วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

640726_รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 2

 รายการ ตุ้ม ตะลุ่ม ตุ้ม ม้ง ครั้งที่ 2
วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม  2564

ณ บวรราชธานีอโศก











ชมวิดีโอที่นี่
ฟังบันทึกเทปได้ที่นี่


พ่อครูว่า...ตะลุ่มตุ้มม้ง มาพบกันอีกแล้ว วันนี้วันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก เขาว่ากันว่าเป็นวันเกิดของคนสำคัญคนหนึ่งในประเทศไทย คนสำคัญที่ทำความเลวให้แก่ประเทศชาติ เป็นประวัติศาสตร์อันนึงเลย

 ตะลุ่มตุ้มม้ง วันนี้มีเด็กๆมาชุมนุม ต่างกุมใจรักสมัครสมาน คุยกันโอภาปราศรัยกันจะเป็นเด็กจะเป็นผู้ใหญ่จะเป็นคนอายุยาว ก็คุยกันได้ ให้มีประโยชน์คุณค่า พระพุทธเจ้าตรัสสิ่งที่มีประโยชน์ สิ่งใดไม่มีประโยชน์ท่านไม่ตรัสสิ่งใดไม่จำเป็นท่านไม่ตรัส ท่านก็ตรัสสิ่งที่มีประโยชน์ เป็นสิ่งจำเป็นเหมาะสมแก่กาล เราก็ทำตามพระพุทธเจ้าพาทำ

เพราะชีวิตเราเกิดมาเป็นชีวิตมีกรรม 3 มีกายกรรมวจีกรรมมโนกรรม แล้วกรรมนี้เป็นของจริงของอัตภาพ พอทำแล้ว ไม่ว่าจะคิดมันก็บันทึกเป็นความจริงเป็นอันทำ พูดออกมาก็ยิ่งมีน้ำหนักมากกว่า ยิ่งกระทำทั้งกายกรรมครบหมดเลย ก็ยิ่งมีน้ำหนักสูงสุด

แล้วก็กรรมนี้แหละบันทึกเป็นวิบากเป็นผลของกรรม เป็นอิทธิพลต่อชีวิตไปแล้วแล้วเล่าๆ เมื่ออวิชชาไม่รู้จักกรรมที่กระทำแล้วจะมีอิทธิพลต่อชีวิตที่เราจะต้องเผชิญ มีชีวะที่ยังไม่ปรินิพพานเป็นปริโยสานมันก็จะต้องเวียนตายเวียนเกิดอยู่กับกรรมวิบากไปเป็น อจินไตย ซึ่งคิดไม่หวาดไม่ไหว อจินไตย 3

พุทธวิสัย ท่านก็ตรัรัสรู้ แล้วก็ตรัสรู้ถึงจุดสำคัญเรียกว่า ฌาน ฌานคือปัญญา ถ้าไม่มีปัญญาไม่มีฌาน ไม่มีฌานไม่มีปัญญา ปัญญาเป็นความฉลาดโลกุตระ

ฌาน เป็นพลังงานไฟ มีปัญญาด้วยรู้จักกิเลสมีวิธีที่จะเผาผลาญกิเลส จึงรู้จักนิโรธด้วยนั่นคือ ฌาน

ฌาน ซึ่งเป็นคุณสมบัติพิเศษที่เยี่ยมยอดของศาสนาพุทธและศาสนาพุทธนั้นวนกลับไปสู่ความเป็นเดียรถีย์ความโง่ความไม่รู้เหมือนเดิม

ก็ไปหลงว่า ไปนิ่งหยุดหลับตา เป็นฌาน ไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติจรณะ 15 วิชชา 8 จรณะ15 ที่มี สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ เกิด สัทธรรม  7 แล้วมีฌาน 1 2 3 4 เผากิเลส ลดละหน่ายคลายกิเลส จนกระทั่งจิตสะอาดบริสุทธิ์เป็นพระอรหันต์ เป็นพหูสูต เป็นต้น

ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าพิสูจน์ได้ อาตมาพิสูจน์ตามได้รับมรรคผลตามพระพุทธเจ้าบอกไว้ ซึ่งก็เอามายืนยันแล้วพาพวกเราเรียนรู้พิสูจน์ตาม พวกเราก็เรียนรู้ปฏิบัติได้ แม้ว่าจำนวนคนในโลกยุคนี้ แม้จะบอกว่าเป็นชาวพุทธก็มีเพียงนิดน้อย แล้วจะเรียนรู้โลกุตระก็ไม่ง่าย นอกนั้นเขาบอกว่าเป็นพุทธเขาก็ไม่เชื่อไม่เข้าใจไม่ยอมเห็นตามหลงติดยึดในความเป็นเดียรถีย์ ในอวิชชา ในความเป็นอย่างเดิมๆ อย่างที่ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า

อาตมาก็ได้แต่พูดความจริงไปอย่างนี้ ส่วนท่านที่ได้ยินได้ฟัง ที่อยู่ในฝ่ายเถรสมาคม ไม่ได้มาฟังทางเราไม่ได้เห็นจริงตามเรา ฟังแล้วจะรู้สึกอย่างไรก็ว่าไป

อาตมากล่าวถึง ฌาน ซึ่งเป็นวิสัยของโลกุตระ เป็นวิสัยของอาริยะ ถึงจะสามารถรู้แจ้งรู้จริงว่า ฌาน คืออย่างไร ที่ปฏิบัติหลับตานั้นไม่มีวันจะเกิดฌานของพระพุทธเจ้า เกิดฌานเดียรถีย์ที่ผิดๆ เกิดอย่างนั้น อาตมาก็เลยได้แต่สงสาร ก็บรรยายกันไป

 

เกริ่นเรื่องหนักๆมาแล้ว วันนี้มีเด็กๆด้วย เด็กๆไม่เห็นจะส่งปัญหามาถามไม่เห็นมีสักใบ

 

จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ประกอบไปด้วยอะไร

_ดช.เชิดเชิญธรรม (เผ่งอัง)... ผมจะมาถามว่า จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ประกอบไปด้วยอะไรครับ

พ่อครูว่า... โอ้โห ตอบอย่างสังเขป ถ้าจะถามว่า จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ประกอบด้วยอะไรก็ต้องเปิดพระไตรปิฏกเล่ม 9 พระสูตรเล่ม 1 ที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงเรื่องนี้ ท่านผู้รู้รวบรวมไว้ในพระไตรปิฎกเป็นพระสูตรแรก พรหมชาลสูตร

ตอบอย่างง่ายๆก่อน ศีล คือ ข้อประพฤติ หรือหลักปฏิบัติที่พระพุทธเจ้าบัญญัติขึ้นมาให้คนมาเรียนรู้และปฏิบัติตาม ข้อศีลนั้นๆ แต่ละข้อๆ ที่เรียกว่า จุลศีล

จุล แปลว่า เล็ก ละเอียด มัชฌิมศีล แปลว่า ขั้นกลาง แล้วก็มหาศีล มี 3 ศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล

มหาศีล แปลว่า ศีลใหญ่ ศีลรวม ศีลคลุมรอบ ทุกคนจะต้องมี จะต้องพยายามปฏิบัติ จะต้องพยายามให้รู้ โดยเฉพาะศาสนา โดยเฉพาะวงการศาสนา สังคมศาสนาต้องอย่าละเมิด มหาศีล แต่ทุกวันนี้ไม่มีศีลกันแล้ว มหาศีล เถรสมาคมละเมิดหมด คือ ศาสนาพุทธทุกวันนี้พูดกันเต็มๆก็คือคณะใหญ่เถรสมาคมไม่มีแล้วศีล

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า แม้ข้อนี้ก็เป็นศีลของเธอประการหนึ่ง ทุกข้อที่ท่านตรัสขึ้นมาเมื่อจบการกล่าวศีล

เช่น ศีลข้อ 1 ละการฆ่าสัตว์ เว้นจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑะ วางศาตรา มีความละอายมีความเอ็นดู มีความกรุณาหวังประโยชน์ต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่ เขาไม่เรียนรู้ เขาไปเรียนรู้แต่พระวินัย 227 ข้อ แล้วก็หลงว่าพระวินัยคือศีล ซึ่งมันคนละเรื่องกัน

วินัยเป็นข้อหลักปฏิบัติของพระภิกษุ ไม่เกี่ยวกับฆราวาส แต่ศีล เกี่ยวกับทุกคนทั้งฆราวาสทั้งพระภิกษุ ครบหมดทุกคนในศาสนาพุทธทุกคนต้องศึกษาปฏิบัติศีล ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือจะเป็นนักบวช แต่พระวินัยเป็นเรื่องแต่เฉพาะของภิกษุ ไม่เกี่ยวกับฆราวาส ก็เลยกร่อนเหลือแต่พระวินัย เมื่อไปถามพระว่ามีศีลเท่าไหร่ก็จะตอบว่า 227 นั่นคือพระวินัย 227 ข้อ

จุลศีลท่านมี 26 มัชฌิมศีล มี 10 มหาศีลมี 7 ข้อ รวมแล้ว 43 ข้อ

วิธีปฏิบัติก็คือ อปัณณกปฏิปทา 3 คือต้องสำรวมอินทรีย์ตาม เช่น ถือศีล ข้อที่ 1 เราก็ต้อง สังวรศีล สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ ถ้าไม่มีหลักปฏิบัติ 3 ข้อนี้ตามที่ศีลข้อที่ 1 กำหนดมา ต้องเป็นคนที่มีศีล ไม่มีศีลไม่ใช่พุทธศาสนิกชนที่แท้จริง เป็นคนมาแอบแฝงอยู่กับศาสนาพุทธเท่านั้น คนที่เป็นพุทธที่แท้จริงต้องเอาศีลมาปฏิบัติประพฤติเอามาสำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ จึงจะเกิดสัทธรรมทั้ง 7

ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พหุสัจจะ วิริยะ สติ  ปัญญา

แต่ก่อนเราไม่มีความละอายในการปฏิบัติอยู่กับสัตว์ ไม่มีความปรารถนาดีไม่มีความเอ็นดูไม่มีความกรุณาไม่มีความกรุณา ไม่มีน้ำใจต่อสัตว์ทั้งปวงอยู่อย่างที่เป็นเลย จะละอายตรงนี้ มันเป็นเรื่องจริงๆ อย่างนี้เป็นต้น

อาตมาถึงได้อธิบายละเอียดละออตามธรรมะพระพุทธเจ้าไปเรื่อยๆ ก็จะเห็นความละเอียดลึกซึ้งของธรรมะพระพุทธเจ้าตามที่อาตมาอธิบาย ขยายความไปตามลำดับ อย่างนี้เป็นต้น

 

_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน...อยากถามพ่อท่านว่า ตั้งแต่พ่อท่านมารับผิดชอบในการกินอยู่ด้วยตัวเอง ฉันอาหารด้วยการตัดสินใจตัวเอง เทียบกับเมื่อผ่านมานั้นเป็นอย่างไรดีขึ้นหรือด้อยลง

พ่อครูว่า... จะบอกว่าเป็นอย่างไร ก็สะดวกใจขึ้นเท่านั้นเอง เพราะอาตมาปกติ จะถูกควบคุมการกินตามที่มีคนดูแลมากมาย หรืออาตมาจะบอกว่าทำอย่างอิสระก็ตามมันก็เหมือนเดิม มันก็เหมือนกัน เพราะอาตมาไม่ได้มีเอฟเฟคอะไรกับพวกนี้เท่าไหร่ ประมาณนี้ ขันธ์อาตมาพิเศษ ไม่ได้อยู่ในมาตรฐานของวิชาแพทย์ที่มากเกินไป อาตมาก็ไม่ได้โง่จนกระทั่งกินของแสลงให้แก่ตัวเองจนผิดสำแดงหนักหนา ก็ไม่โง่ถึงขนาดนั้น โดยปกติอาตมาก็กินไปตามที่ควรกิน มันก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร ไม่ได้ผิดประหลาดถึงขั้นทำให้สังขารเปลี่ยนแปลงจนเสื่อม แตกต่างจนเห็นได้ หรือว่ามันกลายเป็นเรื่องเป็นโรคเป็นภัยเข้าไปก็ไม่มี ก็แข็งแรงดีอยู่เหมือนเดิม 

 

ทำเช่นไรเมื่อโควิดเกาะรั้วบวรชาวอโศก

_และตอนนี้โควิด เกาะรั้วบวรชาวอโศก กระชับใกล้เข้ามาทุกที คนใกล้ๆก็เริ่มเสี่ยง พ่อท่านจะแนะนำลูกๆแต่ละบวร ให้กระชับความสัมรวมระวังยิ่งขึ้นอย่างไร ?

พ่อครูว่า... โควิดเกาะรั้ว เราจะทำอะไรได้เพราะเราพูดกับมันไม่รู้เรื่อง มันจะเข้ามาเราก็ต้องฉลาดพอที่จะระมัดระวังป้องกัน เราก็พยายามเรียนรู้จริงๆ  ป้องกัน ทุกคนอย่าประมาทป้องกันจริงๆ

อาตมาเองอาตมาไม่มีความรู้ ไม่มีปฏิภาณปัญญาพอที่จะรู้ว่า ยุคนี้ พยาธิ หรือโรคภัย คือโควิดนี้ มันมาอย่างไรไปอย่างไร อาตมาก็นึกไม่ออก ไม่มีปฏิภาณปัญญาที่จะรู้ความจริงอะไรได้เพียงพอ ก็ต้องยอมรับ ถ้าเกิดว่าเราเองป้องกันไม่ได้ มันก็เล่นงานเรา เพราะเราพูดกับมันไม่รู้เรื่องหรอก เราก็ต้องป้องกันจริงๆอย่าประมาททุกๆคน ตั้งแต่ผู้ใหญ่ถึงเด็ก ก็ดูแลกัน

เราปิดหมู่บ้าน แต่พวกเราแต่ละคนออกไปข้างนอก มันก็จะไปนำเชื้อเป็นพาหะ โควิดติดมา อยู่ในนี้มันยังไม่มี ในชุมชนราชธานีอโศกมันยังไม่มี Covid ยังเข้าไม่ถึง เพราะฉะนั้นใครที่ไปข้างนอกแล้วไปติดไปนำเข้ามานี้ ขออภัยนะ ต้องพูดชัดๆ คนนั้นบาปมากเลย มาทำลายสิ่งที่สะอาดบริสุทธิ์เขานี่ เป็นพาหะเป็นตัวนำเป็นตัวเชื้อโรคมา นำเชื้อโรค ระวังเชียว

_สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน...ยกตัวอย่างวันนี้ มีคุณตะวันธรรม มีพี่ชายป่วย ที่เสียชีวิตไปแล้ว ก็จะเก็บกระเป๋าเตรียมไปงานศพ คุณตะวันธรรมก็เป็นคนอ่อนแอสุขภาพไม่ดี ดิฉันก็ฝากคนไปห้ามว่า อย่าเดินทางไปไหนเลยช่วงนี้ คนก็ตายไปแล้ว แต่ถ้าจะไปก็ต้องพักอยู่ที่นั่นนานๆ เราจะไม่ให้กลับมาในช่วงนี้

พ่อครูว่า... อาตมาไป แต่ตอนนั้นโควิดยังไม่มาก

 

_ทองแก้ว นาวาบุญนิยม...ไม่ทราบว่าดิฉันจะเข้าใจถูกหรือเปล่า เมื่อก่อนเราปฏิบัติธรรมจะอดทนข่มฝืนนานมาก เช่น เราไม่กินอะไรจะไม่กินนานมาก 20 ปี 30 ปีแล้ว วันหนึ่งพ่อครูมาบอกว่า มีเวทนาแท้กับเวทนาเทียม ที่เราทำมาเราทำมันหลุดไปแล้วเรียกว่าเจโตวิมุติได้ไหม แล้วพอมารู้อันไหนเป็นเวทนาแท้เวทนาเทียม อันนี้เป็นปัญญาวิมุติหรือไม่?

อีกอันเป็นธรรมะสอง ที่จะต้องอยู่ร่วมกันในสังคมหรือไม่คะ?

สาธารณโภคีที่มี สาราณียธรรม 6 แต่ก่อน ไปนั่งตักอาหาร เมื่อก่อนชอบอันไหนก็จะตักมาก แต่เดี๋ยวนี้ ก็จะนึกถึงหางแถวไหม มันเป็นจิตที่มีสาราณียธรรม เมื่อเราฝึกไปเรื่อยๆ มันจะเกิด...

พ่อครูว่า... เป็นเรื่องของสังคหะเกื้อกูล มันเผื่อแผ่และนึกถึง สาราณียะ ระลึกถึงคนหางแถวจะได้ไหม ถ้าไม่มีก็ไม่มีการสังคหะใน พุทธพจน์ 7 สาราณียะ ปิยกรณะ คุรุกรณะ สังคหะ อวิวาทะ สามัคคียะ เอกีภาวะ

คุณธรรมที่ตรงตามธรรมะพระพุทธเจ้าสัมมาทิฏฐิจะมีพวกนี้เกิดจริง อย่างนี้เป็นการเช็คผลว่าที่คุณพูดมาเป็นการเรียนรู้ถูกต้อง แล้วคุณก็เข้าใจถูกต้อง คุณปฏิบัติมันก็มีมรรคมีผลได้จริงๆ นี่เป็นการเช็ควิมุติ

 

ขอย้อนตอบคำถามของสิกขมาตุกล้าข้ามฝัน คนไหนไปนำเชื้อมาก็บาปหนัก ระมัดระวังนะ ใครไม่ออกไปไหนเลยดีที่สุด จำเป็นจะต้องออกไปก็ต้องระมัดระวังอย่างแท้จริงเลยไม่ว่าจะต้องมีแมสป้องกัน มีระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ ต้องทำอย่างแท้จริง ซักเสื้อผ้าก่อนเข้ามา อย่างนั้น ต้องระมัดระวังอย่าประมาท ใครจะว่าเรามากไปไม่เป็นไร ไม่ประมาทดีกว่า ป้องกันไว้มากดีกว่าไม่เสียหาย ทำเป็นเล่นไป เราไม่รู้ มันเก่งจริงๆ อาตมาเกิดมาชาตินี้อายุย่างเข้า 88 ปีเพิ่งมาเห็น เขาเรียกโรคห่า ห่าตัวนี้มันวิจิตรพิสดาร ร้ายแรงลึกซึ้ง แล้วก็ทั่วโลกระยะยาวนานอีกด้วย เมืองไทยตอนนี้ก็จะป้องกันไม่ค่อยอยู่แล้ว ระวังไว้ ราชธานีระวังจะป้องกันไม่อยู่เหมือนกับเมืองไทย สถิติในการรับเชื้อมากขึ้น มันยังไม่หยุดเลยแรงอยู่เลย ระมัดระวังจริงๆทำเป็นเล่นไป

ถ้าเราระมัดระวังรักษาป้องกันตัวเอง จนกว่าจะมีวัคซีนป้องกัน คนทั่วไปมีภูมิคุ้มกันกันดีแล้ว เชื้อก็ไม่เปลี่ยนแปลงอะไรมากมายแล้ว หมายความว่าสำเร็จ จนกว่าจะมีคนคิดค้นวิธีรักษาป้องกันได้ ซึ่งฤทธิ์เดชของโควิดนี้เท่าที่อาตมารู้สึก มันร้ายจริงๆ เพราะยังไม่เห็นว่ามันจะเพลาลงเลย ยังไม่เห็นมันลดหย่อนฤทธิ์เดชเลย มันมีการกลายพันธุ์หนักกว่าเก่าอีก มันน่ากลัว

ทุกวันนี้อาตมาไม่ไปไหนไม่ยอมไปไหน คนมานิมนต์ไปไหนก็ไม่ไป อยู่ในนี้ จะบอกว่ากลัวตาย อาตมาไม่ได้กลัวตายเลยนะ แต่ว่ามันควรไหมล่ะ มันดีไหมล่ะ มันไม่เห็นเข้าท่าเลย แล้วอาตมาก็ว่า มันไม่มีอะไรจะยิ่งใหญ่จนกระทั่ง ต้องรักษาสิ่งที่มันเกิดในปัจจุบันนี้ รักษาสิ่งนี้อย่าให้มันเลวร้ายลงไปกว่าที่มันจะเป็นก็เท่านั้นเอง

 

สู่แดนธรรม... มีคนถามว่า จิตที่ว่าง ไม่สุขไม่ทุกข์แล้ว แต่ก็ไม่เบิกบานแจ่มใส บางครั้งก็อ่านผิดที่มันยังหมองว่าเกิดจากอะไร

พ่อครูว่า....คือจิตลักษณะถีนมิทธะ ในอานาปานสติสูตร มีตัวสรุปใน อานาปานสติ 16 มีข้อที่ว่า อภิปโมทยังจิตตัง เมื่อปัสสัมภยังกายสังขารัง ปัสสัมภยังจิตสังขารังได้แล้วก็ยังจิตให้เป็น อภิปโมทยังจิตตัง หมายความว่าคุณสามารถทำจิตให้สงบระงับกิเลสได้ทางกาย หมายความว่าต้องมีการรับรู้ทางตาหูจมูกลิ้นกาย ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาปิดทวารหูจมูกลิ้นกาย เป็นอานาปานสตินอกรีต ไปนั่งหลับตาดูแต่ลมหายใจเข้าออกทางจมูกอย่างเดียวมันไม่ครบ ของพระเจ้าต้องครบตาหูจมูกลิ้นกายใจ

เพราะฉะนั้นเมื่อ กาย ไม่ครบ ปัสสัมภยังกายสังขารัง ต้องเข้าใจกาย

กายไม่ได้หมายถึงรูปธรรมภายนอกแต่ต้องเป็นลักษณะ 2 มีภายนอกและภายใน ความรู้สึกรับรู้ลมหายใจเข้าออก ออกเข้า แต่ไปเข้าใจมิจฉาทิฏฐิว่า กายนี้คือวัตถุเฉยๆ ไม่เข้าใจครบว่า กายคืออะไร เพราะฉะนั้นจึงปฏิบัติหรือเรียนรู้ สักกายทิฏฐิ กายของตน ตั้งแต่สังโยชน์ข้อแรก คนนี้ก็ยังไม่ผ่านยังไม่สัมมาทิฏฐิใน สักกายทิฏฐิ ผู้ที่นั่งหลับตาทั้งหลายแหล่สังโยชน์ข้อที่ 1 ไม่ผ่านเพราะว่าคำว่า กาย มิจฉาทิฏฐิตั้งแต่ต้น ก็ปฏิบัติผิดไปหมดทั้งกระบวนเพราะว่าติดกระดุมเม็ดแรกผิด

อาตมาว่าอาตมารู้ อาตมาเหมือนพระราชาที่ไปบอกเจ้าหน้าที่ให้เอาโจรไปประหารด้วยหอกร้อยเล่ม โจรที่ทำลายศาสนา หนังเหนียวไม่ตาย ฆ่าด้วยหอกร้อยเล่ม เช้ากลางวันเย็นก็ไม่ตาย ดื้อด้าน เรียกว่าเชื้อโรคดื้อยาเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ ไม่มีทางไม่มีผลอะไรเลย มันก็เลยแทบจะหมดหวัง อาตมาหมดหวังจริงๆจากเถรสมาคมจากหมู่ที่ติดในเรื่องนั่งหลับตา หมดหวังจากคนพวกนี้ ก็หวังจากผู้ที่ไม่ติดยึดไม่ได้อยู่ในกลุ่มนั้นอย่างยึดมั่นถือมั่น ก็ได้บ้างได้ไปเรื่อยๆ

 

ฟังสัตบุรุษควรให้รู้ว่าเป็นสัตบุรุษ

อาตมาพูดวนพูดชี้จุดสำคัญๆ ชีวิตคน...เกิดมาเป็นคนแล้ว พระพุทธเจ้าเป็นคนๆหนึ่งเหมือนกันกับคนทุกคนในโลกทั้งหมด แล้วท่านเองท่านเห็นว่าธรรมะโลกุตรธรรมที่ท่านตรัสรู้สำคัญที่สุดในความเป็นมนุษย์ ได้อันนี้อันเดียว ได้หมดทั้งจักรวาลเลย ได้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง ได้บรรลุธรรมะโลกุตระ เป็นพระอรหันต์คือผู้จบกิจในความเป็นมนุษย์ คือผู้ที่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว

พระพุทธเจ้าแสวงหาสิ่งที่สุดยอด เกิดตายเกิดตายจนเป็นพระโพธิสัตว์ จนสูงสุดเป็นพระพุทธเจ้าสุดแล้ว ไม่มีอะไรที่จะต้องรู้อีกแล้ว ครบแล้วในเรื่องมหาจักรวาล เรื่องของทุกอย่าง เสร็จแล้วท่านก็ต้องมาสืบทอดอันนี้ ในภาวะของกาละที่จะมีมนุษย์รับศาสนาพุทธหรือโลกุตระได้ ก็มาประกาศ ประกาศแล้วจนกระทั่งเสร็จกิจของท่าน ก็ไม่มาแล้ว อย่างเช่นขณะนี้ไม่มาแล้ว เหลือแต่พระโพธิสัตว์ที่จะมาสืบทอดต่อ ที่จะช่วยสืบทอดศาสนาไปจนกว่ามันจะสิ้นพุทธกัปของพระสมณโคดมคือ 5,000 ปี

ผู้ที่ชัดเจนได้ฟังก็จะรู้ว่าอันนี้ถูกต้อง พอเข้าท่า เพราะฉะนั้นต้องมาฟังพระโพธิรักษ์ เพราะว่าพูดถูกต้องสัมมาทิฏฐิเป็นธรรมะพระพุทธเจ้า ที่หลงอยู่ในโลกของเถรสมาคมทางเดียรถีย์พากันออกนอกรีต เสียเวลาไม่เอาแล้ว ท่านก็มาเอา แต่มาไม่ได้เต็มตัวก็ไม่ใช่น้อย ที่ไม่เอาเลยดูจะมากกว่าที่พอเข้าใจแล้วพอรับได้ ซึ่งก็เป็นสัจจะ เพราะในยุคนี้เป็นยุคที่คนเสื่อม เสื่อมมากจนกระทั่งไม่สามารถรับรู้ได้

เหมือนกับภิกษุที่เขาเอามาเขียนเป็นนิยายกามนิต คุยกับพระพุทธเจ้าทั้งคืนก็ไม่รู้ว่าเป็นพระพุทธเจ้า โพธิรักษ์จะเป็นอะไร ขนาดคนตั้งใจมาคุยด้วยแล้วไม่ได้ มีความอคติด้วยจะรู้ได้หรือ เหมือนกามนิตคุยกับพระพุทธเจ้าทั้งคืนก็ไม่รู้ว่าคุยกับพระพุทธเจ้า บอกว่าฟังธรรมะดี ท่านคุยดี เพราะว่าเป็นผู้แสวงหาธรรมะบอกว่าขอบคุณมากได้ฟังธรรมะจากท่านดีมาก ขอบคุณแล้วจะลาไปพบพระพุทธเจ้า สวัสดี ท่านผู้มีอายุ ทั้งๆที่คุยกับพระพุทธเจ้าอยู่แท้ๆนี่เป็นสัจจะจริงไม่ใช่เรื่องแต่ง ขนาดเจอพระพุทธเจ้าแท้ๆเขายังไม่รู้จัก เดี๋ยวนี้มันก็เหมือนกัน อาจจะไม่เหมือนทีเดียว พระพุทธเจ้าก็จะลึกซึ้งกว่านี้

สิกขมาตุรินฟ้า...ปุกกุสาติ ที่พบ พระพุทธเจ้า ที่บ้านช่างหม้อ พระพุทธเจ้าเทศน์ไปเมื่อฟังเทศน์ก็บรรลุธรรมขอบวช แล้วจะไปบวชก็จะไปหาบริขารก็ไปเจอ โคขวิดตายก่อน แต่เขาเอาเรื่องนี้มาทำเป็นนิยายกามนิต

สู่แดนธรรม... สมัยก่อนที่ผมเป็นอารามิกได้ฟังท่านสมณะฟ้าไทว่า เราไม่ได้ทำอธิศีล จิตจึงไม่เจริญขึ้น

พ่อครูว่า... คือ เข้าหาผู้รู้ที่รู้ยิ่งกว่าแล้วก็โอภาปราศรัย เหมือนกับปัญญาข้อที่ 2 ของพระโสดาบัน หรือเหมือนกับปัญญาข้อที่ 2 ในปัญญา 8 ประการ ท่านก็จะให้เพิ่มศีล จากนั้นก็จะชัดเจนในเรื่องของความสงบกายสงบจิตข้อที่ 3 แล้วก็จะต้องเข้าใจสงบกายให้ถูกต้องอย่างสัมมาทิฏฐิด้วย ว่า สงบกายไม่ใช่กายไม่กระดุกกระดิก แต่สงบกายคือ จิตที่ยังเกี่ยวข้องกับภายนอกด้วยกามคุณ 5 เป็นกามาวจร กิเลสกามลดลง นั่นคือการสงบกาย เมื่อสงบในกามาวจรกามคุณ 5 ลดลง ก็เหลือกิเลสที่อยู่ในจิต เป็นกิเลสภายในจิตต่อ เป็นรูปภพ อรูปภพ ก็ทำไปตามลำดับ สงบกายแล้วก็มาสงบจิตต่อ อย่างนี้เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องถึงขั้นปัญญา ปัญญาในข้อที่ 3

แล้วจากนั้น คุณที่ถามมาดูเหมือนว่าตัวเองสงบแล้วแล้วจะทำอย่างไรต่อ ก็ปฏิบัติตามพระพุทธเจ้าสอนต่อในข้อที่ 4 คือ ศีล, ข้อที่ 5 พหูสูตร, ข้อที่ 6 วิริยารัมภะ, ข้อที่ 7 บรรลุ ก็อยู่ในหมู่มิตรสหายดี เป็นอรหันต์ด้วยกันผู้ที่จะเป็นผู้เทศน์ก็อยู่ในกาละ รู้ความเกิดความดับของรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แล้วก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นใดๆทั้งปวงเป็นพระอรหันต์ เป็นปัญญาข้อที่ 8 อย่างนี้เป็นต้น

อย่างที่อาตมาไล่ปัญญา 8 ไม่ได้นั่งท่องจำพยัญชนะหรอก แต่ดูที่สภาวะ ข้อที่ 1 2 3 4 5 6 7 พระพุทธเจ้าท่านเอาประเด็นอะไรก็เข้าใจ แล้วก็เอาประเด็นนั้นมาจำได้ มี 8 ประเด็นตามลำดับอย่างนี้แล้วเอามาพูดอธิบายให้ฟัง ไม่ได้ไปท่องพยัญชนะ มันจะเป็นของจริงตามหลักการของพระพุทธเจ้าตามสภาวะธรรมที่จะต้องดำเนินไปตามนั้น มันจึงได้ง่ายและชัดเจน

 

คำแนะนำสำหรับคนเป็นหนี้

_หลวงปู่จะแนะนำคนที่เป็นหนี้ ในภาวะปัจจุบันอย่างไรคะ แล้วคนที่มีปัญหาต่างๆที่เข้ามาในชีวิตอย่างไรบ้างคะ

พ่อครูว่า... ที่เป็นหนี้นี่คือคนโง่ โง่ในความตะกละตะกลาม ในกิเลสโลภ โง่คือความไม่รู้ ที่โลกเขาพาเป็นไปก็เป็นไปตามเขาต่างๆนานา มันก็เลยเกิดภาวะที่โลกเขาพาเป็น มันเป็นเรื่องทุกข์ ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะจริงๆจะเป็นอย่างนั้น เป็นโดยไม่รู้ตัว เป็นโดยความไม่เข้าใจ

มาคบ มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี คนชาวโลกุตระชาวอโศกแล้วก็จะรู้ว่า จะลดหนี้ได้อย่างไร ลดหนี้ด้วยการที่คุณต้องใช้หนี้เขา มีหนี้เป็นวัตถุ คุณจะไปโกงเขาไม่ได้ จะทำอย่างไรจะใช้จะหนี้ได้ คุณต้องเลิกสิ่งที่ใช้เกินความจำเป็น ต้องหยุดใช้จ่ายในเรื่องต่างๆที่เกินจำเป็น โดยยังไม่เข้าใจว่า มันเฟ้อเกิน ไม่ต้องไปเสพไปเสียเงิน เลิกออกมา 1 เสพทางกามหนึ่ง อย่างเสพทางโลกเขาที่จะต้องได้ตามฐานะอย่างนั้นอย่างนี้ อย่าไปตามเขา แต่ให้ตามคนที่จนจน ตามคนที่เขาไม่ฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือย คนที่เขามักน้อยสันโดษจริงๆ อย่างชาวอโศก อย่าไปตามคนโลกๆ

ก็จะเห็นว่าเรานี่ยังเป็นคนที่ตามคนโลกอยู่เยอะนะ คุณจะรู้ตัว อย่างชาวอโศกนี้มามักน้อยอย่างแท้จริงคุณก็จะต้องลดลง ถ้าคุณลดที่ตัวคุณ มันก็เท่ากับลดความต้องการอย่างเดิมมันก็ลดลงแล้ว เมื่อลดลงได้มากพอจะเห็นเป็นรูปธรรมเลย ค่าใช้จ่าย เวลา แรงงาน แรงงานก็ไม่ต้องใช้ ค่าใช้จ่ายก็ไม่ต้องใช้ เวลาก็ไม่ต้องเสีย เลิกไปได้ ความสูญเสีย 3 อย่าง

1.เสียเวลา 2. เสียทุนรอน 3. เสียแรงงานทางกายทางสมอง ความสูญเสียอันนี้มันรวมทุกอย่างในความสูญเสียของมนุษยชาติ คุณก็จะได้คืนมา เมื่อได้คืนมาคุณก็จะลดความเป็นหนี้ได้ไปตามลำดับ มันจะได้จริงๆคุณฟังดีๆเถอะ

เมื่อคุณเพลาได้แล้วลดได้แล้ว ปฏิบัติศีล คุณจะได้ความสงบกายสงบจิตในปัญญาข้อที่ 3 แต่ปัญญาข้อที่ 2 คุณจะเริ่มได้ยินได้ฟังจากสัตบุรุษ แล้วคุณก็จะเข้าหา มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ถามไถ่ ทำอย่างไร

สู่แดนธรรม... สรุปแล้วก็ต้องมีจิตกล้าจน สลายปัญหาอะไรหลายอย่างได้

พ่อครูว่า... คำว่า กล้าจน ท่านแปลว่า มักน้อย จากบาลีคืออัปปิจฉะ มัก ชอบหรือต้องการมีน้อยๆ เป็นคุณสมบัติที่ยิ่งใหญ่ในมนุษยชาติ ผู้ที่มักน้อย กล้าที่จะมีชีวิตเป็นคนจน เป็นคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุด แล้วคุณจะเห็นคุณสมบัติความจนเป็นสิ่งประเสริฐ เหมือนอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านตรัสอย่างองอาจ อาสโภ อย่างกล้าหาญ องอาจ สง่าผ่าเผยต้องมาเอาแบบคนจน ขาดทุนนี่แหละต้องมาขาดทุน อย่าเป็นคนไปหากำไรใส่ตัว แต่จงเป็นคนขาดทุนให้ได้ เป็นภาษาไทยง่ายๆ เข้าใจให้ดีๆและทำให้ได้เลย

เขาจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจของโลกด้วยการให้คนไปรวยนั้นมันแก้ไม่ได้ ต้องพาให้คนมาจนถึงจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้สำเร็จเหมือนอย่างอาตมาพาพวกคุณมาเป็นคนจนแก้ปัญหาได้สำเร็จ อย่างคนชาวอโศกเป็นผู้หมดปัญหาเศรษฐกิจ รู้ความจริงตามความเป็นจริงแล้วก็จะจบมันเป็นเรื่องจริงเห็นๆอยู่แล้ว

ทฤษฎีเหล่านี้อาตมาเป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้าเรียนมาจึงได้เข้าใจชัดเจนเป็นสัจธรรมอย่างนี้ แล้วท่านก็ตรัสไว้ในพระไตรปิฎกก็มี ในหลวงท่านเป็นโพธิสัตว์ก็ตรัสไว้แล้ว ท่านไม่ได้พูดเล่นท่านก็ตรัส แล้วก็ตรงกับอาตมานี่แหละ ท่านตรัสกับอาตมาพูดอธิบายของพุทธเจ้าก็ตรงกันทั้งคู่ ก็เป็นความจริงยืนยันความจริงอันนี้กัน

พูดอย่างไม่ได้บันยะบันยัง ไม่ได้ไปถนอมไม่ได้เกรงใจว่าจะผิดเลยนะ ไม่ได้กลัวผิดเลย ว่ามันถูกต้องจริงๆ

สมณะเดินดิน... พ่อครูเคยกำหนดว่า ชาวอโศก มีความสำเร็จในชีวิตด้วยกำหนดความ มีคุณสมบัติ 4 ข้อ 1. ไม่เป็นหนี้ 2. พึ่งพาตนเองได้ 3. ทำให้มากให้เหลือ 4.แจกจ่ายผู้อื่น ถ้าพวกเราทำได้ 4 ข้อนี้ พ่อครูว่าเป็นการประสบผลสำเร็จทางเศรษฐกิจแล้ว

พ่อครูว่า... ใช่ นี่แก้ปัญหาเศรษฐกิจสำเร็จ คือคุณจะอยู่ในสถานะ

1. ไม่เป็นหนี้แล้ว

2. ทำงานเลี้ยงตัวเองขยันหมั่นเพียรสร้างสรรค์ซึ่งอาศัยในชีวิตได้สบายเลี้ยงตัวเองรอดพึ่งพาตนเองได้

3. ทำให้มากทำให้เกิน

4. มีเหลือเผื่อแผ่ผู้อื่น

สี่ขั้นนี้เป็นเรื่องจบ ถ้าหากอาตมาไปทำงานทางโลกไปทำงานราชการไปทำงานบริหารประเทศ อาตมาก็จะทำอย่างนี้อย่างที่กล่าว แต่อาตมาไม่ได้ไปอยู่ในกรอบของข้าราชการในประเทศ อาตมาทำอย่างอิสรเสรี อาตมาก็ทำอย่างนี้แหละ ถ้าสมมุติว่าชาตินี้อาตมาต้องไปเป็นข้าราชการอาตมาก็ต้องทำอย่างนี้ โดยเฉพาะการเป็นข้าราชการที่ต้องดูแลทางเศรษฐกิจอาตมาก็จะต้องทำอย่างนี้ แต่อาตมาไม่เอาไม่ทำ เพราะว่าไปสู้แรงงานของข้าราชการด้วยกันไม่ได้ มันไม่คล่อง อาตมาก็ต้องทำส่วนตัว จะว่าให้ชัดเจนคือ ในสังคมประเทศ ข้าราชการก็คือคณะใหญ่ อาตมาก็เป็นประชาชน ประกาศตนเป็นนานาสังวาสกับข้าราชการ แล้วก็ทำส่วนตัวโดยอิสระ โดยที่เปรียบเทียบอย่างที่อาตมาประกาศกับเถรสมาคม ว่าท่านเป็นร้านทำปาท่องโก๋ร้านใหญ่ท่านก็ทำไป แต่อาตมาว่าสูตรของท่านเป็นสูตรยาพิษ กินแล้วท้องเฟ้อท้องเสียปาท่องโก๋ท่าน อาตมาก็ไม่เอา ก็มาทำร้านปาท่องโก๋เล็กๆข้างทาง โดยสูตรที่อาตมาว่า ซึ่งไม่ใช่สูตรที่ท่านทำอาตมาว่าอย่างนั้นมันผิด เช่น เศรษฐศาสตร์มาพารวยมันผิด มาพาให้จนนี้ถูก อาตมาก็พาทำร้านปาท่องโก๋แบบคนจน มาเป็นนานาสังวาสแล้ว เดี๋ยวนี้ก็ยิ่งชัด อาตมาก็ทำมาตลอด

พาให้คนกลุ่มน้อยหลุดพ้นจากปัญหาเศรษฐกิจได้ ยืนยันพูดยังไม่ได้บันยะบันยัง พูดอย่างเต็มที่เต็มปาก ไม่ได้พูดอย่างเหนียมเหมือนอย่างมังกุเลย ก็เป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้แล้ว

แต่คณะใหญ่ท่านเรียนตำราเศรษฐศาสตร์แบบต่างประเทศมา ผู้ที่เป็นศาสตราจารย์ของโลกนั้นเป็นชาวเทวนิยมทั้งนั้น ไม่ใช่ชาวอเทวนิยมหรือชาวพุทธ อาจารย์ทางเศรษฐศาสตร์ของชาวพุทธคือโพธิรักษ์ อาตมาพูดอย่างองอาจแกล้วกล้า แต่เขาไม่เชื่อเพราะอาตมาไม่มีปริญญารับรองแบบทางโลก แบบพวกเทวนิยมเขานิยม อาตมาเป็นนักเศรษฐศาสตร์ขึ้นตรงต่อพระพุทธเจ้า เถรสมาคมก็ไม่มีสิทธิ์ให้ยศตำแหน่งทางเศรษฐศาสตร์แก่อาตมา อาตมาทำตรงกับของพระพุทธเจ้าเท่านั้นเอง อาตมาก็ยืนยัน แต่เถรสมาคมยังไม่รู้เลยว่าเศรษฐศาสตร์ของพระพุทธเจ้าเป็นอย่างไร  เขาก็สอนให้ไปรวยกันทั้งนั้นไม่ได้สอนให้มาจน

แม้แต่พวกนักบวชหลับตาที่ดูเหมือนเข้าใจในความจน ท่านก็ไปมักน้อยสันโดษไม่สะสม แต่ท่านก็เหมือนนักมายา ปากพูดอย่างแต่พาทำอย่าง ก็ยังพากันมารวย ก็ยังอวยพรขอให้ร่ำรวยอยู่นั่นแหละ ทั้งที่ตัวเองต้องมาจนไม่สะสมทรัพย์ศฤงคารอะไรเลย นั่นแหละพวกพระหลับตา แต่สอนพุทธศาสนิกชนก็ยังสอนให้รวยอยู่อย่างนั้น นี่แหละพูดอย่างทำอย่าง เป็นการมักน้อยสันโดษตามจารีตประเพณีตามบัญญัติแต่ไม่ได้เข้าถึงจิตเข้าถึงความเป็นจริงสัจธรรม กดข่มไว้ทำตามจารีตประเพณีตามอาจารย์เก่าๆไม่ได้เกิดปัญญาจริงเลยว่า เรามามักน้อยสันโดษเรามาทำอะไรอย่างนี้อย่างมีปัญญาปฏิภาณ ถ้ามีปัญญาปฏิภาณก็เอามาสอนคนเอามาขยายความให้คนทั้งหลายแหล่ เข้าใจว่าอย่าไปแย่งชิงอย่าไปเล่นเรื่องเงินทองอย่าไปเที่ยววุ่นวายสะสม จะให้เสียสละออกให้มีน้อยอยู่ได้แล้วก็มีชีวิตอยู่อย่างพอเพียงสันโดษ กินใช้พอแล้วทำให้เหลือ รู้จักพอ เมื่อเรารู้จักพอก็สะพัดแจกจ่ายอย่าไปขี้เหนียว ก็จะสอนอย่างนั้น แต่นี่เขายังไม่ชัดเจนยังไม่ละเอียดลออ

 

แก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการมีชีวิตแบบคนจน

สู่แดนธรรม... วันนี้ พูดถึง ทฤษฎีให้คนมาจน เป็นทฤษฎีที่สุดยอด

พ่อครูว่า... เป็นทฤษฎีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่สำเร็จและอย่างถาวร แก้ปัญหาให้ถึงจิต หากจิตเป็นคนชัดเจนในความมักน้อยสันโดษ อย่างที่อาตมาพาทำ พวกคุณชัดเจนก็มามักน้อยสันโดษ มีแค่นี้ก็พอมันพอจริงๆ ไม่ต้องมีมากกว่านี้ก็สบาย มั่นใจว่าเราอยู่ไปตลอดตายได้ เป็นสถานที่ที่พึ่งพากันเกิดแก่เจ็บตายกันได้ด้วย มันรวมทั้งองค์รวมของเศรษฐกิจองค์รวม รวมทั้งตัวแต่ละบุคคล มันสำเร็จหมดแล้วลงตัวหมดแล้ว”

สิกขมาตุกล้าข้ามฝัน...โควิดต้อนคนทั้งโลกให้มาจนแล้ว แต่ใจมันไม่ยอม

พ่อครูว่า... มันไม่รู้ว่าเราก็อยู่ได้นะ แม้ว่าจะไม่ได้อะไรมากกว่านี้ ดูเหมือนการงานที่เคยได้เงินทองก็ลดลง จนกระทั่งต้องประหยัด มันก็ยังไม่ตายยังอยู่รอดอยู่นะ ก็น่าจะรู้ว่าที่ไปกระเสือกกระสน ที่จะต้องการให้รวยอีกอะไรกันนักหนา ถ้าคนรู้จักหยุดจักพอ ไม่ต้อองรวย   กว่านี้ ทำตัวเองที่กินที่ใช้อยู่ทุกวันนี้รอดไหมจะตายไหม ไ่ม่ตาย เอาแค่นี้ได้ไหม

หากมันมากนักก็ลดลง อาตมาเคยอธิบายรูปธรรม เช่น เรากินทุกอย่างที่ขวางหน้าไม่เคยระมัดระวังสังวรเลย เราก็มาเลิกกินจุบจิบ เลิกกินทุกอย่างที่ขวางหน้า กินแต่เพียง 3 มื้อก็พอ นี่ก็เริ่มรู้แล้วมีปัญญาแล้ว ก็มากิน 3 มื้อ เช้ากลางวันเย็น เป็นหลัก อย่างเป็นกิจจะลักษณะ สุขภาพร่างกายก็ดี ความฟุ้งเฟ้อฟุ่มเฟือยก็ดี นิสัยก็จะดีไปหมด เศรษฐกิจก็ดีแน่นอน

พอกิน 3 มื้อก็อยู่ได้ ก็ลดลงมาเหลือ 2 มื้อ เราจะทุ่น เวลา แรงงาน ทุนรอน อาตมาเคยอธิบายอย่างละเลียดว่า แม่ครัวที่บ้านเช้าก็ไปตลาดทำกับข้าวเลี้ยงคนทั้งบ้าน เสร็จแล้วล้างจานชามยังไม่เสร็จก็ต้องไปตลาดทำอาหารกลางวัน ทำยังไม่เสร็จดีเท่าไหร่ก็ต้องไปตลาดทำอาหารเย็นอีก เสร็จ เมื่อย รุ่งเช้าก็ไปตลาดอีก กลางวันอีกเย็นอีก หมุนเวียนอยู่อย่างนั้น ฟังก็เมื่อยเลยนะ มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้วคนมีสตางค์จ้างแม่ครัวจัดการ เขาอาจจะมีคณะ สำหรับคนรวย คนไม่รวยก็ทำคนเดียว ไปตลาดทำกับข้าวล้างจาน เสร็จแล้วไปตลาดทำกับข้าวตั้งโต๊ะกินเสร็จก็ล้างจาน แล้วก็ไปตลาดอีก เช้ากลางวันเย็น

สู่แดนธรรม... คำแนะนำของพ่อท่านเป็นทฤษฎีสุดยอดแต่คนไม่กล้าทำตามนะครับ

พ่อครูว่า... ไม่กล้าเพราะไม่มีปัญญาพอ มีกิเลสเพราะโง่จะต้องกินต้องเสพอยู่อย่างนั้น ให้มาดูตัวอย่างคนที่ไม่เป็นภาระมากอย่างนั้น อยู่ได้ กินอาหารมื้อเดียวก็อยู่ได้ เขาก็ว่าอยู่ได้อย่างไร แล้วคุณจะมาถามทำไม คุณก็เป็นคนฉันก็เป็นคนทำไมฉันกินมื้อเดียวได้ ฉันเป็นคนทำได้คุณไม่เป็นคนก็เลยทำให้ได้หรือไม่ ก็เรียกว่าโง่ ภาษาบาลีคือเดรัจฉานคือคนโง่

สู่แดนธรรม... เขาก็จะมองว่าอย่างท่านสุดโต่ง

พ่อครูว่า... สุดโต่ง กับสุดสูงต่างกัน คนที่อยู่ต่ำก็จะมองว่าเราสุดโต่ง พูดจริงๆในยุคนี้อาตมาก็เป็นคนที่สุดสูง พวกคุณก็สุดสูงกว่าคนที่ยังหลงโลกอยู่ ยังวุ่นวายเป็นภาระหนักมากอยู่ คุณมาได้อย่างนี้ก็เป็นคนเจริญ ก็ไม่ได้เสื่อมอะไร ร่างกายชีวิตพวกเรานี้ สันทัดคน มีรูปร่างอันไม่เหมือนพุงโร ผอมแห้งก็ไม่มี พวกเราผอมจนดูไม่ได้ก็ไม่มี อ้วนจนดูไม่ได้ก็ไม่มี ค่อนข้างจะผอม โหงวเฮ้งของสัจธรรมชาวอโศก ไม่ใช่โหงวเฮ้งของชาวจีน ชาวจีนจะต้องอ้วนหน่อย แต่ของชาวอโศกต้องค่อนข้างผอม โหงวเฮ้งของทางสัจธรรมนี้จะต้องผอม ช้างพี ฤาษีผอม พวกเดรัจฉานก็ยังพียังอ้วนอยู่ พวกมุณีก็ผอม เป็นอาริยะ เรื่องจริง ดูที่ค่าเฉลี่ยชาวอโศก ซึ่งอาจจะมีเศษวิบากตามวาสนาบารมีของบางคนก็พยายามจะลดลง แต่มันลดไม่ได้ก็เท่านั้นเอง อย่างนทีฟ้า ลดไม่ลง ไปถามเขา ทำไมน้ำหนักเยอะ นทีฟ้าก็บอกว่า อิ่มแล้วก็ยัดเข้าไปๆก็อ้วนเอง

 

สู่แดนธรรม... ทฤษฎีของพ่อท่าน คือให้คนมีใจกล้าจน แต่โควิดผมว่า จะค่อยๆทำให้มนุษยชาติเริ่มที่จะสำนึก มีทางออกว่าควรที่จะใจกล้าที่จะเสียสละขึ้นมาบ้างแล้ว ผมว่า อาจเป็นแนวทางบ่มเพาะทฤษฎีพระพุทธเจ้า

พ่อครูว่า... ใช่ คนที่ไม่เคยติดดินก็ต้องมาติดดิน คนที่ไม่เคยขวนขวายก็มาขวนขวาย คนที่เหินฟ้าลอยฟ่องก็หยุด ไปไม่รอด ก็ต้องลดลงมา เป็นแต่เพียงว่าคนโง่หนักๆอยู่เท่านั้นในยุคนี้ คือพวกนายทุนหรือพวกที่มีโครงสร้างของกิจการของตนเอง อย่างพวกเศรษฐีโรงเหล้าอย่างนี้เป็นต้น พวกนี้ไม่รู้สึกรู้สา โง่อยู่ตลอดกาลนาน Covid จะมาหรือไม่มา เขาก็ไม่รู้เรื่อง เขายังมีน้ำก๊อกไหลให้พวกเขารวยอยู่ พวกมีโครงสร้างฐานอาชีพที่เขาสร้างไว้แล้วก็ทำได้ มันอาจจะลดลงบ้าง แต่เขาก็มีมากเกินไป เขาก็ไม่เคยคิดว่าจะต้องพยายามมาเป็นคนจนให้ได้ เขาไม่กล้าคิด เขาไม่อยู่ในฐานะของคนที่จะมีสำนึกอย่างนี้ได้เลย ไม่มีสิทธิ์

จนกว่าจะมีบารมี รวยแล้วก็ทิ้งมาเลย แต่ในยุคนี้ก็คงจะหายาก จะมีตัวอย่างก็โพธิรักษ์นี่แหละ ถ้าอาตมาไปทางโลกก็รวยแน่นอน จริงๆ นี่ไม่ได้พูดเล่นนะ เพราะอาตมามีบารมี แต่อาตมาไม่เอา ถ้าอาตมาอยู่ทางโลกอาตมาจะเดินสายทาง ที่กำลังเลือก กำลังเริ่มเรื่องสื่อสารสนเทศ มาในทางนี้อาตมากำลังเริ่มเลย เมื่อ 50 ปีที่แล้ว

เอาง่ายๆ ตั้งแต่แกรมมี่ยังไม่เกิด อาร์เอสยังไม่เกิด อาตมาตั้งชื่อแล้ว บริษัทหัวใจสีชมพู ตั้งสำนักงานทางธุรกิจบันเทิงแน่นอน ถ้าหากอาตมาตั้งก็ตั้งก่อนพวกนี้ แล้วอาตมาก็มีความรู้พวกนี้ ปูทางมาแล้วด้วย ถ้าไปทางโน้นก็ก็ต้องร่ำรวยเหมือนกับแกรมมี่และอาร์เอส แต่อาตมาไม่เอาไม่ไป พูดให้เห็นว่าอาตมาไม่ได้โม้ ไปทางนั้นได้จริงๆแต่ไม่เอา

อาตมาจะต้องมาทางนี้ ก็มาเอาทางนี้จนกระทั่งเกิดภูมิปัญญาของเดิมของเก่าจากพระพุทธเจ้า ที่สอนไว้แล้วก็ได้เรียนตามมาก็มาพาลดละ อย่างที่เป็น อาตมาพาพวกเราเรียนรู้ทั้งความรู้ทฤษฎี ทั้งความรู้ปฏิบัติ ทั้งความจริงที่ได้มรรคได้ผล ทำสำเร็จหมด

ในหลวงท่านก็เป็นโพธิสัตว์ ท่านก็มีความคิดแนวเดียวกัน แต่ท่านอยู่ในฐานะเป็นกษัตริย์ วงกว้างท่านทำไม่ได้อย่างอาตมา ท่านก็ทำได้ประมาณหนึ่งตามฐานะของท่าน อาตมาก็อีกฐานะหนึ่ง อาตมาก็ทำได้ครบ  ถึงระดับเศรษฐกิจสาธารณโภคี ซึ่งเป็นวิสัยที่อาตมาจะทำได้ แต่ในหลวงท่านไม่อยู่ในวิสัยที่จะทำได้ ท่านก็ได้ทำตามฐานะของท่านอย่างนี้เป็นต้น

 

ฌานวิสัยเป็นอจินไตยเช่นไร

พ่อครูว่า... สัจจะเหล่านี้เป็นเรื่องจริงในโลกที่คิดเอาเองตื้นๆไม่ได้หรอกเป็นอจินไตย เป็นเรื่องของกรรมวิบาก เป็นเรื่องฌานวิสัย

ขอไขคำว่า “ฌาน”

ฌาน เป็นอจินไตย ทุกวันนี้ไม่มีฌานในโลก มีฌานจริงๆของพระพุทธเจ้าอยู่ที่ชาวอโศก

ฌาน คืออะไร? ฌาน มันเพี้ยนจากความจริงของพระพุทธเจ้า

ฌาน คือ พลังงานทางจิต ฌาน คือพลังงานที่เป็นยอดปัญญา  ปัญญาที่เกิดจากการปฏิบัติศีลด้วย อปัณณกปฏิปทา 3 แล้วเกิด ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ พาหุสัจจะ วิริยะ สติ  ปัญญา

ปัญญานี่แหละ คลุม เป็นวิชชา 8 ปฏิบัติไปจะเกิดความซับซ้อนเป็นปฏิภาคทวีเจริญเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นฌาน 1 2 3 4 เจริญจนกระทั่ง จาก ฌาน ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ ฌาน หลับตาแล้วไม่ใช่ได้ผลในจิตอย่างนั้น ฌาน ของพระพุทธเจ้าคือจิตที่รู้จิตเจตสิก

จิต ที่เป็นปัญญารู้จักจิตกับกิเลส แล้วก็สามารถมีปัญญารู้จักวิธีทำให้กิเลสมันดับ กิเลสก็ดับจริงๆ ดับอย่างถาวรด้วย นี่คือคุณลักษณะของ ฌาน ที่สัมมาทิฏฐิที่ถูกต้อง

ฌาน เกิดด้วยการปฏิบัติมีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก เกิดจากการปฏิบัติอย่างลืมตามีตากระทบรูป หูกระทบเสียง ฯ แล้วปฏิบัติตามหลัก ศีล ขัดเกลากิเลสไปด้วย อปัณณกปฏิปทา 3 มี สำรวมอินทรีย์ โภชเนมัตตัญญุตา ชาคริยานุโยคะ กินใช้อะไรอยู่ก็อ่านกิเลสให้ได้ ลดกิเลสให้ได้ สติอย่าตก เป็นคนตื่นเป็นคนรู้ สำรวมในตาหูจมูกลิ้นกายใจที่เกี่ยวข้องกับทุกอย่าง สัมผัสเมื่อใด กิเลสปัจจุบันเกิดตอนนั้นเป็น ทิฏฐธรรม ปัจจุบันชาติ กิเลสเกิดปัจจุบันคือกิเลสจริง ไปหลับตาไม่มีปัจจุบันไม่เป็นความจริง มันมีแต่ความจำ เป็นการระลึก ที่หลับตานั้นเป็นปฏิบัติโมฆะ

ต้องปฏิบัติแบบลืมตามีทิฐธรรมสุขวิหาร มีเครื่องอยู่ในขณะนี้ เห็นกิเลสปัจจุบันนี้ นี่คือกิเลสจริงๆ คุณทำให้กิเลสนี้ลดได้จริงๆ มันก็เป็นการถูกต้อง แต่คุณหลับตาไม่มีกิเลสจริงมีแต่กิเลสปลอม กิเลสจริงๆเกิดในปัจจุบันชาติในทิฏฐธรรมเท่านั้น

อาตมาก็ว่าได้พูดขยายสัจธรรมครบหมดแล้วนะ ถ้าฟังด้วยดีอย่ามีอคติจะเกิดปัญญา ที่ไปหลงงมงายกับการนั่งหลับตามันผิดหมด นี่แหละต้องมาลืมตาปฏิบัติจึงจะเป็นฌาน ถ้าหลับตาไม่เกิดฌาน ฌานไม่ได้เกิด ฌานไม่จริง มันเป็นฌานแบบฤาษี เดียรถีย์ อาตมาถึงบอกว่ามิจฉาชีพในการปฏิบัติทั้งหมดเมืองไทย ฌาน ของพระพุทธเจ้าจึงไม่มี

ฌาน เป็นพลังไฟ ไฟที่เผาไฟราคะ เราเรียกด้วยศัพท์เป็นภาษาเท่านั้น แต่มันเป็นพลังงานราคะ โทสะ  โมหะ ท่านก็เรียกว่าไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะ ไฟที่เป็นฌาน เรียกไฟฌาน ฌานที่สร้างอภิสังขารให้เกิด ฌาน เป็นพลังงานแบบอุตตริมนุสสธรรม พลังงานพิเศษที่สามารถกำจัดไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะได้ ถ้าคุณเข้าใจแล้วสร้างได้ถูกต้องตามคำสอนพระพุทธเจ้า เกิดพลังงานนี้แล้วกิเลสลดได้ คุณก็จะพิสูจน์ด้วยตัวเองว่ากิเลสมันลดได้จริง ปฏิบัติมา แม้บางคนก็จะเห็นว่า ไม่หลายปีกิเลสก็ลดได้จริง บางคนก็ต้องว่ากันหลายปีกว่าจะเห็นว่ากิเลสลด มันลดลงได้เยอะ มันลดลงไปน้อยก็ดูไม่ออก

แต่ก่อนเราโลภก็เท่านั้น กามก็เท่านั้น โกรธก็เท่านั้นคือไม่ใช่น้อยๆ แต่เดี๋ยวนี้มันไม่มีจริงๆ กระทบสัมผัสอย่างเก่านี่แหละ มันก็ไม่เกิดแล้ว แต่ก่อนนี้กระทบสัมผัสอย่างนี้ก็เกิดความโกรธ ยิ่งอายุยาวยิ่งโกรธง่าย ไอ้โกรธนี้ ยิ่งอายุเยอะ ตัวโกรธะ ก็เกิดง่าย แต่กาม เมื่ออายุมากขึ้นสรีระมันสู้ไม่ไหวก็อาจจะลดลง แต่ความโกรธนี้อายุยาวมากเท่าไหร่มันยิ่งไม่ลดถ้าเผื่อว่าไม่ปฏิบัติธรรม มันยิ่งถือตัวด้วยว่าตัวเองอายุมากแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ก็เฉยๆแม้เขาจะทำถึงขนาดนี้

เราจะมีประสบการณ์นั้นจริงเลย อย่างนี้แหละปฏิบัติธรรมอย่างมีมรรคผล มีของจริงที่เราเกิดได้จริง ไม่ใช่ไปนั่งเช็ค หลับตาเช็คมรรคผล เช็ควิมุติ สอบญาณ อย่างนั้นมันไม่ใช่ คุณก็สอบของคุณเอง รู้ของคุณเองว่าพฤติกรรมกายวาจาใจ แต่ก่อนนี้เราปฏิบัติประพฤติ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นอย่างเก่าแล้วมันเปลี่ยนแปลงไป เปลี่ยนแปลงไปเลย ถ้าเข้าใจด้วยปัญญาจริงๆว่าพฤติกรรมอย่างนี้มันเป็นคนโลกๆ คนโลกีย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องลาภยศสรรเสริญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกามคุณ 5 ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความโกรธ มันไม่เหมือนเก่าแล้ว มันเปลี่ยนแปลงไป มันลดลง จิตใจก็สบาย มาจนก็สบาย มามี มิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ไม่ต้องพากันไปหลงไฮโซ มาอยู่ติดดินอย่างนี้ก็สบาย 

สู่แดนธรรม... แสดงว่าทฤษฎีที่จะให้คนมีกำลังใจกล้ามาจนต้องอาศัยกระบวนการของ ฌาน และปัญญา  พ่อท่านจะให้กำลังใจคนกล้ามาจนได้อย่างไร

พ่อครูว่า... ก็อย่าไปพรวดพราดทำวูบวาบ ไม่เอา ก็ต้องค่อยๆเรียนรู้ลดละลงมาตามลำดับๆ ถ้าคุณมีบารมีก็จะลดลงได้เร็วได้เก่งได้ง่าย แต่ถ้าไม่มีบารมีก็จะไม่ไหว ลดลงได้หน่อยก็ไม่ไหวเวียนกลับไปอย่างเก่า มันก็เรื่องจริงของแต่ละคน

จริงๆแล้วมันก็เป็นเรื่องจริงของยุคสมัยของมนุษยชาติ มันก็ได้เท่าที่ได้ อาตมาก็ว่าอาตมาไม่สูญเปล่า ไม่เป็นหมันในการเกิดมาชาตินี้ที่จะมาเผยแพร่โลกุตรธรรม ไม่เป็นหมัน

ท่านพุทธทาสพูดโลกุตรธรรม ท่านก็มีมวลมีผู้ปฏิบัติได้ มวลสมาชิกอย่างท่านพุทธทาสท่านก็พาคนให้มาลดละ มักน้อยสันโดษลงมาบ้าง แต่อาตมาว่า อาตมาพามาลดละนี้เป็นรูปธรรม เป็นปรากฏการณ์จริง ยิ่งชัดเจน จนกระทั่งเกิดเป็นวัฒนธรรม จนเกิดเป็นหมู่กลุ่ม สังคม เป็นหมู่บ้านชุมชน เป็นชุมชนที่มักน้อย เป็นชุมชนคนจน เป็นชุมชนที่มีสาธารณโภคีจริงๆเลย อาตมาพิสูจน์ได้ยิ่งกว่าของท่านพุทธทาส

เป็นสาราณียธรรม 6 เป็นกลุ่มเป็นมวลอย่างแท้จริงเป็นรูปธรรมที่สนสมบูรณ์แบบเป็นสาราณียธรรม 6 เป็นหมู่ชนที่อยู่กันอย่างนี้ สาราณียธรรม 6 เมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม เมตตามโนกรรม ลาภธัมมิกา ศีลสามัญตา ทิฏฐิสามัญตา 

มีลาภ มีผลผลิตได้มาก็รวมกันเป็นกองกลางเป็นสาธารณโภคี แล้วปฏิบัติธรรมไปเป็นศีลสามัญญตา ทิฏฐิสามัญญตา ครบ พิสูจน์ได้

สมณะเดินดิน... สรุปจบ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

640804_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5 วันพุธที่ 4 สิงหาคม  2564 ณ บวรราชธานีอโศก ชมวิดีโอได้ที่นี่ ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่น...