รายการ พุทธศาสนาตามภูมิ - โลกุตระปัญญาต้องได้มาจากสัตบุรุษ
วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564
ณ บวรราชธานีอโศก
ชมวิดีโอได้ที่นี่
ฟังเทปบันทึกเสียงได้ที่นี่
ปัญญาวุฒิ 4
เป็นธรรมะเบื้องต้น
พ่อครูว่า…วันนี้ วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม 2564 ที่บวรราชธานีอโศก
ขึ้น 6 ค่ำเดือน 7 ปีฉลู เราก็เอาว่า ปีฉลุย จะได้ผ่านอะไรได้
เรามาต่อ ที่อาตมากำลังพูดถึงเรื่องของ จักร 4
ที่มีลักษณะต่างกันกับปัญญาวุฑฒิ 4
จักร 4 (ดุจล้อรถนำไปสู่ความเจริญ)
1. ปฏิรูปเทสวาสะ (การอยู่ในถิ่นที่เหมาะสม)
2. สัปปุริสูปัสสยะ (การคบหาสัตบุรุษ)
3. อัตตสัมมาปณิธิ (การตั้งตนไว้ชอบธรรม)
4. ปุพเพกตปุญญตา (ความเป็นผู้มีบุญอันได้กระทำแล้วในปางก่อน
ไว้เป็นที่พึ่งอาศัย)
(พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ 31)
และปัญญาวุฒิ 4
1. สัปปุริสสังเสวะ (รู้จักคบบัณฑิต
คบหาสัตบุรุษ)
2. สัทธัมมัสสวนะ (ฟังสัทธรรม)
3. โยนิโสมนสิการ (กระทำลงในใจโดยแยบคาย)
4. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม)
(พตปฎ. เล่ม 21 ข้อ
248)
นัยสำคัญที่ต่างกันของ จักร 4 กับปัญญาวุฑฒิ 4
จักร 4 เป็นคุณธรรมของสัตบุรุษที่จะทำงานเข็นกงล้อธรรมจักร เป็นหมวดธรรมของสัตบุรุษที่จะทำงาน
เพราะฉะนั้นสัตบุรุษก็คือผู้ที่มีคุณธรรมแล้ว บุพเพกตปุญญตา
เป็นผู้ที่ได้ผ่านเรื่องของบุญมาแล้ว
ส่วนปัญญาวุฑฒิ ไม่ใช่ของสัตบุรุษทีเดียว
เป็นของกลางๆเพราะว่ามีโยนิโสมนสิการ เป็นคำแรกๆต้นๆ
อยู่ในสุริยเปยยาลหรืออยู่ในสัมมาทิฏฐิหมวดแรกเลย มีปรโตโฆษะกับโยนิโสมนสิการ
ปรโตโฆษะคือ คุณต้องฟังคนอื่น ไม่ใช่คุณรู้เอง
ผู้รู้เองต้องเป็นสัตบุรุษตั้งแต่พระพุทธเจ้าตั้งแต่ สยังอภิญญา
จึงชื่อว่าเป็นผู้รู้เองข้ามชาติมา เพราะฉะนั้นในยุคสมัยใด
ที่มีคนเกิดมาแล้วในยุคสมัยนั้นๆ คนที่เป็นสัตบุรุษ เกิดมาในยุคสมัยนั้น
โดยเกิดมาเป็นสัตบุรุษเป็นสยังอภิญญา
อย่างอาตมาเกิดมาในยุคนี้ไม่มีครูบาอาจารย์ที่ไหน
นอกจากไม่มีครูบาอาจารย์ที่ไหนแล้ว
คำสอนคำอธิบายขยายความของอาตมายังไปขัดแย้งกับหมู่ใหญ่เดิม
ขัดแย้งชนิดตรงกันข้ามเลย โลกียะกับโลกุตระ
อย่างพุทธเจ้าท่านอุบัติขึ้นมาในโลก ท่านก็ตรงกันข้ามกับเดียรถีย์
แต่ท่านมีบารมีมาก คนยอมรับทันที พระเจ้าแผ่นดินต่างๆยอมรับหมด ไปแคว้นไหนก็ยอมรับ
อย่างอินเดียมีสองแคว้นใหญ่คือ แคว้นโกศลกับแคว้นมคธของพระเจ้าปเสนทิโกศล
พระเจ้าพิมพิสาร แคว้นเล็กๆ ก็เชื่อตามหมด พระเจ้าพิมพิสารบอกว่าให้มาครองแผ่นดินครึ่งหนึ่งเลยให้ท่านบริหาร
พระพุทธเจ้าก็บอกว่าท่านบริหารเถอะ
ท่านมีหน้าที่มาทำงานทางศาสนา สมัยโน้นยังไม่มีคำว่าขอบคุณ
และคงยังไม่มีคำว่าพอใจๆ มหาบัว จะขอบคุณก็ดูจะลดศักดิ์ศรี
ก็เลยคัดภาษาแทนขอบคุณว่า พอใจๆ มหาบัวเขาใช้
ปัญญาวุฑฒิ มีอะไร
1. สัปปุริสสังเสวะ (รู้จักคบบัณฑิต
คบหาสัตบุรุษ) เสวนากับสัตบุรุษ
2. สัทธัมมัสสวนะ (ฟังสัทธรรม)
ก็คือฟังธรรม
3. โยนิโสมนสิการ (กระทำลงในใจโดยแยบคาย)
จึงจะเข้าใจการทำใจในใจอย่างถูกต้องถ่องแท้ถึงที่เกิดที่ตาย ถึงที่เกิดเลย
คำว่า โยนี หมายถึงอวัยวะเพศหญิงที่ให้เกิดคนมาเลย คนออกมาจากที่นั้นเป็นต้น
นี่คือพยัญชนะกับสภาวะต่างๆมีระบุ
เมื่อสามารถโยนิโสมนสิการได้จึงเกิดการปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม
4. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม) ถ้าไม่มีโยนิโสมนสิการก็ไม่มีสัมมาทิฏฐิ
ผู้เป็นปัจเจกแต่ไม่ถึงสยังอภิญญาก็ได้ เช่นผู้นี้มี
ปัจจัตตังเวทิตัพโพวิญญูหิติ ตัวเองเป็นเองรู้ได้ด้วยตัวเอง เกิดธาตุรู้
เกิดความรู้ วิญญาณนั้นได้เปลี่ยนไปมีธาตุรู้ใหม่เกิดในตนเอง
ปัจจะ กับ อัตตะ เป็นปัจจัตตัง
ปัจจะ แปลว่าสว่าง, อัตตะ คือตัวเรา
ปัจจัตตังสว่างแจ้งในตัวเรา เป็นความรู้
เป็นธาตุวิญญาณเกิดความรู้ลงไปในธาตุวิญญาณ
เมื่อเริ่มเกิดปัจจัตตังก็จะสร้างสมเป็นปัจเจกก็แปลว่าเป็นของตัวเอง
สั่งสมเป็นหนึ่งไปเรื่อยๆ จากปัจเจก จะเต็มถ้วน ถึงขั้นที่ 7 เรียกว่า สยังอภิญญา
ก็จะสั่งสมบารมีเพิ่มขึ้นอีกเป็นปัจเจกภูมิในระดับปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ
ปัจเจก มาเป็นสยังอภิญญา มาเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธ
ต่อไปเป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธที่มีสัพพัญญู
อย่างอาตมาสยังอภิญญา ต้องสั่งสมเป็นขั้น 8 เกินครึ่งเป็นต้นไป
มีบารมีคุณวิเศษเลยครึ่งของขั้น 8 จึงได้ชื่อว่าปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ
จนเต็มบริบูรณ์เรียกสัพพัญญู เท่ากับพระพุทธเจ้าทุกองค์
เต็มสุดปัจเจกสัมมาสัมพุทธะคือระดับ 9
หากยังไม่ประกาศธรรมะขึ้นในโลกท่านก็ได้ชื่อว่าปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า
มีพระสัพพัญญูเท่ากับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แต่ถ้าท่านไม่ประกาศศาสนาในโลกมนุษย์
คนก็จะไม่รู้จักว่าท่านคือพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง ยังไม่ได้ชื่อว่าพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในโลก
ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ท่านตัดสินพระทัยว่าท่านไม่ประกาศศาสนา
ท่านก็ตัดสินรีไทร์ตัวเองเลย เลิก ตายในชาติไหนก็แล้วแต่
ท่านก็ปรินิพพานเป็นปริโยสานไปเลย แยกธาตุเป็นอุตุธาตุ
เพราะท่านก็ทำงานมาเหมือนกับพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ สั่งสมบารมี
มีสัมภาระวิบากเหมือนกัน
ต้องมีน้ำหนักมีคุณธรรมที่ได้สั่งสมบุญบารมีเข้าเขตขีดของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าก็มีคุณธรรมเข้าเขตพระพุทธเจ้าทุกพระองค์
ต่างกันตรงที่ท่านไม่ได้ประกาศศาสนาในโลกมนุษย์ จึงไม่ได้ขึ้นทำเนียบเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง
ถ้าหากประกาศศาสนาท่านก็เป็นเจ้าของศาสนาพุทธองค์ใดองค์หนึ่ง
แล้วท่านก็จะไม่ประกาศศาสนา 2 ครั้ง
เพราะว่ามันเมื่อยทำงานมาเท่ากันกับพระปัจเจกพระพุทธเจ้า
ก็จะพอแล้วท่านก็จะตัดช่องน้อยแต่พอตัว
ประเด็นนี้พระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าเหนือกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เหนือในมุมไหน มองได้สองมุม
เหนือกว่าตรงที่ท่านไม่มีตัวตนยิ่งกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทั้งๆที่เรามีสัพพัญญูเท่ากับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ แต่เราไม่ประกาศซะ
เราก็ไม่ได้ชื่อว่าพระพุทธเจ้าขึ้นทำเนียบในโลก ภัทรกัปนี้มีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์
พระศรีอาริยเมตไตรยก็เป็นองค์ที่ 5
หรือในภัทรกัปอื่นอาจจะมีพระพุทธเจ้าหลายพระองค์
สรุปว่าพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้ากับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีคุณธรรมเท่าเทียมกัน
ต่างกันตรงที่ว่าได้เป็นเจ้าของศาสนาในโลก ตั้งแต่พ.ศ.นั้นยุคนั้น ขึ้นทำเนียบหรือไม่
ถ้าไม่ก็แล้วไปเพราะฉะนั้นมองในมุมหนึ่งพระปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ไม่ประกาศศาสนาเป็นของตัวเองทั้งทั้งที่บรรลุเท่ากับพระพุทธเจ้าทุกพระองค์แล้วจึงมีมุมที่ไม่มีตัวตนยิ่งกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประกาศศาสนาเป็นของตน
เป็นมุมสิริมหามายา เอาใครเป็นใหญ่เป็นเล็กก็ได้ทั้งนั้นเมื่อหมดตัวตนแล้วก็หมดการย้อนแย้งทั้งมวล
มาเข้าสู่ที่เตรียมมาอธิบาย…
ต้องพบสัตบุรุษก่อนจึงเกิดฉันทะในโลกุตระได้(พ่อครูลดอายุเหลือ
120 ปี)
จึงเป็นผู้ได้ศึกษาตามพระพุทธเจ้าจนมีสัมมาทิฏฐิ
และสามารถตีแตกแยกแยะ“เทฺว”ออกได้จริงด้วย“ธรรมะ ๒” ทั้งในความเป็น
“พยัญชนะ”ทั้งในการจัดการกับ“ธรรม”ได้ถูก“ตัวตน”แท้ๆสำเร็จ
คำว่า
“เทฺว”นี้จึงยิ่งใหญ่จนสุดจะกล่าว
เพราะ“เทฺว”เป็น“อัตตา-อาตมัน-ปรมาตมัน”ที่ชาว“เทฺวนิยม”ย่อมจมอยู่กับ
“ตัวตน” จะ“ไม่รู้ตัวตน” กันได้ง่ายๆเลย ตราบที่ยังไม่ได้พบพระพุทธเจ้า
หรือสัตตบุรุษ ก็จะต้องอยู่กับ “ตัวตน” ที่ “ไม่รู้จักตัวตน”อยู่นั่นแล
ตลอดกาลอันไม่มีที่สุดจบลงได้
ซึ่งน่าเห็นใจอย่างมากจริงๆที่ประดาคนทั้งหลายในโลก
ผู้มีชีวะขั้น“จิตนิยาม”แล้ว แต่ยังไม่รู้“โลกุตระ”
ก็ยังต้องจมอยู่กับ“เทฺว”อัน“อวิชชา”อยู่นานสุดแสนนานถึงนิรันดร ก็แสนจะจริง
สายเทวนิยม บอกว่าพระเจ้านิรันดร อัตตานิรันดร
จึงเกิดความเที่ยงไม่สูญหายตีไม่แตกทำลายไม่ได้ ก็จะจมอยู่อย่างนั้น
มันก็มีความจริงนี้มาตลอดกาลคู่กับโลก ศาสนาพระพุทธเจ้า
บรรลุธรรมแล้วเกิดความเห็นแย้งว่า วิญญาณไม่เที่ยงสัพเพธัมมาอนัตตา
แล้วท่านก็พิสูจน์ให้เห็นด้วยว่า
จิตวิญญาณของแต่ละคนที่สุดของตนเองทำให้จิตวิญญาณตนเองเป็นอนัตตาได้มันก็สูญ
จนกว่าจะได้พบพระพุทธเจ้าหรือ“สัตตบุรุษ”
และได้ฟังหรือได้ยินท่านพูด“โลกุตรสัจจะ”ให้ได้ยินได้ฟัง
อีกทั้งท่านก็ปฏิบัติอยู่ให้เห็นด้วย
ดีไม่ดีมีหมู่กลุ่มที่เป็นสังคมอาริยะโลกุตระเอาด้วย
จึงจะยินดี(เริ่มมีฉันทะ)ว่า
โอ!..ได้พบพระพุทธเจ้า หรือได้พบสัตตบุรุษแล้ว ผู้นั้นย่อม“ยินดี”
พอเห็นพระพุทธเจ้า
จึงเกิดจิตยินดี มีฉันทะเป็นมูลกา ถ้าไม่มีอิทธิบาท
ไม่มีความยินดีเป็นตัวนำไปไม่ออก ปฏิบัติสุริยเปยยาล
[129] มิตรดี
เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[131] สีลสัมปทา
เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[132] ฉันทสัมปทา
เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[133] อัตตสัมปทา
เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[134] ทิฐิสัมปทา เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[135] อัปปมาทสัมปทา
เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
[136] โยนิโสมนสิการสัมปทา
เป็นนิมิตแห่งอริยมรรค
มิตร หมายถึงใจ, สหาย คือประโยชน์ร่วมมีพรรคพวกหมู่กลุ่มร่วมกัน
แล้วครบพร้อมหมดเลย เป็นสัปปายะ 4 ครบเป็นสัมปวังโก เป็นต้น
อย่างมาเห็นชาวอโศกตั้งแต่จิตวิญญาณแต่ละบุคคล
จนหมู่กลุ่มรวมกันแล้วสอดคล้องเป็นไปในทิศทางเดียวกันมีพุทธพจน์ 7
มีการระลึกถึงกันรักกันเคารพกันช่วยเหลือเกื้อกูลกันไม่วิวาทกัน
พร้อมเพรียงกันเป็น เอกีภาวะเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เป็นคุณสมบัติที่เป็นต้นรากของจิตที่ชัดเจนเลย ถึงเป็นสาราณียธรรม พร้อม
อยู่ด้วยเมตตากายกรรม วจีกรรม มโนกรรม มีลาภธัมมิกา เอาลาภโดยธรรมมารวมกันกองกลาง
กินใช้ร่วมกันเป็นสาธารณโภคีแล้วต่างคนต่างมีศีลสามัญญตา
ซึ่งแตกต่างระดับแต่ก็เสมอสมานกัน ศีล 5 เสมอกับศีล 5 ยอมรับว่าศีล 8
คือผู้เจริญกว่าจริง ศีล 8 สูงกว่าก็ไม่ข่มคนต่ำ ศีล 10 จุลศีล มัชฌิมศีล
มหาศีลขึ้นไปอีกก็ชัดเจนเอาศีลเป็นตัวตัดสิน ผู้ที่มีศีลสูงกว่าคือผู้ที่เจริญกว่า
อย่างนี้เป็นต้น
เห็นหมู่กลุ่มนี้มีมรรคผล เอาหลักวรรณะ 9 มาจับอีก
อาตมานำเอาหมวดธรรมแต่ละหมวดเอามาขยายความให้ปฏิบัติจนมีเนื้อแท้ธรรมะ
คนผู้ใดก็ตาม ถ้าเริ่ม..เห็นคนผู้หนึ่งในโลกปัจจุบันที่เราก็กำลังมีชีวิตร่วมอยู่ด้วยนี้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าหรือสัตตบุรุษ
นี่คือ
คุณยอมรับ“คนผู้นี้”เป็นพระพุทธเจ้าหรือสัตบุรุษอยู่ในโลกขณะที่คุณมีชีวิตร่วมอยู่นี้
ดังนี้จึงจะนับว่าคุณมี“ปัญญา” หรือเริ่มเกิด “อัญญธาตุ”ในจิตเห็นพระพุทธเจ้าหรือเห็นสัตตบุรุษขึ้นมาได้
และยอมรับว่า
“คนผู้นี้”เป็น“ผู้ปฏิบัติถูกต้องโลกุตระ”ตามธรรมพระพุทธเจ้าจริง(สัมมัคคตา) เป็นผู้บรรลุอาริยธรรมแท้จริง(สัมมาปฏิปันนา)” แล้ว“คบหากับสัตบุรุษ(สัปปุริสสังเสวะ)”
ฟังธรรมท่าน มันไม่มีใครบังคับใจของคุณนะ ใจของคุณจะยอมรับเอง
ใครจะมาเห็นก็เขาเห็นของเขา เขาเห็นแล้วว่าคนผู้นี้มันจะเป็นของจริงเลย
คนนี้เป็นพระพุทธเจ้า คนนี้เป็นสัตบุรุษอยู่ในโลก
ที่คุณทั้งหลายมีชีวิตอยู่ร่วมนี้ ดังนี้แหละจึงจะนับว่า คุณมีปัญญา
คุณจึงจะมี“ปัญญา”อันเป็น“อัญญา(ธาตุรู้ตัวใหม่
ที่เป็น“อื่น”แตกต่างจากที่เราเคยมีมา)”โดยท่านเริ่มใส่“เชื้อความรู้โลกุตระ”ให้แก่จิตเรา
และจะเกิด“ปัญญา”เจริญครบ“ปัญญา ๘”ได้
ปุถุชน“รู้”แบบ“ปัญญา”ขึ้นมาเองไม่ได้ ไม่มีใคร“รู้เอง”ได้
ได้พบสัตบุรุษ
จึงได้มีสัมมาทิฏฐิได้ เพราะมีปรโตโฆษะ มีการทำใจในใจ (โยนิโสมนสิการ)
เป็นส่วนแห่งบุญ(ปุญญภาคิยา) ให้ผลวิบากแก่ขันธ์(อุปธิเวปักกา).
สัมมาทิฏฐิ ๑๐
๑. ทานที่ให้แล้ว มีผล(ให้กิเลสลด) (อัตถิ . ทินนัง) ทำทานอย่างไม่โยนิโสฯก็จะมี
ทานแล้วเกิด
1. ยังมีความหวังให้ทาน สาเปกฺโข(มุ่งหวัง) ทานํ เทติ
2. มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ปฏิพทฺธจิตฺโต(ผูกพัน) ทานํ เทติ
3. มุ่งการสั่งสมให้ทาน สนฺนิธิเปกฺโข(สั่งสม) ทานํ เทติ
4. ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้เสวยผลทานนี้
ปริภุญฺชิสฺสามีติ(ให้ข้ามภพชาติ) ทานํ เทติ
คุณต้องรู้ว่าคุณทำใจในใจผิด มีอาการหวังมีภพชาติต่อ
นั่นคือมันยังไม่ตัด นอกจากไม่ตัดแล้วยังผูกพัน กับไอ้หวัง พบกันชาติต่อไปอีก
แล้วยังสั่งสมลงใส่คลัง สันนิธิเปกโข สั่งสมความหวัง จนผิดไปอีก ข้ามไปชาติหน้าอีก
จะได้ไปเสวยสมบัติในชาติต่อๆไป ยาวไม่จบ นี่คือไม่รู้จักจบภพชาติ ชาติไม่จบภพไม่สิ้น
การทำใจในใจที่อวิชชา
สู่แดนธรรม...นิมนต์พ่อครูพักจิบน้ำ
พ่อท่านอธิบายคำว่า ฉันทะ พวกเราก็อาจรู้สึกว่าฉันรู้แล้วๆ นี่คืออาการไม่ฉันทะ
หากไม่สามารถแทงรากฉันทะออกจากเปลือกได้
พ่อครูว่า…อาการของความยินดีนี่ มันเป็นอาการที่สำคัญมาก
ฉันทะเป็นมูลกา ความเจริญด้านในความเป็นมนุษย์
ถ้าหากคุณไปยินดีในมิจฉาทิฏฐิก็ไปกับเขา คุณมายินดีในทางถูกสัมมาทิฏฐิก็มาทางนี้
มันก็เป็นสัจจะของมัน ความยินดีจึงเป็นตัวกลางๆ ที่จะไปยินดีกับอะไร
ยินดีกับที่ผิดหรือยินดีกับที่ถูก แล้วก็ไม่มีใครที่จะตัดสินได้จริงเท่าเรา
ตัวเราเป็นตัวเด็ดขาด
คุณอาจจะพอฟังคนอื่น เอาคนอื่นมาเป็นน้ำหนักเป็นเครื่องประกอบได้
แล้วคุณจะเชื่อเขาไหมล่ะ คนเราไปเชื่อคนอื่นมากกว่าตัวเองก็ได้ ไม่เชื่อตัวเองเลย
เพราะฉะนั้นเราควรจะต้องมาเป็นตัวเรา ตัวเราจริงๆแท้ๆ เราเป็นผู้ตัดสิน
จะช้าจะเร็วก็แล้วแต่ มันจะได้ไม่วกวน คนที่ตัดสินให้แก่ตัวเองแล้วแม้จะเป็นสายศรัทธา
ยาวสุดก็ 40 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป ส่วนปัญญาธิกะนั้น ตัดสินไม่ผิด
ตัดสินคมชัดแม่น ไม่วกวนไม่ซับซ้อน ผู้มีปัญญาสูงสุดตัดสินเป็นลำดับ คนนี้ 20
อสงไขยกับเศษแสนมหากัป มหากัปนั้นนับไม่ถ้วนกำหนดไม่ได้แล้วยังมีติ่งทศนิยมอีก เพื่อความไม่ประมาทเผื่อ
error แสนมหากัป หมายถึงเศษที่กำหนดไม่เที่ยงด้วย .001
ผู้ที่สามารถจะชัดเจนว่า คนนี้เป็นพระพุทธเจ้า คนนี้เป็นสัตบุรุษ
คนนี้แหละจะเป็นผู้นำของเรา ผู้ใดยังไม่มีภูมิธรรมขึ้นมาเป็นปัจเจก เป็นสยังอภิญญา
ปัจเจกสัมมาสัมพุทธะหรือเป็นพระพุทธเจ้า
ผู้นั้นต้องได้รับความรู้จากผู้ที่เขาถือว่าเป็นเจ้าของ
ผู้ที่เป็นเจ้าของจริงที่สุดก็คือพระพุทธเจ้า เป็นธรรมะสามี
รองลงมาก็เป็นปัจเจกสัมมาสัมพุทธะ หรือมองในมุมอีกมุมนึง
ก็อธิบายได้ว่าเหนือกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอีก ในมุมที่ลบเลย ไม่มีตัวตน
ไม่มีสภาพ ไม่แสดงตัวเลย แต่มันไม่มีประโยชน์กับโลกกับมนุษยชาติ
ฉันนั้นมีประโยชน์กับมนุษยชาติดีกว่า คุณจะเอาอัตตาโต อัตตาชนะ
ปัจเจกสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่แสดงตัวตนใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าก็ใหญ่ไปเลย
อาตมาก็ว่าอาตมาจะเป็นพระพุทธเจ้าให้ได้ ไม่เป็นปัจเจกแล้วไม่ประกาศศาสนา ว่างั้นนะ
ไปถึงโน่นอาจจะเปลี่ยนใจก็แล้วแต่ส่วนตัวของเรา
เหมือนกับตอนนี้อธิบายได้ว่าอาตมาตอนนี้
ใครให้อาตมาลากไปถึง 151 ปีไม่ได้นะ แต่มันไม่เอาเพราะว่าขันธ์มันไม่ให้ มันเมื่อย
มันทุกข์ ไม่ไหวลากไม่ไหวแล้ว 151 ปีตอนนี้อาตมาลดราคามาอยู่ที่ สุดฝืนจริงๆ เอา
130 ปีนะ (ญาติโยม...สาธุ) สุดฝืนจริงๆ 120 ปีก็เอาแล้ว มักน้อยลงมาแล้ว
ก็คิดว่าคงพอได้นะ อาตมาทำงานไปอีก อีก 33 ปี ไม่น้อยนะ
สู่แดนธรรมว่า… ขอเป็น 121
ปีครับ
พ่อครูว่า…คนผู้ใดก็ตาม
ถ้าเริ่ม..เห็นคนผู้หนึ่งในโลกปัจจุบันที่เราก็กำลังมีชีวิตร่วมอยู่ด้วยนี้ว่าเป็นพระพุทธเจ้าหรือสัตตบุรุษ
นี่คือ
คุณยอมรับ“คนผู้นี้”เป็นพระพุทธเจ้าหรือสัตบุรุษอยู่ในโลกขณะที่คุณมีชีวิตร่วมอยู่นี้
ดังนี้จึงจะนับว่าคุณมี“ปัญญา” หรือเริ่มเกิด
“อัญญธาตุ”ในจิตเห็นพระพุทธเจ้าหรือเห็นสัตตบุรุษขึ้นมาได้
และยอมรับว่า
“คนผู้นี้”เป็น“ผู้ปฏิบัติถูกต้องโลกุตระ”ตามธรรมพระพุทธเจ้าจริง(สัมมัคคตา) เป็นผู้บรรลุอาริยธรรมแท้จริง(สัมมาปฏิปันนา)” แล้ว“คบหากับสัตบุรุษ(สัปปุริสสังเสวะ)”
ฟังธรรมท่าน มันไม่มีใครบังคับใจของคุณนะ ใจของคุณจะยอมรับเอง
ใครจะมาเห็นก็เขาเห็นของเขา เขาเห็นแล้วว่าคนผู้นี้มันจะเป็นของจริงเลย คนนี้เป็นพระพุทธเจ้า
คนนี้เป็นสัตบุรุษอยู่ในโลก ที่คุณทั้งหลายมีชีวิตอยู่ร่วมนี้
ดังนี้แหละจึงจะนับว่า คุณมีปัญญา
คุณจึงจะมี“ปัญญา”อันเป็น“อัญญา(ธาตุรู้ตัวใหม่
ที่เป็น“อื่น”แตกต่างจากที่เราเคยมีมา)”โดยท่านเริ่มใส่“เชื้อความรู้โลกุตระ”ให้แก่จิตเรา
และจะเกิด“ปัญญา ”เจริญครบ“ปัญญา ๘”ได้
ปุถุชน“รู้”แบบ“ปัญญา”ขึ้นมาเองไม่ได้ ไม่มีใคร“รู้เอง”ได้…
(พ่อครูไอ ตัดออกด้วย)
สู่แดนธรรม...ถ้าเราไม่พบกับสัตบุรุษ
เราก็จะไปคิดเอาเอง แล้วไปหลงว่านั้นคือปัญญาของเราเอง
มีคนคิดอย่างนี้เหมือนกันนะครับ
พ่อครูว่า…คนอวดดี ไม่ยอมเปิดจิตมารับ ปรโตโฆสะ แล้วก็เป็นวิตักกจริต
กว่าจะบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าก็ 80 อสงไขยกับเศษแสนมหากัป สองเท่าของสายศรัทธา
มันเสียเวลาเปล่าก็อย่าไปอวดดีเลย อันนี้เป็นสูตรสำเร็จ นอกสูตรไม่ได้
ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าแก้ไม่ได้มันจะต้องเป็นสูตรนี้
อาหารของอวิชชา การเกิดปัญญาต้องตั้งตนไว้ถูก
ปุถุชน“รู้”แบบ“ปัญญา”ขึ้นมาเองไม่ได้ ไม่มีใคร“รู้เอง”ได้…
สู่แดนธรรม...อาจจะมีคนเถียงว่าก็มี
จินตามยปัญญา ไม่นับว่าเป็นปัญญาที่พ่อท่านพูดถึงหรือไม่?
พ่อครูว่า…มันก็เป็นโลกีย์ สุตมยปัญญา จินตามยปัญญา เป็นโลกีย์
แต่ถ้าภาวนามยปัญญา มันไม่ใช่ปัญญาแต่เป็น เฉโก ก็ไม่ใช่โลกุตระ
ปุถุชนรู้แบบมีปัญญาขึ้นมาเองไม่ได้
พระพุทธเจ้าเท่านั้นที่เป็น“เจ้าของปัญญาที่เป็นโลกุตร
ธรรม” และได้นำมาถ่ายทอดให้ผู้อื่นรู้ตาม มีในตนเองตาม จนกระทั่งเป็น“สยัง อภิญญา”
ชื่อว่าผู้มี“ความรู้โลกุตระในตน เอง”ซึ่งก็ได้จากพระพุทธเจ้า“มีในตนเองมาแล้ว”ข้ามชาติจากชาติมาแต่ปางก่อน
โดยเกิดมาชาตินี้ไม่ต้องมีครูบาอาจารย์ จึงชื่อว่า เป็น“สยัง อภิญญา”คือ
“ผู้มีเอง”ขั้นสัมมมาสัมพุทธสาวก
อาตมาชาตินี้ก็ไม่ได้เรียนรู้ธรรมะจากใคร
แต่มีภูมิธรรมโลกุตระของตนเองมาแต่ชาติก่อนๆ
ซึ่งอาตมาเป็นพุทธสาวกได้รับธรรมะจากพระพุทธเจ้ามา
ชาตินี้ก็มีธรรมโลกุตระเป็นของตนเองมา เขาฟังแล้วก็ไม่เชื่อ
อาตมาเห็นเขาเป็นอย่างนั้นก็น่าสงสาร คือวนเวียนในวัฏฏสงสารเก่า น่าสงสาร
ผู้ได้ชื่อว่า“รู้เอง”ขั้น“สยัง
อภิญญา”นั้นคือ
ผู้ที่ได้“สะสมโลกุตรธรรม”ใส่ตนเองมาก่อนแล้วถึงขั้นเป็นปัจเจก“ในตนเอง”
เมื่อได้มีชีวิตข้ามชาติ
ถึงขั้นได้ชื่อว่า“สยัง อภิญญา”ซึ่งต้องเกิดเป็น“ปัจจัตตัง”มาก่อนแล้ว
มีภูมิสูงขึ้นเป็น“ปัจเจกบุคคล” ขั้นต้น
จากปัจเจกขั้นต้นจึงเจริญสูงเพิ่มขึ้นเป็น“สยัง อภิญญา”
ผู้ที่จะ“หลับตา”ระลึกชาติเอา“โลกุตรธรรมของเก่าที่ตนมีมาแล้ว”ขึ้นมา“รู้”ในชาติใหม่นี้ได้
คุณก็ต้อง“มี”ของเก่านั้นมาก่อน
หากคุณยังไม่เคยมี“ของเก่าในสัญญา”ตนเองที่เป็น“อัตตสัมมาปณิธิ”มาก่อน
และ“ของเก่า”นั้นก็เป็นโลกุตรธรรมที่คุณได้สั่งสมมาคือ“ปุพเพกตปุญญตา”อีกด้วย
แล้วคุณจะระลึกเอา“ของที่คุณไม่เคยมีมาแต่ชาติก่อนในจิตตนมาแล้ว”ได้ยังไง?
คุณก็ระลึกนึกคิด“เพ้อเจ้อของเก๊”
ที่เป็นอะไรต่ออะไรอันไม่ใช่“โลกุตรธรรม”ขึ้นมาใหม่เท่านั้นเอง
โลกุตรธรรมมีในอนาคตไหม?...(โยม...บอกว่ามี)
พ่อครูว่า…โลกุตรธรรมมันมีแต่เดิมอยู่แล้ว
แต่คนที่จะค้นเอาโลกุตรธรรมนี้ออกมาใช้ได้ คนแรกคือพระพุทธเจ้า
นอกนั้นคุณจะยังวนอยู่ในกะลาครอบหรือในกระเปาะไข่นั้น ออกมาไม่ได้
จนกว่าจะคุณจะเจาะออกมาได้
พระพุทธเจ้าบอกว่าเราเป็นคนเจาะกระเปาะไข่ออกมาได้เป็นคนแรกเราจึงเป็นไก่ตัวพี่
ฉันเดียวกัน ชาตินี้
อาตมาสามารถเจาะกระเปาะไข่ออกมาได้เป็นคนแรกในยุคนี้ อาตมาไปเป็นลิงลมอมข้าวพอง
ไปกับโลกีย์เขา 36 ปี จึงออกมาได้ ออกมาได้เลย 36 ปีแล้ว
ครบ 72 ปีก็เป็นครบ สามนักษัตร หากต่อไปอีก 12 ปีก็เป็น 84
ปีต่อไปอีกก็เป็น 96 ปี
คุณก็ระลึกนึกคิด“เพ้อเจ้อของเก๊”
ที่เป็นอะไรต่ออะไรอันไม่ใช่“โลกุตรธรรม”ขึ้นมาใหม่เท่านั้นเอง
แล้วหาพวกบริวารก็มึคนหลงรับเอาโลกุตระเก๊ ความเพ้อเจ้อนี้ไปด้วย
“อัตตสัมมาปณิธิ”นั้นคือ
“สิ่งที่เราตั้งจิตปรารถนาขึ้น(ปณิธิ)และทำให้เกิดภาวะนั้น
ที่เป็น“โลกุตรธรรม”อัน“สัมมา”แท้ ที่ต้อง“มีในตนเองแล้ว”
มีขึ้นในตน(อัตต)ใส่จิตตน(อัตต)สำเร็จได้มาแล้ว(ปุพเพกตปุญญตา)”
จึงเป็น“อัตต”คือ “ตน”แท้
อัตตสัมมาปณิธิ
= อัตต+สัมมา+ปณิธิ จึงได้แก่ สิ่งที่เราตั้งจิตปรารถนาขึ้น ศัพท์ก็ว่า“ปณิธิ”
แล้วทำให้เกิดภาวะนั้นที่เป็น“โลกุตรธรรม”ได้ดังจิตปรารถนา และตรงตามพระพุทธเจ้า
ศัพท์ก็“สัมมา”
จึงมีภาวะเป็น“ตน”ขึ้นในจิต ศัพท์ก็ “อัตต”ไง!
ขยายความภาษาออกมา เขาเอาไปทำให้เกิดสภาวะขึ้นในตน คำว่าอัตตะ
ต้องสร้างและก็ต้องทำลายด้วยนะ
อัตตะเราสร้างเอง อัตตะที่เราไม่ได้สร้างเองเป็น อัตตะ เกิดมาจาก
อวิชชา พาเกิดมา ที่เราไม่ได้สร้างเอง ต้องมาตื่นรู้ทิศทางที่ว่า
อัตตะที่สร้างมาเอง สร้างมาด้วยอวิชชาเป็นอาหาร
เลอะเลย แล้วอวิชชาคืออะไร คือนิวรณ์ ไปด้วยนิวรณ์ 5 เป็นอาหาร
เอานิวรณ์ 5 เป็นอาหารก็เลยมีทุจริต 3 เป็นอาหาร
ทุจริต 3 เป็นอาหารก็เลยมีไม่สำรวมอินทรีย์ 6 เป็นอาหาร
ทำไมคุณไม่สำรวม ก็คุณไปหลับตาดับไป 5
ทวารเหลือทวารเดียวก็สำรวมแต่จิตทวารเดียวก็ได้แต่อาหารทวารเดียว
แล้วดันเป็นอาหารผิด อาหารเป็นพิษ อาหารสมถะ สำรวมสะกดจิตให้จิตแข็งเด้งเป็นหนึ่งเดียว
ไม่ได้วิจัยแยกแค่ให้เห็นว่า อะไรไม่ดีก็เอาออกอะไรดีก็เอาไว้ แล้วจบไปทีละชั้นๆ
ไม่ได้ทำอย่างนี้เลย แต่สะกดจิตให้มันเป็นหนึ่ง
คุณก็ได้อาหารที่สำรวมผิดเป็นมิจฉาทิฏฐิ
เมื่อมีความไม่สำรวมอินทรีย์ 6 เป็นอาหาร คุณก็มีสติสัมปชัญญะที่ไม่บริบูรณ์
กลายเป็นสติพร่องไม่เต็มร้อย ถ้าสติ 6 คือ สติ มีทวาร ตามูกลิ้นกาย 5 และจิต อีก 1
เป็น 6 ถ้าสติครบ 6 ทวารสติคุณก็เต็ม แต่นี่คุณมีสติอยู่ทวารเดียว แต่ทวารอีก 5
ทวารคุณไม่ฝึก ไม่สั่งสมไม่ปฏิบัติ สติของคุณก็พร่อง ก็ไม่เป็นสติสัมปชัญญะที่สัมมาที่บริบูรณ์
เพราะคุณไม่สำรวมทวาร 6 คุณสำรวมแค่ทวารเดียว
เมื่อสติสัมปชัญญะของคุณไม่บริบูรณ์ มีแต่สติที่มิจฉาทิฏฐิเป็นอาหาร
คุณก็ได้อโยนิโส
มนัสสิการเป็นอาหาร
คุณก็ได้อาศัยการทำใจในใจแบบที่อโยสิโสฯ ไม่ลงไปถึงที่เกิดเหตุ ไม่ถ่องแท้
ไม่แยบคาย ไม่ถูกต้อง พวกที่หลับตาปฏิบัติก็จะได้แบบนี้เป็นอาหารตลอด
อโยนิโสมสนิการ
คุณไม่มีความศรัทธาไม่มีความเชื่อถือไม่ได้มีความเห็นความเข้าใจถูกต้องเป็นอาหาร
คุณไม่ได้พบสัตบุรุษ คุณไปเจออสัตบุรุษ คุณจึงได้ฟัง อสัทธรรม
จึงศรัทธาในสิ่งที่ได้จากอสัตบุรุษเป็นอสัทธรรม คุณก็ได้อโยนิโสมนสิการไปด้วย
พระพุทธเจ้าอธิบายในอวิชชาสูตรว่า
1. การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์
ย่อมทำให้การฟังสัทธรรมที่บริบูรณ์ . .
2. การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
3. ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์
4. การมนสิการโดยแยบคายที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ . .
สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
5. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ . . ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
6. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์
ย่อมทำให้สุจริต 3 บริบูรณ์
คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต
7. สุจริต๓ ที่บริบูรณ์
ย่อมทำให้สติปัฏฐาน 4 บริบูรณ์
8. สติปัฏฐาน 4 ที่บริบูรณ์
ย่อมทำให้โพชฌงค์ 7 บริบูรณ์ .
9. โพชฌงค์ 7 ที่บริบูรณ์
ย่อมทำให้วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์
(อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม 24 ข้อ 61)
หมดเวลา
คำว่า
“อัตต”นี้เป็น“โลกุตรธรรม”นะ! ที่อาริยบุคคล ย่อมไม่ได้หลง“ยึดเป็นตน”แล้ว
แต่ทำให้เป็น“ตน(อัตต)”ขึ้นมาแค่อาศัยเท่านั้นเพื่อทำประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น
ส่วน“ตน”นั้นไม่มีแล้ว
ไม่ใช่เพื่อ“ตน” ท่านพ้นความเป็น“ตน”แล้ว เข้าถึง“สภาวะ”
ให้ดีๆ ที่พูดนี้เป็นภาษาขั้น“สิริมหามายา”
ซึ่งกำลังสาธยายแยกแยะด้วยคำพูดอธิบายปัจจยาการของ“เทฺว”ทั้งนั้น
ปุพเพกตปุญญตา
= ปุพพ + กต + ปุญญ + ตา นี้คือ ภาษาบอกกล่าว ก็อธิบายได้ดังนี้ “ปุญญ”คือ
การฆ่ากิเลส “กต”คือได้ทำเสร็จแล้ว “ปุพเพ”ก็เป็น“ของเก่า”ที่ระลึกขึ้นมาได้นี่ไง!
(ศัพท์
ที่เป็นไวพจน์กันก็คือ.. ปุพเพนิวาสานุสติญาณ)
ส่วน“ตา”นั้นหมายถึง ภาษากำกับบอกว่านี่คือ “คำนาม”นะ! ซึ่งแตกต่างจากคำว่า
“นาม”แท้ๆโดยตรงอย่างมีนัยสำคัญ
เพราะคำนี้หมายถึง“รูป”ที่เคยเป็น“นาม”ในอดีต
ภาษาว่า
“คำนาม”คือ “ภาษา”หรือ“คำความ”ที่พูดถึง “กิริยา”หรือ“นามธรรม”อันเคยทำให้เกิดมาได้แล้ว
เท่านั้น
มิใช่“กิริยา”จริงๆ
ที่กำลังเกิดในปัจจุบันนี้ดอกนะ!
มันแค่คือ“ภาษาบอก”ให้รู้“สิ่งนั้นสิ่งนี้”ที่มันเคยมีเคยเป็น“กิริยา”นั้นๆมาแล้วแต่กาลก่อน
คือ “อดีต”ที่พูดถึง
ขณะนี้ได้นำ“สัญญาเก่า”ที่เคยเกิด
ซึ่งตอนนี้เป็นเพียง “ความจำ”ที่ตกผลึกแล้วเป็น“สัญชาติ”เท่านั้น มันเดินทางผ่าน
“กาละ”มาแล้ว แม้จะเคยเป็น“กิริยา”หรือเป็น“นาม”ก็คือ “อดีต”เก่าก่อนต่างหาก
มันผ่านกาลปัจจุบันโน้นมาแล้วเป็น
“ผลของกรรม”ดั้งเดิม ที่เคย“ทำ”มาแล้ว นำมาพูดใหม่ตอนนี้
ตอนนี้เป็น“อดีตกรรม”แค่นำมากล่าวขึ้นคือ“ภาษาบอก
ไตร่ตรองตามที่พยายามขยายความให้ฟังนี้ดีๆ
ต้องแยกแยะ“ความแตกต่าง”ของ“ภาวะ
๒”คือ “รูป” กับ“นาม” และที่สำคัญมันคนละ“กาละ”
ซึ่ง“นาม”มันได้กลายมาเป็น“รูป”ไปแล้ว
“นาม”ที่นำมากล่าวถึงนี้เปลี่ยนมาเป็น“รูป”แล้ว “ปุพเพกตปุญญตา”จึงเป็นแค่“นาม”ที่กลายเป็น“รูป”แล้ว
ซึ่งคือ ๑
ที่เป็น“ธรรม”ใน“จักร ๔”(พระไตรปิฎก เล่ม ๒๑ ข้อ ๓๑) อันจะนำไปถึงความเป็นใหญ่
เปี่ยมสมบัติ ดุจล้อหมุนนำรถไปถึงที่หมายสำเร็จ “จักร
๔”ก็มี..“การอยู่ในถิ่นที่เหมาะควร(ปฏิรูปเทวาสะ)-การได้คบกับสัตตบุรุษเสมอ(สัปปุริสูปัสสยะ)-อัตตสัมมาปณิธิ(การตั้งตนไว้อย่างถูกต้อง)-และคำที่กำลังอธิบายอยู่นี้คือ“ปุพเพกตปุญญตาม”
ซึ่งเมื่อผู้นี้ยิ่ง“อยู่ในสถานที่ที่เหมาะควร”คือ “ปฏิรูปเทส
วาสะ” และยิ่งได้คบกับสัตบุรุษอยู่
ฟังธรรมจากท่านเสมอสัมผัสสัมพันธ์มีมิตรดีสหายดีสิ่งแวดล้อมดีอยู่
คือ“สัปปุริสูปัสสยะ” และมี“การตั้งตนไว้อย่างถูกต้อง” คือ“อัตตสัมมาปณิธิ” และ“ปุพเพกตปุญญตา”เป็น“ข้อ
๔” พร้อมครบ“จักร ๔” ก็แน่นอนย่อมพาวิ่งเจริญยิ่งๆอย่างไม่ต้องสงสัย
เห็นมั้ยว่า
“เหตุ”นั้นเพราะได้พบสัตบุรุษ หรือได้พบ
พระพุทธเจ้าแต่“ชาติก่อนๆ” และการพบท่านก็ถึงขั้นได้“เชื้อโลกุตระ”ที่ท่าน“พูดให้ฟัง”จนเราเข้าใจเพิ่ม
แล้วได้“นำมาปฏิบัติกระทั่งเกิดบรรลุผลในจิตของตน”นะ จึงจะชื่อว่า เรา“มีโลกุตรผล”
และเป็น“อาริยบุคคล” สั่งสมไว้เป็น“ปุพเพกตปุญญตา”
จึงระลึก(สัญญา)ขึ้นมาจาก“บุญเก่าที่มีแล้วของตน”ได้
หากใครยังไม่มี“ปุพเพกตปุญญตา”นี้จริง คุณก็ไม่มี“ของ
ตน”มาจริง ก็หมดสิทธิ์ที่จะระลึกจาก“จิตวิญญาณ”ของตนได้
ผู้“หลับตา”ระลึกชาติได้เพราะมี“ผลบุญอันทำไว้แล้วมา
แต่ชาติก่อน”ก็เพราะมี“ปุพเพกตปุญญตา” จึงจะระลึกเอาได้
ซึ่ง“ผลของบุญ”ที่เราได้ทำมาแล้วนั้นคือ
“ส่วนบุญหรือกิเลสที่ถูกกำจัดออกไปได้แล้ว”จะมีบ้างเป็นส่วนๆตั้งแต่ภูมิโสดาบัน
หรือภูมิสกิทาคามี หรือภูมิอนาคามี หรือดับสิ้นอาสวะได้แล้วเป็นอรหันต์
หรือเป็นโพธิสัตว์ระดับต่างๆ
ก็แล้วแต่ใครจะมีมาแล้วจริงกระทั่งถึงพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก็เป็นผู้มีมาได้ตามจริงนั้นๆ
แต่ถ้าผู้ใดยังไม่เคยมี“ปุพเพกตปุญญตา”
ต่อให้ระลึกให้ตายก็ไม่มี“ของเก่าที่ได้มีมรรคผลแล้ว”ใดๆ ขึ้นมาแน่
นอกจากหลงเพ้อ พกสารพัดเก๊
แล้วก็ปั้นสร้าง“นิรมาณกาย”เก๊ๆขึ้นมา“หลงหนัก”
ซ้ำซ้อนหลอกตนเองสาหัสขึ้นไปอีก
ดังที่ผู้“หลับตา”ปฏิบัติอย่าง
“ไม่สัมมาทิฏฐิ”ทั้งหลายได้หลงผิดทำกันมามากกว่ามากในโลก
แม้จะ“หลับตา”ปฏิบัติระลึกชาติกันนี่แหละ ก็มี“มิจฉาทิฏฐิ”ในพวก“หลับตา”พากันเลอะเทอะเละเทะ
แตกต่างกันกับ “สัมมาทิฏฐิ”ในพวก“ลืมตา”อย่างมีนัยสำคัญยิ่ง ที่ต้องศึกษากัน
ให้แตกฉานถ่องแท้จริงๆเถิด
ดังนั้น
จึงขอปรามไว้ในที่นี้อย่างสำคัญ คือ ต้องศึกษา
ให้“สัมมาทิฏฐิ”กันจริงๆ
ถ้าเรายัง“มิจฉาทิฏฐิ”เราก็จะไม่เจริญสู่
โลกุตระเป็นผู้“ตีแตกแยกแยะ”ความเป็น“เทฺว”ได้แท้จริง
จนรู้จัก
รู้แจ้งรู้จริง“ธรรมะ ๒”ของ“เทฺว”
เพราะเหตุตี“เทฺว”ไม่แตกนี้แล
จะเพราะเราเชื่ออย่างมั่นใจว่า“พระเจ้า”นั้นคือ“พระจิตวิญญาณ”ที่สูงสุดแล้ว
เป็นผู้บงการ“จิตวิญญาณ”ของมนุษย์
ทุกคน พระเจ้าจะบันดาลให้มนุษย์ได้หรือมีสิ่ง“ดีที่สุดแล้ว”
มนุษย์ทุกคนเป็นไปตามพระประสงค์ของพระเจ้าทั้งนั้น คนทั้ง
หลายผู้เป็น“เจ้าของจิตวิญญาณเอง”แต่ละคนไม่ต้องไปทำอะไรเลย
ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามพระประสงค์ของ“พระเจ้า”ทั้งสิ้น
นี่คือ
ผู้ไม่เชื่อเรื่อง“กรรม(การกระทำทางกาย-วาจา-ใจของตนเอง)”
เรื่อง“วิบาก(ผลของกรรมที่ตนทำแล้วสั่งสมเป็นของตน
ออกฤทธิ์เอากับตนเอง)” จึงไม่เชื่อว่า
“กรรมเป็นของของตน ตนทำเอง เป็นเอง
มีเองทั้งนั้น ไม่มีใครเป็นเจ้าของกรรม นอกจาก“ตนเอง”
และกรรมที่ตนทำทั้งหลาย
ตนต้องเป็นทายาทกรรมที่
ตนทำเอง ตนต้องรับมรดกกรรมของตนเอง-ไม่รับก็ไม่ได้-แบ่งใครก็ไม่ได้เลย(กัมมทายาท)
กรรมที่เราสั่งสมเป็นวิบากของตนนั่นเองที่พาเราเกิด
ทำให้เราเป็นไปต่างๆ-ไม่มีใครมาบันดาลให้เราเป็น เราเกิดดอก(กัมมโยนิ)
กรรมที่เราทำนั่นเองเป็นเผ่าพันธุ์ของตนเอง-แบ่งเชื้อแบ่งเผ่าพันธุ์ของตนให้ใครไม่ได้เด็ดขาด-แม้แต่ลูกทางสายเลือด-เช่น
เราเป็นพระอาริยะ เป็นอรหันต์ เราก็แบ่งเชื้ออาริยะนี้ให้ลูก
หรือให้ใครอื่นไม่ได้
ตัวเราเท่านั้นเป็นเผ่าพันธุของเราคนเดียว พันธุ์จึงจำกัดเผ่าอยู่ที่ตนคนเดียว(กัมมพันธุ)เท่านั้น
“กรรมพันธุ์”หรือ“พันธุกรรม”แบ่งปันให้คนอื่นไม่ได้
“กรรม”คือ
“การกระทำ” ซึ่ง“ใครทำกรรมใด” ก็คนนั้นทำ“กรรม”นั้น
ก็ต้องเป็น“ของคนผู้นั้นเท่านั้นเฉพาะคนนั้นๆ”
“คนอื่น”ที่“ทำ”หรือใคร“กระทำ”กรรมใด
มันก็“ของตน”
“กรรม”จึงสะสมลงเป็น“พันธุ์”ให้“คนอื่น”ไม่ได้เลย “กรรม”จะข้าม“ตนเองทำ”ออกไปเป็น“กรรม”ของคนอื่น
ไม่ได้เลยเป็นอันขาด
“กรรมพันธุ์”จึงเป็น“พันธุ์เฉพาะตนผู้เดียว”
เพราะใคร“ทำกรรม”ใด
มันก็“ตนเองทำ” มันก็เฉพาะ
“ตน”ผู้เดียว
“พันธุ์ก็ต้องเป็นของของตนผู้เดียว(กัมมัสสกะ)”สิ! “กรรม”แบ่งไมได้
“พันธุ์”ก็ต้องแบ่งไม่ได้ด้วย
ชัดเจนแจ่มแจ้งมั้ย
..“กรรมเป็นเผ่าพันธุ์ของตนเอง”
เราต้องพึ่งพากรรมของตนเองที่ตนทำเองทั้งนั้น
ตนต้องอาศัยกรรมของตนเองทำให้แก่ชีวิตโดยมีจิตวิญญาณตนเองเป็นประธานสั่งตนให้ทำกรรมต่างๆเอง
จะพึ่งจิตวิญญาณคนอื่น(แม้แต่ของพระพุทธเจ้า)มาสั่งมาบงการไม่ได้หรือมาช่วยไม่ได้เลย
ในเรื่อง“กรรม” ตนเองต้องยินดีพอใจพากเพียร“กระทำ”เอง อาศัยตนตนเองทำเอง
จึงจะได้จะเป็นของตนเอง ตนเองก็พึ่งกรรมตนเอง(กัมมปฏิสรโณ)
ผู้เชื่อกรรม-เชื่อวิบาก-เชื่อว่ากรรมเป็นของตนเอง ก็จะเชื่อ
ว่าใครๆหรือพระเจ้าบงการกรรมของเราไม่ได้ นอกจากตัวเราเอง
ผู้ไม่เชื่อกรรม-ไม่เชื่อวิบาก-ไม่เชื่อว่ากรรมเป็นของตนเอง
เพราะไม่เชื่อความตรัสรู้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
แต่เชื่อ“พระเจ้า”ที่มีอยู่ในลมๆแล้งๆที่ไหนก็ไม่รู้กันเป็นตุเป็นตะ!
เชื่อกันอย่างปักใจมั่น
มนุษย์ใดๆก็“สัมผัสพระเจ้า”ไม่ได้เลย
“พระบุตร”ก็ไม่สามารถสัมผัส“พระเจ้า”ด้วยตาหูจสูกลิ้นกายใจได้
มีแต่“พระบุตร“อ้างว่า
“คำสอนเป็นของพระเจ้า”
เพราะ“พระบุตร”หรือ“ศาสดาในเทฺวนิยม”ไม่รู้จักรู้แจ้งรู้จริงว่า
“คำสอน”ที่ท่านยืนยันว่า เป็น“ความรู้-ความจริง”ของ “พระเจ้า”นั้นที่แท้คือ
“ของท่านพระศาสดาเอง”แท้ๆ
ซึ่งท่านได้สั่งสมมาด้วย“กรรม”ด้วย“วิบาก”ของตนเองจาก“การเกิด-การตาย”ที่สะสม“บารมี”ของตนเองมานานับชาติ
ท่านจึงมี“พระธรรม-คำสอน”ของท่านเองมาสอนคนในโลก
จึงได้เป็น“ศาสดา”ของ“เทฺวนิยม”องค์หนึ่งของแต่ละศาสนา“เทฺวนิยม”ทั้งหลาย
เกิดศาสนา“โลกียะ”ต่างๆในโลก
ส่วนศาสนา“โลกุตระ”นั้นเกิดในยุคใด
ก็มี“ศาสนาหนี่งเดียว”ในยุคหรือในกัปป์นั้นๆ
กัปป์ใดกัปป์หนึ่ง
จะเกิดศาสนา“โลกุตระ”ซ้อนกันมี “ศาสดาโลกุตระ ๒ องค์”หรือมากกว่า ๒
ในยุคเดียวกันหรือในกัปป์เดียวกันนั้น ไม่มีเลย
ไม่เป็น“ฐานะ”ที่จะมีได้
“ศาสนา”ที่เป็น“โลกุตระ”ไม่มี“คำสอน”หรือ“พระธรรม”
แตกต่างกัน “คำสอน-พระธรรม”ที่เป็น“โลกุตระ”เป็น“เอโก
ธัมโม” เพราะ“สัจจะมีหนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีสอง(เอกัง หิ
สัจจัง
น ทุติยมัตถิ)” ของ“โลกุตระ”ไม่มีแยกเป็น“๒”เป็นอันขาด
“ศาสนาโลกุตระ”นั้นจะมี“ศาสดา”ได้เพียงพระองค์เดียวเท่านั้น
จะไม่มี“ศาสดาโลกุตระ“ ซ้อนกัน ๒ พระองค์” ในโลกแต่ละยุค แต่ละกัปป์ เป็นเด็ดขาด
เพราะในโลกแต่ละยุค
แต่ละกัปป์ หรือในกาลเวลาไม่ห่างกันตามสัจธรรมที่เหมาะสมนั้น
ไม่เป็น“ฐานะ”หรือไม่มี“การดำรงอยู่” หรือไม่มี“โอกาส”ที่จะมี“ศาสดา”ซ้อนกัน
๒”ได้เลย
พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า
พระองค์ทรงเป็น“ไก่ตัวพี่”แห่งพุทธศาสนาในยุคในกัปป์นั้นๆ ที่ในโลกมีศาสนาพุทธ
พระพุทธเจ้าทุกพระองค์นั้นทรงรู้แจ้ง“โลก”
ทรงรู้แจ้ง “อัตตา” เป็น“พุทธวิสัย” เพราะทรงรู้แจ้งใน“อจินไตย ๔”
แตกต่างจาก“ศาสดาโลกียะ”ทั้งหลายแม้แต่“พระเจ้า”
เป็นอย่างมาก ที่แต่ละพระองค์ไม่สามารถจะรู้จักรู้แจ้งรู้จริงใน “อจินไตย ๔”
ได้แก่ พุทธวิสัย ฌานวิสัย กรรมวิบาก โลกจินตา
เพราะ“ศาสดาโลกียะ”ไม่รู้แจ้งแม้แต่แค่“กรรมวิบาก”
ที่เป็น“อจินไตย” ๑ ใน ๔
จึงเป็น“อจินไตย”หมายความว่าเป็นเรื่องที่ไม่พึงคิด เรื่องที่คิดเอาไม่ได้
ไตร่ตรองเอาก็ไม่ได้
“ศาสดาโลกียะ”ที่เป็น“เทฺวนิยม”ทั้งหมด
แม้จะใช้ความพยายาม“ขบคิด”ให้หัวแตก ก็ตายเปล่า รู้“อจินไตย”ไม่ได้เด็ด
จะสามารถรู้จักรู้แจ้งรู้จริงได้ก็ต้องปฏิบัติธรรมอย่างสัมาทิฏฐิ
จนกระทั่งมีภูมิธรรมเกิด“ปัญญา”ขึ้นมาในตน ชนิด
ที่“สัมผัส”ภาวะนั้นๆได้ด้วย“กาย” โดยเฉพาะ“สัมผัส”ภาวะ ๒
อันเป็น“เทฺว”ก็ดี “นามรูป”ก็ดี “กาย”ก็ดี “ภายนอก-ภายใน”ก็ดี
ที่สำคัญต้อง“สัมผัสเหตุ-สัมผัสผล”จริงด้วย
และรู้จัก
รู้แจ้งรู้จริงได้ก็ตาม“ภูมิบารมี”ของแต่ละคนที่มีภูมิแต่ละขั้น
ศาสนาพุทธ
จึงเป็นศาสนาที่พิสูจน์เหตุ-พิสูจน์ผลได้แท้ จริง
จึงสามารถมี“ปัญญา”รู้จักรู้แจ้งรู้จริง“พระเจ้า”ที่เป็น“เทฺว”
หรือ“วิญญาณ” และสามารถจัดการกับ“วิญญาณ”ที่เป็น“เทฺว”
ได้สำเร็จ กระทั่งแยกธาตุ“วิญญาณ”ที่เป็น“จิตนิยาม”ให้เป็น “อุตุนิยาม”
เป็น“นิพพาน” สิ้นสูญความเป็น“วิญญาณ”หรือสิ้น“อัตตา,อาตมัน” แม้ที่สุด“ปรมาตมัน”
ดับสิ้น“เทฺว” ดับความเป็น“อัตตา,อาตมัน”แม้แต่“ปรมาตมัน” กระทั่งทำสลายกลายเป็น“ดินน้ำไฟลม”ไปได้หมดสูญ
สู่“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”
ความเป็น“วิญญาณ”หรือเป็น“พระเจ้า”จึงถูกพิสูจน์ได้ว่า
เป็น“อนัตตา” คือ “ไม่มีตัวตน”อยู่ใน“กาล”นี้ได้นิรันดร
พุทธจึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริงความเป็น“พระเจ้า”ชนิดที่เป็นวิทยาศาสตร์
ยืนยันพิสูจน์ได้สามารถ“สัมผัส”ได้ด้วย“กาย” ที่มี“ภาวะ ๒”
ซึ่งเป็น“เทฺว”และทำให้เป็น“อเทฺว”ได้ครบบริบูรณ์
พุทธพิสูจน์“เทฺว”คือ“ภาวะ
๒”คือ“วิญญาณ”คือ“อัตตา”
ได้สำเร็จโดยทำให้“ไม่สุขไม่ทุกข์” เพราะสามารถ“จัดการ”ให้
“เทฺว”หรือ“วิญญาณ” เป็น“พีชนิยาม”ที่ไม่มีภาวะ“กาย”ได้จริง
พุทธพิสูจน์“อัตตา”หรือ“วิญญาณ”ได้“ปรินิพพานเป็นปริโยสาน”ไปหมดสิ้นเลย
ตายแล้ว“ไม่ต้องไปอยู่กับพระเจ้า”
ซึ่งเป็นการ“พิสูจน์”ว่า
“วิญญาณ”หรือ“อัตตา”นั้น เป็น “อนัตตา” คือ
“ไม่ใช่ตัวตน”ได้สำเร็จตั้งแต่ยังเป็นๆมีชีวิตอยู่
การพิสูจน์โดยการทำ“จิตนิยาม”ให้กลายเป็น“อุตุนิยาม”
ให้สำเร็จ เป็น“ปรินิพพาน”หรือ“วิมุติ”จริง เป็น“อมต”ได้ตั้งแต่
ยังมีชีวิตเป็นๆ ยังไม่ถึงขั้นทำ“กายแตกตายไป”ทีเดียว
จึงรู้จักรู้แจ้งรู้จริง“ความจริง”นี้ (พระไตรปิฎก เล่ม ๒๔ ข้อ ๕๘ มูลสูตร)
ความเป็น“พระเจ้า”ของ“เทฺวนิยม”พิสูจน์ไม่ได้
จึงไม่เป็นวิทยาศาสตร์ เพราะพิสูจน์ไม่ได้แม้แค่“สัมผัส”ด้วย“กาย”
“เทฺวนิยม”ไม่สามารถ“สัมผัส”เทฺวผู้ยิ่งใหญ่คือ
“พระเจ้า”
ได้ด้วยตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย-ใจ “พระเจ้า”ยัง“ลึกลับ”นิรันดร
จึงไม่สามารถแม้แค่รู้จัก“ความจริง”ที่เป็น“พระเจ้า”
การจะ“รู้แจ้งรู้จริง”ในความเป็น“พระเจ้า”จึงสุดวิสัย
ยิ่งจะศึกษา“วิจัย”พระเจ้าให้รู้จักรู้แจ้งรู้่จริง
ก็ห้ามเด็ดขาดอีกด้วย จึงหมดสิทธิ์หมดสิ้นแม้จะเรียนรู้“วิตกวิจาร”
ดังนั้น
จึงไม่มี“ปัญญา”รู้จัก“เทฺว”ที่เป็น“พระเจ้า”
จึงรู้แจ้งรู้จริง“พระเจ้า”ไม่ได้เลยตลอดกาล
“เทฺวนิยม”จึงสามารถรู้“พระเจ้า”ของเขาได้แค่อยู่ใน
“จินตนาการ”กันเท่านั้น
แต่ละศาสนาของ“เทฺวนิยม”
จึงต่างก็มี“พระเจ้า”แยกกันไปคนละองค์ๆ “พระเจ้า”ก็มากมายหลากหลายพระองค์
แต่ศาสนาพุทธนั้นรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในความเป็น“พระเจ้า”
ว่าแท้ๆนั้นคือ “กรรม” ที่แตกต่างจาก God มีนัยสำคัญยิ่งยวด
ชาวพุทธศึกษาตามความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
ซึ่ง
เป็น“อเทฺวนิยม”สามารถตีแตกแยกแยะ(distinguish)ได้ชัดเจนจริง
แท้ว่า “เทฺว”หรือ“พระเจ้า”คืออะไร? เป็นไฉน? ใครเป็นเจ้าของ
“เทฺว”แท้จริง จึงจัดการกับ“เทฺว”ได้สำเร็จเป็นวิทยาศาสตร์แท้
ครบทั้งทางรูปธรรมและนามธรรม อันเป็น“เทฺว”คือ “ธรรมะ ๒”
คำว่า
“เทฺว”นี้ แปลว่า “๒” ซึ่งมี ๒ ทั้ง“เทฺวนิยม”และทั้ง“อเทฺวนิยม” ที่มีพระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้“ความจริง”นี้
ผู้ที่ไม่เชื่อ“ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า”
ก็แน่นอนว่า
ตีแตกแยกแยะ“เทฺว”หรือ“อัตตา,อาตมัน,ปรมาตมัน”ไม่ได้
ผู้ปักมั่นแน่นกับความเชื่อใน“เทฺวนิยม” ก็ย่อมไม่ได้ศึกษาเรียนรู้“จิต-เจตสิก-รูป-นิพพาน”ด้วยทฤษฎีอัน“สัมมาทิฏฐิ”วิเศษ
ผู้นั้นก็จะไม่สามารถ“รู้จักรู้แจ้งรู้จริง”ความเป็น“ธรรมะ”
คือ “ความทรงอยู่หรือทรงไว้”ที่เป็น“เทฺว”อันมีในตน ซึ่งเรา
หรือผู้ไม่รู้ยึดมั่นถือมั่นด้วย“อวิชชา”กันอยู่ทั้งนั้น
ผู้“หลุดพ้นความเป็นเทฺว”จึงเป็นความสุดยอดที่รู้จักรู้แจ้ง
รู้จริง“เทฺว” ตี“เทฺว”ในตัวเองแตก
ก็เรียนจาก“อัตตา”ตัวตนนี้แล
จะทำ“ความมี”หรือจะให้“ความไม่มี“อัตตา”ก็ทำได้แท้

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น