท้าวความถึงยุค พระพุทธเจ้าอุบัติ พระสมณโคดมอุบัติขึ้นมาจะต้องเป็นพระพุทธเจ้า มีพวกพราหมณ์มาทำนาย จะได้เป็นจอมจักรพรรดิ จอมจักรพรรดิของทางธรรมะไม่ใช่จอมจักรพรรดิอย่างพวกเจงกิสข่าน หรือ Alexander หรือนโปเลียน ไม่เป็นอย่างนั้น จะเป็นจอมจักรพรรดิที่มีเมตตา ใช้ความสงบบริหารประเทศ จอมจักรพรรดินั้นคือใคร ยกตัวอย่างเป็นตัวบุคคลในยุคนี้ก็คือในหลวงรัชกาลที่ 9 นี่แหละคืออภิมหาราช จอมจักรพรรดิ์

บริหารคนไทย ท่านบริหารด้วยความเหน็ดเหนื่อยพระวรกาย คนถ่ายรูปพระเสโท หยดที่ปลายพระนาสิก ทรงงาน ช่วยเหลือประชาชนทั้งชีวิต 70 ปี สุดยอดเมืองไทย เพราะฉะนั้นคนที่เขาไม่รู้จักโลกุตรธรรม เขาก็รู้จนได้ จนยกย่องว่านี่แหละเป็น king of king แม้แต่เทวนิยมเขาก็ยังยอมรับรู้ว่า king ประเทศไหนก็ไม่ใช่อย่างนี้เลย เป็น king ที่ถือว่าอย่างไรก็มีปฏิภาณว่าอย่างนี้ก็ถือว่าเป็นยอดแห่ง king แล้ว ต่างประเทศยังให้ถ้วยเกียรติยศแก่ท่านอย่างนี้เป็นต้น

อาตมาเอาความจริงนี้มายืนยันไม่ได้พูดเล่น ก็เกรงใจพวกที่เขาชังบัลลังก์กษัตริย์ พวกที่เป็นอวิชชา พวกคอมมิวนิสต์ตกยุค พวกโง่ไม่ฟื้นโง่ไม่ตื่นโง่ไม่โง่หัว โง่จมอุจจาระ ไม่รู้จะทำอย่างไร

สรุปลงในอานาปานสติ มันมีสภาวะ 2 ทั้งนั้นเลย ตั้งแต่เริ่มให้รู้จักลมหายใจเข้าลมหายใจออกก็เป็น 2 ความต่างกัน นัยยะที่ต่างกัน สั้นก็อย่างนึงนะ ยาวก็อย่างนึงนะ ออกก็อย่างหนึ่งนะ เข้าก็อย่างหนึ่งนะ ลมหายใจเข้าออกก็ต่างกัน มันมี ลิงค มีความต่างของ 2 สัจจะของพระพุทธเจ้าให้เรียนรู้เป็น 2

อานา-อาปานะ สติ มีสติให้เรียนรู้ 2 เห็นความแตกต่างอาการ ลิงค นิมิต ตามอุเทส อาตมามาขยายอุเทส ขยายความอธิบายชี้แจงสัจธรรมต่างๆด้วย อุเทส ด้วยภาษา ด้วยบัญญัติต่างๆ เพื่อให้รู้สภาวะ แล้วขยายสภาวะให้เข้าถึงสภาวะ สัมผัสสภาวะด้วย คุณก็ไปปฏิบัติให้เกิดสภาวะในตัวเอง จะรู้ตั้งแต่ลมหายใจ รู้ความแตกต่างในนัยยะต่างๆของลมหายใจ

ลมหายใจเรียกว่า กาย คุณยังมีลมหายใจเข้าลมหายใจออก ยังมีสติรู้อยู่ว่ามีลมหายใจก็ออกนี่เป็นภายนอกนะ คุณก็ยังมี กาย แต่คุณจะอยู่กับแค่ลมหายใจก็ออกแค่นี้ไม่เอาแล้วไม่รู้อะไรแล้ว มันก็แคบ มันก็โง่จมอยู่ในที่แคบ ก็คุณมีสิทธิ์เต็มๆที่จะรู้ เปิดทวารทั้ง 5 แทนที่จะเปิดรู้แค่ลมหายใจรูเดียว ยังดีนะที่รู้ อย่างน้อยก็รู้ลมหายใจเข้าออก แต่มิจฉาทิฏฐิก็ดับ ลมหายใจก็ดับซะ ดับความรับรู้ภายนอกทั้งหมด ไปอยู่ในภพก็จบเห่เลย พวกนี้ปิดประตู อย่าว่าแต่ปิดประตูฉลาด ปิดประตูโง่คือโง่ดักดาน ไปจมอยู่กับความโง่เท่านั้นเองออกลูกออกหลานอยู่ในนั้น ไม่มีวันที่จะฉลาดเลย ฟังสำนวนนี้ออกไหม

เพราะฉะนั้นพวกนั่งหลับตาตัดลมหายใจด้วยคือพวกโง่ดักดาน แม้มีลมหายใจอยู่ก็รู้แค่ลมหายใจแคบๆจะรู้แค่นั้นทำไม ตื่น ศาสนาพุทธ ไม่ใช่ศาสนาโง่ ศาสนาพุทธไม่ใช่ศาสนาหลับ ศาสนาพุทธตื่น อยู่กับสิ่งทุกอย่างที่มีโดยสัจจะด้วยสิทธิ ไม่ได้ไปลักขโมยไม่ได้ช่วงชิงละเมิดใคร เรามีเต็มๆ เราก็ปฏิบัติให้เต็มๆตามพระพุทธเจ้าสอน จรณะ 15 วิชชา 8 นี่เป็นพุทธคุณใน 9 ข้อ เป็นสารัตถะแท้ๆของพุทธคุณคือข้อนี้แหละ ข้ออื่นนั้นบอกยศฐานะอลังการของพระพุทธเจ้าเท่านั้น เป็นภควโต เป็นพระอรหันต์ เป็นสารถีผู้ฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ ลงท้ายไปถึงผู้ตรัสรู้ด้วยตัวเองผู้รู้แจ้งรู้จริงก็ตาม ก็เป็นการบอกฐานะยศศักดิ์ของพระพุทธเจ้า แต่ตัวเนื้อแท้คือจรณะ วิชชาจะระณะสัมปันโน เป็นแก่นเป็นเนื้อของศาสนา ส่วนอันอื่นนั้นคุณเป็นไม่ได้หรอก

ของพระพุทธเจ้าทั้ง 9 ข้อนั้น มีข้อนี้แหละข้อจรณะ 15 วิชชา 8 หรือวิชชาจรณสัมปันโน คุณจะเป็นได้ ต้องเอามาปฏิบัติดังนี้ นอกนั้นแล้วคุณปฏิบัติไปสิ คุณจะมีได้ต้องบำเพ็ญเป็นพระพุทธเจ้า เป็นพระพุทธเจ้าก็จะมีอลังการครบ 8 ข้อ ข้อนี้เท่านั้นแหละที่คุณจะต้องศึกษา นอกนั้นเป็นยศศักดิ์ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น

เพราะฉะนั้นสรุปอีกทีนึง อาตมาชัดเจนว่าในโลกนี้จะต้องเรียนรู้ เทวะ สองเท่านั้น แล้วก็เรียนรู้อาการ ลิงค นิมิต ของเทวะให้ครบคุณรู้จักทุกอย่างแล้ว และเมื่อรู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ขยายขึ้นมาคุณก็จะรู้ เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย หรือแม้แต่ของสมัยใหม่เขาคือ System analysis เขาก็ใช้อันนี้กัน มี Input Process Output Outcome Impact อย่างนี้เป็นต้น

Impact คือผลสูงสุด ผลสำเร็จ เขาก็คิดอันนี้ได้เหมือนกันกับสูตรของพระพุทธเจ้าที่ใช้มา 2,500 กว่าปีแล้ว เหตุ นิทาน สมุทัย ปัจจัย แล้วก็วิมุตติญาณทัสสนะเป็นผลสำเร็จสูงสุด นี่คือสัจจะที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ รู้มาก่อนชาวโลกทั้งนั้น แม้แต่ System analysis พระพุทธเจ้าก็ทำมาแล้วทั้งนั้น

จบหมดเวลา

สมณะเดินดินว่า... แก้ข่าวหน่อย ที่บอกว่าล็อกดาวน์กรุงเทพฯนั้น ไม่ใช่ทั้งหมดแต่เป็นการล็อกดาวน์แก้ปัญหาจำกัดในพื้นที่นั้นๆที่เกิดปัญหา ไม่ใช่ทั้งหมดกรุงเทพฯ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

640804_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5 วันพุธที่ 4 สิงหาคม  2564 ณ บวรราชธานีอโศก ชมวิดีโอได้ที่นี่ ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่น...