วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

640519_พุทธศาสนาตามภูมิ - มนุษย์ที่ยังมีทุกข์มีสุขอยู่ก็คือโง่กว่าพืช

 รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - มนุษย์ที่ยังมีทุกข์มีสุขอยู่ก็คือโง่กว่าพืช
วันพุธที่ 19 พฤษภาคม  2564

ณ บวรราชธานีอโศก











ชมวิดีโอได้ที่นี่
ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่นี่


สมณะฟ้าไทว่า...วันนี้เป็นวันพุธที่ 19 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก พ่อครูได้มีเมตตาเพิ่มอัตราส่วน สมณะต่อสิกขมาตุ จากเดิม 4 ต่อ 1 มาเป็น 3 ต่อ 1 ตอนนี้สมณะ 86 รูป ก็จะมีสิกขมาตุได้ 28 รูป  วันนี้จึงมีการโหวต online 3 พุทธสถานคือบ้านราช  สันติ   ปฐม ที่มีสิกขมาตุอยู่ผลโหวตออกมาผู้ที่ได้เลื่อนจากกรักขึ้นเป็นสิกขมาตุคือคุณกรักเพียงแก้ว   อโศกตระกูล   ได้ผ่านขึ้นเป็นสิกขมาตุอีก1รูป และโหวตปะขึ้นเป็นกรัก1 คนคือปะงามงาน ได้เป็นกรัก    

       มีผลให้เลื่อนอารามิกาขึ้นมาเป็นปะพุทธสถานละ 1 คน  บ้านราชคือคุณสุลี แซ่ซือ  ซึ่งเป็นพยาบาลอยู่ที่โฮ่งปัว ที่ปฐมอโศกคือคุณพลังเย็น และที่สันติอโศกคือคุณแก้วขวัญผ่อง ตามลำดับ  

อีกประมาณปีครึ่ง พวกกรัก จะได้โหวตมาเป็นสิกขมาตุ พวกปะก็ขึ้นมาเป็นกรัก พวกที่เป็นอารามิกาก็มีสิทธิ์เลื่อนไปเป็นปะ เราก็ลุ้นผู้ที่อายุไม่มากนัก อย่างกรักเพียงแก้ว เป็นกรักมา 16 ปี กรักน้ำใจกว่าจะเลื่อนเป็นสิกขมาตุก็เป็นกรักถึง 26 ปี กว่าจะได้เลื่อนฐานะก็ยาวนาน

 

 

หมอคุณธรรมของชาวอโศกต้องไม่ผิดกฎหมาย

พ่อครูว่า…ก่อนอื่นมีคนปรามมา ป้องกันดีกว่าการแก้ไข ตอนนี้สิ่งที่ต้องช่วยกันแก้ไขจะทำอย่างไรกันคะ ปัญหาการอวดอ้างแสดงภูมิความรู้และภูมิธรรมของผู้มีความสามารถ ถึงขั้นรู้วิธีปรุงยารักษาคนป่วย แต่ก็ไม่ได้เป็นหมอที่มีใบรับรองประกอบโรคศิลป์ โดยมีทิฏฐิว่า ขอเป็นหมอคุณธรรม บำเพ็ญกุศลจนชาวบ้านยกย่องเคารพศรัทธาให้ฐานะจนสมควรได้เป็นหมอ แต่ขาดความอ่อนน้อมถ่อมตน ยังชอบเถียงกับผู้ที่ไปตักเตือนแสดงภูมิความรู้ด้วยทิฏฐิอันกำเริบอย่างน่าเป็นห่วงว่า อนาคตลูกเมียจะพลอยลำบากตามไปด้วย จะแก้ด้วยการตักเตือนอย่างไรดี ก็เลยมาขอพึ่งพ่อท่านให้สติให้สัมมาทิฏฐิแก่คนที่ว่ายากสอนยากด้วย

พ่อครูว่า...คนว่ายากสอนยากก็ยากจริงๆ ก็ต้องให้สติไปดู อาตมาก็ไม่รับรองว่าให้สติแล้วก็ไม่แน่ว่าจะแก้ไขได้ อาจจะไม่ได้ยินได้ฟัง หรือได้ยินได้ฟังเขาก็ไม่เชื่อเขาจะทำตามใจเขาก็ได้ แต่อาตมาก็ขอปรามว่า ในชาวอโศกเรา ถึงเราจะเก่งอย่างไรเราก็อยู่ใต้กรอบของกฎหมาย การเป็นหมอโดยไม่มีใบประกอบโรคศิลป์นั้นติดคุก การทำหน้าที่รักษาไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ไม่มีใบอนุญาตจากทางการ ซึ่งเขามีกฎหมายกันเรียบร้อยก็ถูกจับเข้า จับเข้าคุกก็เป็นส่วนตัวไป แต่ถ้าอยู่ในชาวอโศกก็พลอยทำให้ชาวอโศกเสียหายด้วยถ้าเป็นคุณธรรมก็ต้องนึกถึงคุณธรรม คุณธรรมของชาวอโศกเป็นคุณธรรมที่ต้องถูกกฎหมาย แต่คุณเป็นคุณธรรมที่ผิดกฎหมายนี้ไม่ใช่ชาวอโศก ใครที่บอกว่าตัวเองมีคุณธรรมกฎหมายไม่เกี่ยวกับกฎหมายจะมาจับฉันฉันก็จะเข้าคุกไปหรือฉันไม่เข้าคุกจนจะต่อสู้ทางทนายอะไรก็ว่าไป อะไรก็ได้ที่จะดึงดันดิ้นรน แต่ขอยืนยันอีกทีหนึ่งว่า อโศกนี้ ไม่ละเมิดกฎหมายด้วย อันนี้เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าเลย ว่าเราอยู่ในสังคมได้ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายของสังคมนั้นเป็นคำสอนพระพุทธเจ้าเลย ปรมัตถ์ต้องเคารพสมมติและสมมุติต้องเคารพปรมัตถ์ถ้าไม่เคารพกันและกันอยู่ไม่ได้ ก็ไม่มีจุดจบไม่มีจุดลงตัวเสียหายไปหมด

ก็ขอย้ำอีกทีหนึ่งว่า ถ้าจะไปเป็นหมอที่ไม่มีใบประกอบโรคศิลป์ก็ออกไปรักษานอกเขตของชาวอโศก เพราะชาวอโศกอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย ถ้าอยากเป็นหมอก็ไปสอบเอาสิสอบทางหมอแผนไทย หมอแผนโบราณก็มีทางออกหลายทางก็เรียนได้ทำได้ ซึ่งก็มีผู้รู้ผู้ทำกันอยู่ ในราชธานีอโศกก็มีผู้ที่ได้รับใบอนุญาตตั้งหลายคน ก็เอาสิ ก็ทำให้ถูกต้องก็แล้วกัน ถ้าทำไม่ถูกต้องก็ต้องออกไปจากชาวอโศก

 

_ขอโอกาสกราบนิมนต์พ่อครู ช่วยประกาศค่ะ

ขณะนี้ทางทีมงาน สนพ. กลั่นแก่น  ได้จัดส่งหนังสือ ตะลุยไฟ ตะไลเพลิง  ทางไปรษณีย์   ไปให้ทุกบวร /ชุมชนชาวอโศก และผู้ที่เคยเป็น สมาชิก "เราคิดอะไร"  โดยจัดส่งให้ทุกที่ตามปกติค่ะ  หนังสืออาจจะถึงมือล่าช้า   โปรดรอสักนิดค่ะ

สำหรับท่านที่สนใจรับหนังสือ กรุณาติดต่อที่

1.  ร้านหนังสือและสื่อสาร    โทร. 095 618 9154

2.  สนพ. กลั่นแก่น  โทร. 086 486 7868

3.  เพจ สำนักพิมพ์กลั่นแก่น

4.  เพจ  อโศกอักษร

 

SMS วันที่ 12-13 พ.ค. 2564

_ประเสริฐ จริยา : โอ๊ยท่านฟ้าไทพูดเห็นภาพเลยค่ะ คอชัน หูกาง หางโก่ง ดิฉันละไม่เอาเลยมีคู่ ตั้งแต่ออกมาเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ผู้ชาย ไม่เจ้าชู้ แต่ขี้เหล้าค่ะ เลี้ยงลูกคนเดียวและสอนให้ลูกเป็นโสดทั้ง ๆ ที่เขาเป็นผู้ชาย และเขาก็อยู่เป็นโสดค่ะ

 

_supparot Jojo (ศุภโรชน์ โจโจ้) : ผมฉีดวัคซีนครบ2โดสแล้วสบายดีครับ.......ฉีดกันเลยครับไม่ต้องกลัว👍👍👍👍

พ่อครูว่า…วัคซีนเป็นเรื่องสากลจะไปกลัวอะไรกันนักกันหนาก็ไปฉีดกัน เป็นแต่เพียงพวกเราถ้าเขาเข้าคิวกันอยู่ก็ไม่ต้องไปแย่งกันหรอก (เขาบอกว่าฉีดวัคซีนดีกว่าฉีดฟอร์มาลีน)

 

หากยังกินเนื้อสัตว์อยู่ไม่มีสิทธิ์เกินโสดาบัน

_Anoao Skwo (อโนอาว เอสเคโว) : พ่อท่านเคย ยกย่อง ท่านพุทธทาส หลวงพ่อชา เป็นพระอริยะ แต่ทั้ง ๒ท่าน ยังไม่ใช่มังสวิรัติ ใช่ไหมครับ

พ่อครูว่า…ท่านก็เคยส่งเสริมนะท่านพุทธทาสก็ส่งเสริมท่านก็ชอบ แต่ท่านไม่ชอบให้ไปเบียดเบียนคนอื่นถ้ามีทั้งก็ฉัน อะไรมาท่านก็ฉันให้ทั้งนั้น หลวงพ่อชาก็ดูเหมือนจะอย่างเดียวกัน ก็ผ่านไปไม่เป็นไร อาตมาเอามังสวิรัติเป็นเครื่องใช้ในการปฏิบัติธรรมเป็นเหตุปัจจัย เอื้อศีลข้อที่หนึ่ง ที่เป็นอธิศีลในการไม่ฆ่าสัตว์ได้ไม่ฉันเนื้อสัตว์ มันเป็นบุญญาวุฒิหมายเลข 1 ของอาตมาก็ได้คัดคนขึ้นมาจำนวนหนึ่ง คนที่นอกกฎเกณฑ์อันนี้ยังฉันเนื้อสัตว์ แต่เขาจะเป็นอริยะให้ได้คุณไปได้ อย่างเก่งจริงๆไม่เกินโสดาบัน ฉันเนื้อสัตว์อยู่ให้เก่งอย่างไรก็ไม่เกินโสดาบัน ถ้าเป็นสกิทาคามีจะมีภูมิปัญญา

การฆ่าหรือไม่ฆ่าแต่ยังฉันเนื้อสัตว์ คุณจะมีภูมิปัญญาเป็นสิ่งที่เป็นอิทัปปัจจยตาหรือปฏิจจสมุปบาทเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกันจริงๆมันไม่ตัดเหตุปัจจัยมันไม่ตัดตอนของการที่จะหมดกำหนดวิบากมันสูงขึ้นไปไม่ได้ ถ้าหากคุณยังกินเนื้อสัตว์คุณจะยังไม่มีภูมิสูงไปกว่านี้ได้คุณก็ได้แต่โสดาบันวนเวียนชั้นต่ำที่สุด กินเนื้อสัตว์ไม่ได้เกินกว่านั้น

ผู้ไม่กินเนื้อสัตว์สูงไปได้เกินกว่านั้นไม่มีอะไรกั้น แต่ผู้ที่กินเนื้อสัตว์จะไม่ได้เกินโสดาบัน ถ้าภูมิสูงขึ้นไปเป็นสกิทาคามีก็จะเลิกกินเนื้อสัตว์ ไม่อย่างนั้นคุณก็จะวนเวียนมีรังสีราศีที่เป็นโอเวอร์แลปไปหาสกิทาคามีบ้างก็ไปไม่รอด เป็นสกิทาคามีไปได้ไม่กี่ก้าว ก็จะวนเวียนในโลกโสดาฯมันไปอีกนานแสนนานจนกว่าจะรู้จักอิทัปปัจจยตา กรรมวิบาก ที่เกี่ยวกับสัตว์ที่เป็นจิตนิยามที่มันยึดตัวตน

สัตว์เดรัจฉานมันยึดตัวยึดตนมันไม่ได้เป็นอะไรกันนะ สัตว์เดรัจฉานไม่ใช่พระอรหันต์มันมีการจองเวรจองกรรมนะ ไปกินเนื้อมันคุณเข้าใจ ถึงจิตวิญญาณที่ผูกพันลึกๆ  ยึดเป็นตัวกูของกู เดรัจฉานมันก็ไม่รู้เรื่องตัวกูของกูหรอก มันก็ยึดถือเนื้อหนังมังสาจิตวิญญาณ ทั้งรูปทั้งนามก็ยึดถือเป็นของมันทั้งนั้น เป็นของกูทั้งนั้นสัตว์เดรัจฉาน แล้วจะไม่ให้สัตว์เดรัจฉานมันยึดถือไว้ว่านี่คือจิตวิญญาณของกู กูคิดบัญชีจองเวรจองกรรมแก้แค้นกัน คุณจะไปห้ามมันได้หรือไม่ ก็เลิกเสียเป็นไง มันไม่ได้เป็นปัญหาเลิกเนื้อสัตว์จะเป็นอรหันต์ไม่ได้หรือจะสุขภาพเสียก็ไม่ใช่อย่างนั้นสุขภาพจะยิ่งดีขึ้นด้วยศึกษาให้ดีเถอะ เหตุปัจจัยเหตุผลต่างๆของมันถูกต้องที่สุดเลยจะไปดึงดันอยู่ทำไม ดึงดันเพื่อตัวเองตีกรอบเองที่จะไม่เจริญไปกว่านี้ คุณโง่หรือคุณฉลาด ตีกรอบให้ตนเองก้าวข้ามเจริญกว่านี้ไม่ได้

 

เหตุผลที่ผู้ชายไม่เสมอภาคเท่าผู้หญิง

_0213 : ผู้ชายที่นิยมการบริการ จากสาวเอนเทอร์เทน ในทุกรูปแบบ เป็นอิตถีภาวะไหม ชาวอโศกที่นิยม การบริการเอาใจจากภรรยา เป็นอิตถีภาวะไหม และผู้ให้บริการทั้งสองแบบ บาปอย่างไร

พ่อครูว่า…อาตมาคงไม่เก่งไปถึงขั้นอธิบายบาปอย่างไรของการไปเอื้ออวยสายเอนเตอร์เทน ตามที่ประเด็นคุณตั้งมา เป็นอิตถีภาวะ

อิตถีภาวะคือผู้ช่วยปุริสภาวะ อิตถีภาวะไม่ใช่เอก ปุริสภาวะคือเอกบุรุษคือผู้นำ อิตถีภาวะคือผู้ช่วย และการช่วยจนสุดท้ายก็กลายเป็นนางบำเรอของปุริสภาวะ อธิบายธรรมะภาษาอาจจะดูน่าเกลียด เป็นผู้ช่วยอีกทีไม่ใช่เป็นเอก เอก ต้องเป็นตัวปุริสสภาวะ ไม่ว่าจะเป็นศาสนาในศาสนาคริสต์ก็บอกว่าอดัมเป็นเอก อีฟหรืออีวา ผู้หญิง เกิดจากซี่โครงซี่ที่ 7 ของอดัม ตามประวัติตำนาน เคยมีชาวคริสต์มาพูดถึงความเสมอภาคว่า ทำไมท่านกดขี่ผู้หญิง ซึ่งเราก็เห็นใจสงสารอยู่ แต่จะไปพูดผิดสัจจะ เพราะผู้หญิงต้องมีความด้อยกว่าผู้ชาย จะไปเป็นใหญ่กว่าผู้ชายไม่ได้ เขาก็บอกพูดแบบนี้ไม่เสมอภาคกันนี่หว่า เขาก็เถียงเรื่องความเสมอภาค เขาก็นับถือศาสนาเทวนิยม เราก็ว่า ศาสนาเทวนิยมเขามีตำนานว่า ผู้หญิงเป็นส่วนหนึ่งของผู้ชายใช่ไหม ไม่ใช่ว่าพระเจ้าเสกจากสิ่งที่เท่าเทียมกัน แต่ผู้หญิงถูกเสกจากซี่โครงของอดัม เขาก็รับว่าตรงกับตำนาน เราก็บอกว่าเขาก็นับถือตามตำนานศาสนาคุณ หากว่าไม่มีศาสนาก็ไม่พูดต่อแล้ว

 

สลายความเป็นเทวะความเป็นคู่ทั้งรูปและนาม

_4125 : เราไม่ชอบคนเจ้าชู้ เกิดชาติไหนขออย่าได้เจอเป็นคู่เลย

พ่อครูว่า…อาตมาก็ว่าคุณเลิกที่จะมีคู่แต่ละชาติขึ้นมาไม่มีคู่ขึ้นมาเลยให้ได้ ก็จะไม่ต้องมีปัญหาในเรื่องนี้ บารมีถึงได้เป็นได้ แต่ไม่ง่ายนะเรื่องไม่มีคู่ อาตมาเคยพูดว่าอาตมาจะพยายามบำเพ็ญบารมีให้เป็นพระพุทธเจ้าที่ไม่มีคู่ให้ได้ ไม่รู้จะสำเร็จหรือเปล่า ซึ่งไม่ง่าย

เพราะว่าสภาวะคู่มันอยู่คู่โลกแต่ถ้าเป็นเอกสูงสุดคุณก็ปรินิพพานเป็นปริโยสาน ทำลายอัตตาตนเองได้ สูงสุดมันก็เรื่องของส่วนตัว  แต่ถ้ามีสิ่งที่มีต้องเป็น 2 เมื่อคุณมีชีวเมื่อคุณมีชีวะถึงขั้นระดับจิตนิยามด้วย ชีวะของพืช มันก็เป็นสอง  แต่ไม่รู้เรื่องอัตตาตัวตนเหมือนกับพระเจ้าก็ไม่รู้ตัวตน ไม่ได้ศึกษาตัวตนเลยเหมือนกันกับพืช แต่พุทธนี่รู้ตัวตนหมดเลย ทั้งตัวตนของจิตนิยาม ตัวตนของพืช ซึ่งมันก็ไม่ถือว่าเป็นตัวตนหรอก ก็ไม่นับว่าเป็นตัวตนแต่เป็นสภาพคู่ อุตุนิยามก็คู่ แต่พีชะคือคู่ที่มีชีวะ ส่วนอุตุนิยามไม่มีชีวะ

เพราะฉะนั้นความไม่มีชีวะนี่แหละ เป็นพลังงานที่จะข้ามมาเป็นชีวะมันไม่ใช่เรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องยากสุดยาก เหมือนกับนักวิทยาศาสตร์ทุกวันนี้เขาพยายามสร้างหุ่นยนต์ Robot ให้มันมีเวทนา ให้มันมีความรู้สึกเหมือนกับมนุษย์ เขาพยายามสร้างก็ใส่โปรแกรมลงไป ซึ่งมันก็เกิดได้ตามโปรแกรม มันเป็นของมันเองไม่ได้ เขาก็พยายามทำให้โปรแกรมนี้มันละเอียดลออ จนกระทั่งเหมือนมันจะเป็นตัวของมันเอง แต่มันเป็นไม่ได้ มันไม่สามารถพัฒนาตัวมัน circuit ต่างๆของมันเอง ให้พลังงานของมันเองเป็นชีวะมันทำไม่ได้

เหมือนกับพลังงานอุตุนิยามไม่สามารถพัฒนาตนเองได้ คนเท่านั้นที่จะเอามาประกอบพลังงานดอกนี้เอามาประกอบพลังงานพืช พลังงานกล พลังงานจิตนิยาม เอามาประกอบ สุดท้ายสามารถแยกจิตนิยามให้เป็นอุตุนิยาม พีชนิยามได้ เพราะจากการประกอบขึ้นและการสลายไปก็ทำได้

ส่วนคนที่ไม่เรียนรู้จริงว่าพลังงานความรู้สึกจิตนิยามเป็นอย่างไรและทำให้เป็น พีชะได้อย่างไร โดยไม่ขึ้นเป็นจิตนิยามอีก จนสามารถทำให้ จิตนิยาม กลายเป็นพลังงานได้โดยที่ไม่ขึ้นมาเป็น จิตได้อีก ผู้สามารถทำอย่างนี้ได้จึงปรินิพพานเป็นปริโยสานได้

ทำจิตวิญญาณตนเองจิตนิยามแยกธาตุสลายเป็นอุตุเลย ก็ไม่ต้องจับตัวเป็นพลังงานอะไรอีกหายไปเลยเหมือนแยกธาตุ H2O แยกไฮโดรเจนกับออกซิเจนออกจากกันอย่างถาวร ก็กลายเป็นแก๊สไฮโดรเจนกับออกซิเจนไปเลย ธาตุน้ำก็หายไป เหมือนกับจิตนิยามก็สลายหายไปกลายเป็นดินน้ำไปลม ศึกษาให้ดีความตรัสรู้อันนี้เป็นสุดยอดเรื่องธรรมะนิยาม 5 ที่เป็นอุตุนิยาม พีชนิยาม จิตนิยาม กรรมนิยาม ธรรมนิยาม

จิตทำกรรมสั่งสมเป็นธรรมะไปตามลำดับ ก็ถึงจะทำลายหรือทำให้เกิดได้นานเท่านานจนเป็นอมตะ ทุกคนสามารถที่จะเป็นเจ้าของจิตวิญญาณของตัวเอง วสวัตตีโก ยังจิตให้เป็นไปในอำนาจได้จะให้สลายก็สลายได้จะให้อยู่ต่อ ก็อยู่ได้อย่างเป็นนิรันดร์ ก็นานจนกระทั่งเขาลืมตัวเองจนเป็นนิรันดร์ ไม่รู้ว่าพระอวโลกิเตศวรลืมตัวเองหรือยัง ก็จะอยู่รื้อขนสัตว์ให้หมดโลก หมดโลกเมื่อไหร่ จึงจะปรินิพพานเป็นคนสุดท้าย ลืมตัวเองหรือยังนั่นก็พูดไป (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

 

_Koithaitik Carp (คอยไท ติ๊ก) : กราบเคารพพ่อครูครับ คิดถึงท่านถักบุญครับ

 

กินอาหารอย่างไรให้เป็นอรหันต์

_แก้วตะวัน พวงบุบผา : แค่อาหารถ้ากินโดยไม่มีกิเลสก็สามารถบรรลุธรรมได้...สาธุ

พ่อครูว่า…การกินอาหาร กินพืชกินธัญญาหาร คุณก็ต้องเรียนรู้ภาวะข้างเคียงที่เป็นกิเลส กาม มันแฝงด้วยกิเลสกาม กิเลสอัตตาด้วยนะ กินเขื่องหรูมีศักดิ์ศรีมีอัตตา มันซ้อนนะเป็นได้ทั้งกามทั้งอัตตา ฉะนั้นเรียนรู้เรื่องของกามกับอัตตา ที่เป็นกามสุขขัลลิกะ กับอัตตาเรียนรู้ให้หมดกามภายนอกก่อน ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นกามคุณ 5 ให้หมดก่อน เหลือรูปราคะ อรูปราคะ หมดรูปราคะ อรูปราคะก็เหลือ มานะ อุทธัจจะซ้อนในอนุสัย

อุทธัจจะจะกลายมาละเอียดย่อม มานานุสัย ภาวนุสัย อวิชชานุสัย ก็ยังไม่ลงละเอียดในอนุสัย 7 ผู้หมดอาสวะสิ้นแล้วก็เป็นอหรันต์ได้แล้ว แม้อาตมาไม่สอน คุณก็ทำให้อนุสัยสิ้นได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องเรียนตามครูบาอาจารย์ในอีกพระพุทธเจ้าตรัสรอบ ผู้อาสวะสิ้นรอบแล้วเป็นพระอรหันต์คุณไม่ต้องพึ่งใครอีก

อนุสัยไม่ใช่มีเฉพาะกิเลสแต่คือคลังสมบัติ เรื่องอรหันต์เรื่องโพธิสัตว์เป็นเรื่องอนุสัยที่อาศัยใช้สอย ใช้ประโยชน์ทำงานจนกว่าจะปรินิพพานเป็นปริโยสาน นี้เป็นเรื่องลึกซึ้งที่สุดเลย เป็นพระอรหันต์เป็นพระโพธิสัตว์แล้ว สุดท้ายจะจัดการจนสิ้นแม้แต่อนุสัยอีก ถ้าคุณสิ้นอาสวะเป็นพระอรหันต์ตาย คุณยังไม่สิ้นอนุสัยคุณก็จะยังค้างอยู่ในภพที่เป็นอรูปที่สุด คล้ายๆกับอนาคามีที่ตายแล้วค้างอยู่อีก แต่มันละเอียดเกินกว่าที่เราจะไปคิด ไม่ต้องคิดหรอก ถึงเวลาเป็นได้แล้วจะรู้ อาตมาเคยบอกว่าอาตมาไม่ไปตายอยู่ในภพสุทธาวาส 5

พระพุทธเจ้าตายแล้วแต่รู้จักจิตขั้นละเอียดอรูปฌาน พระอนุรุทธตามอ่านจิตของพระพุทธเจ้าตอนปรินิพพานว่าท่านทำอย่างไรตอนปรินิพพาน ท่านก็ดำเนินตาม รูปฌานมาก่อน แล้วเลยมา อรูปฌาน แล้วก็ย้อนกลับตรงกลาง คืออุเบกขา ฐานกลาง แล้วท่านก็ดับสิ้นทุกอย่างที่จุดนั้น ไม่มีทั้งรูปฌาน ไม่มีทั้งอรูปฌาน ตรงกลางสูงสุด เป็นอจินไตยที่เดาไม่ได้ อัตมโนทัศน์ทฤษฎีเหล่านี้และทำได้แล้ววิสัยจะไปดับอัตตา อาตมาทำได้แล้ว ทำปรินิพพานเป็นปริโยสานก็ทำได้ แต่ไม่ทำ ยังต่อภพภูมิอีก

 

อัตตานุทิฏฐิ กับ อัตตสัมมาปณิธิ มีนัยต่างกัน

__ส.พอจริง : ฝากถามพ่อครูครับ อัตตานุทิฏฐิ กับ อัตตสัมมาปณิธิ มีนัยต่างกัน เหมือนกัน อย่างไร ครับ ขอบคุณครับ 

พ่อครูว่า…ในการละทิฎฐิ 3

บุคคลรู้เห็นอายตนะ12  รู้เห็นวิญญาณ 6  รู้เห็นสัมผัส 6  รู้เห็นเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะสัมผัสทั้ง 6 เป็นปัจจัย  รู้โดย ความเป็นของไม่เที่ยง (อนิจจโต)  จึงละมิจฉาทิฏฐิได้ .

บุคคลรู้เห็นอายตนะ 12  รู้เห็นวิญญาณ 6  รู้เห็นสัมผัส 6  รู้เห็นเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะสัมผัสทั้ง 6 เป็นปัจจัย  รู้โดย ความเป็นทุกข์ (ทุกขโต)  จึงละสักกายทิฏฐิได้

บุคคลรู้เห็นอายตนะ 12  รู้เห็นวิญญาณ 6  รู้เห็นสัมผัส 6  รู้เห็นเวทนาที่เกิดขึ้นเพราะสัมผัสทั้ง 6 เป็นปัจจัย  รู้โดย ความเป็นของไม่ใช่ตัวตน (อนัตตโต) จึงละอัตตานุทิฏฐิได้

(พตปฎ. ล.18  ข.254 – 256)

 

อัตตานุทิฏฐิ มีความรู้ถึงขั้นและละเอียดแยกอัตตาระดับอนุได้ ส่วนอัตตสัมมาปณิธิ ซึ่งอยู่ในจักร 4 อัตตสัมมาปณิธิ แล้วก็มี ปุพเพกตปุญโญตา แยกเป็น 2 ก็ต้องมีนัยยะสำคัญที่ต่าง

1.   ปฏิรูปเทสวาสะ (การอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม)

2.   สัปปุริสูปัสสยะ (การคบหาสัตบุรุษ)

3.   อัตตสัมมาปณิธิ (การตั้งตนไว้ชอบธรรม)

4.   ปุพเพกตปุญญตา (ความเป็นผู้มีบุญอันได้กระทำแล้วในปางก่อน ไว้เป็นที่พึ่งอาศัย)  (พตปฎ. เล่ม 21   ข้อ 31)         

มีความรู้ในอัตตา ทำลายอัตตาได้แล้วแต่ยังอาศัยอัตตาอยู่ นี่คืออัตตสัมมาปณิธิ

อัตตานุทิฏฐิ รู้จักอัตตา ทำอนัตตาได้เลย ส่วน อัตตสัมมาปณิธิ ทำได้เช่นกันแต่ยังไม่ยอมจบ ยังรักษาอัตตาตนเองอยู่ แต่ทำได้แล้ว ที่ได้คือ ปุพเพกตปุญญตา

อัตตสัมมาปณิธิคือ ส่วนที่ได้บุพเพกตปุญญตา คือส่วนที่ได้กำจัดกิเลสแล้ว คือความเป็นผู้มีบุญเก่า แต่ไม่มีบุญนะไม่ได้อะไรนะ แต่ใช้ภาษามาเรียกเท่านั้น บุญเป็นของไม่มี ทำความไม่มีให้แก้ตัวเองได้แล้ว กตะ ก็ทำบุญ ได้แล้วมาแต่ปางก่อน พอมาถึงปางนี้ อย่างอาตมามีบุญเก่ามาแล้ว บุญเก่าคือความไม่มี ไม่มีกิเลส ไม่เกี่ยวกับไม่มีอย่างอื่นแต่ไม่มีกิเลสสิ้นอาสวะเลยตัวสุดท้ายเลย จะเข้าใจคำว่าบุญก็ไม่ง่ายเลย ถ้าไม่เข้าใจบุญอย่างสัมมาทิฏฐิคุณปรินิพพานไม่ได้ คำว่า กายก็ดี ฌานก็ดี บุญก็ดี ถ้าเข้าใจไม่สัมมาทำนิพพานแก่ตนไม่ได้ ทำได้แต่เพียงพักยก เหมือนพวกสมาธิหลับตา แต่ทำให้กิเลสตายไปอย่าง นิจจัง(เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสตัง(ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง(ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง(ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง(ไม่กลับกำเริบ)

ทำได้มาแต่ชาติก่อน ปุพเพ ชาตินี้ไม่ต้องทำ เห็นใจคนแปลที่ไม่มีสภาวะเหมือนกัน มันเป็นสิ่งที่ไม่มีซึ่งอธิบายกันไม่ง่าย

บุญคือทำ 0 ได้แล้วเด็ดขาดแต่ยังไม่ตายก็ยังต้องอาศัย 1 อยู่ แต่ทำ 0 ได้แล้ว

 

นิมนต์พ่อครูจิบน้ำ

พ่อครูว่า...จักร 4 เป็นของสัตบุรุษ แต่ปัญญาวุฒิ 4 ต้องได้ฟังจากสัตบุรุษ ส่วนปัญญาวุฑฒิ 4 เป็นของคนที่จะเริ่มต้นและจะปฏิบัติต่อ ส่วนจักร 4 เป็นผู้ที่ได้แล้วและจะสืบต่อศาสนา

ปัญญาวุฒิ 4 มีโยนิโสมนสิการ ต้องฟังธรรมจากสัตบุรุษจึงจะโยนิโสมนสิการได้ พวกที่หลับตามันไม่ใช่เลย ของพระพุทธเจ้านั้นลืมตามี จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา อาโลก มีแสงสว่างของพระอาทิตย์อยู่ครบครัน หากคุณไม่รับแสงพระอาทิตย์ไปหลับตาเป็นสัมภเวสี

 

_สู่แดนธรรม...มีผู้ชมจากทางบ้านถามมาว่า สงสัยว่าทุเรียนลูกโตหน้าจอมาจากสวนไหน?

พ่อครูว่า...เขาบอกมาเหมือนกัน วันนี้ชาวศีรษะอโศกพากันไปสวนซำตาโตง ตัดทุเรียนชะนี 200-300 กก. หลวงตาวิน ช่วยดูหมอนทองสามลูกแรกของฤดูกาลนี้ ส่งมากราบถวายหลวงปู่ค่ะ ด้วยความภูมิใจและยินดีอย่างยิ่งเลยค่ะซำตาโตงเป็นสวนผลไม้ที่หลวงตาวิน พาลูกหลาน สศษ. (สัมมาสิกขาศีรษะอโศก)  ปลูกมาแต่ยุคแรกเริ่ม โดยได้พันธุ์จากญาติมิตรเมืองจันทร์ช่วยสนับสนุน ทำให้เราได้ผลไม้จากดินภูเขาไฟศรีสะเกษร้อนๆมาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องชาวอโศกเราจากรุ่นสู่รุ่น ขอกราบขอบพระคุณบรรพชนชาวอโศกพาปลูกอยู่ปลูกกิน ทุเรียนต้นนี้อายุ 32 ปี ขณะนี้ชาวอโศกกำลังสืบสานต่อยอดด้วยการปลูกเพิ่ม ปรับปรุงสวนไร้สารพิษ ในกิจกรรมวันบวรยุคโควิด 64 ทำให้เราได้มาโฮมแฮงขวนขวายงานสานหมู่ ถวายเป็นกตัญญุตาต่อพระโพธิสัตว์เจ้าในปีที่ท่านจะมีอายุเต็ม 87 ปีในวันที่ 5 มิถุนายน 2564 นี้ด้วย

พ่อครูว่า...เวลาตกฟากแท้ๆไม่รู้ แต่บอกว่า เห็นพระกลับมาจากบิณฑบาตเห็นหลังไวไวเข้าวัดเพราะบ้านเราอยู่หน้าวัดหลวงพ่อโต เริ่มตกฟากอาตมา คือพระกลับจากบิณฑบาต ซึ่งก็น่าจะประมาณซัก 7 โมงเศษๆ อะไรอย่างนี้

 

_เดชา อำพร : ตัวอย่าง"จริตของคนอโศก"จะเห็นได้จากการพูดของ"ท่านข้าฟ้า"นี่แหละ คือเป็นเทพชั้นที่"เสพเสียงสรรเสริญ"(รางวัลคำยกย่องจากทางโลก)เป็น"ภักษาหาร"

การเป็นอยู่ในชีวิตประจำวัน ก็อาจจะได้แค่กินหรือฉันอาหารแค่มื้อเดียวหรือ2มื้อ เท่านั้น ไม่ได้มากมายอะไรนักก็ตาม แต่ชีวิตจิตวิญญาณมีแต่การตามไล่ล่า"คำสรรเสริญ,การอวดโชว์,ความกระหยิ่มใจ,ความฟ่องฟูใจ,ความภาคภูมิใจ" อยู่ไม่รู้แล้ว แทบว่าจะทุกลมหายใจก็ว่าได้แม้เป้าหมาย"การไม่มีผู้ติดโควิดในกลุ่มอโศก"จะยังมาไม่ถึง ก็ทะแล่ใช้ความคิด,คาดหวังไปเสียล่วงหน้าอยู่เสมอ เหมือนการ"ชิงสุกก่อนห่าม"นั่นแหละ...คนอโศกทั้งนักบวชสมณะ,สิกขมาตุและฆราวาส มักจะมีจิต(จริต)เป็นเช่นนี้คล้ายๆกันแทบทั้งนั้น เหมือนขออภัย คล้ายวัวควายที่หาอะไรเคี้ยวเพลินๆไม่ได้ ก็เจ้าของหาเกี่ยวหญ้าแห้งๆฟางแห้งๆมาให้ ก็ได้แต่พากันเคี้ยวเอื้องอยู่เช่นนั้นทั้งวันทั้งคืน,ไม่หยุดปาก ประมาณนั้นเลยเราจึงบอกว่า คนอโศกจะยังหลุดพ้นไปถึงจุดสูงสุดได้ยากอยู่หรอก คือจะมีการย้าย(ไม่ได้ละกิเลสให้ขาดสิ้นหรอกนะ-โดยเฉพาะกิเลสกามคุณ5ทั้งหลาย)การ"เสพกิเลส"จาก"กิเลสหยาบๆ" ไปสู่การ"เสพกิเลสแบบละเอียด"แบบ"ชั้นเทพ,ชั้นพรหม"ไปเรื่อยๆ นั่นแหละซึ่งมันจะไปตรงกับ"เปกโข4ข้อ"(ภาษาจำยาก เราก็พยายามจะจำ แต่ก็ยังท่องไม่ได้ซักที โดยเฉพาะข้อที่4 เพราะคำมันไม่ค่อยจะคล้องจองกันเท่าไหร่)

พ่อครูว่า...คุณเดชาอัมพรก็ต้องปล่อยไปเพราะเป็นจริตที่ชอบเพ่งโทษอโศก ก็ชี้มาเขียนมาบอกมา ในพวกเราก็อย่าประมาทในพวกเราอาจจะเหลือ บางคนอาจจะเหลือเศษส่วนที่คุณเดชาพูดมาอยู่บ้างคนไหนที่มีก็ต้องตรวจว่าเราอยู่ในเศษส่วนที่มีตามที่ทวงมาคนที่ไม่มีแล้วชัดเจนจริงๆแล้วตามที่คุณเดชาบอกมาให้ก็รู้ของตัวเองให้ถูกต้องอย่าให้มันผิดพลาดอย่าให้มันเป็นการถือตัวถือตนดี ขอบคุณคุณเดชา

 

_ป้าย่านาง(บัวสายธรรม) : กราบคารวะพ่อท่านค่ะ

ฟังพุทธศาสนาตามภูมิของพ่อท่านเช้านี้แล้ว มีสภาวะธรรมเกิดขึ้น 2 อย่างคือ

1. เห็นความไม่ยึดมั่นถือมั่นของพ่อท่านเกี่ยวกับการตั้งอายุขัยที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง พ่อท่านเปลี่ยนได้ง่ายๆเหมือนกลืนเลือดลงคอ ทั้งๆที่รู้ว่าเป็นเลือดที่ปุถุชนทำได้ยาก ท่านพิจารณาสังขารทางรูปธรรมที่มันร่วงโรยตลอดเวลา บังคับไม่ได้ ได้แต่ฝืนโดยใช้อิทธิบาทในการข่วยลูกๆให้ลดกิเลสให้มากที่สุดเท่าที่มีเวลาสอน เป็นที่เกาะแทนไม้เท้า ในขณะเดียวกันยังต้องหมั่นทบทวนสภาวะทางจิตวิญญาณในตัวท่านเองด้วยควบคู่กันไป เพื่อตามรู้ความแตกฉานของปัญญาของท่าน และเพื่อเอามาบอกกล่าวลูกๆอีกนั่นแหละ รู้สึกซาบซึ่งและประทับใจสิ่งที่ท่านทำทุกๆครั้ง ขอกราบความเมตตาและความเสียสละเพื่อพวกเราของท่านเจ้าค่ะ

2. ส่วนสภาวะของตัวเอง มองไปข้างในแล้ว มองเห็นความ"เสียดาย และ ความหวัง"ในการที่จะมีโอกาสได้ฟังธรรมะจากพ่อท่านจนถึง 151 ปี กลายมาเป็น 120-130 ปีจากปากท่านในวันนี้ ทุกอย่างไม่เที่ยงแต่เราก็ได้รับการส่งสัญญาณจากท่านแล้วว่า เรามีโอกาสน้อยลงแล้วนะ จะค่อยๆย่องๆไป เดินเอื่อยๆไป ไม่ทันท่าน ถึงเวลาต้องเร่ง speed เท่าที่เราสามารถทำได้แล้วนะ เราจะไม่ร้องขอใครให้ช่วยท่านนอกจากทำที่เรา กิเลสตัวไหนที่ยังโผล่บ้างหายบ้างต้องรีบฆ่าให้หมด เพื่อจะได้ไม่เป็นหนามทิ่มเท้าขณะเดินตามท่านไป แม้พลังกุศลน้อยนิดที่พอจะไปรวมก้อนกับหมู่ใหญ่ได้ก็เอา ได้เป็นพลังเล็กน้อยที่ช่วยท่านเข็นกงล้อพระธรรมจักรก็ดีกว่ายืนกอดอกดูเฉยๆ เมื่อคิดมาถึงตอนนี้ก็ได้เห็นจิตของ"ความใจหาย"ที่ปรากฎให้ได้ตีตนไปล่วงหน้าว่า เราจะไม่มีโอกาสได้ฟังจากพระโพธิสัตว์ระดับ 7 เป็นๆ ในวันข้างหน้า(ตีตนไปก่อนไข้) เพราะเหลือเวลาที่ท่านปลงอายุสังขารน้อยลง แต่ไม่ท้อนะ ยิ่งต้องพยายามให้มากขึ้นเจ้าค่ะ

พ่อครูว่า...จะไปรอทำไมถึง 151 ปีเอาให้คุณบรรลุธรรมก่อนนั้นสิ ดีแล้ว

 

มนุษย์ที่ยังมีทุกข์มีสุขอยู่ก็ยังโง่กว่าพืช

อาตมาพยายามวนไปเวียนมา เขียนแล้วแก้ไข ขอวนขอซ้ำอีกก็แล้วกัน

“วิญญาณ”หรือ“อัตตา”ของเราจึงสิ้นไม่เหลือใน“กาล”

โดยเราจัดการ“วิญญาณ”ของตนให้กลายเป็น“ดินน้ำไฟลม”ไป หมดสิ้นความเป็น“จิตนิยาม”แม้แต่ไม่เหลือความเป็น “พีชนิยาม”อันเป็นชีวะ”ในกาล ได้สำเร็จจริง 

ฉะนั้นในกาละในเอกภพมันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่มนุษย์มีจิตวิญญาณ รู้จักดินน้ำไฟลมอยู่ในกาละในเอกภพ แต่มันไม่รู้จักตัวเอง แม้แต่พีชะมันก็ไม่รู้จัก กาละเอกภพ เรื่องธาตุอัตตาตัวเอง ที่จริงพีชะจะเรียกอัตตาก็ไม่เต็ม มีสภาพปรุงแต่งเป็นตัวเองได้แต่ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ มีแต่สังขารกับสัญญา ปรุงแต่งด้วยธาตุ 2 มีชีวะ เป็นประธานตัวมันเองในกรอบขอบพีชะหรือพืชเท่านั้น

1. เป็นเอกธรรม 2. เป็นเทวธรรม อรหันต์หรือโพธิสัตว์สามารถจัดการจิตให้เป็น 0 1  2 ได้

“พีชนิยาม”ซึ่งเริ่มเป็น“สังขาร”ที่เป็น“ชีวะ”ขั้นหนึ่งแล้ว

คนบางคนก็เถียงว่า กินพืชก็ยังกินชีวิตอยู่ แต่เขาไม่รู้ถึงว่าพืชไม่มีเวทนา มีแต่สัญญา สังขาร เหมือนอุตุ มีพลังงานบวกกับลบ แต่พลังงานพืช มีสัญญา สังขาร ต้องเข้าใจอาการสัญญา สังขาร จนกว่าจะพ้นอวิชชารู้จักสังขาร สังขารที่ปรุงแต่งเป็นวิญญาณ เป็นอย่างไรต้องรู้นามรูปเป็นภาวะ 2 กระทบสัมผัสกันเข้า มีอายตนะ มีผัสสะ

นามรูปสัมผัสเป็นอายตนะ อายตนะก็คือสังขารหรือวิญญาณหรือเวทนานั้นแหละ

อายตนะมีอะไรสัมผัสก็มีอะไรปรุงแต่ง ปรุงแต่งถึงวิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา เวทนาเป็นความรู้สึกที่ทุกข์ก็ได้ สุขก็ได้ ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ได้ อุเบกขาก็ได้  ก็เรียนรู้ แม้อุเบกขาก็ไม่ติดยึดอุเบกขาเป็นเราเป็นของเราที่เป็นวิปัสนูปกิเลส เราสามารถเข้าใจพยัญชนะ เข้าใจสภาวะแล้วทำให้มีสภาวะตรงกับพยัญชนะ ก็ปล่อยวางหมดเลย อุเบกขาก็เป็นอาศัยปราศจากกิเลสแล้วทำกรรมก็ทรงไว้ซึ่ง อุเบกขา 5 สูงขึ้นไปเรื่อยๆสะสมความเจริญอย่างนี้พัฒนาตนเองให้มีสิ่งเหล่านี้มากยิ่งขึ้นก็ยิ่งจะรู้ยิ่งขึ้นว่า มันเป็นอย่างนี้เอง

คือ เป็น“พืช”นั้นยังไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะชีวะขั้น“พืช”ยังไม่ มี“กรรม” ไม่มี“วิบาก” ยังรักไม่เป็น ยังชังไม่เป็น ก็ยังไม่จองเวรจองกรรมกัน เพราะพืชยังไม่มีรักกัน พืชยังไม่มีชังกัน พืชมีแต่ผสมพันธุ์กันได้ แต่ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่มี“อารมณ์”เป็น“กาม”

          “พืช”จึงเป็น“ชีวะ”ที่มัน“ไม่สุข-ไม่ทุกข์” เรื่องนี้สำคัญยิ่งๆ

“ไม่สุข-ไม่ทุกข์”นี้แหละคือ “อาการของจิต”หรือ“ความรู้สึก”

ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และได้นำมาให้คนศึกษาพากเพียรทำ“จิตนิยาม”ของตนให้เป็น“ชีวะ”เหมือนกันกับ “พืช”ที่มีคุณสมบัติ“ไม่สุข-ไม่ทุกข์”ให้ได้ ดั่งที่“พืช”มันเป็นอยู่

ซึ่ง“พืช”ก็เป็น“ชีวะ”  “มนุษย์”ก็เป็น“ชีวะ”

มนุษย์นั้น“จิตนิยาม”ถือว่าสูงกว่า“พืช”นะ!

แต่ทำไม..มนุษย์จึงโง่กว่าพืช ยัง“มีสุข-มีทุกข์”อยู่ล่ะ?

สมณะฟ้าไท สรุปจบ

 

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

640804_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5 วันพุธที่ 4 สิงหาคม  2564 ณ บวรราชธานีอโศก ชมวิดีโอได้ที่นี่ ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่น...