วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2564

640509_วิถีอาริยธรรม - ถอดรหัส นายทุน-ศักดินา-นักวิชา-ข้าราชการ-พาลชน

 รายการ วิถีอาริยธรรม - ถอดรหัส นายทุน-ศักดินา-นักวิชา-ข้าราชการ-พาลชน
วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม  2564

ณ บวรราชธานีอโศก









ชมวิดีโอเทปได้ที่นี่
ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่นี่


ตีตากับตีตรา มีผลอย่างไร

พ่อครูว่า…วันนี้ วันอาทิตย์ที่ 9 พฤษภาคม 2564 แรม 13 ค่ำเดือน 6 ปีฉลู ที่ บวร ราชธานีอโศก วันนี้คงจะพูดกันถึงเรื่องที่... ก็ต้องขออภัยก่อน เรื่องที่จะพูดวันนี้ก็คงจะไปกระทบไปทุบไปตี เอาใครต่อใครเขาดะไปเลย ก็คงต้องขออภัยกันก่อน ว่านี่ขอพูดด้วยหลักวิชาการไม่ใช่เจตนาจะไปทำร้ายทำลายอะไร มีเจตนาปรารถนาดี บอกให้รู้ถึงเรื่องของคุณธรรม เรื่องของจิตวิญญาณอันประเสริฐที่เราควรจะสำนึก

จิตใจเรามีตัวกิเลสตัวมารตัวบงการให้มันเป็นไป








นายทุน     ศักดินา     นักวิชา     ข้าราชการ     พาลชน

 

  ตีตรา ⇨ ตีตา ⇨  ตาแตก 

 

 ตรีตา     ตาเนื้อ  ⇨ ตาทิพย์ ⇨   ตาปัญญา

 

ตีตรา เป็นเรื่องของมิจฉาทิฏฐิ เป็นเรื่องของผู้ที่อวิชชา เป็นเรื่องของผู้ที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจในอภิธรรม ในปรมัตถ์ ในสิ่งที่เป็นความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นก็เลย ถูกสาป ถูกสัจธรรมครอบงำเอา

ตาแตก ตาบอด ตามืด ตาเพี้ยน ตาเลอะเทอะ ตามองเห็นสิ่งที่ถูกเป็นผิด แล้วก็ยังเห็นผิดเป็นผิดหนักๆๆ ผิดบานปลายไปใหญ่ มันกลายเป็นอย่างนั้น ก็เลยมีแต่อาการหนักดิ่งลงสู่นรกก็ลึกลงไปเรื่อยๆ โดยที่ยิ่งหลงผิดด้วยนะ ยิ่งหลงผิด เห็นตัวเองนึกว่าตัวเองสูงแต่ที่จริงตัวเองยิ่งดิ่งลงหานรกอเวจีหนักเข้าไปอีกแต่หลงผิดนึกว่าตัวเองสูงๆเข้าไปอีก เพราะว่าจะได้เปรียบมาเป็นเงินเป็นทองมาเป็นทรัพย์ศฤงคารเป็นวัตถุ เป็นอะไรอีกเยอะแยะมากมายไม่มีวันจบ ได้เท่าไหร่ก็ยิ่งยินดีมากมาย เรียกว่า นายทุน ตัวต้นนี่

เพราะฉะนั้นเมื่อเกิดนายทุนขึ้นมาก็ปฏิบัติตามลักษณะของความเป็นนายทุน

ทีนี้ ผู้ที่ไม่ได้เป็น เล่นตรงกับการเอาทรัพย์สินเงินทอง เพชรนิลจินดา ที่ดิน ทุกอย่างที่เป็นวัตถุต่างๆสะสมกอบโกย โลภโมโทสัน เอามาเป็นของเราเลย ซึ่งจะเป็นดินน้ำไฟลมหรือเป็นวัตถุที่มันจะต้องอาศัยในมนุษยชาติ ในสัตว์โลก เขาก็เอาไปเป็นสิทธิของเขายึดถือเอาไว้ครอบครองเป็นของเขา ของคนอื่นไม่ได้ ละเมิดไม่ได้ กลายเป็นขโมย กลายเป็นผิดกฎหมาย ทั่วโลกเป็นเช่นนี้นี่คือ เน้นที่ยึดถือวัตถุ โลภโมโทสันวัตถุ

เพราะฉะนั้นผู้ที่มี ตรีตา ตา 3 ตา ก็จะเห็นก็จะเข้าใจความเป็นจริงของนายทุนที่เขาทำกันอยู่ เห็นจริงเป็นตาเนื้อ คนทั่วไปก็เห็นด้วยกัน ผู้ที่มีปฏิภาณขึ้นมาเรียกว่า ตาทิพย์ มีปฏิภาณ มีความรู้ขึ้นมาก็มีตาทิพย์

ตาทิพย์นี้มี 2 ทิพย์

ทิพย์ขี้หลอก มิจฉาทิฏฐิ จะนั่งหลับตาหรือไม่นั่งหลับตา มีสัญญาวิปลาส มีการกำหนดรู้ที่เพี้ยนผิดไปจากสัจธรรม ก็เข้าใจไปอย่างหนึ่ง ส่วนตาทิพย์ของผู้ที่สามารถพอเข้าใจไปในทางสัมมาทิฏฐิบ้างก็เข้าใจไปอีกอย่าง

ตาปัญญา สามารถรู้ทั้ง 3 อย่างเลย ตาเนื้อ ตาทิพย์ แม้ตาทิพย์ที่เขาแยกออกเป็น 2 คือ ตาทิพย์แบบเห็นไปในทางงมงายเลย (พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)

เพราะฉะนั้นตาทิพย์ที่มองไปเห็นกลับกันเลย ตาทิพย์แบบงมงาย มันหลอกตนเองหลอกไป ไม่ว่าจะหลอกในด้านพวกลึกลับ ตาทิพย์แบบลึกลับ magic ต่างๆ สร้างวิมานนิรมาณกายสร้างภพชาติ หลอกเป็นตัวเป็นตน เป็นเรื่องเป็นราว เป็นวิมาน เป็นเทวดา เป็นอสูร พวกอินเดียมีเยอะเลย รบกันฆ่าแกงกันจองเวรกัน เมืองจีนก็มี อินเดียก็มีเยอะกว่า เรื่องธรรมาธรรมะสงครามเยอะแยะเหมือนกับ Star Wars สร้างออกไปเป็นเรื่องราวสมมติออกไปนอกโลก ไปมีดาวดวงนั้นดวงนี้ มีสัตว์ในโลกดาวดวงนั้นดวงนี้ออกมา สร้างสถานีอวกาศออกมารบกันในอวกาศ โอ้ เลอะเลย ทำให้เอาอากาศเขาเลอะเทอะหมดเลย มันคิดได้สร้างเรื่องราวขึ้นไปสารพัดยิ่งกว่านิยายมหานิยายอะไรก็ไม่รู้ สารพัดที่จะคิดขึ้นมา แล้วก็สนุกสนานหลอกกันไปต่างๆนานาสารพัด  ซึ่งมันก็คิดได้เป็น โลกจินตา เป็นความคิดของมนุษย์โลกไม่มีจบสิ้นหรอกหลากหลาย ส่วนมากก็มีแต่เรื่องจินตนาการ เรื่องจินตา เรื่องคิดเอา เป็นจริงไม่ได้ไม่มีหรอก จะเป็นบ้างก็เล็กๆน้อยๆ อาศัยหลักฐานเล็กๆน้อยๆนอกนั้น เลอะเทอะ

เพราะฉะนั้น ตาปัญญาจึงเป็นตาที่รู้แจ้งจบ ทั้งส่วนที่มันไม่เข้าเรื่อง มันผิด ทั้งส่วนที่พอใช้ได้กันเป็นตาเนื้อ มันจะแบ่งเป็น 3 พวกที่ไม่ได้เรื่องเลย เลอะเทอะเลวร้ายด้วย ไม่มีจริงด้วยก็อย่างนึง และ 2. เป็นตาเนื้อที่จะเป็นของจริงของมนุษยชาติที่เป็นโลกียะ มันมีดีมีชั่ว ก็ยึดถือตามสมมติสัจจะอาศัยอย่างนั้นไป โลกอาศัยโลกียะที่ละชั่วประพฤติดี แต่ชั่วดีมันไม่เที่ยงเป็นไปตามกรรมวิบากอันนี้เป็นอจินไตย ยาก สายเทวนิยมไม่เข้าใจเป็นเรื่องกรรมวิบาก มันเป็นอจินไตยคิดไม่ออก มาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้าจึงจะค่อยๆเข้าใจกรรมวิบาก เข้าใจฌานวิสัย ซึ่งพัฒนาเป็นโพธิสัตว์ก็จะไปมีพุทธะวิสัย วิสัยสูงสุด

ฌาน คือ การสร้างพลังงานจิต ที่สามารถไปทำลายพลังงานที่มันเป็นต้นตอ เรียกว่าวิญญาณ พลังงานธาตุรู้ ธาตุไฟ หรือธาตุเย็นก็แล้วแต่ สามารถรู้ความจริงของสภาวะพวกนี้ แล้วก็ทำได้ สร้างได้ เอามาใช้ได้ เป็น วสวัตตีโก ผู้ที่มีอำนาจเหนือพลังงานเหล่านี้ เป็นนักวิทยาศาสตร์ทางจิต สามารถสร้างพลังงานจิตของตัวเองได้ตามต้องการ ที่ใช้ถูกสัดส่วน ถูกกับเรื่องราว ถูกกับโอกาส ในขณะที่จะทำให้เป็นประโยชน์คุณค่า มีแต่เจตนาดีไม่มีเจตนาร้ายไม่สร้างสิ่งที่ร้าย สร้างแต่สิ่งที่ดี ตามปัญญาจะรู้

เพราะฉะนั้นตาทิพย์ก็ยังมีปนเปเลอะเทอะ เสียก็มีดีก็มี แต่ยังไม่เข้าขั้นโลกุตระ มีดีก็ทำดีไป ไม่ทำชั่ว ก็กลายเป็นหมู่คนที่เป็นโลกีย์ ไม่ทำชั่วทำแต่ดีสูงสุด ก็มีหลักเกณฑ์ มีวิชาการมีทฤษฎีมีคัมภีร์ มีคำสอน ผู้ใดที่ทำได้สูงสุดก็ไปเป็นศาสดา ก็สอนกัน ตัวศาสดาก็ไม่เที่ยงเขาจะหมุนวนกับวิบากแล้วก็ลงไป สมบัติผลัดกันชมก็มีศาสดาอยู่ในโลกนี้นับไม่ถ้วนมากกว่าพระพุทธเจ้าเยอะ แต่เขาจำไม่ได้เขาจะไม่รู้เรื่อง ถ้าเขาจำได้มากกว่าพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแต่ละองค์มีเท่านี้ ศาสดาก็มีเยอะกว่าแล้วก็ไปแย่งกันตำแหน่งก็จองกันแบ่งกันไปเป็นเจ้า ของกลุ่มมนุษย์กลุ่มเล็กกลุ่มใหญ่ก็แล้วแต่ใครจะชิงได้มากได้น้อยก็แย่งกันไป

เพราะฉะนั้นพวกที่เขาเป็นอยู่ ก็ใช้ภาษาไทยว่า ผู้รู้ด้วยตาปัญญา ที่อาตมานี่แหละที่รู้โดยตัวเองก็พยายามใช้ความรู้ตัวเองมาขยายมาแบ่งกันให้เรียนกัน ก็ขอให้รู้เจตนาของอาตมาด้วยว่าไม่ได้ต้องการไปว่าไปด่าไปทับถมไปทำร้าย แต่ต้องการให้เป็นวิชาการให้รู้ความจริงว่านายทุนมีลักษณะอย่างไร ศักดินามีลักษณะอย่างไร นักวิชา หรือจะเรียกเต็มๆว่านักวิชาการก็แล้วแต่ แต่อาตมาตัดคำว่าการออก เป็นนักวิชา แล้วก็ข้าราชการ แล้วก็พาลชน

ขยายความไปถ้าคุณไม่เป็นจริงอย่างที่อาตมาพูดก็ไม่ต้องเดือดร้อนแต่ถ้าคุณเป็นจริงด้วยนะเข้าเป็นจริงอย่างเลวร้ายด้วย ก็ต้องรู้สึกตัวรู้ความจริงให้ได้ว่าเราเลวร้ายขนาดนี้เชียวหรือ ถ้ารู้สึกตัวแล้วก็แก้ไขถ้าพวกคุณมีสำนึกดีๆ   คุณก็จะรู้ว่าอาตมานี้บอกด้วยเจตนาดี เป็นสิ่งที่ควรเคารพ ควรนับถือควรเกรงกลัวควรละอายอาตมา เพราะอาตมาบอกด้วยดี ถ้ารู้จักสัตบุรุษรู้จักผู้รู้ดีๆรู้จักพระพุทธเจ้าท่านจะพูดความจริง รู้ความจริงว่าเราเลวเหลวไหลขนาดนี้ คุณรู้สึกตัวสำนึกจะเกิดความละอายอย่างแรงกล้าละอายอย่างเกรงกลัว เกรงกลัวอย่างแรงกล้าและคุณก็จะรักเคารพและนับถือ ไปศึกษาเปลี่ยนแปลงตัวเองแต่คนที่สำนึกก็จะเป็นอย่างนั้น

คนไม่สำนึกก็จะมีความจองเวรจองกรรมด้วยอาตตมาพูดไปก็จะมีวิบาก ผู้ไม่สำนึกเขาก็จะโกรธ  กิเลสเขามีจริงเขาต้องโกรธเขาถือสาเขาต้องยึดถือจริงๆเขาก็จองเวรจองกรรมอาตมาจริง แต่อาตมาเองอาตมามั่นใจในสัจธรรม ธัมโมหะเวรักขะติธัมมะจาริง ธรรมรักษาผู้ประพฤติธรรมอาตมาก็พอเป็นไปไม่ได้อวดดีไม่ได้ท้าทาย

 

ถอดรหัส นายทุน-ศักดินา-นักวิชา-ข้าราชการ-พาลชน

นายทุน คือ พวกที่หลงวัตถุหนัก เงินทองเพชรนิลจินดา ที่เป็นราคาสมมุติโลกตั้ง ที่ดอนที่ดินป่าเขาลำเนาไพรต่างๆนานาเขาจะเอาหมด เป็นรูปธรรม เป็นวัตถุเต็มๆเลย เพราะฉะนั้นเจ้าเปรียบอะไรใครเอาหมด แล้วพยายามจะเอาหน้ามืดตามัวโลภโมโทสันไม่รู้จักจบได้เท่าไหร่ไม่รู้จักพอ แต่เสร็จแล้วก็จะตายจากไปเพราะแค่นี้เขาก็ไม่รู้แล้ว ตายจากไปคุณไม่ได้เป็นเจ้าของหรอกแต่วิบากบาปของคุณคุณจะต้องไปใช้หนี้เขาคุณไปโกงเขาคนไปเบียดเบียนไปข่มขี่เอาเปรียบเขา ดีไม่ดีถึงฆ่าแกงทำร้ายไอ้นั่นมันหนักวิบากกรรมมันหนักเขาไม่รู้ ไม่ได้ศึกษา เขาไม่รู้ด้วยว่าการเกิดการตายจะมีอีก เทวนิยมยิ่งตายชาติเดียวไปอยู่กับพระเจ้าประจบประแจงพระเจ้าเข้าไว้ พระเจ้าไม่ให้ตกนรกก็อยู่กับพระเจ้าอยู่ในสวรรค์ตลอดกาล ถ้าประจบประแจงไม่ได้พระเจ้าให้ตกนรกก็แล้วแต่เสี่ยงเอา อย่างนี้เป็นต้น นี่คือนิยายของทุนนิยม

ศักดินา ไม่ใช่วัตถุ แต่เป็นอารมณ์เป็นความรู้สึก เป็นทางนามธรรม กอบโกยนามธรรมกอบโกยความสุข จะสุขเพราะวัตถุ จะสุขเพราะได้ประพฤติ ได้ประพฤติตน มีกรรมกิริยาทางกาย ทางวาจา ไปเกี่ยวข้องกับผู้อื่น ยิ่งไปเกี่ยวข้องถึงขนาดซาดิส ไปซัดคนอื่นรุนแรงเท่าไหร่ยิ่งชอบใจ คนอื่นชิบหายคนอื่นตายโหงคนอื่นเจ็บปวดทรมาน พวกซาดิสจะชอบ คนอื่นแพ้ พวกนี้จิตใจซาดิส อาการหนักกว่านั้นมาโซคิส ตัวเองเจ็บเองแล้วยิ่งชอบ พวกนี้ไม่ต้องพูดถึงเลย พวกนี้จะจมในเรื่องของความหลงอัตตา

ธรรมดาธรรมชาติมันเจ็บมันก็ไม่ชอบ แต่นี่ตัวเองเจ็บแล้วชอบ มันไม่รู้กี่ชั้น สลับที่ไปติดยึดหลงผิด เพราะฉะนั้นไม่ต้องพูดเลยพวกมาโซคิส ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติกว่าจะสำนึก ตื่นจากมาโซคิส มาแค่รู้ว่าความเจ็บปวดมันเป็นเรื่องไม่ดีกันเรื่องทรมานไปหลงความเจ็บปวดดีเจ็บ ตัวเองเจ็บตัวเองปวดเท่าไหร่ชอบๆๆ มาโซคิสมันหนักขั้นนั้น เมื่อมาเป็นซาดิสตัวเองจะไม่ชอบแล้วแต่ชอบให้คนอื่นเจ็บปวดหนักหนา พวกที่ชอบซาดิส ชอบคนชกกัน ชอบคนฆ่ากันตีกันรุนแรง พวกนี้ยังต้องแก้ไขจิต จิตหลงผิดหลงชั่วเลวร้าย กว่าจะมาหายซาดิส ไม่ต้องการให้คนเจ็บป่วยทำร้ายทำร้ายกันก็จะมีเมตตาขึ้น

นามธรรมรูปธรรม ระหว่างนายทุนกับศักดินา ก็มีการศึกษาการเป็นนักวิชาการ

นักวิชาการทางโลกก็จะศึกษาตำราวิทยาศาสตร์มนุษยศาสตร์ ญาณวิทยา ปรัชญา ศึกษากันไปแม้ที่สุดจะมาศึกษาปรากฏการณ์วิทยาก็ตามก็ตื้นๆ ยังไม่เข้าถึงจิตวิญญาณเป็นการศึกษาได้แค่ทางวัตถุ ทางรูปธรรม จะเข้าไปถึงความรู้สึกเป็นชีวะเข้าไปบ้างก็ไม่ลึกซึ้ง ไม่เข้าใจไปถึงขั้นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ไม่รู้ไปถึงขั้นรูปนามขันธ์ 5 ไม่เข้าไปถึงขนาดนั้น

นักวิชาการอยู่ทุกวันนี้จะมีเยอะ เรียนไปตามมหาวิทยาลัยตักศิลา เยอะแยะ ส่วนมากก็เรียนมาจากเมืองนอก แม้แต่พุทธศาสนาก็เรียนมาจากเมืองเทวนิยมเขา เป็นอาจารย์ทางเทวนิยม อาจารย์ฝรั่ง ที่ไม่เคยเป็นพุทธจริงจัง อยู่เมืองนอกไม่เคยมาในเมืองไทย บางคนอาจจะเคยไปอินเดีย ไม่รู้จักโลกุตรธรรมหรอก แล้วโลกุตตรธรรมในอินเดียก็ไม่มีแล้ว มีแต่ในเมืองไทยเท่านั้นที่มีคนจริงสอนจริงมีเรื่องจริง เขาก็ไม่รู้เรื่องรู้ราว อาตมาทำงานมา 50 ปีนี้ พยายามประกาศโลกุตระไปในสังคมโลก ก็ไปยาก เพราะมันรู้ยากเป็นอจินไตยจริงๆ ยาก แค่กรรมวิบาก ก็ไม่ค่อยเข้าใจกันเท่าไหร่ ยิ่งฌานวิสัย

อาตมาทำงานสอนศาสนาอยู่ แค่สาธยายกระจายขยายความเรื่องกรรมวิบากกับฌานวิสัย

ฌานมีแบบโลกียะกับฌานพุทธ

ฌานพุทธ เป็นอจินไตยเดาไม่ได้ แต่ฌานฤาษีเดียรถีย์เขาเรียนกันทั่วโลกแล้วก็แตกแขนงกันไปอีกเยอะแยะ ฌานหลับตามีการเกิดภพชาติ เกิดนิรมาณกายเกิด สร้างตัวตน สร้างวิมานสวรรค์เทวดา มนุษย์ แล้วก็สัตว์นรกนับไม่ถ้วนเลยมันตั้งเอาอย่างไรก็ได้มันก็เลยเยอะไปหมด พูดถึงไม่หวาดไม่ไหว อธิบายไม่ไหว

สิ่งที่มันเป็นจริงก็อธิบายได้ว่า มันก็คือคนนี่แหละมันเป็นคนสัตว์นรก แล้วมันก็ออกอาการของสัตว์นรกในร่างของคนนี่แหละ มันเป็นพิษเป็นภัย ไอ้ที่มันจะไปออกพฤติการณ์อยู่ในจินตนาการมันจะรบกันทางจินตนาการมันไม่มีหรอก มันไปนึกเอาหน้าคนนั้นคนนี้หมู่คนนั้นคนนี้สังคมนั้นสังคมนี้มาสู้กันในจิตวิญญาณมันก็มีแต่จิตรบกัน มีแต่การปั้นตัวตนอยู่ในจิตรบกัน เป็นสงครามโมเม ปั้นลมๆแล้งๆมารบกัน จริงๆแล้วไม่มี

คนที่ยิ่งปั้นสงครามรบกัน มีผู้ชนะผู้แพ้ ส่วนมากสร้างเรื่องตัวเองต้องเป็นผู้ชนะ มันก็ยิ่งฮึกเหิม มันก็ยิ่งสร้างให้ตัวเองนั่นแหละยึดถือดีว่าตัวเองเก่งตัวเองดี มันยิ่งบ้าหนักเข้าไปใหญ่เลย ปั้นเอาอย่างไรก็ได้ ความซับซ้อนเหล่านี้เป็นเรื่องเลวร้ายเป็นเรื่องหลอก ผู้ที่ทำด้วยอวิชชา ยิ่งดิ่งลงนรกลึกไปใหญ่

ว่าจะเป็นการออกบทบาททางกายกรรม ทางรูปธรรม มาเจอกันมันก็เป็นอย่างที่เขายึดถือว่าอย่างนี้ยอด มันก็ยิ่งเลวร้ายยิ่งแรง มันก็ยิ่งซับซ้อนอย่างนี้ เพราะฉะนั้นนักวิชาการที่พยายามจะรู้นี้ ก็รู้

1. ทางทุนนิยมศักดินาและเขาก็เป็นนักวิชาการส่วนมากก็เป็นโลกีย์ ก็จะชัดเจนอย่างศักดินามันชัด

ทุนนิยมวัตถุเต็มๆ ศักดินาเป็นนามธรรมเต็มๆ ความสุขสนใจในอุดมการณ์ดูหรูหราฟู่ฟ่า แล้วก็ได้เป็นชาวศักดินา ได้ตั้งแต่ชั้นต่ำไปจนถึงชั้นสูงสุด ศักดินา แล้วเขาก็จะเกื้อกูลกันระหว่างนายทุนกับศักดินา คนหนึ่งวัตถุคนหนึ่งนามธรรมมีอำนาจทางนามธรรมก็จะเกื้อกูลกัน ทางวัตถุก็จะต้องรับใช้ทางนามธรรม เพราะนามธรรมนักวิชาการเป็นผู้รู้ทางศาสดา มีวิธีการสูงสุดคือศาสดา พวกศาสดาเทวนิยมก็จะรู้ชั้นตอนของนามธรรมที่ละเอียดสูงขึ้นไปได้ แต่เป็นโลกียนะ   วนกับความยิ่งใหญ่ ข้านี่แหละใหญ่ๆ เรียกภาษาทางอินเดีย ทางพุทธเราก็เป็นพวกพระพรหม ก็คือพระเจ้าเป็นพรหมใหญ่

ซึ่งเขาก็ไม่รู้จักตัวพระเจ้าหรอก ทางอินเดียเขาก็ไม่เคยสัมผัสตัวพระพรหมจริงๆ

ทางด้านเทวนิยมทางยุโรป ตะวันออกกลาง เขาก็มีพระเจ้าเหมือนกัน พระเจ้าของเขาใหญ่ ใหญ่ก็ไม่รู้จักตัวของพระเจ้าเหมือนกัน ไม่เคยรู้ว่าพระเจ้าเป็นอันหนึ่งกับคำสอน คำสอนของพระเจ้าคือมีศาสดาเป็นลูกของพระเจ้าก็เป็นแต่ละศาสนา ก็มีลูกของพระเจ้าของแต่ละศาสนา พระเจ้าก็คนละองค์ พระบุตรก็คนละองค์ ศาสนาก็คนละศาสนา ก็พยายามรวบรวมเอาความดีมาให้ทำอย่าทำชั่ว แต่ละศาสดาคนก็ต้องยอมรับว่าอย่างไรอย่างไร ดีมันก็ยังดีกว่าชั่ว แล้วผู้รู้ดีวิธีทำดีทำได้มากกว่า คนนั้นก็ชนะได้เป็นศาสดา เพราะฉะนั้นก็มีคัมภีร์สอนของแต่ละศาสนาอาตมาไม่ขอกล่าวชื่อศาสนาในโลกเทวนิยมหรอก เดี๋ยวนี้ก็มีศาสนาเทวนิยมใหญ่ๆไม่กี่ศาสนาหรอกที่พยายามล่าเอาบริวารในโลกไปได้

มีศาสนาใหม่ๆขอออกชื่อ  เช่น ศาสนาบาไฮ ศาสนาโซโรอัสเตอร์ พยายามจะยิ่งใหญ่ขึ้นมาแต่สู้ศาสนาเทวนิยมเก่าๆของเขาไม่ได้ เพราะเขาปักหลักยึดหัวหาดได้ เขาก็เลยพยายามสร้างบริวารกันซึ่งต่างกับศาสนาพุทธที่ไม่สร้างบริวาร ให้อิสรเสรีภาพทุกคน รู้ดีรู้ชั่วรู้  รู้โลกียะ รู้โลกุตระ รู้ถึงขั้นสูญสลายจิตวิญญาณไม่ใช่ของพระเจ้า

 

ต้องขออภัยล่วงหน้า ข้าราชการทั้งหลายต้องถูกทุบหัวกันแน่นอน ยิ่งพาลชนต้องถูกทุบหัว ดีไม่ดีถูกทุบหัว ถูกตึ๊บด้วย ขออภัยนี่เป็นวิชาการ ไม่ได้ไประบุบุคคล แต่มันมีจริงอยู่ในบุคคลไหนก็รู้ตัวเอง ตัวเองไม่ได้ทำไม่ได้ประพฤติไม่ได้เป็นก็อย่าร้อนตัว แต่ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติจริงตามที่อาตมาว่าอยู่ ก็ควรจะรู้ตัวเองว่า เฮ้ย เราเลวขนาดนี้เชียวหรือ จริงหรือ โพธิรักษ์เป็นใครมาพูดอย่างนี้ พระเจ้าหรือไงเป็นพระพรหมหรือไง ก็พระโพธิรักษ์นี่แหละขออภัย เขาไม่ให้ใช้คำเรียกว่าพระ ก็เรียกว่าสมณะโพธิรักษ์นี่แหละถูกต้องตามกฎหมาย เรียกด้วยภาษาสมมุติก็เป็นลูกพระพุทธเจ้า จะเรียกว่าพระบุตรมันดูยิ่งใหญ่เกินไป แต่ก็จริงเอาเนื้อหาสาระ ถ้าเรียกด้วยพยัญชนะก็เป็น สารีปุตโต เป็นลูกของสาระอันนั้น เป็นลูกถ่ายทอดมาจากสาระของพระพุทธเจ้านั่นแหละโดยตรง

โดยบุคลาธิษฐานคุณจะเป็นพระสารีบุตรมาเกิดคุณก็พูดกันไป อาตมาก็บอกแล้วว่าขี้ตู่อาตมาพระสารีบุตรนั้นตายไปแต่ไหนแล้ว ถ้าอาตมายังย่ำต๊อกเป็นพระสารีบุตร อาตมาไม่เจริญนะ ดูถูกอาตมา อาตมาไม่ใช่พระสารีบุตรนั้นแล้วนะ พูดไปแล้วเดี๋ยวก็หมั่นไส้เข้าไป ว่าไปข่มพระสารีบุตรอีก ก็จะมากไปใหญ่ก็ไม่ดี

 

นักวิชาการเป็นตัวกลางๆ เป็นตัวที่ 3 ระหว่างนายทุน ศักดินา ข้าราชการ กับพาลชน

พาล แปลว่าผู้ยังไม่เจริญ ผู้ยังไม่โต ผู้ยังไม่เดียงสา ผู้ยังโง่เง่า พาลชน ผู้ที่ยังเกเรเกตุงเกะกะ ยังสร้างบาปสร้างเวร สร้างความเลวร้าย ความไม่ดีงาม ความไม่ถูกต้อง ยังไม่เป็นอะไร ยังไม่เดียงสา ยังเยาว์ ยังเล็กยังน้อยอยู่ก็เรียกว่า พาลชน ชนก็คือคนนั่นแหละ

คนเหล่านี้ก็ตรงกันข้าม ไม่ฉลาด ยังไม่โต ยังไม่มีอำนาจเหมือนนายทุนเหมือนศักดินา ยังไม่เจริญเหมือนศักดินาเหมือนนายทุน ก็ทำไปเละเทะ ก็กลายเป็นเหยื่อของนายทุนและศักดินาหรือเป็นนักวิชาการมาเรียนรู้ใส่ความรู้เป็นนักวิชา ได้มีความรู้ในวัตถุเก่งทางนายทุน รู้ทางนามธรรมเก่งทางศักดินา เสร็จแล้ว นักวิชาการนี้มาหาข้าราชการ

คำว่า ข้าราชการ คือ ผู้รับใช้ศักดินา หรือ ผู้รับใช้นายทุน ทีนี้ระหว่างศักดินากับนายทุนนี่แหละ ชิงดีชิงเด่นกันอยู่ในโลก ในโลกทางนามธรรมหรือทางวิญญาณ ศักดินาสูงกว่านายทุน เพราะนายทุนเป็นวัตถุ ศักดินาเป็นนามธรรม เป็นวิญญาณ วิญญาณก็เป็นประธานสิ่งทั้งปวง วิญญาณจึงละเอียดลึกซึ้ง ไม่รู้ตัวตนไม่รู้พฤติกรรม ไม่รู้กระบวนการทั้งหมด ที่ผู้ที่เป็นยอดของผู้รู้ ยอดของผู้มีอำนาจเรียกว่า พระเจ้า หรือคน คนก็คือ เป็นผู้ที่ยอดอำนาจที่สุด แต่ไม่ใช้อำนาจเลยคือพระพุทธเจ้า มันกลับกันเป็นสิริมหามายา

มีอำนาจที่สุดแต่ไม่ใช้อำนาจที่สุด ไม่ใช้อำนาจเลย มีแต่รับใช้ผู้อื่น เป็นตัวผู้รับใช้ผู้อื่นไม่ใช่ผู้บงการผู้อื่น ไม่ใช่ผู้ที่ชี้ใช้ผู้อื่น แต่เป็นผู้ที่รับใช้ผู้อื่น นี่สัจธรรมฟังดีๆ สัจธรรมมันเป็นความจริงอย่างนี้

เพราะฉะนั้นข้าราชการก็คือ ผู้รับใช้ศักดินาอีกทีหนึ่ง

ศักดินาคือ ทางจิตวิญญาณจะใหญ่กว่านายทุนอยู่เป็นธรรมดาต้องยกให้ เพราะว่ามีทั้งรูปธรรมและนามธรรมของทางศักดินา เรียกว่าเป็นเจ้า เป็นกษัตริย์ ประเทศที่เป็นเทวนิยมก็มีกษัตริย์ ประเทศที่เป็นอเทวนิยมหรือเป็นพุทธก็มีกษัตริย์

คำว่า กษัตริย์ ก็คือเจ้าของแผ่นดิน กษัตริย์หรือเกษตร หรือเขตภาษาบาลีก็เป็นขัตติยะ หรือเขต ก็คืออาณาบริเวณแผ่นดินและเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้ อะไรอยู่ในแผ่นดินนี้ผู้เป็นเจ้าคือกษัตริย์เป็นเจ้าของหมด เป็นเจ้าของดิน พืช สัตว์ วัตถุ คน เป็นเจ้าของคนในแผ่นดินนี้ด้วยเป็นเจ้าของสิทธิเต็มที่ เป็นลักษณะนายทุน นายทาส

ถ้ามาจากความลึกยิ่งใหญ่ก็คือนายทาสกับลูกทาส พระเจ้ากับคน เท่ากับนายกับทาสพระเจ้าเป็นเจ้าของ พระเจ้าสั่งการ  พระเจ้าบันดาลทุกอย่าง จะให้นายทาสเป็นอย่างไร อย่านะพระเจ้าจะสาปให้ บงการลงนรกขึ้นสวรรค์ สุขหรือทุกข์ได้หมด มันเป็นความเชื่อของทางเทวนิยม

ส่วนทางพุทธนั้นเป็นผู้เป็นเจ้าของจิตวิญญาณเอง ไม่ทำร้ายตัวเอง ไม่ทำร้ายผู้อื่น มีแต่ช่วยให้ดี จนกระทั่งตัวเองหมดตัวเอง ไม่ต้องมาช่วยตัวเองเลย ตัวเองเป็นอนัตตาไม่มีตัวตน ไม่ช่วยตัวเองแล้วจะอยู่ได้อย่างไร ก็อยู่ได้ตรงนี้แหละสำคัญ อยู่ได้เพราะผู้อื่นจะช่วยไว้ ผู้อื่นเลี้ยงไว้ ผู้อื่นจะรักษาไว้อย่างเทิดทูน อย่างทะนุถนอม เพื่อที่จะให้มีชีวิตทำงานให้แก่มวลมนุษยชาติอย่างเต็มที่ ไม่ให้ตายง่ายๆ ผู้รู้จะรู้สึกว่าอันนี้เป็นสุดยอดสิ่งที่ต้องทะนุถนอมเชิดชูบูชาเทิดทูนไว้ เขาจะรู้จะเห็นความจริงเอง เป็นสัจจะของจิตวิญญาณไม่มีใครไปบังคับใคร ผู้รู้เองจะเป็นจริงอย่างนี้ได้เอง ผู้ไม่รู้เขาก็ไม่เป็นอย่างที่เขาไม่รู้ ผู้ที่รู้จริงๆว่า สิ่งนี้ต้องเทิดทูนยกย่อง ต้องรักษาให้ท่านออกฤทธิ์แรงออกกำลัง ที่จริงท่านไม่เป็นอำนาจหรอก ท่านออกพลังงาน อย่างมากก็จะมีการบอกสอนหรือประพฤติเอง แสดงประพฤติเองเป็นตัวอย่างแล้วก็บอกสอน เป็นยถาวาที ตถาการี พูดอย่างไรก็ทำอย่างนั้นเป็นอย่างที่พูด

ผู้ที่สามารถศึกษาตัวกลางเป็นนักวิชาการ นักวิชาการจึงเป็นผู้ศึกษา ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิก็ศึกษาถึงขั้นนามธรรม ถึงขั้นวิญญาณ ถึงรายละเอียดของวิญญาณที่รู้พฤติกรรมของจิตวิญญาณต่างๆ เวทนาเป็นอย่างนี้ สัญญาเป็นอย่างนี้  สังขารเป็นอย่างนี้หรือแยกออกไปเป็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แจกนามเป็นเวทนา  สัญญา  เจตนา  ผัสสะ  มนสิการ  แล้วก็รู้จักสิ่งที่เกี่ยวข้องกับรูปอีก 24 28 ทำงานร่วมกันปรุงแต่งกันออกมาจนกระทั่งต้นจนจบในรูป 28 ตั้งแต่ ดินน้ำไฟลม 4 พฤติกรรมอีก 9 ปสาทรูป โคจรรูป วิสยรูป รวมกันเป็น 9 ทำงานออกมาทีละคู่ๆเรียกว่าภาวะรูป มี 2 อิตถีภาวะกับปุริสภาวะ ทำงานร่วมกันสังเคราะห์สังขารโดยเกิดที่ หทยรูป เป็น 1 เป็นความจริงที่ตั้งอยู่แต่ลำลองมาก ห คือความจริง ท คือความแข็งแรง ย คือพลังงาน พลังงานตัวเริ่มต้นของเศษวรรค ย ร ล ว ส ห เศษวรรค เป็นตัวพลังงาน พยัญชนะ 5 ตัวนี้คือตัว เศษ  ร คือวิญญาณ ตัวพยัญชนะคือตัวทำงาน

ย ร ล ว ส ห ฬ อํ เป็นตัวนามธรรม เป็นวิญญาณ พยัญชนะแต่ละตัวก็คือรูป ทำงานร่วมกันระหว่างรูปกับนาม มาแต่ไหนแต่ไรร่วมกันสังขารปรุงแต่งกันมา สังขารเลวก็เป็นสัตว์นรกสังขารดีก็เป็นเทวดาหรือสังขารโลกุตระเป็นปัญญาเป็นผู้รู้ยอดในเรื่องของทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ร่วมกันเป็นประโยชน์คุณค่าอยู่ อาศัยกันอยู่ 2 ธาตุ ธาตุรูปกับธาตุนาม เท่านั้น

ถ้าเผื่อเป็นเจ้าผู้รู้อย่างแท้จริง ก็รู้จักการแยกแยะสังขารแยกรูปนาม จนกระทั่งสามารถทำให้รูปเป็นดินน้ำไฟลมได้มีนามเป็นประธานที่ยิ่งใหญ่เรียกว่าพระเจ้า เรียกว่าพระพรหม เรียกว่าเป็นเจ้าจริงๆก็ได้ แล้วเป็นจริงด้วย ได้และเป็นจริงด้วยแล้วก็ทำงาน เมื่อต้องการปรินิพพานเป็นปริโยสาน ก็แยกธาตุให้ตัวเองสูญไปได้เลย ความจริงอันนี้จึงเป็นการชี้บ่งให้เห็นชัดเจนว่าจิตวิญญาณนี้ เราทำเอง เราจัดการเอง เราศึกษาเองเราเป็นเอง จนกระทั่งสูงสุดจิตวิญญาณไม่ใช่ของพระเจ้าที่จะมาบังคับให้อยู่ตลอดกาลนิรันดรไม่มีวันสูญไม่ใช่ แต่จิตวิญญาณสูญได้ จิตวิญญาณไม่ใช่ตัวตน มันปรุงแต่งกันอยู่ทั้งนั้น จิตวิญญาณแยกเป็นดินน้ำไฟลมเลยก็ได้ เป็นธาตุชีวะ ธาตุรู้สึก ธาตุวิญญาณ ธาตุเวทนา หายไปหมดเลย ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ จะปรุงแต่งสังขารกันอยู่ ก็เป็น ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นแสงเสียงแม่เหล็กไฟฟ้าก่อตัวกันอยู่เท่านั้น เจริญมาเป็นพืชก็ยังไม่มีเวทนา ยังไม่มีวิญญาณ พระพุทธเจ้าท่านแจงละเอียดไว้หมดแล้ว ที่อาตมาอธิบายนี้ไม่มีการจองเวรจองกรรม ไม่มีบาป ไม่มีบุญ ไม่มีกุศลอกุศลอะไร พืชพันธุ์ธัญญาหาร

พ่อครูยกมะม่วงมาดู เป็นผลมะม่วงสีม่วงสมรูปสมนาม

 

ทีนี่มาเอาข้าราชการ ข้าราชการคือผู้รับใช้พระราชา หรือ รับใช้ศักดินาหรือรับใช้นายทุน ผู้รับใช้นายทุน ไม่ได้เรียกว่า ข้าราชการ คือราษฎรการ เป็นข้าราษฎร ไม่ได้เรียกว่าราชะ ไม่ได้เรียกว่าพระเจ้าแผ่นดิน หรือไม่ได้เรียกว่าผู้อยู่ในสายของกษัตริย์แต่เรียกว่ามารับใช้นายทุน จริงๆแล้วนายทุน มีที่ดินมากกว่ากษัตริย์ด้วย กษัตริย์หรือเขตหรือแผ่นดิน แต่พวกนายทุนนี้ที่รวยเงินทองทรัพย์สินวัตถุเยอะแยะ มีที่ดินมากกว่าพระเจ้าแผ่นดินอีก เห็นไหมความซับซ้อนมีเยอะแยะ ฉะนั้นเขามีอำนาจในวัตถุเยอะ นายทุนจะว่าจริงแล้ว ทุกวันนี้ ทางรูปธรรมเขายิ่งใหญ่ที่สุด ทางนามธรรมต้องยอมจำนนศักดินา ถ้าทางด้านที่ยังมีสภาวะคู่ มีรูปกับนาม มีวัตถุ มีจิตวิญญาณ สภาพ 2 ธรรมะ 2 หรือการเมืองที่มี 2 ขา แต่พวกที่มันเก่งอยากจะเป็นนายทุนอย่างเดียวไปเป็นลัทธิ การเมืองเป็นประชาธิปไตยขาเดียว ไม่เอาวิญญาณเลย เอาแต่วัตถุก็แยกไปอย่างที่มันเป็น

นักวิชาการก็เข้าใจอันนี้ เรียนมาเหมือนกัน ทางวิญญาณกับทางวัตถุ แต่ไม่เข้าใจทะลุทะลวงเหมือนอย่างผู้มีตาปัญญา อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอน

ข้าราชการ หมายถึงการรับใช้กษัตริย์ แต่ข้าราษฎรการ หมายถึงการรับใช้นายทุนโดยตรง ข้า คือ ผู้รับใช้ การคือการทำงาน ข้าราษฎรการ ก็รับใช้นายทุน 100% ผู้ที่ไม่ได้เป็น ราชะ เป็นกษัตริย์ เป็นนายทุน อย่างโทนี่ ไม่ได้เป็นกษัตริย์ ก็พยายามทำตัวเองให้ใหญ่กว่ากษัตริย์ ลึกๆเราก็ไม่รู้ว่าเขาจะตั้งตนเป็นต้นตระกูลกษัตริย์เองหรือไม่ ถ้าเขาได้เป็น แต่เขาก็จะเป็น จะเป็นอะไรเราไม่รู้ลึกๆเขาจะตั้งระบบกษัตริย์หรือเขาจะสร้างระบบประธานาธิบดี ก็ไม่รู้เขา ลึกๆเราไม่รู้ นี่ฟังดีๆ เห็นได้ว่าทุกอย่างซับซ้อน มันแฝงอยู่อย่างนี้

สรุปแล้ว มาถึงอันสุดท้าย พาลชน เป็นผู้โง่ จึงเป็นเบี้ยให้พาลชนที่เป็นลิ่วล้อเป็นบริวารรวมพลอยู่ใต้อำนาจของนายทุน อยู่ใต้อำนาจของศักดินา โดยนักวิชาการเป็นตัวกลาง ที่จะให้ความรู้ระหว่างพาลชน ขึ้นไป เก่งขึ้นไปก็เป็น ข้าราชการหรือเป็นข้าราษฎรการ

ข้าราชการก็เป็นผู้ขึ้นตรงกับศักดินา ข้าราษฎรการก็ไปเป็นผู้ขึ้นตรงกับนายทุน นักวิชาการเป็นตัวกลาง ตัวนักวิชาการเองก็เก่ง แต่ก็รู้ว่าตัวเองไม่สุดยอดหรอกนักวิชาการ ถ้าสุดยอดตัวเองต้องนายทุนเป็นยอดนายทุนหรือศักดินาเป็นยอดศักดินา เขาก็จะเป็นอย่างนั้น ด้วยความคลุมๆเครือๆความไม่ชัดเจนความหลง หลงในอำนาจนายทุน หลงในอำนาจศักดินา แล้วนักวิชาการก็เป็นพวกนักศึกษา

นักวิชาการก็ทำตัวเองเป็นผู้หลงตนเองซับซ้อนว่า ฉันนี่แหละเป็นผู้รู้ รู้ถึงขั้นว่าฉันเป็นครูของนักนายทุนนะ ฉันเป็นครูของศักดินานะ สมัยโบราณเขาก็เรียกว่าเป็นปุโรหิต เป็นอาจารย์ของพระเจ้าแผ่นดิน บางทีก็เรียก ราชครู ก็เป็นครูของราชะ

จากนักวิชาการนี้ตัวกลางเป็นเจ้าของความรู้เหลี่ยมมุมเยอะ ดูรูปที่ทำขึ้นมา

   นายทุน(รูปวงรี)  ศักดินา(รูปทรงกลม)  นักวิชา(รูปหกเหลี่ยม)  ข้าราชการ(รูปสี่เหลี่ยม)   พาลชน(รูปหยดน้ำ)

 

นายทุนจะเป็นเส้นวงรี ไปทางขวางหรือทางตรงก็แล้วแต่ ก็จะไปขวางให้ได้

ศักดินา เป็นทรงกลม เป็นผู้ทรงอำนาจอยู่ ไม่ไปอาละวาดใคร มีพลังสูงสุดกลม 360 องศาหรือ 180 องศามีอำนาจสูงสุด เป็นวงกลมอย่างสนิทนิ่งเท่าไหร่ยิ่งมีพลังแรงและสงบนิ่งสูงสุดเท่านั้น ส่วนวงรีนี่ยังขวางไปขวางมาเป็นดาวหาง กลมจริงๆเลย หากคุณนิ่งแล้วเป็นพระอาทิตย์ ส่วนวงโคจรของดาวหางอ้อมไกล ถ้าเก่งเข้ามาก็จะสงวนพลังงานตัวเองไม่ต้องออกไปยาวไกลให้เสียเวลา อยู่ในตัวเองก็จะเป็นศักดินา เต็มรูป

ส่วนนักวิชา ก็พยายามสะสมเหลี่ยมให้มาก เหลี่ยมนี่เขียนไว้แค่ 6 เหลี่ยม หรือจะแปดเหลี่ยมละเอียดขึ้นก็มีเหลี่ยมมากจนกระทั่งเกือบใกล้กลม ไม่รู้จักเหลี่ยมมาเลย หน้าเหลี่ยมๆๆๆ ยิ่งสี่เหลี่ยมก็ยิ่งจะเห็นชัด

เพราะฉะนั้นสี่เหลี่ยมก็เลยตกอยู่ที่ข้าราชการ เป็นพวกที่รู้ตัวเองว่าสูงไม่ได้หรอก เป็นข้า เป็นข้าราชการหรือข้าราษฎรการ จะเป็นข้ารับใช้นายทุนหรือจะเป็นข้ารับใช้ศักดินา 2 อันนี้เท่านั้น

ส่วนพาลชนคือมวลของประชากร มวลของคนในโลกทั้งหลายแหล่ที่จะเริ่มมาหา 4 เหลี่ยมอย่างนี้แหละ เป็นคน เป็นมนุษย์ เป็นตัวมวลบริวารของความเป็นมนุษย์ เป็นคน ไม่ใช่สัตว์ถ้าสัตว์ก็ไม่ใช่เดรัจฉานที่เป็นคนแล้ว เริ่มต้นสะสมชีวิตมีกรรมวิบากให้ตัวเองมาเป็นข้าราชการ เป็นศักดินาหรือเป็นนายทุน ก็จะเป็นอย่างนี้วนเวียนกันอยู่อย่างนี้ นานไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติกว่าจะรู้ความจริงถึงจะรู้ว่าเราหลงความเป็น

    จากพาลชนก็จะสะสมความรู้เป็นนักวิชาการ สะสมความรู้เป็นนักวิชาการได้ ก็จะพัฒนาตัวเองเป็นข้าราชการหรือเป็นข้าราษฎรการ เป็นคนที่รวยขึ้นๆก็จะมาเป็นศักดินาในอนาคตชาติใดชาติหนึ่ง วันนี้เราก็เห็น แต่ก่อนนายโทนี่เขาก็เคยพูดว่าเขาเลี้ยงไว้ บัลลังก์กษัตริย์นี้เขาเลี้ยงไว้ ขออภัยอันนี้อาตมาไม่มีหลักฐานแต่อาตมาว่าได้ยินข้อมูลนี้มา ไม่มีหลักฐานชัดเจนแต่อาตมาได้ยินข้อมูลนี้มาจากปากใครอาตมาก็บอกได้แต่ว่าไม่บอกว่าเป็นใคร นายโทนี่เขาหยิ่งผยองหลงตัว สุดท้ายก็แพ้ธรรมะ

ขอแวะให้เขานิดหน่อย ถ้าเขารู้สึกตัวและสำนึก สังวรระวัง ขอรับผิดว่าเราได้ทำชั่วทำผิดไปแล้ว แล้วก็อาศัยมาอยู่เถอะ 70 ปีกว่าแล้ว จะอยู่อีกถึง 100 ปีอีก 30 ปี สมบัติที่เคยทุจริตไปโกงไปก็เหลือกินเหลือใช้ กินแค่ดอกก็เหลือแล้ว เขาฝากออกดอกไว้ ออกไปลงทุนเพิ่มดอกผลอีกเขาเก่งอาชญวิทยา คือ ความเลวร้ายทั้งอาชญากร เขาก็เก่งจริงๆ เห็นได้ชัดเจน ขออภัยอาตมาพูดความจริง คุณทักษิณอย่าโกรธอาตมาเลย ขอบคุณอย่างยิ่งที่คุณเป็นตัวอย่างอันเลวให้อาตมาได้ยกตัวอย่างและอธิบายสัจธรรมให้มนุษยชาติฟัง ขอบคุณด้วยความจริงใจ ที่เป็นตัวอย่างอันไม่ดีเหมือนพระเทวทัต เป็นอย่างนั้น

สู่แดนธรรม...พอผมมาฟังวันนี้ ได้เข้าใจมากขึ้น สมัยเรียนศิลปกรรม สงสัยว่าทำไมรุ่นพี่ให้อ่านหนังสือต่อต้านกษัตริย์ แล้วจะมีแนวคิดอย่างนี้กันหมด เขาต่อสู้กันมานานแล้ว ศักดินากับพวกนายทุนก็จะต่อสู้กัน พวกเราควรจะอยู่ฝ่ายไหนดีครับ

พ่อครูว่า…พวกเราอยู่ฝ่ายปัญญา อยู่ฝ่ายกลางๆ อยู่ฝ่ายรู้ความจริงว่าใครยึดถืออะไรเขาก็เป็นอย่างนั้น  เขายึดถือทุนก็เป็นนายทุน ยึดศักดินาก็เป็นผู้ใหญ่ในศักดินา ยึดอย่างนักวิชาการเขาก็เป็นใหญ่ในนักวิชาการ เดี๋ยวนี้นักวิชาการพยายามชี้นำ พยายามแสดงตัวเองว่าเป็นผู้รู้นักวิชาการ พยายามจริงๆเลยนะ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหน

สู่แดนธรรม...เดี๋ยวนี้มีตลาดวิชาการที่รับจ้างเป็นโค้ชสอนให้คนร่ำรวย

พ่อครูว่า…สอนให้เป็นนายทุนโดยตรง หากสอนให้เป็นศักดินาก็เป็นอำนาจใหญ่โดยตรง เหมือนกับโดนัลด์ทรัมป์ ตัวแทนศักดินาสูงสุดในสายประชาธิปไตยขาเดียวประธานาธิบดี พยายามจะเป็นเจ้าโลก พยายามจะยิ่งใหญ่ที่สุดเลย เสร็จแล้วไปแสดงฤทธิ์เดชกับใครไม่ได้ ก็ไปแสดงฤทธิ์เดชกับเกาหลีเหนือ ทำเป็นว่าฉันเป็นใหญ่ ฉันชนะเกาหลีเหนือ เกาหลีเหนือก็ไม่ยอมใครอีก พยายามจะหาประโยชน์จากโดนัลด์ทรัมป์เท่านั้นแหละ ป์เกาหลีเหนือก็ได้จับมือกับโดนัลด์ทรัมป์คนเดียว นอกนั้นไม่ได้จับมือกับหัวหน้าประเทศอื่นหรอก  คุยกับเกาหลีใต้บ้าง ในฐานะเชื้อชาติที่แตกแยกกันไปเป็นเกาหลีเหนือเกาหลีใต้ก็ไม่ได้สนิทสนมกับเกาหลีใต้ เกาหลีใต้เขาก็รู้ตัวว่าสังคมโลกไม่เหมือนกันนะ  สังคมโลกเขาโดดเดี่ยวคุณ คุณเบ่งอำนาจ อาวุธมาข่มขู่โลกเขาก็ยกให้เขา แต่รู้ไหมว่าถึงจะอย่างไรก็แล้วแต่ คิม เขาก็ยังไม่รู้ตัวหรอกว่าแล้วจริงๆประเทศอื่นเขาจะสร้างอาวุธได้เก่งเท่าเขาหรือเปล่า ใครเขาจะมาเปิดเผยทำไม เขาก็ไม่เปิดเผย แต่คิดไหมว่าต่างประเทศที่เขามีความรู้เขาก็พยายามเบ่งความรู้ พยายามศึกษาความรู้ที่จะสร้างปรมาณูหรือสร้างเครื่องมือวัตถุที่มันยิ่งใหญ่ ที่มันทำลายได้เก่งชิบหายวายวอด มีฤทธิ์อำนาจมาก เขาก็คิดอยู่ทั้งนั้น ไม่ได้ออมมือกันหรอก สั่งสมไว้ ไม่ต้องอวดเก่ง ถ้าเกิดสงครามต่างคนก็เอาของออกมาทำลายกันโลกนี้ก็แตกแน่นอน

สู่แดนธรรม...อย่างคุณโทนี่ ผมก็ไปตามดูว่า พระพุทธเจ้าให้ความหมายคำว่า ราชะ คืออะไร  ราชะคือองค์ธรรมที่ว่าด้วยเรื่อง ความต้องการ  ความอยากมี การเสพรสที่สุด ราชะ คุณโทนี่ เขาก็มีเลือดความเป็นราชะเต็มที่ เขาก็เลยต้องพยายามหาทางทำศึกสงครามกับ ราชะในอีกฐานะหนึ่ง

พ่อครูว่า…ก็ไปที่เดียวกัน คือไปหาโลกียรส ไม่ว่าจะเป็นรสทาง รูป รส กลิ่น เสียงสัมผัส รสทางวัตถุและนามธรรม

สู่แดนธรรม...โทนี่เป็นราชะ แต่ว่าฐานะเขาจะสู้ราชะอีกฝ่ายไม่ได้ เพราะอีกฝ่าย มีทศพิธราชธรรม ส่วนโทนี่ ไม่มีทศพิธราชธรรม

พ่อครูว่า…เป็นกษัตริย์เป็นราชาทั้งโลกที่มีทศพิธราชธรรมที่แท้จริง จึงเป็นราชาที่ถูกต้อง ก็รับใช้ประชาชนอย่างในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นตัวอย่างของโลก ที่จะยืนหยัดยืนยันรูปธรรม นามธรรม ที่จะเป็นหลักฐานเอาไปอ้างอิงว่านี่มีคนจริงนะ มีการปฏิบัติประพฤติจริง มีคุณค่าจริงมีทศพิธราชธรรม

ทศพิธราชธรรมไม่ใช่มีแค่ 10 ข้อ ขยายลึกซึ้งไปใน 10 ข้อนั้นสมบูรณ์แบบเลยนะ ท่านแบ่งไว้ 10 แต่ทุกอย่างครบหมดแล้วเป็นความรู้ของมนุษย์โลก ของพฤติกรรมที่สมบูรณ์แบบครบอยู่ในทศพิธราชธรรมหมดแล้วละเอียดลออ เป็นแต่เพียงเป็นตัวตั้งของ 10 ข้อนี้เท่านั้น เพราะฉะนั้นผู้ที่มีทศพิธราชธรรมจริง ต้น กลาง ปลาย หยาบ กลาง ละเอียด มีครบอยู่ในนั้นแล้ว เป็นผู้ที่ใช้ทศพิธราชธรรม ทำงานกับมวลประชาราษฎร์ในโลกอย่างไม่มีตัวตน อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อย่างเป็นผู้ที่อุตสาหะวิริยะ ทำงานเพื่อมนุษย์โลกจริงๆ

อาตมาเห็นสัจธรรมจึงรู้ว่าพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งคือในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็นผู้ที่ทำหน้าที่เดียวกันกับหน้าที่ที่อาตมาพยายามขยายความ แต่ท่านผู้ที่อยู่ในสถานะนั้น สถานะกษัตริย์แล้วก็มาเกิดในยุคเดียวกัน ท่านก็ทำไปตามหน้าที่ของท่าน ท่านอยู่ในฐานะของรูปธรรม ส่วนอาตมาอยู่ในฐานะนามธรรมก็ทำหน้าที่คนละอย่าง จึงรู้ว่าท่านเป็นโพธิสัตว์องค์หนึ่ง อาตมาก็รู้ตัวเองว่าเป็นโพธิสัตว์ พูดไปแล้วคนที่เขาไม่เชื่อถือไม่ยอมรับนับถือก็จะหมั่นไส้ อาตมาก็ว่าผู้ที่หมั่นไส้อาตมานี้ ควรจะลองมี ปรโตโฆษะ ฟังความอาตมา ตั้งใจฟังด้วยดี สุสูสัง ลภเต ปัญญัง ฟังให้ดี อย่ามีอคติ อย่าไปเพ่งโทษอย่างนั้นอย่างนี้ ก็จะรู้จักพอมารู้จักความจริงรู้จักสัจธรรมต่างๆว่า อ๋อ อาตมาพูดสัจธรรมแท้ๆจะได้รู้ความจริงของสัจธรรม จะได้เจริญพัฒนาขึ้นบ้าง จะได้มีสัมมาทิฏฐิในการที่ฟัง ปรโตโฆษะไปแล้ว จะได้ไปรู้จักจิตใจตัวเอง มนสิ รู้จักการทำจิตใจตัวเองได้เรียกว่ามนสิการ พัฒนาจิตใจตัวเองได้ เป็นผู้ที่มีมนสิการได้

ยิ่งเข้าใจลึกขึ้นก็เป็นโยนิโส ถ่องแท้ ละเอียดลออ แยบคาย ถูกต้องไปตามลำดับสูงขึ้นสูงขึ้นเรื่อยๆก็จะทำให้ตัวเองมีจิตเจริญ มนสิการจิตตัวเองเจริญขึ้น เป็นผู้เจริญเป็นอาริยบุคคลตามลำดับๆ ขึ้นไปได้อย่างแท้จริง

อาตมาพยายามที่จัดกระบวนการนายทุนศักดินา นักวิชา ข้าราชการ พาลชน

พาลชนคือ มวลทั้งหลายที่จะพัฒนาขึ้นไปเป็นข้าราชการเป็นนักวิชาการเรียนรู้แล้วเป็นข้าราชการหรือข้าราษฎรการ

 

 

นิยาม 5 เป็นความรู้ของอเทวนิยม

ก็อยู่ในกระบวน 5 นี้ขึ้นไปเรื่อยๆ ผู้รู้นี้คือผู้ที่อธิบายอยู่จะต้องมีปัญญาอย่างแท้จริง อธิบายอย่างอาตมาไม่ใช่โมเม เป็นการอธิบายสัจธรรมอย่างแท้จริง เอารูปเอานามเอาสภาวะคู่ของสิ่งที่ปรุงแต่งกันทำงานต่อกัน ตั้งแต่บวกลบในนิวเคลียส พลังงานตั้งแต่วัตถุเล็กละเอียดที่สุดจนกระทั่งรวมหมู่ หลายหมู่หลายพวกมาช่วยกันเป็นพลังงานมากขึ้นมากขึ้น พลังงานทางวัตถุก็อย่างหนึ่งพัฒนามาเป็นพลังงานทางนามธรรมมาเป็นชีวะ

ขั้นตอนของชีวะพระพุทธเจ้าก่อนตรัสรู้หมดตั้งแต่เป็นอุตุ เป็นพลังงานสูงสุดก็จับตัวเป็นพลังงานชีวะ มาเริ่มต้นจับตัวเป็นชีวะ ได้สัดส่วนเป็นตัวเองขึ้นมาก็เป็นพืช พืชก็ปรุงแต่งตัวเองมี I S H

I เป็นประธานแล้วมีพลังงานอีก 2 บวกกับลบ คือ She กับ He ตัว she คือพลังงานลย ตัว he พลังงานบวกปรุงแต่งสามเส้านี้เจริญขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งมีพลังงานตรัสรู้แล้วเป็นพระพุทธเจ้าก็จะปรุงแต่งจาก พีชะ มาเป็นจิตนิยามได้เร็วขึ้น จากจิตนิยามปรุงแต่งไปสูงสุดของจิตนิยามแท้ๆสูงสุดก็คือสภาวะ 2 เองปรุงแต่งกันอยู่ จริงๆมันไม่ได้เป็นของใครมันเป็นอนัตตา ผู้นั้นก็จะรู้ที่สูงที่สุดในตัวเองด้วยความรู้ที่พระพุทธเจ้าท่านรู้มาก่อน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์รู้มาก่อนแล้วก็มาประกาศสอน แล้วก็แบ่งเป็น ธรรมะนิยาม 5

อาตมารู้ว่า พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐรวบรวมโดยคณะพระกัสสปะซึ่งเป็นเทวนิยมตัวใหญ่เลย เพราะฉะนั้นจึงไม่มีภูมิปัญญาที่จะเลือกเอาโลกุตรธรรม เอาธรรมะนิยาม 5 มาบรรจุในพระไตรปิฎกได้ พระกัสสปะท่านยังไม่เห็นคุณค่าของธรรมะนิยาม 5 ท่านยังไม่มีความรู้ในธรรมะนิยาม 5 รุ่นหลังๆพอรู้ก็กระจายความอธิบายกันไป จนกระทั่งมีอาจาริยวาท มีอรรถกถาจารย์รวบรวมมา อยู่ในตรงนั้นตรงนี้ อันนี้อยู่ในคัมภีร์วิสุทธิมรรคของพระพุทธโฆษาจารย์ ก็ได้อันนี้มา เพราะเมืองไทยเรียนวิสุทธิมรรคของพุทธโฆษาจารย์ จนกระทั่งเกิดพุทธโฆษาจารย์อยู่ในเมืองไทยเป็นคนไทย เดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นพุทธโฆษาจารย์อยู่ ก็เป็นเรื่องอาจิณไตอาตมาไม่แปลกใจอะไร เพราะท่านก็ต้องมาเป็นอาจารย์นามสกุลท่านก็ อาจาริยางกูร เป็นตระกูลของอาจารย์ เป็นองค์ธรรมของอาจารย์ อาจาริยางกูร นามสกุลท่าน  ท่านประยุทธ์ท่านก็เป็นพุทธโฆษาจารย์อยู่อย่างนั้น ขออภัยพูดอย่างวิชาการ ไม่ได้ไปลบหลู่ท่าน อาตมาก็ได้รับประโยชน์จากท่าน ต้องขอบคุณท่านอย่างยิ่งและที่ท่านบันทึกความรู้พยัญชนะอะไรไว้ อาตมาต้องพึ่งตลอด โดยหนังสือของท่าน 2 เล่มที่อาตมามีประจำอยู่ เดี๋ยวนี้ก็ยังใช้อยู่ ใช้อาศัยท่านมากเป็นพระคุณอย่างมาก ที่ได้พยัญชนะพวกนี้บันทึกเก็บ ท่านเก่งท่านอุตสาหะวิริยะ ต้องยกย่องท่านจริงๆ ท่านรวบรวมความรู้ พยัญชนะต่างๆมา แต่น่าสงสารที่ท่านไม่รู้จักจับสภาวะแล้วก็ลดให้หมดไปทีละอย่าง เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ โดยไม่รู้สภาวะธรรมเต็มๆให้ได้

แม้แต่สังโยชน์ข้อที่ 1 ท่านจะสัมมาทิฏฐิแล้วหรือยัง สักกายทิฏฐิ ท่านรู้คำว่า กายอย่างสัมมาทิฏฐิสมบูรณ์แบบหรือยัง ถ้าท่านยังไม่รู้ สักกายทิฏฐิ อ่านความเป็นกาย เป็นธรรมะ 2 รูปนามของตนให้ได้ แยกให้ออก คำว่า กาย เป็นเทวะ แยกเป็นเป็นนามก็ดี ภายนอกภายในก็ดีแยกเป็น 2 ระหว่างโลกียะโลกุตตระก็ได้ จับคู่กันไปตั้งแต่ความหยาบ ไล่ทีละคู่ๆไป พระพุทธเจ้าท่านสอนตามศีล ตั้งแต่เกี่ยวกับสัตว์ เกี่ยวกับข้าวของ เกี่ยวกับตาหูจมูกลิ้นกายทางทวาร 5

ศีลข้อที่ 1 2 3 เข้าใจไปตามลำดับแต่คุณจะได้ธรรมะลึกซึ้งรู้จักตัวต้นตัวจบ ตัวต้นตัวสังขารกันปรุงแต่งกันอยู่อย่างนี้ ก็จะเข้าใจปฏิจจสมุปบาทชัดเจน รู้ตั้งแต่สังขารปรุงแต่งกันเป็นวิญญาณขึ้นมา วิญญาณก็เป็นตัวเดียวกันกับเวทนา หรือว่า เวทนาก็เป็นส่วนหนึ่งของวิญญาณ ก็ไปอ่านอาการของเวทนา จะเกิดได้อย่างไรก็แยกแยะ เมื่อมันสัมผัสกับรูปนามกันขึ้นก็จะเกิดเป็นอายตนะ

อายตนะก็เป็นตัวกลาง ที่จริงอายตนะก็คือ ตัวเวทนาหรือตัววิญญาณนั่นแหละ มันเป็น 2 ตัว อายะ กับ ตนะ อาตมาแยกพยัญชนะสภาวะให้ฟังนี่ทบทวนอีกที

อายะ แปลโดยภาษาคือ ประโยชน์ ตน คือ ตะนะ คือตัวตั้ง อาศัยตั้งไว้ที่จริงมันไม่ คือ นะ อาตมาไม่ได้โมเมจับแพะชนแกะ พยัญชนะก็อาศัยมันเท่านั้น

คู่ระหว่างอายะกับตนะ ศึกษาแยกให้ได้ว่าอันนี้คือประโยชน์กับตัวกูของกูคือ ตนะ ถ้าจะเป็นตัวตนก็เป็นโลกีย์ไปหมด แต่จะใช้ประโยชน์ก็ใช้ประโยชน์ได้ สร้างเป็นทำเป็น มีประโยชน์เอาไปกินไปใช้ในชีวิตหรือเอาไปทำได้ดีกว่านั้น ให้คนอื่นเขาเอาไปทำ เช่นเอาไปปลูกเป็นพืชผักมากินและสร้างวัตถุ เราสอนนามธรรมที่ลึกซึ้งไปเรื่อยๆ พวกนี้จะได้อาศัยความรู้ทางนามธรรมศึกษาพัฒนาตัวเองซ้อนๆๆขึ้นมา อาตมาว่าสอนเรื่องความรู้นี้ก็เหลือเฟือแล้ว ผู้ที่รู้จักการสร้างทำวัตถุก็สร้างขึ้นมา แล้วก็แบ่งมาให้อาตมากินใช้บ้าง อาตมากินไม่มาก ใช้ไม่มากหรอก นอกนั้นก็เกื้อกูลกันไป

บอกมันก็ขยายความรู้ทั้งรูปธรรมนามธรรม วิญญาณก็มีตัวการคือตัณหา  ตัณหาเป็นตัวการที่ร้ายที่สุด คลังของตัณหาคืออุปาทาน ใส่เซฟใส่คลังเอาไว้ที่อุปาทานเสร็จแล้วคุณก็กำจัดพลังงานตัณหาอุปาทานให้หมด ถ้าไม่หมดมันก็ตกเป็นภพเป็นชาติ เป็นคู่อยู่อย่างนั้น ภพก็คือแดนเกิด ชาติคือตัวอาศัยเดินเกิดเกิดอยู่

จะสามารถรู้จักสภาพเทว คู่ แล้วแยกแยะอธิบายได้ คนเข้าใจเอาไปปฏิบัติเพื่อลดละความยึดถือตัวเองได้ จนกระทั่งหมดอะไรที่เรายึดถือเอาไว้ เลิกได้หมดเลย คุณก็เป็นพระอรหันต์ของแต่ละคน มาจบลงที่อรหันต์พอดีเวลา 

(หมดเวลา)

 

 

 


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

640804_พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5

รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - ธรรมบรรยาย อัมพัฏฐสูตร ตอน 5 วันพุธที่ 4 สิงหาคม  2564 ณ บวรราชธานีอโศก ชมวิดีโอได้ที่นี่ ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่น...